4

ตอนที่ 4 คนนอนไม่หลับ



ตอนที่ 4 คนนอนไม่หลับ?

ภายในห้องนั่งเล่นที่มีเสียงของภาพยนตร์ดังกระหึ่มจากสเตอริโอแพงระยับ นายเพราพนาได้แต่นั่งแข็งทื่ออยู่พักใหญ่ที่มีคนนอนหนุนตัก กว่าที่จะเริ่มผ่อนคลายลงทีละน้อย และเปลี่ยนเป็นพิงโซฟาอย่างผ่อนคลายในที่สุด

เพ้นท์อาจจะรู้สึกสนิทใจกับอาฟรอสอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีทางนับรวมการนอนหนุนตักไปด้วยแน่

เขาอยากจะต่อรองขอให้อาลุกขึ้นก็หลายที แต่จนแล้วจนรอดก็พูดไม่ออก

ตอนที่อาเดินกลับเข้ามาในห้อง อาดูเครียดๆ ไม่รู้ว่าเพราะโทรศัพท์สายนั้นหรือเปล่า จนความรู้สึกที่อยากช่วยอะไรอาบ้างสักนิดหน่อยก็ยังดีผุดขึ้นในใจ ซึ่งคงไม่มีใครคาดคิดแน่ว่าที่เพ้นท์ยอมนอนนิ่งๆ ให้หนุนเพราะดันนึกไปถึงเวลาน้องชายน้องสาวฝาแฝดอ้อนเสียอย่างนั้น

งานนี้เรียกว่าเอาฟรอส พัทธ์ธีระไปเทียบกับเด็กม.ปลายเลยเชียวล่ะ

แม้ว่าน้องทั้งสองจะโตขึ้นมากแล้ว แต่อาจจะเพราะติดเป็นนิสัยว่าคนหนึ่งได้ อีกคนก็ต้องได้ด้วย พอ ‘ภาพ’ น้องสาวเขาชอบมานอนหนุนตักเวลาดูหนังด้วยกัน ‘รูป’ น้องชายที่แม้จะโตเป็นหนุ่มแล้วก็จะมาแย่งนอนบ้าง บอกว่าภาพได้ ตัวเองก็ต้องได้ด้วย

แบบนั้นล่ะมั้งที่ทำให้เพ้นท์ยอมนั่งนิ่งๆ ให้อานอนหนุนแต่โดยดี

แรกๆ ก็ยังเกร็งตัวแข็งเป็นหินที่มีผู้ชายตัวโตเป็นยักษ์กล้ามแน่นมานอนตัก แต่พอผ่านไปสักพัก ความเคยชินที่เคยเป็นหมอนหนุนมาก่อนก็ทำให้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ยิ่งคิดซะว่านี่คือไอ้เพลิง คืออาไอ้เพลิง คิดซะว่าคนคนเดียวกัน มันก็ผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ สายตาก็กลับไปสนใจหน้าจออีกครั้ง

กระทั่งผ่านไปครึ่งเรื่อง เพราพนาถึงสัมผัสได้ว่าคนที่นึกว่าหลับตาพักสายตาเฉยๆ...หลับจริง

หลับสนิทด้วย

นี่ขนาดว่าในหนังบู๊สนั่น เสียงระเบิดดังตูมๆ ก็ไม่มีท่าทีจะขยับตัว มีแค่แผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอว่าหลับสนิท กับสองมือที่กอดอกแน่นขึ้นเพราะหนาวลมเครื่องปรับอากาศ จนช่วยลูบต้นแขนล่ำๆ ให้ความอบอุ่นเพิ่มเติม

“อาครับ”

“...”

“อาหลับแล้วเหรอครับ”

“...”

เพ้นท์ถามอีกหลายคำถามก็ยังไร้ซึ่งคำตอบ จนชะโงกหน้าไปดูคนที่นอนตะแคงข้างไปทางจอโทรทัศน์ สังเกตเห็นสันจมูกที่โด่งจนน่าอิจฉา แล้ว...เอื้อมมือไปแตะ

“อาหลับจริงอะ”

แม้จะแตะจมูกก็แล้ว ทำใจกล้าบีบเบาๆ ก็แล้ว อาฟรอสก็ไม่มีท่าทีจะรู้สึกตัว จนยิ้มออกมา

อานี่เหมือนไอ้เพลิงจริงๆ

อาฟรอสทำให้เขารู้สึกเอ็นดูเหมือนไอ้เพลิงเลย

แม้เพื่อนสนิทจะเป็นคนแรดที่เคยถือคติว่าได้หมดถ้าสดชื่น เคยเปลี่ยนคู่นอนไม่ว่างเว้น แต่เพราะเนื้อแท้มันเป็นคนน่ารัก เป็นคนขี้อ้อนที่รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ชอบทำตัวน่าเอ็นดูจนใครก็เกลียดมันไม่ลง แถมยังเป็นคนรักเพื่อน ถ้ามันนับใครเป็นเพื่อนมัน มันจะสู้แทนชนิดยิบตา ซึ่งถึงเพ้นท์จะทำเหมือนว่ามารยามันไม่มีผลกับตัวเขา แต่สุดท้ายก็ใจอ่อนยอมตามใจมันบ่อยๆ

ส่วนอาฟรอส...อาเป็นผู้ใหญ่ที่มีพร้อมทุกอย่าง เป็นผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่กลับทำให้เขายิ้มกว้างยามมองตอนหลับ

เพ้นท์ไม่มีความคิดจะปลุกอา ก็เหมือนที่พูดตอนแรก แต่ตอนนี้เขามีความคิดอยากสำรวจอาของเพื่อนชัดๆ เพิ่มเติม

อาฟรอสเป็นผู้ชายตัวใหญ่ ที่แน่ๆ คือใหญ่กว่าเพ้นท์ที่ถือว่าสูงพอสมควร แค่อาลูบหัวทีรู้สึกได้ว่าตัวเขาเล็กจ้อย แม้อาจะชอบพูดว่าแก่แล้ว แต่ใบหน้าของอาไม่ได้บอกเลยว่าคนคนนี้เฉียดสี่สิบเข้าไปทุกที ผิวพรรณของอาอ่อนเยาว์ แต่ไม่ได้ทำให้ดูอ่อนประสบการณ์ รูปร่างของอาไม่ได้ถดถอย และอาก็ไหล่กว้างชนิดที่ต้องนอนเอียงเพื่อที่จะหนุนขาเขาได้ เผยต้นคออีกด้านจนเลื่อนมือไปจิ้มเล่น

เขาชักกลัวอาตื่นมาพร้อมอาการปวดคอ เห็นทีตักเพ้นท์ต้องสูงกว่านี้ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นหมอนหนุนที่ดีสำหรับอาฟรอส

ส่วนใบหน้าของอา...ไม่รู้สิ

ชายหนุ่มจับจ้องอย่างสำรวจ ไม่เถียงว่าอาหน้าตาดี เพราะเครื่องหน้าของอาครบทุกอย่าง โดยเฉพาะดวงตาที่เรียกได้ว่าโคตรคม ทั้งลึกทั้งเข้ม แต่ที่เขายังไม่รู้สึกว่าอาหล่ออาจจะเพราะสมองจดจำการเจอกันครั้งแรกล่ะมั้ง ยิ่งกับกับฐานะที่ตั้งไว้ให้เป็น ‘ญาติผู้ใหญ่ของเพื่อน’ เพ้นท์จึงมองผู้ชายคนนี้ในฐานะอา ไม่ใช่ผู้ชายคนหนึ่ง

หรือไม่...หัวใจก็ยึดติดมากเกินไปจนไม่รู้สึกอะไรกับคนอื่นก็ได้

คนที่กำลังสนุกสนานกับการสำรวจหน้าตาอาเพื่อนสลดลงทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ เผลอถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก มือที่ลูบต้นคอ (ของผู้ชายที่เคยติดอันดับหนุ่มในฝันของสาวๆ) เหมือนเป็นแค่ตุ๊กตาตัวใหญ่ธรรมดา ก็ละออกมาวางที่ต้นแขนแข็งแกร่งอีกครั้ง ลูบให้คนที่บอกว่าชอบอากาศเย็น แต่พอไม่มีผ้าห่มแล้วกอดอกแน่น เงยหน้ากลับไปสนใจภาพบนหน้าจออีกครั้ง

จวบจน...

“ไม่ไหวแล้ว”

เปล่าปวดฉี่ เปล่ารำคาญ แต่...เหน็บกิน!

เพราพนาหน้าแหยเก เพราะขาข้างที่อาฟรอสหนุนชาจนไร้ความรู้สึก กระดิกปลายเท้ายังไม่รู้เลยว่ามันทำตามคำสั่งหรือเปล่า จนก้มหน้าลงอีกครั้ง ซึ่งอาฟรอสนี่หลับตาพริ้ม นอนอย่างสบายอารมณ์เสียจนคนมองก็ทำใจร้ายปลุกขึ้นมาไม่ได้

“ขอโทษนะครับอา”

พอยกมือไหว้คนหลับไปทีก็ออกแรงยกหัวขึ้นเพื่อดึงขาออก แล้วใช้มือข้างหนึ่งไปคว้าหมอนอิงจะเอามาหนุนให้แทน แต่เพราะมันอยู่เกือบสุดปลายเท้าเจ้าของบ้านเลยเอื้อมสุดมือทั้งที่ยกหัวอาค้างเอาไว้ สัมผัสได้ถึงความร้อนวูบยามที่เลือดกลับมาไหลเวียนได้สะดวกอีกครั้ง เท้าปวดแปลบ

หมับ!

“โอ๊ย!”

ทันใดนั้นเอง คนหลับสนิทก็พลิกตัวจนศีรษะเลื่อนหลุดจากมือของเพ้นท์ที่ประคองเอาไว้ หล่นตุบลงมาบนต้นขาที่เลือดกำลังไหลเวียนสะดวก ส่งผลให้เพ้นท์ตัวกระตุก รู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วขา โดยเฉพาะจุดที่หัวของอากระแทกตักที่ชาหนึบไปเต็มๆ

เท่านั้นไม่พอ อาฟรอสที่พลิกตัวเอาหน้าเข้าหาพุงเด็กก็วาดมือทั้งสองข้างมาโอบรอบเอวเพ้นท์ ขยับหามุมสบายพักหนึ่งก็กลับไปนอนนิ่งตามเดิม ผิดกับคนโดนกอดเพราะ...อ้าปากค้างไปแล้ว

ไม่ใช่แค่หนุนตักแต่นี่กอดเอว!

งานนี้ต่อให้มองว่าเป็นอาเพื่อน แต่พอถูกผู้ชายเต็มตัวที่แท้จริงไม่ใช่น้อง ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ญาติมากอดแน่นๆ เอาหน้าซุกพุง ปลายคางโดนเป้า เพ้นท์ก็ใจเต้นแรง เลือดลมสูบฉีดไปทั้งตัว ความรู้สึกชาที่ขาหายวับเหลือเพียงความตกตะลึงที่ฉายชัดบนใบหน้า

ใช่ อาฟรอสเป็นคนไหล่กว้าง ซึ่งพอคนไหล่กว้างกอดเอวเขาก็มิด แถมแขนยาวๆ ยังเลยมาแตะถึงข้อศอก มันทำให้เพ้นท์รู้สึกอีกครั้งว่าเขากลายเป็นเด็กน้อยตัวเล็กน่ารักอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ความรู้สึกแบบนี้ต่อให้เป็นพี่กัสก็ทำไม่ได้!

ถ้าคนที่กอดเขาเป็นไอ้เพลิง เป็นไอ้แอนเดรีย หรือจะใครก็ตามก็ไม่มีทางสร้างอิมแพคที่รุนแรงขนาดนี้

“อะ...อาฟรอส อาตื่นแล้วใช่มั้ย อย่ามาแกล้งผมหน่อยเลย”

เพ้นท์พยายามตั้งสติ พยายามไม่สนใจอาการหน้าเห่อร้อนที่ไม่รู้เหตุผล ไม่สนใจเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำรุนแรงจากการที่ได้ใกล้ชิด ‘ผู้ชายเต็มตัว’ ซึ่งมีเสน่ห์มหาศาลอย่างที่ตัวเขาสังเกตไม่เห็นตั้งแต่ต้น ปากก็ร้องเรียกอย่างหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อย แต่ไม่เพียงไม่ปล่อย

“แกะไม่ออก!”

หนก่อนที่ไปแย่งผ้าห่มมาก็รู้แล้วว่าอาฟรอสแรงเยอะ สู้ไม่ได้ แต่นี่เล่นกอดแน่น ซุกหน้าเข้าพุงจนลมหายใจอุ่นๆ รินรดห่างจากจุดนั้นไปนิดเดียว ทำเอาเพ้นท์สั่นไปทั้งตัว พยายามแงะก็แล้ว เรียกก็แล้ว แต่อากลับไม่ยอมตื่น จนคิดออกแค่วิธีเดียว...ผลักตกจากโซฟา

หากการกอดแน่นชนิดคีมหนีบแบบนี้ก็คงหน้าทิ่มลงพื้นไปด้วย

“ผมผัดกระเพราให้อากินนะ ไม่ได้วางยา!”

เพ้นท์พูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น แต่ขนาดเปิดหนังเสียงดังลั่นยังไม่ตื่น เสียงของเขาจะไปต่างอะไรจากลมพัด

สิ่งที่ร่างเพรียวทำคือการควักโทรศัพท์จากกระเป๋าฝั่งที่อาไม่ได้นอนหนุนมาเปิดไลน์

...ไอ้เพลิง อามึงเป็นโรคนอนละเมอหรือเปล่า...

เขาพิมพ์ข้อความลงไปอย่างรวดเร็ว แต่...เงียบ

พอเหลือบตามองคนที่ฝังจมูกห่างจากเป้ากางเกงไปหน่อย เพ้นท์ก็ร้อนไปหมดทั้งตัว กดโทรแม่ง

ชายหนุ่มฟังเสียงรอสายอยู่หลายครั้ง หมดหวังจะติดต่อเพื่อนแล้ว แต่...

[วะ...ว่าไงไอ้เพ้นท์]

เขารู้สึกไปเองมั้ยว่าเสียงมันแหบพร่า แถมหอบแปลกๆ

“มึงทำไรอยู่วะ”

[ฮื่อออ ปะ...เปล่า มีอะไร]

คนฟังคิดไปไกล แต่ก็สั่นหัวแรงๆ เขาอาจจะเคยคิดว่ามันหน้าด้านรับสายตอนทำศึกบนเตียง แต่คงไม่ได้ทำจริงหรอกมั้ง แถมสะดุ้งสุดตัว ตอนที่อาฟรอสหายใจออก เอาซะคาร์บอนไดออกไซค์เกือบจะรดโดนหนอนน้อยจนขนลุกซู่

“อามึงเป็นโรคนอนละเมอหรือเปล่า”

เพ้นท์รีบถาม แต่...

[อะไรนะ...อ้ะ...ฮื่อ! พี่สินธุ์...มึงว่าอะไร...]

[น้องเพลิง วาง!]

[ตะ...แต่เรื่องอา...พี่สินธุ์ ฮื่ออออ อะ อ๊าาา!...]

สิ่งที่เพ้นท์ทำคือการเลื่อนโทรศัพท์มาพอดีใบหน้า ไม่ฟังเสียงเพื่อนต่อ และเลื่อนมืออีกข้างมากดตัดสายด้วยสีหน้าว่างเปล่า...เพียงไม่กี่วินาที

“ไอ้เพื่อนเวร! มึงจะรับสายกูทำบ้าอะไรวะ!”

เพราะหลังจากนั้น ใบหน้าก็ร้อนพรึ่บเหมือนมีใครเอาไฟมาสุม คำรามในลำคอแก้อาการอับอายสุดขีด

โอเค เขาอาจจะไม่ค่อยประสาเรื่องแบบนี้ อาจจะยังไม่เคยมีอะไรกับใคร อาจจะเผลอคิดมโนไปไกลตามฉายาหนุ่มซิงที่เพื่อนตั้งให้ แต่มันก็เดาเหตุกาณณ์ของปลายสายได้เป็นฉากเป็นตอน ยิ่งเพื่อนสนิทครวญครางเสียงกระเส่าขนาดนั้น ไม่รวมเรื่องที่ได้ยินเสียงดุดันของพี่สินธุ์อีก แล้วยังเสียงประกอบจังหวะที่เหมือนจะแว่วมาว่า...ปั่บๆ

“กูหูเพี้ยน! ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

เพ้นท์พึมพำ ใช้สองมือปิดหน้า อยากถามพี่สินธุ์เหลือเกินว่าปล่อยให้มันรับสายได้ยังไง

เรื่องพิเรนท์อย่างรับสายตอนทำกิจคงมีแค่ไอ้เพลิงที่ทำจริง แต่พี่สินธุ์เนี่ยสิปล่อยมันรับสายได้ยังไงวะ จนนึกถึงคำบรรยายที่เพื่อนบอกว่าจริงๆ แล้วพี่สินธุ์คนซื่อชื่อเชยน่ะดุมาก ซึ่งวันนี้ก็เชื่อแล้ว เพราะน้ำเสียงใจดีอ่อนโยนมันดุเด็ดเผ็ดมันมาก

หมับ!

“เฮือก! อาอย่ากอด เดี๋ยวตั้ง กูจะบ้าตาย ทั้งอาทั้งหลานจะทำกูบ้าแล้ว”

เพ้นท์สะดุ้งสุดตัว เพราะในหัวกำลังจินตนาการไปแล้วว่าเพื่อนทำอะไรอยู่ จนไม่ใช่แค่ขนแขนที่ลุกซู่ อย่างอื่นก็เริ่มลุกตาม ดังนั้น พอเจออาฟรอสกระชับอ้อมกอด หามุมนอนสบายมากกว่าเดิม หน้าเพ้นท์ก็ยิ่งหาสีเดิมไม่เจอ ไม่กล้าขยับตัว เพราะเกรงว่าอะไรบางอย่างที่ลุกขึ้นครึ่งๆ กลางๆ จะเผลอไปโดนตัวอาแล้วเสือกตื่นขึ้นมาตอนนี้

เวลาที่เราต้องการมักไม่มา แต่เวลาที่เราไม่ต้องการก็มาจัง

หากเปลี่ยนประโยคนี้เป็นเวลาที่อยากให้ตื่นกลับไม่ตื่น แต่เวลาไม่อยากดันตื่นก็ซวยน่ะสิ

งานนี้เพราพนาขอจริงๆ นะ ขอ...โบ้ยความผิดว่าที่เขาเป็นงี้เพราะสองอาหลาน!

“อาฟรอสปล่อยผมสักทีเถอะ ไหว้ล่ะ”

ตอนนี้เพ้นท์ไม่รู้จริงๆ ว่าที่เขาหน้าแดงจนหาสีเดิมไม่เจอเป็นเพราะเรื่องของเพื่อน หรือเพราะ...ถูกกอดแนบแน่น แถมฝังจมูกลงที่เป้ากางเกงเป็นครั้งแรก!

 

ฟรอสไม่ได้แปลกใจชนิดคาดไม่ถึงมานานมากแล้ว

หากครั้งนี้เขาต้องพบกับความรู้สึกนั้นหลังจากที่ตื่นขึ้นมาเจอใบหน้าแดงซ่านของเพื่อนหลานที่นั่งหน้ามุ่ย กอดหมอนอิงแน่น ขึงตามอง จนต้องรวบรวมสติที่กระจัดกระจาย แต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น

“อาหลับไปเหรอ”

“ผมฟาดหัวอาหลับไปมั้ง”

ไปกินรังแตนมาจากไหน

ทุกทีเพ้นท์จะใจเย็น มีความอดทนสูง แกล้งแหย่เท่าไหร่ก็ไม่โกรธ แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่คำตอบประชดประชัน แต่ปลายเสียงยังสะบัดอย่างฟังได้ชัด เรียกคิ้วเข้มให้เลิกขึ้นอย่างแปลกใจสุดขีด ร่างสูงก็ขยับขึ้นมานั่งตัวตรง หมุนคอขับไล่ความเมื่อยขบ ขณะสังเกตว่าคนหน้าแดงก็ทำท่าจะชักขาหนี แต่หน้าเบ้ แล้วสุดท้ายก็นั่งนิ่งแบบเดิม

“อาเผลอหลับไปได้ยังไง”

“ผมจะไปรู้เหรอ ผมไม่ใช่อาฟรอสสักหน่อย”

คำถามนี้เขาถามตัวเองมากกว่า เพราะแสงอาทิตย์ภายนอกอ่อนแสงลงมากแล้ว คาดว่าไม่ถึงชั่วโมงก็คงมืด แปลว่าเขาหลับไปอย่างน้อยก็สี่ชั่วโมง มันก็น่าจะทำให้หมอนหนุนโกรธอยู่หรอก แต่ตัวเขาประหลาดใจมากกว่า

ฟรอสมั่นใจว่าเขาเป็นโรคนอนไม่หลับ และเป็นโรคนี้มาเป็นปี แต่ไม่เคยบอกให้ใครรู้รวมทั้งครอบครัวพี่ชายเพราะไม่อยากให้เป็นห่วง ซึ่งการอยู่กับโรคนี้มาสักพักบอกว่าเขาไม่มีทางเคลิ้มหลับไปง่ายๆ ยิ่งในห้องที่มีเสียงโทรทัศน์ นอนหนุนตักเด็กที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน และในตอนกลางวันที่แสงสว่างจ้า แต่เขาหลับ!

มันเป็นการหลับที่ง่ายที่สุด สนิทที่สุด ไม่มีการสะดุ้งตื่นมากลางคัน และพอตื่นก็กระปรี้กระเปร่าสุดๆ

“แปลก”

“ที่ผมไม่ใช่อาฟรอสเหรอ”

“ถามจริง อาไปทำอะไรเอาไว้ ทำไมทำท่าโกรธอาขนาดนั้น”

ร่างสูงยังคงพูดกับตัวเอง แต่เด็กอีกคนก็ขัดขึ้นมาอีกจนได้ เลยหันไปถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ซึ่งไม่อยากเชื่อว่าเจ้าเด็กที่ยังนั่งเฉยแม้แต่ตอนที่เขาเอาหัวหนุนจะกะพริบตาปริบ แล้วแก้มที่ว่าแดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงขึ้นไปอีกหลายเลเวล ปากขยับแล้วก็เม้มหากันใหม่ เป็นอย่างนี้หลายที ก่อนที่จะพูดเสียงเบา

“เปล่า...ครับ”

โอเค เขาต้องทำเรื่องอะไรไว้แน่

ฟรอสเก็บเรื่องที่เขาเผลอหลับเอาไว้วิเคราะห์ทีหลัง ตอนนี้ขอสนใจเจ้าเด็กใจเย็นที่ดูร้อนรนแปลกๆ ก่อน

“แปลว่าอาทำอะไรไว้จริงๆ ด้วย”

“ผมบอกว่าเปล่านะครับอา ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย” คนหน้าแดงรีบแก้ตัว แต่หันหน้าหนี ซึ่งแปลกไง กับคนที่มองตาเขาโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิดมาเล่นเกมหลบตา

“แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“ก็...”

เด็กน้อยหันมาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป สั่นหน้าแรงๆ

“หน้าผมก็เป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว...!!!”

เขาก็รู้หรอกนะว่าไม่เคยไปแตะตัวเด็กมันมาก ยังไงนี่ก็แค่เด็กมหา’ลัย เดี๋ยวโดนเรื่องล่วงละเมิดทางเพศ แต่มันก็อดที่จะยื่นมือไปแตะแก้มเพื่อบอกว่านี่ไงหลักฐานไม่ได้ แล้วกับคนที่ลูบหัวก็ไม่เขิน นอนกอดก็ไม่อาย มาคราวนี้แค่ใช้ข้อนิ้วไล้ผิวแก้มเบาๆ ฟรอสกลับรู้สึกถึงความร้อนที่พวยพุ่งมากระทบผิวเนื้อให้เลิกคิ้วหนักกว่าเดิม

“แต่อาว่าไม่เคยแดงขนาดนี้นะ”

เพียะ!

เออ เด็กมันปัดมือทิ้งด้วยแฮะ

“ผมไปทำข้าวเย็นดีกว่า”

เพ้นท์พึมพำเสียงเบา ลุกขึ้นยืนจะหนี แต่เพียงเดินไปได้ก้าวเดียว

“โอ๊ย!”

สองมือก็กลับมาเกาะโซฟาอีกครั้ง ทำหน้าเจ็บปวดจนลุกขึ้นยืนตาม

“เหน็บกินเหรอ”

“ก็กินน่ะสิครับ อานอนไปตั้งกี่ชั่วโมง” เพ้นท์กลับมาเถียงอีกครั้ง ละมือไปนวดขาป้อยๆ หน้าตาดูน่าสงสารจนฟรอสยื่นมือไปช่วยบีบเบาๆ แต่เด็ก...ชักขาหนี

“ถามจริง ตอนที่อาหลับ อาเผลอทำอะไรไว้หรือเปล่า” ทางนี้อึ้ง แล้วหรี่ตาลง

“...เปล่าครับ”

อีกครั้งที่เพ้นท์ปากแข็ง ซึ่งอาหนุ่มก็ไม่อยากซักไซ้ ฟังแล้วเด็กมันก็ไม่ได้โกรธมากมาย ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดด้วยท่าทางเคารพแบบเดิมหรอก จนไม่สนใจแรงดิ้นหนี ดึงให้กลับมานั่งบนโซฟาอีกครั้ง แล้วขยับไปนั่งบนพื้น จับฝ่าเท้าของเพ้นท์มาวางบนตัก

“อาฟรอสอย่าครับ ผมเด็กกว่า อาไม่ต้อง...อ๊ากกกกกกก!”

คนตัวโตไม่รอให้เด็กมันพูดจนจบประโยค เพราะออกแรงบีบนวดที่ฝ่าเท้าหนักๆ จนเพ้นท์เอี้ยวตัวเกาะพนักโซฟาแน่น ทำท่าจะข่วนเบาะ ชาจนน้ำตาเล็ด พอจะดึงขาหนี เขาก็ไม่ยอม เพราะยิ่งเจ็บไวแปลว่าเดี๋ยวก็หายชาแล้ว สองมือจึงบีบๆ นวดๆ ต่อไป พลางฟังเสียงเด็กซี้ดปากด้วยความขำ

“ถ้าขาชาทำไมไม่ปลุก”

“ปลุกแล้ว โอ๊ย ผมปลุกแล้วครับ อาไม่ตื่นเอง เบา! เบาหน่อยอา”

คนฟังยิ่งแปลกใจ เพราะเขาเป็นคนตื่นง่าย หนก่อนเพ้นท์ไปปรับแอร์ฯให้ยังสะดุ้งตื่นเลย

“ปลุกเบาไปน่ะสิ”

“อีกนิดนึงก็ผลักอาตกโซฟาแล้ว...มันเจ็บนะอาฟรอส!”

ฟรอสประมวลผลไปด้วย ตกลงว่าเขาหลับอย่างง่ายดาย ไม่สะดุ้งตื่นไม่พอ ยังหลับลึกจนปลุกไม่ตื่น จะบอกว่าเหนื่อยก็ไม่ใช่ เพราะช่วงที่งานหนัก ทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำก็ยังหลับยาก นี่อยู่บ้านเฉยๆ พลังงานล้นเหลือ มันจะไปเหนื่อยจัดได้ยังไง

หมอบอกว่าบรรยากาศที่ผ่อนคลายช่วยได้

ชายหนุ่มมองฝ่าเท้าขาวๆ นิ่งทั้งที่ตาวาวขึ้นมาแล้ว

หรือว่าจะแจ็กพอตเจอหมอนข้างแสนสบายที่เสริมออฟชั่นทำให้กูผ่อนคลายได้ด้วยแล้ววะ

“หายชาหรือยัง”

คิดไปนวดไป เสียงโอดครวญก็ลดน้อยลง จนเงยหน้าถามเจ้าของเท้า มองคนที่พยักหน้าหงึกๆ

“หายแล้ว ขอบคุณครับอา” ครั้งนี้พอเพ้นท์ดึงขากลับ เขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี มองเด็กน้อยที่ดูสับสนไม่น้อยที่เขานวดเท้าให้ จนใช้ข้อนิ้วชี้เคาะตรงหน้าแข้งไปเบาๆ

“แทนคำขอบคุณที่ให้อานอนตัก”

“ไม่เป็นไรครับอา แต่ผมว่าทีหลังอาจะนอนก็ไปนอนหนุนหมอนเถอะ ปวดคอแย่” อีกครั้งที่แก้มขาวแดงขึ้นอีกครั้ง จนคนฟังชักสัมผัสได้ว่าอาการหน้าแดงมันต้องเกี่ยวกับตอนที่เขาหลับไปแน่ๆ

“ไม่ปวดหรอก ขอบใจมากนะ อานอนไม่หลับมาสักพักแล้ว”

เขาไล่ต้อนให้ได้คำตอบก็ได้ แต่ก็ไม่ไล่ให้เพ้นท์จนมุม ชอบใจมากกว่าที่เด็กน้อยดูโล่งใจที่ไม่ต้องคุยเรื่องนี้ต่อ แต่พอพูดความจริงว่านอนไม่หลับ สีหน้าโล่งใจก็เปลี่ยนเป็นเคลือบแคลง แถมยังมีการส่ายหน้าอย่างไม่ไว้หน้าด้วยว่าไม่เชื่อ

“เอ้า ไม่เชื่อ”

“เจอแบบนั้นเข้าไปเชื่อก็บ้าแล้ว”

“แบบนั้น?”

“ผมไปทำมื้อเย็นดีกว่า นี่ก็เย็นแล้ว”

พอถาม เด็กก็เลี่ยงไม่ตอบด้วยการก้าวยาวๆ หายไปทางห้องครัว ทิ้งไว้แค่เจ้าของบ้านที่ยังสงสัยไม่หาย กระทั่งลับตาไปแล้ว ฟรอสถึงก้มลงเก็บหมอนอิงที่กระเด้งลงพื้นตอนเพ้นท์ลุกขึ้นมา มองมันชั่วครู่หนึ่งแล้วซุกหน้าลงกับหมอน

“ไม่ใช่”

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยออกมาก็เหมือนกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มทั่วไป ซึ่งมันไม่ใช่กลิ่นที่เขาได้จากตัวเพ้นท์

ทันใดนั้น มุมปากของอาหนุ่มก็ยกสูงขึ้น ตาหมายมาด

“ผมอาจจะเจอยาธรรมชาติที่ไม่ใช่ยาเม็ดแล้วก็ได้นะหมอ”

ถ้าใช่จริง ต้องจ้างเท่าไหร่ก็ต้องเอามานอนกอดให้ได้

 

‘เดี๋ยวอาไปส่ง’

คำสี่คำง่ายๆ สั้นๆ ที่ทำให้รู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ

หลังจากที่ทำข้าวเย็นให้นายจ้างเรียบร้อย ก็ถึงคราวลูกจ้างชั่วคราวต้องกลับบ้าน ซึ่งเวลาหกโมงครึ่งมันยังเช้าเกินกว่าที่จะเรียกว่าอันตราย แต่อาฟรอสก็บอกด้วยคำสี่คำง่ายๆ นั้นแล้วชวนกินข้าว ซึ่งแม้จะเกรงใจจนปฏิเสธยังไง แต่ผู้ชายคนนี้ก็คืออาของไอ้เพลิง จะปฏิเสธความเอาแต่ใจแกมห่วงใยได้ยังไง

อีกครั้งที่เสียงกระซิบเล็กๆ บอกว่าเวลาอยู่กับอาฟรอสแล้วรู้สึกดี

เพ้นท์จึงพยายามลบเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอาหลับทิ้งไปให้หมด รู้หรอกว่าอาไม่ได้ตั้งใจ ไม่ผิด แต่เขามันใกล้ชิดชนิดเนื้อแนบเนื้อกับคนอื่นน้อยเกินไป เอาเข้าจริงก็นอกจากเพื่อนกับครอบครัวก็เรียกได้ว่าไม่เคยแนบเลยดีกว่า พอเจอแบบนี้เข้าไปก็ทั้งประหม่าทั้งประดักประเดิดในช่วงแรก แต่พอนั่งกินข้าวกับอาฟรอสอีกหนึ่งมื้อ อาการก็กลับมาปกติอีกครั้ง

นอกจากนั้น นิสัยอาฟรอสด้วยที่ทำให้ปรับตัวได้เร็ว

เพ้นท์คิดว่าเขาพบเสน่ห์หลายอย่างของอาเพื่อนแล้ว

อาฟรอสเป็นคนเข้ากับคนง่าย ก็เหมือนไอ้เพลิง เลยสนิทใจได้ง่ายๆ อาฟรอสเป็นพวกอ่านบรรยากาศเป็น รู้ว่าตอนไหนอัดอึดก็จะไม่ซักต่อ ทั้งที่จริงๆ ขี้แหย่ แล้วก็ใจดี ช่างเป็นห่วงเป็นใยขนาดขับรถมาส่ง ที่สำคัญคือวิธีปฏิบัติตัวกับเขา...รู้สึกเลยว่าได้รับการดูแล

“บ้านหลังไหนล่ะ”

“เลี้ยวขวาข้างหน้าครับอา” ตุ๊กตาหน้ารถรีบเงยหน้าบอกทางให้รถยุโรปคันใหญ่เคลื่อนเข้าไปในซอยบ้าน

“หลังนั้นครับ ที่หน้าบ้านมีต้นโป๊ยเซียน”

รถคันใหญ่มาจอดสนิทหน้าบ้าน ซึ่งเพ้นท์ก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณ

“ขอบคุณนะครับอาที่มาส่ง”

“ไม่หรอก อาต่างหากที่ต้องขอบคุณ” ไฟจากหน้าบ้านทำให้เห็นว่าอายิ้มกว้าง จนยิ้มตาม

“อาจะขอบคุณผมทำไม ผมสิต้องขอบคุณที่อามาส่ง”

“ก็ที่ทำกับข้าวให้อากิน”

“ผมเป็นลูกจ้างนี่ครับ”

คนฟังหัวเราะ แล้วแย้งเสียงนุ่ม

“นายกำนัลต่างหาก”

“ไหนอาว่าไม่อยากเป็นลูกบ้านผมไง” เพ้นท์หัวเราะตาม ไม่ทันสังเกตน้ำเสียงน่าฟังของอีกฝ่าย

“ก็ไม่ได้อยากเป็นลูกบ้าน แต่มีคนมาปรนนิบัติแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน กระชุ่มกระชวยดีด้วย มีเด็กมหา’ลัยมาเป็นหมอนรองหนุน” หมอนที่ว่ายิ้มแห้ง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายยังสดใหม่ แต่แป๊บเดียวก็ไล่ความรู้สึกนั้นออกไป ยกมือไหว้อีกครั้ง

“งั้นผมไปแล้วครับ”

“เออ อาลืมบอก”

“ครับ?”

พอจะเปิดประตูรถ อาฟรอสก็เรียกไว้ก่อนจนหันกลับมามองหน้า

“พรุ่งนี้ไม่ต้องไปที่บ้านนะ อามีธุระแต่เช้าคงกินจากข้างนอกมาเลย ได้วันหยุดก็พักล่ะ มาดูแลอาทุกวันแล้วเหนื่อยแย่” ตอนแรกก็คิดว่าจะเหนื่อยหรือเปล่า แต่เพ้นท์บอกตรงๆ ว่างานนี้สนุกกว่าที่เขาคิด ที่สำคัญคือได้รู้จักอาฟรอสด้วย

ผู้ชายที่เป็นที่สุดของไอ้เพลิงในทุกๆ ด้าน

“งั้นวันมะรืนอาอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

“ผัดหน่อมะ...”

“โอเคๆๆ ถือว่าผมไม่ได้ถาม”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เจ้าของรถงี้หัวเราะเสียงดังลั่น ชอบอกชอบใจน่าดู

ส่วนเพ้นท์ อารมณ์ที่ว่าดีๆ ถูกขัดดังเอี๊ยดกับเจ้าหน่อไม้เจ้าปัญหาจนคิดจริงจังแล้วว่าสั่งออนไลน์เลยดีมั้ย รับรองว่าหาเจอชัวร์

คิดไป มือก็เปิดประตูรถไป ก้าวขาออกมาข้างหนึ่งแล้ว

“แล้วก็อีกเรื่อง”

“หืม?”

คนที่จะลงจากรถกลับมาสบตาอาฟรอสอีกครั้ง ซึ่งมือที่เขาว่าทั้งใหญ่ทั้งอุ่นก็วางปุลงบนหัวทุย แล้วอาหนุ่มก็บอกด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ

“ขอบคุณที่ยอมมาทำงานให้อา อาดีใจนะที่คนที่เพลิงส่งมา...” รอยยิ้มของอาอุ่นจนน่าตกใจ

“...เป็นเพ้นท์”

ตึกตัก! ตึกตัก!!

ก้อนเนื้อในอกเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเมื่ออาฟรอสผละมือออกไป เพ้นท์ก็ก้าวลงมายืนข้างตัวรถ มองรอยยิ้มของอาฟรอสที่ดูจริงใจ จนรีบตอบ

“ผมก็ดีใจนะครับที่ได้ทำงานกับอา กลับดีๆ นะครับ”

อาฟรอสโบกมือให้ ซึ่งเพ้นท์ก็ดันประตูปิดลง มองรถคันใหญ่ที่เคลื่อนตัวออกไป กระทั่งไฟท้ายลับหายจากสายตา ถึงยกมือขึ้นมาแตะที่แผ่นอก

ดีใจ

ไม่รู้ล่ะว่าดีใจเพราะอะไร แต่หัวใจพองฟูเหมือนถูกอัดลมเข้าไปจนแน่นเอี๊ยด เพียงเพราะอาบอกว่าดีนะที่ไอ้เพลิงส่งเขาไป

เพ้นท์ไม่รู้ว่านี่เป็นแค่ความปลาบปลื้มหรือเปล่า แต่เขาดีใจจนห้ามรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

“ผมก็ดีใจจริงๆ นะครับ”

ตอนนี้ไม่ได้ทำเพราะแค่ต้องการเงินไปซื้อของขวัญวันเกิดแล้วล่ะ แต่อยากทำให้เพราะอาฟรอสเป็นอาฟรอสมากกว่า

เขาว่าเขารู้แล้วว่าเสน่ห์ของอาฟรอสคืออะไร ไม่ใช่ความหล่อ ไม่ใช่ความฟิต ไม่ใช่หน้าที่การงาน ไม่ใช่เงินที่มี หรือนิสัยเอาแต่ใจที่หลายคนอยากปราบ แต่เพราะอะไรบางอย่างที่คนอยู่ใกล้รู้สึกดีและอยากอยู่ใกล้มากยิ่งขึ้นไปอีกต่างหาก

อาฟรอสไม่เหมือนใคร

และเพ้นท์คงยิ้มกว้างไม่ยอมหุบไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวเปิดประตูออกมาเรียก

“พี่เพ้นท์! กลับมาสักที พี่กัสมาตั้งนานแล้วนะ”

ชื่อนี้ ชื่อของคนที่เขาต้องการเงินมาซื้อของขวัญวันเกิดให้


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น