5

ตอนที่ 5 ความสุขที่ได้รัก


ตอนที่ 5 ความสุขที่ได้รัก

“ไปไหนมาน่ะเพ้นท์ ทำไมเพิ่งกลับ พี่มานานแล้วนะ”

พอน้องสาวบอกว่าเพื่อนข้างบ้านมา เพราพนาก็พุ่งตัวเข้าไปในบ้าน แล้วสองขาก็ชะงัก มองไปยังคนที่นั่งเล่นเกมกับน้องชายของเขาอยู่ตรงชุดโซฟา ริมฝีปากที่ว่ายิ้มกว้างอยู่แล้วยิ่งหุบไม่อยู่ ซึ่งอาการพรวดพราดเข้ามาก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นหันมามอง

เพื่อนบ้านที่อายุมากกว่าห้าปี คนที่โตมาด้วยกัน คนที่เป็น...รักแรก

คนที่เพียงยิ้มให้ก็รู้สึกว่าโลกนี้สดใส

ในสายตาคนอื่นพี่กัสอาจจะไม่ใช่ผู้ชายรูปหล่อที่มีเสน่ห์ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น แต่สำหรับคนที่แอบชอบเขามานาน ไม่ว่าจะเป็นดวงตาสองชั้นหลบในที่ยิ้มทีแล้วตายิบหยี หรือรูปร่างผอมสูงก็ล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์มากกว่าใคร ขอแค่เป็นพี่กัส แค่ปลายผมพี่กัส เพ้นท์ก็สามารถชื่นชมได้ไม่หยุดปาก

หากรอยยิ้มของเพราพนาทำให้เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่าง...หงุดหงิด

“แล้วพี่กัสเป็นอะไรกับพี่เพ้นท์ล่ะ พี่ชายผมถึงต้องรายงานว่าไปไหนมาไหน”

“รูป!”

คนกำลังยิ้มสะดุ้ง หันไปปรามน้องชายที่กลอกตาใส่ โยนจอยเกมไปบนโซฟา แล้วลุกขึ้นมาลากภาพเข้าไปในครัวด้วยกัน

“ไปภาพ หิวน้ำว่ะ”

“รูป มาขอโทษพี่กัสก่อน”

ท่าทางไม่พอใจของเจ้าน้องชายที่ทำให้คนเป็นพี่ออกคำสั่ง แต่ไม่เพียงเจ้าเด็กรูปหล่อจะหันมามองหน้า แต่ยิ่งเดินเข้าครัวไวกว่าเดิม ไม่สนใจแรงยื้อของฝาแฝดตัวเองที่กำลังส่งยิ้มเอาใจช่วยมาให้เขา ทั้งยังขยับปากแบบไม่มีเสียง

“สู้ๆ นะพี่เพ้นท์”

คราวนี้คนเขินยากหน้าแดงซู่ทันที

เพ้นท์ไม่เคยบอกน้องชายน้องสาวว่าชอบพี่ข้างบ้าน แต่เจ้าสองคนนั้นก็รับรู้มาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งก็เคยเอาใจช่วยเขาทั้งคู่ แต่ไม่รู้ทำไมที่ช่วงหลัง รูปเริ่มแสดงท่าทีต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับภาพที่ยังคงเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสนใจท่าทีของน้องทั้งสองคน

“ขอโทษแทนรูปด้วยนะครับพี่กัส” รอยยิ้มเลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงเสียงพึมพำที่เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ แต่พี่กัสยังคงยิ้มกว้างเหมือนเดิม ยกมือโบกไปมา

“ไม่เป็นไรๆ ท่าทางฝีมือเล่นเกมพี่จะห่วยเกินรับไหวน่ะ รูปมันเลยอารมณ์เสีย” พี่กัสบอกอย่างใจดี จนรอยยิ้มคนฟังกลับคืนมาอีกครั้ง แล้วก็หันซ้ายหันขวา

“พี่กัสกินอะไรมาหรือยัง หิวน้ำมั้ยพี่ เดี๋ยวเพ้นท์ไปเทน้ำให้นะ”

“ไม่ต้องๆ พี่กินข้าวกับเจ้าแฝดแล้ว”

ก่อนที่จะวิ่งตามน้องเข้าครัว คนเป็นแขกก็แย้งก่อน ยกมือตบเบาะข้างตัวหลายทีเป็นสัญญาณว่าให้ไปนั่งด้วยกัน จนเพ้นท์ร้อนไปหมดทั้งหน้าทั้งตัว ดวงตาฉายแววประหม่าและลังเล ขัดเขินเสียยิ่งกว่าตอนที่อาฟรอสนอนหนุนตักไม่รู้กี่เท่าตัว แต่ถึงจะเขินยังไง มีหรือที่เขาจะกล้าปฏิเสธผู้ชายคนนี้ จนรีบขยับเข้าไปนั่งข้างกันแต่โดยดี

“พี่มาเป็นชั่วโมงแล้ว ว่าจะมากินข้าวฝีมือเพ้นท์สักหน่อย ถามพวกเจ้าแฝดก็ไม่มีใครยอมบอกว่าเพ้นท์ไปไหน รูปว่าพี่อีกว่าเสือกไม่เข้าเรื่อง” พี่กัสว่าขำๆ แต่คนฟังงี้กำหมัดแน่น เม้มปากสนิท ทดไว้ในใจว่าต้องไปถามเจ้าน้องชายสักหน่อยว่าเป็นบ้าอะไรถึงพูดจากับพี่กัสแบบนั้น

“ขอโทษแทนรูปด้วยพี่” เพ้นท์บอกหน้าเสีย

“ไม่ต้องขอโทษ ท่าทางเจ้าแฝดจะหวงพี่น่ะ ก็หวงมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่เนอะ” พี่กัสว่ายิ้มๆ ซึ่งคนทางนี้ก็ยิ้มตาม มองดวงตายิบหยีนั้นอย่างเหม่อลอย

เพ้นท์รู้ตัวว่าเวลาที่เขาอยู่กับพี่กัสแล้วเหมือนไบโพล่า เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็ขัดเขิน เดี๋ยวก็หวาดกลัว อารมณ์มันเปลี่ยนไปได้ทุกนาที พอพี่กัสยิ้ม เขาก็ยิ้มตาม พอพี่กัสนิ่วหน้าก็กลัวว่าจะทำให้ไม่ชอบใจ ซึ่งเขาก็รู้อีกว่าเอาตัวและใจไปผูกกับคนคนนี้มากเกินไป

หากเขามีความสุขที่ได้รัก

นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มบอกตัวเองเสมอ และมันก็ช่วยระงับความรู้สึกเจ็บหน่วงในอกให้ทุเลาลง

ไม่ว่าพวกเพื่อนสนิทจะพูดยังไง จะบอกว่าเขาควรจะตัดใจได้แล้ว แต่เพ้นท์ก็ยังยืนยันที่จะชอบผู้ชายคนนี้ต่อไป

ถ้าคนเรามันเลิกรักกันง่ายๆ เขาก็คงไม่แอบชอบทั้งที่รู้ว่าพี่กัสไม่สนใจผู้ชายมาหลายปีแบบนี้หรอก

อีกอย่าง ช่วงนี้เพ้นท์ก็มีความหวังขึ้นมา ในเมื่อพี่สินธุ์ก็เคยเป็นชายแท้มาก่อน เคยคบแต่ผู้หญิงมาก่อน ไอ้เพลิงยังเปลี่ยนพี่สินธุ์มาทั้งรักทั้งหลงมันได้เลย ดังนั้นใช่ว่าเขาจะไม่มีโอกาสนี่

อีกครั้งที่เพ้นท์รู้...เขาแค่ปลอบใจตัวเอง

“อ้อ แล้วพี่กัสมีธุระอะไรกับเพ้นท์หรือเปล่า พี่ไม่ได้มานานแล้วนะ”

เมื่อก่อนเขาเจอหน้าพี่กัสทุกวัน แต่พอพี่กัสเข้ามหาวิทยาลัยก็ย้ายไปอยู่หอ พอเรียนจบมาที่ทำงานก็ไกลจนย้ายไปอยู่หอแถวนั้นอีก จะเจอกันทีก็มีแค่วันหยุด

“อ้อ ก็อย่างที่พี่บอกไง คิดถึงกับข้าวฝีมือเพ้นท์”

กึก!

พี่กัสบอกอย่างเอาใจ แต่สำหรับคนฟังแล้ว คำพูดไม่กี่คำที่ไม่คิดอะไรนี้เหมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจให้พร้อมจะรอต่อไป

เขาขอแค่นี้ ได้ยินแค่นี้ หัวใจก็พองฟูเหมือนจะระเบิดได้ง่ายๆ

เพ้นท์ไม่ได้บอกอาฟรอสอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาชอบทำอาหาร ไม่ใช่แค่เพราะพ่อแม่ทำงานทั้งคู่หรือต้องดูแลน้องสองคนเท่านั้น แต่เพราะมีใครบางคนเคยพูดตอนเด็กๆ ว่าถ้ามีแฟนก็ขอแฟนแบบที่ทำกับข้าวเก่ง เขาถึงหัดทำ เรียนรู้ด้วยตัวเอง ทั้งอาหารไทยอาหารเทศ เรียนๆ มั่วๆ จนกลายเป็นความชอบในที่สุด

ชายหนุ่มชอบทำอาหารให้คนอื่นทาน แต่อาจจะชอบที่สุดถ้าพี่กัสกินแล้วบอกว่าอร่อย

“ถ้าพี่กัสโทรมาบอกก่อน เพ้นท์จะรีบกลับมาทำให้กิน”

“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจว่าเพ้นท์เองก็มีธุระตามประสาเด็กมหา’ลัยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เด็กอนุบาลขี้มูกโป่งที่เดินตามพี่ต้อยๆ แล้ว ฝีมือเจ้าแฝดเองก็ดีขึ้นเยอะ ก็มีครูดีนี่นะ อ้อ แต่สำหรับพี่ ไม่มีใครทำอร่อยเท่าเพ้นท์แล้วล่ะ ไม่ได้กินนานๆ แล้วคิดถึง” คนพูดยังบอกด้วยรอยยิ้มเอาใจ

ขณะที่คนฟังยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ดีใจที่อีกฝ่ายจำเรื่องสมัยเด็กได้ว่าเขาชอบติดตามพี่ชายคนนี้ไปทุกที่ ไหนจะเรื่องที่พี่กัสให้เขาเป็นที่หนึ่งเหมือนกัน แม้จะเป็นแค่กับข้าวที่ทำก็ไม่เป็นไร

ที่สำคัญ...คิดถึง

“เพ้นท์ก็คิดถึงพี่เหมือนกัน”

คนพูดว่าอย่างเหม่อๆ แล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป แก้มขาวก็ขึ้นสีแดงจัด ใบหูร้อนผ่าวจนเจ้าตัวรู้สึกได้ รีบเสหน้าไปมองหน้าจอโทรทัศน์ที่ยังเปิดเกมค้างเอาไว้ ไม่กล้ามองตาอีกฝ่าย กลัวว่าพี่กัสจะจับน้ำเสียงบางอย่างของเขาได้ แต่...

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ภูมิใจนะเนี่ยที่มีคนคิดถึงพี่เหมือนกัน”

พี่ชายข้างบ้านตบบ่าเขาหลายที บอกด้วยน้ำเสียงไม่คิดอะไร แต่สัมผัสน้อยแสนน้อยนั้นก็ทำให้เพ้นท์ห้ามตัวเองสุดความสามารถ ไม่ให้เอามือลูบด้วยความประหม่า ริมฝีปากสีสดก็กลั้นยิ้มสุดความสามารถ แต่ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งค้างกลางอากาศ เพราะ...

“เออ พี่อยากขอสูตรทำไข่เจียวยัดไส้ของเพ้นท์หน่อย วันนี้กินฝีมือภาพแล้วติดใจ ว่าจะเอาไปให้แฟนพี่ลองทำ พี่ก็ไม่อยากเอาแฟนมานินทาหรอกนะ แต่รายนั้นทอดไข้ยังไหม้เลย อยู่ด้วยกันแล้วกลัวเป็นมะเร็ง ไหม้ทุกมื้อ” พี่กัสว่าขำๆ ดวงตาติดจะเอ็นดู ให้คนทางนี้พึมพำเสียงเบาแสนเบา

“พี่นินเหรอครับ”

“ก็คนนั้นแหละ มีคนเดียว”

เพราพนาเคยเจอแฟนของพี่กัสตอนมาเที่ยวบ้านอยู่สองสามหน แต่ไม่ว่าจะเจอกี่ครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่เคยชินเสียที ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้ยินพี่กัสพูดถึงแฟน ก้อนเนื้อในอกจะเจ็บแปลบๆ รอยยิ้มจืดเจื่อน คำพูดจุกอยู่ที่ลำคอ ทำได้แค่พยักหน้าเออออเท่านั้น

“ถ้านินทำกับข้าวได้เหมือนเพ้นท์ ไม่ดิ พี่ว่าเอาแค่ได้ครึ่งของเพ้นท์ก็ดีสิ กินข้าวที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่เพ้นท์ทำจริงๆ” พี่กัสเสริมอย่างเอาใจ ให้คนฟังพยายามฝืนยิ้ม

“เดี๋ยวเพ้นท์จดสูตรให้นะพี่”

ว่าแล้ว คนเพิ่งกลับบ้านก็รีบเดินไปคว้ากระดาษกับปากกามาเขียนสูตรไข่เจียวยัดไส้ของเขาว่าใส่อะไรบ้างอย่างว่องไว โดยที่คนขอไม่รู้เลยว่ามือของเด็กคนนี้...สั่นระริก

“ขอบใจ พี่รอเจอเพ้นท์เพราะงี้แหละ ถามเจ้าแฝดก็ไม่ยอมมีใครจดสูตรให้ บอกว่าต้องถามเพ้นท์ท่าเดียว”

เพ้นท์กดปากกาหนักขึ้น ตวัดมือไวขึ้น พยายามรักษารอยยิ้มสบายๆ เอาไว้ กระทั่งเรียบร้อย ตัวเขายังรู้เลยว่าลายมือมันแปลกกว่าทุกที ตัวหนังสือเขไปเขมา อ่านทวนอีกรอบเพื่อความมั่นใจ แล้วส่งให้พี่ข้างบ้านที่ลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น

“ขอบใจ งั้นพี่กลับบ้านแล้ว ฝากบอกเจ้าแฝดด้วย”

พี่กัสยิ้มแฉ่ง รับไปพับใส่กระเป๋ากางเกงอย่างพอใจ แล้วก็ยกมือโบกลา เดินไปทางประตูหน้าบ้าน จนเพ้นท์รวบรวมกำลังใจบอกออกไป

“คราวหน้าถ้าพี่กัสอยากกินอะไร บอกเพ้นท์ได้นะ เดี๋ยวเพ้นท์ทำให้กิน”

พี่กัสหันมายิ้มให้ตายิบหยีอีกครั้ง แค่นั้นก็ทำให้อารมณ์หน่วงๆ ในอกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ใจจริงเพราพนาก็อยากเดินไปส่งอยู่หรอก แต่บ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้ พี่กัสเองก็เดินเข้าเดินออกบ้านนี้เป็นประจำอยู่แล้ว จนได้แต่ยืนหงอยอยู่กับที่ มองตามแผ่นหลังที่หายวับไป ขณะรวบรวมกำลังใจที่กระจัดกระจายไปเพราะคำว่าแฟนให้กลับมาอีกครั้ง แต่พอหันกลับมา...

หมับ!

“พี่กัส เดี๋ยว...”

กุญแจรถที่ห้อยพวงกุญแจลายทีมฟุตบอลเป็นของพี่กัสแน่นอน จนคว้าเอาไว้ ก้าวตามหลังไปหมายจะคืนให้ แต่...

“น้องจริงๆ ครับนิน กัสไปกินข้าวบ้านเจ้าแฝดไง นินก็เคยเจอนี่นา”

ชื่อของคนที่เพิ่งพูดถึงหลุดออกมาจากปากของคนที่ยืนโทรศัพท์อยู่หน้าบ้าน

“โธ่นินครับ เจ้าภาพแค่ม.ห้าเองนะ เราไม่สนใจเด็กๆ หรอก แล้วสวยแค่ไหนก็มองว่าน้อง เชื่อซี่ เรารักนินคนเดียวน้า” กัสบอกอย่างเอาใจปลายสาย และทำให้คนที่บังเอิญได้ยินกำมือที่ถือกุญแจรถแน่นขึ้น

“เรามาฝากท้องกินข้าวด้วยไง เราเคยบอกนินแล้วนี่ว่าบ้านนี้ฝีมือขั้นเทพ....อูย เปล่าๆ เราไม่ได้ว่านินเลยนะ ต่อให้เป็นไข่เจียวไหม้ๆ ของนินก็เป็นเดอะเบสท์ในใจกัสอยู่แล้ว นี่ยอมกินไข่ไหม้ไปตลอดชีวิตเลยนะ โอ๋ๆ อย่างอนนะครับคนสวย”

เพ้นท์ถอยทัพกลับเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ ไม่ฟังต่อว่าพี่กัสคุยอะไรกับแฟน สองมือกำแน่นจนเหมือนกุญแจจะบาดมือ

ต่อให้เพ้นท์พยายามแค่ไหน ก็สู้แฟนพี่ไม่ได้อยู่ดี

ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนซีดขาว ก้อนเนื้อในอกที่เพิ่งจะพองฟูก็หดฟีบ ความรู้สึกสุขที่ได้รับคำชมเหลือเพียงความปวดหน่วง ความคิดที่ว่าขอแค่ได้รักก็เหลือเพียง...ความเสียใจ

ขอแค่ได้แอบรักไปเรื่อยๆ ขอแค่ได้เห็นเขามีความสุขก็พอ...จริงเหรอ

เสียงหนึ่งโต้แย้งขึ้นมา และเสียงนี้ก็ดังขึ้นทุกวันๆ

“พี่เพ้นท์”

เฮือก!

พี่ชายคนโตของบ้านสะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองตามเสียงแล้วพบว่าสองฝาแฝดกำลังยืนชะโงกหัวมาจากในห้องครัว จนพยายามฝืนยิ้มส่งให้

“อะไร”

“ถ้าทำหน้าแบบนั้นก็เลิก...อุ๊บๆ” รูปเป็นคนเอ่ยปากก่อน แต่พูดไม่ทันจบ ภาพก็ยกมือตะครุบปากเสียงดังเพียะ

“เฮ้ยนั่นกุญแจรถพี่กัสนี่พี่เพ้นท์ รูปเอาไปคืนดิ๊”

“ไอ้ภาพ! จะฆ่ากันเหรอวะ!”

ภาพไม่สนใจคนที่สะบัดหลุดจากการถูกปิดปาก เพราะก้าวมาดึงกุญแจรถในมือแล้วโยนให้ฝาแฝดตัวเอง ถลึงตาทำหน้ายักษ์ จนรูปเบ้ปาก แต่ก็ยอมเดินออกไปทางหน้าบ้าน แล้วก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนชื่อคนข้างบ้านเสียงดังลั่น

“พี่เพ้นท์กินไรยังอะ วันนี้มีไข่เจียวยัดไส้ ต้มจืดมะระ แล้วก็ยำหมูยอ ภาพเอาหมูยอมาทำเพราะไม่มีใครทำกินสักที เดี๋ยวหมดอายุ” น้องสาวบอกด้วยรอยยิ้มร่าเริง พลางกระโดดมาเกาะแขน ส่งยิ้มออดอ้อนเหมือนตอนเด็กไม่ผิดเพี้ยน

“เออ ดีแล้ว ตอนแรกพี่ว่าจะเอามาทอด แต่เอามายำก็ดี”

“ใช่ม้า พี่กัสชมเปลาะเลยนะว่าอร่อย โดยเฉพาะไข่เจียวยัดไส้ ภาพภูมิใจนำเสนอมากว่านี่อะสูตรพี่เพ้นท์ เครื่องเน้นๆ อร่อยถึงคำสุดท้ายเลย” ภาพพยายามบอกให้พี่ชายยิ้ม แต่วันนี้เพ้นท์ยิ้มไม่ออกเท่าไหร่

“อร่อยขนาดพี่กัสขอสูตรเลยนะ” ภาพเสริมด้วยรอยยิ้มเอาใจช่วย แต่มีคนขัด

“แต่ขอไปให้แฟนทำให้แดก”

“ไอ้รูป!”

รูปเดินกลับเข้าบ้านมาแล้ว และต่อคำด้วยท่าทางเบ้ปาก จนภาพแหวใส่ ยกกำปั้นเหมือนจะทุบ

“ทำไมวะ ก็พูดความจริงนี่หว่า พี่เพ้นท์ พี่อะตัดใจได้แล้ว เลิกๆ ไปเหอะ แล้วอย่าคิดว่ารูปกับไอ้ภาพไม่รู้นะว่าที่จู่ๆ พี่ก็บอกว่าไปทำงานพิเศษเพราะจะหาตังค์ไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ไอ้พี่กัสน่ะ กี่ปีแล้ววะพี่ที่ทำแบบนั้น ทั้งเอาเก็บเงินไปซื้อนั่นซื้อโน่นให้ รูปยังจำได้เลยว่าพี่เคยเอาของรักของหวงให้เพราะไอ้พี่กัสแค่บอกว่าอยากได้...”

“ไอ้รูป พอแล้ว!!”

“...”

เพ้นท์ไม่รู้ว่าสีหน้าของเขามันย่ำแย่แค่ไหน แต่การที่น้องสาวตะโกนเสียงดัง หน้าตาขุ่นเคืองมองฝาแฝดตัวเอง สลับกับมองเขาด้วยความเป็นห่วงก็คงแย่มากนั่นแหละ เพราะคนพูดเองก็เงียบเสียงลง หน้าตาหงุดหงิดเปลี่ยนเป็นทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่ใหญ่ๆ

“รูป คือรูป...”

“พี่เพ้นท์ พี่อย่าโกรธไอ้รูปนะ พี่ก็รู้ว่าแฝดของภาพเป็นพวกซึนเดเระ ที่พูดมาทั้งหมดก็เพราะห่วงพี่เพ้นท์เฉยๆ ไม่ได้จะว่าอะไรพี่เพ้นท์จริงๆ นะ” ภาพรีบแก้ตัวให้ แบบที่รูปหน้าแดงขึ้นมาหน่อย

หากเพ้นท์รู้ รู้เหมือนที่ภาพรู้

รูปไม่ได้ตั้งใจ รูปเป็นห่วงเขา แต่สิ่งที่รูปพูดมาก็เป็นความจริงที่...ทำร้ายจิตใจ

“ห่วงอะไร ก็แค่พูดความจริงเหอะ” รูปแก้ตัว แต่เสียงก็เบาหวิวจนน่าสงสาร แล้วก็ฮึดใหม่

“ก็ดูดิ บ้านเราหน้าตาดีขนาดนี้ พี่ไปสนอะไรไอ้พี่กัสวะ พี่เพ้นท์จะหาดีกว่านี้เท่าไหร่ก็ได้ เอาทำไมกับแค่ไอ้พี่กัสขี้ก้าง แม่งไม่เห็นมีอะไรดีเลย หน้าตาก็งั้นๆ รูปร่างก็งั้นๆ นิสัยก็งั้นๆ” คนพูดหน้าแดง แบบที่ภาพก็เอ่ยเสริมด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

“รูปมันโกรธพี่กัสเพราะว่าทำให้พี่เพ้นท์เสียใจน่ะ”

“เปล่าเว้ย”

“เชื่อตายล่ะ บ่นอยู่นั่นว่าพี่กัสตาถั่วนั่นโน่นนี่ พี่เพ้นท์ดีที่สุดในสามโลกยังไม่รู้ค่า”

“ไม่ได้บอกว่าดีสุดในสามโลก บอกว่าชาตินี้อย่างไอ้พี่กัสหาคนที่ดีอย่างพี่เพ้นท์ไม่ได้แล้วต่างหากโว้ย!”

“นั่นแน่”

รูปที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมาอ้าปากค้าง หน้าตาหล่อเหลาของเด็กหนุ่มก็แดงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อโดนฝาแฝดตัวเองล้อเลียนด้วยการจิ้มแก้ม ร้องเสียงสดใส

ภาพของน้องทั้งสองที่ควรจะทำให้คนมองหัวเราะ แต่เพ้นท์ทำได้แค่ฝืนยิ้ม

“พี่ไปอาบน้ำก่อนล่ะ แล้วพี่กินข้าวมาแล้ว ถ้าพ่อกับแม่กลับมากินเสร็จก็เก็บเข้าตู้เย็นได้เลย” พี่ใหญ่บอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า ฝืนยิ้มส่งให้ แล้วก็เดินขึ้นห้องไปอย่างรวดเร็ว

ถ้ายังยืนอยู่ตรงนี้ก็คงทำให้น้องต้องเป็นห่วง

ฝาแฝดทั้งสองจึงได้เห็นภาพแผ่นหลังของพี่ชายที่ห่อเข้าหากันจนดูน่าสงสาร

เพียะ!

“โอ๊ย เจ็บนะไอ้ภาพ!”

“ตีให้เจ็บอะดิ เห็นมั้ย เพราะแกนั่นแหละรูป หยุดพูดเรื่องตัดใจสักทีได้มั้ย”

“ก็พี่กัสไม่เห็นมีไรดี ไม่เหมาะกับพี่เพ้นท์สักอย่าง”

“แกแค่โกรธที่พี่กัสไม่มองพี่เพ้นท์สักที”

“เออ!! โกรธ พอใจยัง โกรธฉิบหาย มันมีสิทธิ์อะไรมาทำให้พี่กูทำหน้างั้นวะ!”

เพ้นท์ได้ยินเสียงน้องทั้งสองแว่วขึ้นมา แต่เขาก็ปิดประตูห้องนอนลงก่อน แล้วก็หลับตาลง สูดหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์อะไรก็แล้วแต่ที่วิ่งพล่านในหัวใจ

“ก็ตัดสินใจแล้วนี่ไอ้เพ้นท์ว่าจะชอบให้ถึงที่สุด”

ต่อให้เสียใจแค่ไหน ก็จะชอบจนกว่าหัวใจดวงนี้จะบอกว่าพอ

น่าแปลกนะที่วันนี้เขาสนุกสุดๆ ตอนอยู่กับอาฟรอส แต่พอได้อยู่กับคนที่แอบชอบมานานกลับทำให้...เสียใจ

 

ซู่ ซู่

ภายในห้องครัวของนายพัทธ์ธีนะ นายกำนัลประจำตัวกำลังยืนอยู่หน้าเตาที่ตั้งหม้อบรรจุน้ำมันพืชเอาไว้ ด้านในมีหมูชุบแป้งทอดสองชิ้นใหญ่กำลังเต้นรำอยู่กลางน้ำมัน จนเสียงทอดหมูดังไปทั่วทั้งห้องกว้าง กลิ่นหอมลอยอวลไปทั่ว หอมเสียจนไม่ว่าใครได้กลิ่นก็ต้องท้องร้อง แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่ยืนเฝ้าหมู

เพ้นท์ยืนถือตะแกรงสำหรับสะเด็ดน้ำมันค้างอยู่หลายนาทีแล้ว ดวงตาจับจ้องแป้งทอดสีทองสวย แต่กลับเหม่อลอยไปไกล

เขาคิดถึงวันหยุดที่ผ่านมา

น้องทั้งสองพยายามทำให้เพ้นท์กลับมาร่าเริงอีกครั้ง แต่คำพูดที่ได้ยินมาทั้งหมดทำให้เจ้าตัวยิ้มไม่ออก สมองเข้าใจตามที่น้องพูด แต่หัวใจไม่อยากรับรู้ จนเผลอทำให้น้องทั้งสองรู้สึกไม่ดี

พี่ใหญ่ไม่รู้ว่าเป็นความคิดแฝดคนไหนที่นึกอยากมานอนเป็นเพื่อนเขา แต่เมื่อคืน ทั้งรูปทั้งภาพก็หอบหมอนผ้าห่มจะมานอนด้วย หากคนเป็นพี่ได้แต่บอกปัดด้วยรอยยิ้มเบาบาง

‘พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า กลับไปนอนที่ห้องเถอะ’

เพราพนารู้ว่าเขาทำให้รูปจ๋อย ภาพเองก็ได้แต่มองอย่างเห็นห่วง แต่ก็ยอมลากรูปกลับไปที่ห้องนอนของคู่แฝด ปล่อยให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน มีหลายครั้งที่เกือบจะลุกไปเคาะห้องคู่แฝดเพื่อขอโทษ แต่ก็ไม่ลุกออกไป ในหัวยังได้ยินแต่เสียงของพี่กัสที่พูดกับแฟน

สุดท้ายก็ไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะน้องก็ไปโรงเรียน เขาเองก็มาหมกตัวอยู่ในห้องครัวของอาฟรอสแบบนี้

“เป็นความเข้าใจผิดของอาใช่มั้ยว่าสีแบบนี้แปลว่ากำลังจะไหม้”

เฮือก!

“เฮ้ย!!”

คนกำลังเหม่อสะดุ้งสุดตัว แรกว่าตกใจเสียงของคนที่กระซิบข้างหู แต่พอก้มลงมองหมูในหม้อ เพ้นท์ก็ร้องเสียงดัง มือทั้งสองข้างกระวีกระวาดตักหมูที่จากสีทองสวยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเกือบเกรียมขึ้นมาหน้าตาตื่น ไม่ทันสนใจแล้วว่าอาฟรอสมายืนประชิดตัว ชะโงกหน้ามองใกล้เสียแทบจะเอาคางเกยไหล่

“งั้นแปลว่าอาเข้าใจถูก”

“ขอโทษครับอา เดี๋ยวผมทอดให้ใหม่”

เพ้นท์รีบบอก วางหมูลงบนกระดาษซับน้ำมัน แล้วทำท่าจะไปเปิดตู้เย็นเอาหมูที่ชุบไข่ชุบแป้งและเกร็ดขนมปังแช่ไว้ออกมาเพิ่ม แต่ติดที่อาฟรอสจับข้อมือเอาไว้ก่อน

“แบบนี้ก็กินได้ ยังไม่ดำสักหน่อย”

“ดำก็ไหม้แล้วอา”

“งั้นแปลว่าแบบนี้ยังไม่ไหม้” อาฟรอสว่าขำๆ จนเพ้นท์กลับไปจ้องหมูทอดสีเกรียมด้วยแววตาไม่แน่ใจ

สีแบบนี้ต้องมีกลิ่นไหม้แถมแข็งกว่าที่คาดไว้ตอนแรกแน่

“ผมทอดให้ใหม่ดีกว่า”

สองชิ้นนี้เดี๋ยวเก็บไว้กินเอง

“อากินได้ จะสีไหนก็หมูทอดเหมือนกัน แล้วอาหิวแล้วเนี่ย ไม่รอทอดหมูแล้ว”

คนฟังมองหน้าเจ้าของบ้านด้วยความลังเล แล้วพบว่าอาฟรอสกำลังยิ้ม ซึ่งไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่ามันเหมือนรอยยิ้มปลอบโยนอย่างไรไม่รู้

อีกครั้งที่อาฟรอสทำให้เขารู้เหมือนเป็นเด็ก...เด็กที่อ้อนอาได้

“แล้วแทนที่จะทอดหมูมาเล่าให้อาฟังดีกว่าว่าใครหรืออะไรทำให้นายกำนัลอาเหม่อขนาดนี้” อาฟรอสดีดหน้าผากเขาอย่างเอ็นดู

“ไม่มีอะไรครับ”

หากเพ้นท์ตอบโดยอัตโนมัติ แล้วก็สะดุ้งเมื่อเห็นแววตาของอา

อาฟรอสรู้ว่าเขาโกหก

“ไม่มีก็ไม่มี งั้นตักข้าวให้อาเยอะๆ แล้วก็ไม่เอาผักนะ”

หากอาฟรอสก็ไม่ซักไซ้เหมือนที่คนอื่นชอบทำ แค่ยิ้มให้ ยกมือขยี้หัวเบาๆ ซึ่งเหมือนว่าอาทำจนติดเป็นนิสัย แล้วก็เดินไปนั่งเป็นราชาอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว

เพ้นท์ไม่โกรธหรอกที่อาไม่ช่วย แต่อีกเรื่องเนี่ยสิ...

“กะหล่ำนิดเดียวเองครับอา ผมซอยจนเป็นฝอยเลย กินกับหมูทอดอร่อยนะ”

เพ้นท์เอียงจานที่เต็มไปด้วยกะหล่ำปลีซอยเป็นเส้นเล็กเรียวชนิดไม่แพ้เมนูในร้านอาหารญี่ปุ่นให้อาดู ซึ่งแน่ล่ะว่าเหมือน ก็ไอ้เครื่องซอยผักนี่ป้าเขาซื้อมาฝากจากญี่ปุ่น แค่เอาหัวกะปล่ำมาถูไม่กี่ทีก็ได้ความบางเฉียบระดับนี้แล้ว นี่ลงทุนขนมาจากบ้านเพื่อคนแก่ไม่กินผัก แต่อาก็ส่ายหัวดิก

“สำหรับอา มันคือผักรองอาหาร”

“ที่กินได้”

“ผักลองอาหารก็คือของตกแต่ง กินทำไม” อาฟรอสยังว่าอย่างเอาแต่ใจ จนเพ้นท์ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ

ตอนเด็กบังคับน้องกินผักยังง่ายกว่าบังคับอาฟรอสเลย

“กินกับซอสอร่อยนะครับ”

“มัวแต่เถียงกับอาแล้วเมื่อไหร่จะตักข้าว” อาฟรอสมีเปลี่ยนเรื่อง จนได้แต่ค้อนใส่ แต่ก็ยอมเดินไปตักข้าวพูนๆ ถ้วยไปวางตรงหน้า

“ประชดเป็นซะด้วย หมูล่ะ” คนตัวโตนึกว่าเขาประชดเอาข้าวไปวางให้อย่างเดียว ซึ่งจริงๆ ก็ใช่ล่ะนะ แต่เพ้นท์ก็รีบแก้ตัว

“เปล่าประชดครับ แต่ต้องหั่นหมูก่อน อาจะกัดกินทั้งชิ้นเหรอ”

“งั้นเร็วๆ สิ อย่าให้คนแก่รอนาน”

พ่อครัวใหญ่มุ่ยปาก แต่ก็ยอมหั่นหมูเป็นชิ้นพอดี วางเรียงลงในจานที่มีกะหล่ำซอยรอท่าอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็ควักเอาน้ำจิ้มสูตรพิเศษที่ทำมาจากบ้านเทลงถ้วย วางเคียงลงในจาน แล้วก็เอาไปเสิร์ฟให้คนเอาแต่ใจ

“พอใจหรือยังครับ”

“แล้วสบายใจหรือยังล่ะ”

กึก!

เพ้นท์ที่ว่าเสียงประชดนิ่งงัน เงยหน้ามองอาฟรอสแล้วพบว่าคนเอาแต่ใจกำลังส่งยิ้ม...เข้าใจ

“ผม...ผมเปล่าไม่สบายใจ”

“อืมๆ เวลาหลานอาโกหกก็พูดแบบนี้แหละ”

“ผมเปล่า”

“อืม”

อาฟรอสก็รับคำไปงั้นแหละ เชื่อที่ไหนล่ะ ขณะที่ขยับตะเกียบคีบหมูเข้าปาก ได้ยินเสียงกรอบของแป้งชุบหมูดังมาถึงนี่ แววตาดูพออกพอใจกับอาหารมื้อนี้ แล้วอาก็พูดต่อ

“เพ้นท์มีน้องสองคนใช่มั้ย”

“ครับ”

“แล้วมีพี่หรือเปล่า”

“เปล่าครับ”

“อ้อ เป็นพี่ใหญ่”

อาพยักหน้าไป คีบข้าวเข้าปากไปคำใหญ่ๆ จนเพ้นท์โล่งใจแล้วว่าอาคงไม่ถามต่อ แต่พอกลืนทั้งคำลงคอ...

“ที่นี่เพ้นท์ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งเป็นพี่คนโตนะ”

คนฟังชะงักตัวแข็งค้าง มองหน้าคนที่ยังเอร็ดอร่อยกับมื้ออาหารอยู่

“เพ้นท์อาจจะลืมไปว่าอามีหลานสามคน ที่บ้านเพ้นท์เป็นพี่ใหญ่ แต่ที่นี่...”

อาฟรอสเงยหน้ามองเขา ยิ้มให้ แววตาปลอบโยนเสียจนหัวใจสั่นสะท้าน

“เพ้นท์เป็นเด็กขี้แงให้อาปลอบได้นะ”

เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ตอบอะไรดี มันอื้อไปหมด ได้แต่มองรอยยิ้มของอาที่เอ่ยเสริมขำๆ

“แทนคำขอบคุณสำหรับหมูทอดอร่อยๆ ที่มีกลิ่นไหม้”

เพ้นท์รู้ว่าอากำลังแซวไม่ให้บรรยากาศอึดอัด แต่ทำไมไม่รู้ที่ท่าทางง่ายๆ สบายๆ ของอาถึงทำให้เขาตาร้อนผ่าวได้ขนาดนี้

อาฟรอสทำให้เขารู้สึกแบบนี้เพราะว่าอามีหลานสามคนวัยใกล้เคียงกับเขา หรือจริงๆ แล้วเพราะอาฟรอสเป็นคนแบบนี้...คนที่ทำให้รู้สึกว่าเล่าให้ฟังได้ทุกเรื่อง

ผิดมั้ยที่เขาอยากเป็นเด็กน้อยให้อาฟรอสโอ๋เหมือนกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น