3

ตอนที่ 3 ปรนนิบัติพัดวี


ตอนที่ 3 ปรนนิบัติพัดวี

แม้จะผ่านไปสามวันแล้ว แต่เพ้นท์ก็ยังหาหน่อไม้สดมาทำแกงจืดหน่อไม้ ผัดเผ็ดหน่อไม้ ผัดกระเพราหน่อไม้ แกงส้มหน่อไม้ และอีกสารพัดเมนูหน่อไม้ที่อาฟรอสเอามาย้ำเตือนกับเขาว่าสั่งอะไรเอาไว้ไม่ได้เสียที เพราะตลาดแถวบ้านไม่มี เจอก็แต่หน่อไม้ดอง อีกอย่าง เวลานึกถึงหน่อไม้ก็มักจะนึกถึงผัดหน่อไม้ตามตลาดนัดที่ทำเสร็จแล้ว ไม่มานั่งแกะเองให้ยุ่งยาก

เขาอาจจะเคยแกะเอง ทำเอง ต้มเอง แต่นั่นก็ตอนที่ครอบครัวไปเที่ยวแล้วแวะซื้อกลับมา หรือมีคนเอามาให้ ซึ่งมันคงไม่บังเอิญมีคนเอามาให้ในช่วงที่มีคนแก่บอกอยากกินหรอก

พอทำให้กินไม่ได้ จากที่เอาแต่ใจอยู่แล้ว ตอนนี้...ดื้อสะบัด!

“อาว่ามันไม่ได้หายากขนาดนั้นหรอก เพ้นท์ไม่หามาให้อากินมากกว่า”

“แล้วผมจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรล่ะครับ”

ชายหนุ่มว่าอย่างเหนื่อยใจ แบบที่คนแก่กว่าก็โต้กลับทันควัน

“เอาคืนที่อาเอาแต่ใจไง”

รู้ด้วยว่าเอาแต่ใจ!

ความคิดที่ทำให้เพ้นท์ส่ายหัว ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น

“งั้นถ้าผมทำแล้วอาฟรอสแน่ใจนะครับว่ากินหมด อากินผักด้วยเหรอ”

พอมาอยู่หลายวัน เพ้นท์ก็ค้นพบแล้วว่าอาหลานต่างกันยังไง

ในขณะที่ไอ้เพลิงกินผักได้ทุกชนิด (เพราะห่วงสุขภาพผิวเหนือสิ่งอื่นใด) อาของมันกลับหลีกเลี่ยงการกินผักเท่าที่ทำได้ ไอ้ประเภทต้มนิ่มๆ ในสตูนี่ไม่นับ แต่ผัดผักคะน้าหมูกรอบก็เหลือแค่ผักคะน้า ทำบะหมี่หมูแดงใส่ผักกวางตุ้งลวกก็เหลือแต่ผักกวางตุ้ง เขาจึงใคร่รู้จริงๆ ว่าถ้าทำผัดหน่อไม้ขึ้นมา คนแถวนี้จะกินจริงอะ

งานนี้เขี่ยทิ้งสิไม่ว่า

ตอนนี้อาฟรอสเงียบไปอึดใจ แต่อย่าไว้วางใจว่าคนคนนี้จะจนมุมง่ายๆ

“เห็นมั้ย เพ้นท์ไม่ซื้อมาทำให้อากินจริงๆ ด้วย แล้วก็อ้างว่าเพราะอาไม่กินผัก”

ความผิดถูกยัดเยียดมาที่เขาทุกกระทง

“อาฟรอส อาเป็นเด็กหรือไง” จนอดไม่ได้ที่จะถามหน้ามุ่ย

“แล้วเราคิดว่าคนอายุเฉียดสี่สิบยังเรียกว่าเด็กได้มั้ย ถ้าได้ อายอมเป็นเด็กให้ก็ได้”

“อาโตแต่อายุ”

ร่างเพรียวงึมงำในลำคอ ขณะสะบัดผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ แล้วตากที่ราว

อ้อ ผ่านมาสามวัน เพราพนาไม่ได้แค่มาทำกับข้าวให้อาฟรอสอย่างเดียวแล้วนะ แต่หมายรวมถึงงานบ้านด้วย ซึ่งเรื่องมันเกิดตอนที่อาฟรอสเห็นว่าเขาเอาผ้าไปซักให้ อีกฝ่ายก็เลยถามว่าช่วยทำให้อีกได้มั้ย แน่นอนว่าได้เงินเดือนขนาดนี้ (ซึ่งไอ้เพลิงโอนมาให้ครึ่งหนึ่งก่อนเมื่อวาน) ต่อให้ชี้นิ่วสั่ง มีหรือที่จะกล้าปฏิเสธ แต่นี่อาฟรอสขอดีๆ เขาก็ตกลงทันทีเลยสิ

งานบ้านน่ะเด็กๆ

หากการทำงานบ้านแล้วมีผู้ใหญ่ตัวโตในชุดกางเกงเลเนื้อนิ่มกับเสื้อยืดตัวเก่ามานั่งไขว่ห้างมอง และพูดจาเอาแต่ใจก็ทำเอาปวดหัวตุบๆ

“ผู้ใหญ่ที่ดีเขาไม่กลัวการกินผักหรอกนะครับ” เพ้นท์เอ่ยเสริม ก้มลงหยิบเสื้อ

“อาไม่ได้กลัว อาแค่ไม่ชอบ”

“มันต่างกันตรงไหนครับ”

“ความหมายต่างสิ คนไทยหรือเปล่าน่ะเพ้นท์”

คนไทยแท้เหลือบไปมองคนถาม แล้วพบว่าอาฟรอสอารมณ์ดีเหลือเกินในการกวนอารมณ์เขา จนเลิกสนใจ หันมาตากผ้าต่อ

“เอ้า ผู้ใหญ่ถามแล้วไม่ตอบอีก”

คราวนี้เพ้นท์อดไม่ได้ที่จะหันไปสะบัดผ้าใส่คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สนาม (ที่ลงทุนยกมากางเอง) แรงๆ

“เล่นอะไรน่ะ เปียกนะเนี่ย!”

“ผมก็แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายมาครับ อาฟรอสต่างหากมานั่งอะไรตรงนี้พอดี ไม่ทำการทำงานแล้วเหรอครับ” คนเด็กกว่าย้อนเข้าให้ มองอาหนุ่มที่ปัดไล่ละอองน้ำออกจากตัว ทำเหมือนว่าโดนน้ำสาดทั้งกะละมังงั้นล่ะ ผ้าที่ออกมาจากเครื่องซักผ้าจะเหลือน้ำสักเท่าไหร่เชียว

“งานน่ะมี แต่ตอนนี้อาลาหยุดพักกายพักใจ"

กึก!

เพราพนาที่ตั้งใจจะสะบัดผ้าใส่อีกสักสองสามทีเป็นอันชะงักอยู่กับที่ เหลือบมองหน้าอีกฝ่าย เกรงกลัวว่าจะไปจี้ใจดำอาเรื่องหย่า และเขาคาดเดาสีหน้าแบบนี้ของอาฟรอสไม่ถูกจริงๆ

“ผมขอโทษครับ” เพ้นท์ว่าเสียงเบา

ขณะที่อาฟรอสมองหน้าเขาแล้วยิ้ม จนตาคมพราว

“ขอโทษเรื่องสะบัดน้ำใส่หน้าอาอะนะ รับผิดแล้วสิ”

“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” เออ อันนั้นจงใจ แต่หมายถึงอีกเรื่องต่างหาก “แต่ผมขอโทษเรื่องนั้นด้วยก็ได้”

หากเพ้นท์ก็ยอมให้ง่ายๆ ไม่ใช่เพื่อตัดปัญหา แต่เพราะเขาเองก็เคยสัมผัสความสิ้นหวังเรื่องความรักมาแล้วหลายครั้ง แล้วนี่ หย่าขาดเชียวนะ มันฟังดูร้ายแรงกว่าการที่เขาไม่สมหวังตั้งไม่รู้กี่เท่าตัว เพราะของเขายังไม่เริ่มต้น แต่ของอาเริ่มและจบไปแล้ว

อาต้องเจ็บมากแน่ๆ

พอสลด อาฟรอสกลับยิ้มกว้างกว่าเดิม สีหน้าดูอ่อนโยนลง พาลให้ตีความว่าอาพยายามทำให้ไม่เป็นห่วง

ไอ้เพลิงบอกว่าเวลาอาฟรอสคิดเรื่องไหนจริงจังก็จะไม่ค่อยพูด แล้วนี่เขาก็ไม่ได้ยินอาพูดเรื่องหย่าเลยสักครั้ง แต่ก็อีกนั่นแหละ เพ้นท์ก็เพิ่งรู้จักอาได้ไม่นาน

“งั้นโอเค อาชนะ แล้วนี่กลางวันมีอะไรกิน”

ทุกทีก็ยอมให้อาชนะอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ยอมให้จริงๆ เพราะเพ้นท์ก็ตะครุบหัวข้อที่อาโยนมาไม่ต่างจากหมาหิวโซ

“มีผัดกระเพราเนื้อน้ำมันหอยกับไข่ดาวครับ”

เพ้นท์บอกอย่างกระตือรือร้น ทั้งที่คิดแล้วคิดอีกว่าทำดีมั้ย เพราะรู้สึกว่าทำแต่เนื้อแล้วก็เนื้อ แต่มันช่วยไม่ได้นี่ ในตู้เย็นอาก็มีแต่เนื้อวัวเลยต้องใช้ นอกจากนั้น เขาได้ข่าวจากหลานของคนแถวนี้ว่าเวลาอาฟรอสไม่รู้จะกินอะไรก็โยนเนื้อเข้าเตา จิ้มซอสบาบีคิวกิน ฟังแล้วถึงกับเกาหัวแกรกๆ เพราะถามจริง นั่นเรียกว่าอาหารเหรอ

“นี่จะขุนให้อาอ้วนเหรอ ดูทำแต่ละเมนู”

ไม่วายที่คนเอาแต่ใจจะออกปากติ

ก็อาไม่กินผัก!

ใจจริงก็อยากจะเถียงว่าทำน้ำพริกกะปิผักต้มแล้วจะกินมั้ย จะลงทุนไปให้ป้าข้างบ้านสอนตำเลย แต่การอยู่ด้วยกันหลายวันตอบคำถามได้โดยไม่ต้องถาม อีกทั้ง...

“อ้อ อาขอไข่ดาวสองฟองนะ ไม่ดีกว่า เปลี่ยนเป็นไข่เจียวหมูสับได้มั้ย อยากกิน”

เอากับคนแก่กลัวอ้วนสิ ไหนว่าเมนูอ้วน แล้วไข่เจียวนี่ไม่อ้วนกว่าไข่ดาวหรือไงวะ

“อ้วนนะอา น้ำมันเยอะ” เลยเตือนสักหน่อย แต่คนแก่เอาแต่ใจก็...

“ไม่เป็นไรหรอก น้ำมันนิดหน่อย”

นี่หมายความว่าจะเอาให้ได้

“ถ้าอ้วนแล้วผมไม่รับผิดชอบนะ” เพ้นท์รู้ว่าเถียงไปก็เปล่าประโยชน์ เดี๋ยวก็ต้องตามใจอยู่ดี

“เอาน่า อย่าจู้จี้เป็นเมียอาเลย ไปทำเร็ว อาหิวแล้ว” คนตัวโตว่าพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน บิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกดังกร๊อบ

“ใครอยากเป็นเมียอาล่ะ” ทางนี้ก็เถียง มองอาที่เลิกคิ้ว แล้วหัวเราะเสียงนุ่ม ดวงตาเจ้าเล่ห์

“ไม่ดีตรงไหน อาก็ใช่ว่าขี้ริ้วขี้เหร่ มีบ้านพร้อมแต่ง มีรถพร้อมใช้ หน้าที่การงานก็ใช่ว่าจะยิ่งหย่อนไปกว่าใคร การเงินก็คล่องตัว นิสัยก็ดีสุดยอด เอาอกเอาใจเก่ง อ้อ แถมเรื่องบนเตียงก็ใช่ย่อย ทำเอาหมดแรงข้าวต้มก็หลายคน”

ตอนแรกน่ะนะ เพ้นท์ก็เห็นหน้าเจ้าเพื่อนสนิทลอยเข้ามาประทับร่างอาฟรอส เพราะเรื่องมั่นหน้านี่ต้องยกให้ไอ้เพลิง แต่ใครจะคิดล่ะว่าเหมือนกันแม้กระทั่งอวดเรื่องพรรค์นี้!

พรรค์ไหน ก็...

‘ใครได้นอนกับกูเรียกว่าบุญหล่นทับนะมึง กูออกจะลีลาเด็ด ขย่มทีเสร็จทุกราย’

เขาอยากจะบ้า!

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หน้าแดงแบบนี้อยากลองเหรอ” รู้ตัวอีกทีอาฟรอสก็ยื่นหน้ามาถามข้างหู จนคนฟังสะดุ้งโหยง

“อาฟรอส!” มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหู ร้อนวูบไปทั้งตัว

เออ เขาอาจจะใจเย็นได้ทุกเรื่อง รับมือคนเอาแต่ใจอยู่หมัด แต่เรื่องลามกนี่ไม่สันทัดจริงๆ จะใครก็ไม่ต่างกัน ไม่ใช่เพราะเป็นอาฟรอสที่มาเย้าแหย่ จะเป็นใครก็ทำให้เพราพนาเขินได้ทั้งนั้น

ขณะที่อาฟรอสก็เอียงคอมองหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตาคมฉายแววสนุกสนาน จนนึกรู้เลยว่ากำลังจะตกเป็นเหยื่อ แต่...

แปะ

“ไป ไปทำกับข้าวได้แล้ว อาบอกสองทีแล้วนะว่าหิวแล้ว เดี๋ยวหักเงินเดือนซะเลยนี่”

คนตัวโตวางมือลงบนหัวของเขาอย่างนึกเอ็นดู ไม่ขยี้เรื่องลามกอย่างที่ไอ้เพลิงกับไอ้แอนเดรียชอบแกล้ง แค่ผลักหัวเบาๆ จนรีบหันไปตากผ้าอีกสองชิ้น คว้าตะกร้า แล้วเดินนำเข้าบ้าน แอบอมยิ้ม เพราะหัวใจรู้สึกดีที่อารู้ว่าเขาไม่ชอบให้พูดเรื่องนี้

อีกอย่าง...มืออาฟรอสทั้งใหญ่ทั้งอุ่นจัง

ครั้งสุดท้ายที่มีคนเอามือลูบหัวเขามันเมื่อไหร่กันนะ เพ้นท์ถือว่าเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างสูงคนหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่ใครมาลูบหัว มาทำเหมือนเขาเป็นเด็กน่าเอ็นดูนานมากแล้ว ดังนั้นพออาฟรอสจับแล้วโยกหัวคนอยากน่ารักเบาๆ ไหงรู้สึกว่าตัวเล็กจิ๋วเป็นเด็กน้อยของอาฟรอสเสียอย่างนั้นล่ะ

อืม บางทีเขาอาจจะเริ่มมองเห็นมุมคุณอาสุดเท่ของไอ้เพลิงบ้างนิดหน่อยแล้วก็ได้

ความคิดของคนที่แอบลูบหัวป้อยๆ พลางกลั้นยิ้ม

 

เด็กไร้เดียงสามันน่าเอ็นดูจริงๆ นะ

ฟรอสลอบหัวเราะในใจ นั่งเท้าแขนมองคนที่ยืนล้างจานอยู่ไม่ไกล สมองนึกไปถึงเรื่องราวเมื่อกว่าครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ไอ้เขาก็ปลงแล้วว่าเด็กคนนี้คงสายตาสั้นถาวร ไม่มีทางรับรู้เสน่ห์ของเขา หรือเขินอายที่ได้ใกล้ชิดด้วยเป็นแน่ แต่ใครจะเชื่อเล่าว่าเพียงแค่พูดว่าเก่งเรื่องบนเตียง จะทำให้คนที่รับมือได้ทุกสถานการณ์หน้าแดงแปร๊ด ทำตาโต เลิ่กลั่กพูดไม่ออก ดูไร้เดียงสาเสียจนแกล้งต่อไม่ลง

ชายหนุ่มยอมรับว่าเอ็นดู

ไม่ใช่ว่าเด็กแบบอื่นเขาไม่เอ็นดูนะ ถึงจะเอาแต่ใจแบบนี้ แต่ฟรอสเองเนี่ยล่ะที่ช่วยพี่ชายและพี่สะใภ้เลี้ยงหลานเองกับมือ อาจจะเพราะตัวเขาอายุน้อยกว่าพี่ชายกว่ารอบ อายุก็เลยใกล้กับพวกหลานๆ มากกว่า อย่างพระพายหลานคนโตก็อายุห่างกันแค่สิบสามปี เพราเพลิงก็ห่างกันสิบแปดปี ส่วนคนเล็กอย่างพรายพรรณโน่นน่ะถึงห่างกันยี่สิบปี มันก็เลยช่วยไม่ได้ที่เป็นคนรักเด็กไปโดยปริยาย

ตอนที่พระพายเกิด ไอ้ตอนแรกเขาก็คิดว่าไม่มีทางหลงหลานหรอก แต่พอเจอหลานมองตาแป๋ว ยื่นมือมาจับนิ้วแน่น เด็กชายวัยสิบสามก็ยอมพ่ายแพ้เจ้าเด็กพวกนี้จริงๆ ยิ่งกับเพลิงที่เป็นเด็กขี้อ้อนแสนอ้อนด้วยแล้ว นายพัทธ์ธีระถึงกับลั่นวาจาว่าไม่ว่าอะไรก็จะหามาให้หลานให้จงได้

หากหลานชายหลานสาวเขาไม่มีใครเหมือนเพราพนาสักคน

ตอนเด็กเจ้าพายก็น่าเอ็นดูล่ะนะ แต่ยิ่งโตยิ่งแก่แดด พอโตเป็นวัยรุ่นยังมาขอให้เขาพาไปขึ้นครูอีก จำได้เลยว่าพอพี่สะใภ้จับได้ ทั้งเขาทั้งมันต้องไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอยู่เป็นชั่วโมง แต่มีเหรอที่จะห้ามเจ้าพายหลานในไส้ของเขาได้ เพราะหลังจากนั้น...ออกลาย

เจ้าพายล่าเหยื่อชนิดที่เรียกว่าเอาหมดจะชายหรือหญิง ขอแค่มันถูกใจก็พอ

โอเค คนแรกก็ถือซะว่าพลาดไปแล้ว เพราะตามใจมากไป

หากคนที่สองมันล้ำกว่านั้นมาก รายนี้ไม่มีการขอให้ช่วยพาไปขึ้นครู แต่เจ้าเพลิงเล่นไปนอนกับเพื่อนเจ้าพระพายก่อนแล้วค่อยมารายงานเขาว่า...เสียซิงแล้วครับอา อืม ถ้าจำไม่ผิดก็บอกด้วยความภาคภูมิใจด้วยนะ

พอมาคนที่สามก็ถูกพี่สะใภ้คาดโทษเอาไว้ เลยว่าจะใจแข็งไม่ตามใจให้เสียเด็ก แถมยังเบาใจว่าเป็นสาวเป็นนาง ถูกมารดาส่งเข้าเรียนโรงเรียนหญิงล้วนเพราะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แต่ที่ไหนได้ จะโรงเรียนหญิงล้วนมันก็ฟาดเรียบไปครึ่งชั้นปี

เขาน่ะจนมุมโดนพี่ด่าตั้งแต่คนที่สองแล้วล่ะ พอครบสามคน ฟรอสก็ไร้ข้อแก้ตัวอย่างสิ้นเชิง ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ทั้งสามคนมันแรงเอาเรื่องเพราะเจริญลอยตามเขาเห็นๆ ทำไงได้ ตอนเจ้าคนโตเริ่มรู้ความ เขาก็เริ่มเที่ยว พอเจ้าคนที่สองเริ่มรู้เรื่อง เขาก็พาหนุ่มพาสาวเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้า ส่วนคนที่สาม...ถูกพี่ชายทั้งสองคนสอนอีกที

แล้วเจ้าหลานรักทั้งสามคนว่าไงรู้มั้ยตอนถูกแม่ด่า...ก็แม่ให้อาฟรอสเลี้ยง

ทุกวันนี้เวลาพี่สะใภ้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขางี้เสียวสันหลังวาบ

ทั้งหมดทั้งมวลคือจะบอกว่าขนาดเจ้าหลานทั้งสามคนนิสัยแบบนี้ เอาแต่ใจแถมดื้อสะบัด ฟรอสยังทั้งรักทั้งเอ็นดู แล้วยิ่งมาเจอกับเด็กใสซื่อในยุคสมัยแบบนี้ ต่อมคุณอาหลงหลานก็เต้นตุบๆ เลยเชียว

หากอดสงสัยไม่ได้ว่าเพ้นท์มาเป็นเพื่อนสนิทกับหลานชายเขาได้ยังไง

อ้อ รหัสนักศึกษาติดกันนี่นะ หรือไม่...เพลิงก็ถูกชะตาเด็กคนนี้เหมือนที่เขารู้สึกตอนนี้

เด็กอะไร หน้าตาก็ดี อายุก็ถึงวัย แต่แค่พูดเรื่องบนเตียงนิดหน่อยนี่หน้าแดงแปร๊ดได้ขนาดนี้ ไหนจะ...

อาดีใจสิไม่ว่า

พอเขาหย่อนเรื่องหย่าออกไปนิดหน่อย เด็กน้อยก็หน้าสลด ดูเป็นห่วงเป็นใยจิตใจคนเป็นหม้ายจนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาหลายที แต่ก็ไม่แก้ข้อเข้าใจผิดว่าที่บอกว่าพักกายน่ะคือการได้สัมผัสความรู้สึกที่กลับมาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เต็มตัวอีกครั้ง ส่วนพักใจ...ก็ที่ปวดหัวกับชีวิตคู่มาหลายปีต่างหาก

ช่วงนี้ฟรอสหยุดพักก็จริง แต่ไม่หยุดแบบอยู่นิ่ง เขาพักก่อนเริ่มโปรเจคต์ใหม่ ช่วงนี้จึงเตรียมตัวหาข้อมูลอะไรหลายๆ อย่าง อย่างว่าล่ะ ชายหนุ่มไม่ได้มีเงินเก็บมากมายไว้คอยถลุงเล่นอย่างที่เมียเก่าคิด ซึ่งการหยุดพักครั้งนี้มันผ่อนคลายกว่าที่คิดไว้ตอนแรกมาก

หรือจะแก่แล้วจริงๆ

พอมีเด็กๆ วัยกำลังน่ารักมาอยู่ในบ้านแล้วรู้สึกว่าบรรยากาศมันสดใส

“เย็นนี้อาฟรอสอยากทานอะไรครับ”

ฟรอสหันเหความสนใจไปยังเด็กที่ว่าน่าเอ็นดู แล้วพบกับรอยยิ้มกับคำถามแสนกระตือรือร้น

“อาว่าเพ้นท์น่าไปเรียนเป็นเชฟมากกว่ามาเรียนสายนี้นะ”

ร่างสูงคุยเรื่องหนังกับเพ้นท์บ้าง วิเคราะห์ตามประสาคนที่เรียนสายนี้มา แต่เชื่อเถอะว่าเด็กน้อยไม่ตาพราวเท่าตอนที่ถามเขาว่าอยากกินอะไร

“ผมแค่ชอบทำกับข้าวเฉยๆ” อีกฝ่ายหุบยิ้มลง เถียงเสียงเบา

“งั้นอาถามหน่อย ถ้ามีหนังที่อยากดูมากๆ ฉายในช่วงเวลาเดียวกับที่ต้องทำกับข้าวให้คนทั้งบ้าน เอาแบบที่ฉายรอบเดียว ไม่มีรีรัน ดูออนไลน์ไม่ได้ โลกนี้ไม่มีเทคโนโลยีการอัด เพ้นท์จะเลือกอะไร”

ฟรอสถามยิ้มๆ เท้าแขนกับโต๊ะกินข้าว มองหน้าเด็กที่ดูอ้ำอึ้งทั้งที่เขาเดาคำตอบได้อยู่แล้ว

“ผม...ผมเลือก...” เพ้นท์อ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ๆ ผิดกับคนถามที่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ

คำตอบมันออกมาบนหน้าแล้ว

“ผม...ผมไม่เลือก เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ยังไงโลกนี้ก็ดูย้อนหลังได้นี่ครับอา” คนฟังหัวเราะอย่างชอบใจ ไม่ยอมปล่อยคนที่ดูโล่งอกกับคำตอบตัวเอง

“งั้นแปลว่าเพ้นท์จะเลือกทำกับข้าว แล้วดูรีรันย้อนหลัง”

เด็กน้อยหน้ามุ่ยไปแล้ว เริ่มกัดปากซึ่งฟรอสตีความว่าเริ่มงอแง

“ดูย้อนหลังก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

ฟรอสหัวเราะอย่างขบขัน แบบที่เพื่อนหลานรีบย้อนถาม

“แล้วอาล่ะครับ”

“รู้คำตอบอยู่แล้วนี่”

“หนังกับครอบครัว ยังไงก็ต้องครอบครัวสิ” เพ้นท์เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ขณะที่คนฟังลดเสียงหัวเราะเหลือเพียงรอยยิ้มกว้าง แล้วตอบคำถามนี้อย่างไม่ลังเล

“สำหรับอา...อาจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับสิ่งที่อาสนใจ”

“...”

ร่างสูงยังคงยิ้ม มองตาเพ้นท์ที่ตาโตขึ้นมาหน่อย คาดได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะจับอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเขาได้ เพราะใช่ คำตอบนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับหนังหรือกับข้าวอะไรนั่นแล้ว แต่เผลอตอบความในใจออกไปโดยที่ไม่ยั้งคิดต่างหาก

เวลาที่พัทธ์ธีระสนใจอะไร หรือ ‘ใคร’ ผู้ชายคนนี้ยอมทิ้งทุกอย่าง และมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้

เพราะแบบนี้ไงถึงเคยเจ็บเจียนตาย

ฟรอสคิดขำๆ มองเด็กน้อยที่เม้มปากแน่นกว่าเดิม ต้องยอมรับนะว่าถึงจะไร้เดียงสา แต่เพ้นท์เซนส์แรง อาจจะเพราะเป็นพี่คนโตที่ดูแลน้องสองคนก็ได้ล่ะมั้ง เจ้าตัวเลยค่อนข้างไวต่อความรู้สึก

ส่วนจะแปลงสารถูกหรือผิดนั่นอีกเรื่องนึง

“เอ่อ...”

ท่าทางจะทำให้เด็กมันอึดอัด

ชายหนุ่มว่าจะเปลี่ยนเรื่อง แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากพูด โทรศัพท์ที่วางอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ดังมาถึงนี่ จนได้แต่ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน แต่ไม่ได้ไปหาที่มาของเสียง หากเดินไปหาคนที่ยังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ อดไม่ได้ที่จะวางมือลงบนหัวทุย โยกเบาๆ

“อาก็พูดไปเรื่อยตามประสาคนแก่ ไม่ต้องคิดมากให้รกสมอง”

ว่าจบก็เดินไปหาโทรศัพท์ บอกตัวเองว่าที่ไปทำแบบนั้นก็เพราะติดนิสัยไม่ชอบให้หลานมาคอยกังวลเรื่องของเขา ทั้งที่...ติดใจการลูบหัวเด็กคนนี้น่าดู

ผมนุ่มนิ่มดีจริง หนหน้าลองสางเล่นดีกว่า

 

“ว่าไงพรรณ วันนี้มีเรื่องไหนจะรายงานอา”

พอคว้าที่มาของต้นกำเนิดเสียง ฟรอสก็กดรับสาย เดินออกมาทางประตูระเบียง ทักทายหลานสาวคนเล็กที่เดี๋ยวนี้โทรหาเขามากกว่าใคร ก็เจ้าหลานชายทั้งสองคนเจอตัวจริงแล้วนี่นะ

[อาฟรอส!!!]

พรายพรรณแฝดเสียงดังจนต้องดึงโทรศัพท์ให้ห่างหู

“เป็นอะไร ใจเย็นๆ ไหนเล่าให้อาฟังสิว่าใครทำให้โกรธ” คนทางนี้ว่าอย่างใจเย็น เสียงนุ่ม และปลอบโยน

[โว้ย พรรณโกรธจนลมออกหูแล้วเนี่ย โกรธจนอยากฆ่าคน!]

สาวน้อยที่ใครๆ มองว่าเป็นสาวเท่เกินหญิงงอแงจนอาหนุ่มหัวเราะ หากเสียงหัวเราะก็เปลี่ยนเป็นอาการชะงัก

[อาจูนเพิ่งกลับไปเมื่อกี้! เขามาเจอแม่ แล้วพรรณจะไม่โกรธขนาดนี้เลยถ้าไม่มาพูดว่าร้ายอาให้แม่ฟัง ต้องการอะไรวะ ถามจริงว่าต้องการอะไร จิตว่างนักเหรอ นึกว่าคนบ้านนี้เป็นควายไม่มีสมองหรือไงถึงจะเชื่อเรื่องบ้าๆ นั่น บ้าเอ๊ย มองตาก็รู้ไปยังไส้ติ่งแล้วว่าอยากได้ค่าทำขวัญเพิ่ม พอเอากับอาไม่ได้ก็มาเอาทางนี้ แม่พรรณนี่ปรี๊ดแตก ชี้นิ้วไล่ออกจากบ้านไปเลย แต่ผู้ดีไปอะอา น่าจะด่าให้ยับ เอาให้ไม่มีหน้าโผล่มาบ้านหลังนี้อีกเลย!]

หลานสาวมาเป็นชุด ส่วนคนทางนี้หน้าเครียดไปแล้ว

“เขากลับไปแล้วใช่มั้ย”

[ลองไม่กลับสิ พรรณจะเอาน้ำสาดไล่!]

แม้ว่าภายนอกชายหนุ่มจะยังนิ่ง แต่ภายในเขาโกรธแทบคลั่ง ดวงตาลุกวาว ผู้หญิงคนนั้นไม่กล้ากับเขา แต่ไม่ใช่กับแม่ของสามพี่น้อง เพราะทางนั้นเป็นคนใจดี ที่ผ่านมาก็หน้าแก่หน้าน้องสามีคนนี้เลยไม่พูดอะไรมาก หากเวลานี้มันทำให้ฟรอสรู้สึกผิดที่เรื่องของเขาสร้างความเดือดร้อนให้กับทางนั้น

โกรธจนนึกอยากเล่นงานเมียเก่าแทนที่จะให้เงินเพื่อจบๆ กันไป

“อาฝากพรรณไปขอโทษแม่เราด้วยนะ”

[แม่ไม่โกรธอาฟรอสหรอก อาก็รู้ว่าแม่รักอาจะตาย ทุกทีแม่โกรธซะที่ไหน พอว่าอาเท่านั้นแหละ ตางี้ลุกเป็นไฟเลยอา อารมณ์ว่าน้องข้าใครอย่าแตะ] พรายพรรณรายงานด้วยอารมณ์ที่ยังกรุ่นเต็มที่ ซึ่งคนทางนี้ก็ผ่อนคลายลงกว่าเดิมนิด

ตอนที่พี่ชายเขาแต่งงาน ฟรอสอายุแค่แปดเก้าขวบ พี่อรหรือแม่ของเจ้าสามคนนี้เลยมักจะมองว่าเขาเป็นลูกชายคนโตมากกว่าที่จะเป็นน้องชายของสามี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น้องคนนี้จะทำให้พี่ที่แสนดีต้องมาอารมณ์เสียไปด้วย

“ทีหลังถ้ามาอีกก็ไม่ต้องให้เข้าบ้าน บอกเขาว่าถ้าต้องการอะไรมาคุยกับอาเอง”

[โธ่ กล้าที่ไหนล่ะอา อามองปราดเดียวก็หัวหดแล้ว]

ฟรอสคุยกับหลานสาวอีกหลายนาที ฝากให้ช่วยดูให้หน่อย แล้วเดี๋ยววันไหนจะเข้าไปขอโทษพี่สะใภ้ด้วยตัวเอง จากนั้นก็วางสาย ยืนระงับอารมณ์อยู่พักใหญ่

ร่างสูงเกือบจะโทรหาเมียเก่าแล้ว แต่ก็ปัดความคิดนั้นออกไป ในเมื่อไม่กล้ามา เขาเองก็ไม่อยากคุยด้วยเหมือนกัน แต่ที่ยืนอยู่ตรงนี้เพราะอารมณ์ยังกรุ่นเกินกว่าที่จะไปให้เด็กอีกคนเห็นหน้า

เขาไม่คิดจะให้ใครกังวลไปด้วย

“บ้าเอ๊ย!”

หลังจากยืนสูดอากาศอยู่หลายนาที ก็ดันนึกถึงแต่เรื่องไม่น่าจำ แต่สุดท้ายก็ปรับสีหน้าแล้วเดินกลับเข้าบ้าน ซึ่งนายกำนัลของเขาไม่ได้อยู่ในห้องครัวแล้ว หากกำลังนั่งรอคำตอบที่ว่าอยากกินอะไรอยู่ในห้องรับแขก ตาก็จับจ้องโทรทัศน์ไปด้วย ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าอารมณ์ที่กรุ่นๆ ดับวูบลงทันที

“หนังเรื่องนี้ดีนะครับ”

เด็กบางคนเอาเรื่องที่เขาพูดไปคิดเป็นจริงเป็นจังจนมานั่งเปิดหนังดูแบบนี้

ฟรอสบอกตั้งแต่วันที่สองแล้วว่าถ้าจะใช้อะไรในบ้านหลังนี้ก็ใช้เลย แต่นานๆ ครั้งที่เด็กน้อยจะเปิดทีวีดู ส่วนใหญ่เพราะรอของที่ต้มที่ตุ๋นอยู่ได้ที่เลยดูฆ่าเวลา แต่นี่มาเปิดดูกันโต้งๆ ราวกับจะบอกว่าผมเรียนถูกสายนะ

คำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น แต่มันทำให้คนมองยิ้ม

ทุกอย่างที่รู้สึกตอนคุยกับหลานสาวถูกคำแก้ตัวข้างๆ คูๆ ทำลายทิ้งเสียสิ้น

“เออ เพ้นท์เป็นนายกำนัลของอานี่นะ”

ทันใดนั้น คนตัวโตก็ว่าเสียงขบขัน มองคนที่ชะงักไปกับคำถามเขา แล้วดักคอพูดเสียงดัง

“ไม่เอาเมนูหน่อไม้นะอา”

ฟรอสหัวเราะเสียงดังลั่น

เออ น่าเอ็นดูจริงวุ้ย

สงสัยว่าเขาเอาเรื่องหน่อไม้มาขยี้เล่นบ่อยไปหน่อย เด็กมันถึงรีบห้าม จนส่ายหน้าช้าๆ เดินไปอีกฝั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน แล้ว...

ตุบ!

“อาฟรอสครับ”

ร่างสูงใหญ่ก็เอนตัวไปทิ้งหัวลงบนตักเด็กดังตุบ เหลือบขึ้นมองหน้าคนที่ตาโตอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นก็บอกด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ

“เป็นนายกำนัลของอาก็ต้องทำตามที่อาสั่ง ตอนนี้อากำลังปวดใจที่ไม่ได้กินหน่อไม้ เพ้นท์ก็ต้องช่วยอาด้วยการเป็นหมอนหนุนซะดีๆ” ว่าแล้วก็หามุมสบายให้ตัวเอง สองมือยกขึ้นกอดอก ตามองไปยังภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทางช่องเอามาฉายซ้ำ แถมมีหน้าไปตบหัวเข่าเจ้าของตัก

“อย่าขยับมากล่ะ อาปวดหัวง่าย”

“ผมมีหน้าที่แค่มาทำกับข้าวให้อากินนะ ไม่ใช่มาเป็นหมอน”

ฟรอสตวัดตาไปมองหน้าอีกที ชินชาแล้วล่ะที่จะมีเด็กสายตาสั้นไม่รู้สึกอะไรกับเขา แต่พอเห็นเต็มๆ ตาว่าเพ้นท์กำลังทำหน้าเหมือนต่อรองกับญาติผู้ใหญ่เรื่องมาก เขาก็ยิ่งไม่มีความคิดจะลุกขึ้น

สบายใจดีว่ะ

“เพ้นท์โชคดีนะที่อานอนหนุนตัก เมื่อก่อนใครๆ ก็อยากให้อานอนหนุน”

“ผมล่ะไม่แปลกใจเลยที่ไอ้เพลิงโตมาแล้วมั่นหน้า” คนมองยิ่งชอบใจสีหน้าหน่ายๆ ของเด็กน้อย

“นี่กำลังว่าอาน่าหมั่นไส้ใช่มั้ย”

ฟรอสย้อนขำๆ มองคนที่ขยับตัวยุกยิกหน่อย

“ผมเปล่า แล้วหัวอาก็หนักด้วย”

พอเด็กมันว่า ฟรอสก็ยกหัวขึ้นนิด แล้วจงใจกระแทกตักหลายที

“นายกำนัลคนนี้ใช้ไม่ได้เลย เถียงเก่งไม่พอ ยังทำอาหารเยอะเกินให้อาอิ่มจนจุก ปวดท้องเลยเห็นมั้ยเนี่ย” เขาว่าอีกฝ่ายก็ตั้งใจจะชักขาหนีตอนเขายกหัวขึ้นหรอกนะ แต่พอบอกว่าปวดท้องเพราะกินมากไปก็ยอมนั่งเฉยๆ ก้มหน้ามามองอย่างเป็นห่วง

ฟรอสมั่นใจว่าไม่ใช่เด็กมันซื่อที่เชื่อคำพูดเขา ต้องบอกว่าเขาแนบเนียนจนถูกจับไม่ได้มากกว่า

“อาเอายามั้ย แล้วผมก็ไม่ได้บังคับให้อากินไปด้วย กินเข้าไปได้ยังไง ข้าวตั้งสองจานพูนๆ” เพ้นท์แอบแก้ตัว แบบที่คนฟังไม่ตอบคำ แค่ยกมือกอดอก ขดขาที่เลยโซฟาเข้ามา ตามองภาพบนจอ ทั้งที่เนื้อหาไม่เข้าหัว เพราะนึกไปถึงกระเพราเนื้อน้ำมันหอยจานนั้นที่ถูกปากสุดๆ

เขาว่าข้าวสองจานยังน้อยเกินไปเลย เพราะฟรอสไม่เคยอ้วน ต่อให้กินเยอะแค่ไหนเขาก็ไม่เคยอ้วนเลยสักครั้งในชีวิต ถึงจะไม่เข้ายิมก็แค่กล้ามหด แต่ไม่ได้อ้วนขึ้น จนเจ้าคนกลางยังบ่นอิจฉาอยู่บ่อยๆ

“ไม่กิน นอนสักพักเดี๋ยวก็หาย”

ตักเด็กนิสัยน่ารักมันทำให้ความหงุดหงิดก่อนหน้านี้มลายหายวับไป

สุดท้ายเด็กมันก็ยอมแพ้เหมือนทุกครั้ง

“อายังไม่บอกผมเลยว่าอยากกินอะไรเป็นมื้อเย็น”

“อิ่มๆ แบบนี้คิดไม่ออกหรอก เอาไว้หนังจบแล้วค่อยคิด”

นี่มันเพิ่มเริ่มเรื่อง อีกสักสองชั่วโมงก็ย่อยให้กระเพาะมันบอกว่าอยากกินอะไรต่อ ซึ่งเพ้นท์ไปลงมือทำเอาไว้ให้ก็เสร็จไม่เกินบ่ายสาม มีเวลาให้เด็กมันกลับบ้านก่อนฟ้ามืดถมเถ

ทุกวันนี้เพ้นท์ก็ไม่เคยออกจากบ้านนี้หลังสี่โมงด้วย ส่วนเข้างานก็ขอแค่ก่อนเที่ยง

“กินอิ่มแบบนี้เดี๋ยวอาก็หลับ”

“หลับก็ปลุกแล้วกัน” อาหนุ่มว่าเสียงขบขัน ไม่อธิบายเพิ่มว่าไม่มีทางหรอก

ทุกวันนี้เขาเป็นโรคนอนไม่หลับ ไปหาหมอก็บอกว่าเพราะความเครียด คาดการณ์ไม่ยากว่าเพราะใคร แต่ถึงจะหย่าแล้ว เขาก็ยังต้องพึ่งยาอยู่ดี ก่อนหน้านี้ที่เพ้นท์มาเจอเที่ยงแล้วไม่ตื่นก็เพราะพยายามนอนเองแต่ไม่หลับ พอพึ่งยาก็หลับยาว ดังนั้น แค่กินข้าวอิ่มไม่มีทางทำให้เขาหลับลงหรอก

“ผมไม่กล้าปลุกหรอก หนก่อนที่ไปกระชากผ้าห่มอายังรู้สึกผิดไม่หาย”

คนฟังยิ่งอารมณ์ดี ไม่คิดว่าพอมีคนมาปรนนิบัติแบบนี้แล้วจะชอบใจ

ถ้าจูนนิสัยดีได้สักครึ่งหนึ่งของเด็กคนนี้ก็คงไม่ต้องหย่าหรอก

ฟรอสบอกตัวเอง ตาจ้องหน้าจอ ชอบใจความอุ่นของผิวเนื้อที่ทะลุผ่านกางเกงมากระทบกับผิวแก้มของเขา

ชายหนุ่มถามตัวเองว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสไออุ่นจากเนื้อตัวคน ดังนั้น...

“วางมือตรงนี้”

อดีตพระเอกคว้ามือเด็กมาวางที่ต้นแขนตัวเอง สัมผัสความอุ่นที่ไม่มีเนื้อผ้ากางกั้นอย่างชอบใจ

“ให้ผมลูบแขน ตบตูดนอนเลยมั้ยครับ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถ้ากล้าอาก็ไม่ถือนะ”

รู้หรอกว่าเด็กมันถามแก้ประหม่า แต่การที่เพ้นท์เผลอลูบต้นแขนเขาขึ้นลงอย่างไม่รู้จะวางมือตรงนี้ดีมั้ยก็ทำให้รู้สึกดี นอกจากนั้น...

ตัวหอมดี

ตัวเพ้นท์ยังมีกลิ่นหอมจางๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอาหารผสมกับกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือเปล่า แต่ทำให้คนได้กลิ่นผ่อนคลายเหมือนมีใครจุดน้ำมันหอมระเหยในห้อง ขณะที่เปลือกตาก็หนักมากขึ้นเรื่อยๆ

นั่นเป็นความคิดกสุดท้ายของคนที่บอกว่าเป็นโรคนอนไม่หลับที่...ผล็อยหลับคาตักเด็กไปอย่างไม่น่าเชื่อ


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น