6

ตอนที่ 6 เด็กน้อยเพราพนา


ตอนที่ 6 เด็กน้อยเพราพนา

“ผมแอบชอบคนคนหนึ่งอยู่ครับอา”

“อืม”

“แต่เขามีแฟนแล้ว”

“อืม”

“แล้วเขาก็เป็นผู้ชาย...ผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้หญิง”

“อืม”

เพ้นท์ก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเอง ไม่กล้าเงยหน้ามองผู้ใหญ่อีกคน รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกตอนที่บอกว่าชอบผู้ชาย เพราะแม้เจ้าแฝดจะรู้เรื่องนี้ แต่พ่อแม่เขาไม่เคยรับรู้ด้วย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่บอกกับผู้ใหญ่สักคนว่าตัวเขาเป็นเกย์จริงๆ ไม่รู้หรอกว่าสารภาพออกมาทำไม อาจจะเพราะอาฟรอสก็รู้ว่าไอ้เพลิงชอบผู้ชาย เขาจึงคิดว่าอาจะไม่ตัดสินเขาเหมือนที่ผู้ใหญ่หลายคนมองลูกหลานตอนบอกรสนิยมทางเพศ

ใครว่าสมัยนี้การเป็นเกย์เป็นเรื่องปกติแล้ว แต่สำหรับผู้ใหญ่บางคน...มันยังผิดเสมอ

เขาจึงกลัวการถูกมองด้วยสายตาตัดสิน

หากอาฟรอสก็ยังคงแค่ส่งเสียงอืม สลับกับมีเสียงกัดหมูทอดดังกรอบๆ จนอดคิดไม่ได้ว่าอาก็แค่รับคำไปงั้น แต่...มันสบายใจพอที่จะระบายต่อ

“แต่ผมไม่ได้อยากแย่งเขามาจากแฟนนะครับอา ผมก็แค่ชอบเขา แค่มีความสุขที่ได้เห็นเขายิ้ม ผมก็แค่...อยากอยู่ใกล้ๆ เขา” เพ้นท์บอกเสียงเบาหวิว หัวใจดวงน้อยสั่นด้วยความกลัว ปวดมวนในท้องยามที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้

“ผมรู้ว่าผมไม่มีหวัง แต่ผมก็ตัดใจไม่ได้ มันผิดมากเหรอครับอาที่ผมอยากชอบเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผมก็แค่ชอบเขา ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมทุกคนต้องบอกให้ผมตัดใจ ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ผมไม่เคยขอให้ใครมาช่วยผมให้สมหวัง ผมไม่เคยทำแบบนั้นเลย แต่เพื่อนผม น้องผม ใครๆ ก็บอกว่าผมควรจะตัดใจได้แล้ว”

“อืม กรอบ!”

อีกครั้งที่อาฟรอสแค่ตอบรับ แล้วก็กัดหมูทอดไปคำโต จนเงยหน้าขึ้นมองอา

“เรื่องซื้อของขวัญให้ก็เหมือนกัน ผมไม่ได้ไปร้องไห้งอแงขอให้พ่อแม่ออกเงินให้ ทั้งหมดนั่นก็เงินเก็บผมเอง ผมก็หาวิธีของผม ไม่เคยไปเบียดเบียนหรือยืมเงินใครจนตัวผมเองรับผิดชอบไม่ไหว” เด็กน้อยยังคงระบายความในใจต่อไป มองอีกคนที่ยังเอร็ดอร่อยกับมื้อกลางวัน อีกทั้ง...

“อืม เติมข้าวให้อาหน่อย”

อาฟรอสยื่นถ้วยข้าวมาให้ เพ้นท์ก็รับมาแต่โดยดี แล้วก็เดินไปตักให้ ปากก็ร้องงอแงไปด้วย

“ไอ้เพลิงว่าผมไร้สาระ ไอ้แอนเดรียว่าเสียดายตังค์ ขนาดน้องชายผมยังบอกเลยว่าที่ทำไปไม่มีประโยชน์” ปากก็เล่า มือก็ตักข้าวให้พูนจนเกือบล้น แล้วก็ยกมาให้อาฟรอส ซึ่งรายนั้นก็กินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตลอดมื้ออาหารที่เพ้นท์ไม่กินอะไรสักคำ เอาแต่พูดแล้วก็พูด เหมือนที่ผ่านมาไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ งอแงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งอาฟรอสจัดการหมูทอดสองชิ้น ข้าวสองถ้วย เหลือไว้แค่กะหล่ำปลีหั่นฝอย คนพูดถึงมุ่ยหน้า

“กินผักด้วยสิครับอา”

“นั่นของตกแต่งจาน กินทำไม”

“ผักมันมีประโยชน์”

“อาได้ยินว่ากินกะหล่ำดิบมันไม่ดี”

“จะสุกหรือดิบอาก็ไม่กินทั้งนั้นแหละ!”

เพราพนาว่าอย่างรู้ทัน แต่ก็ยอมรับทั้งจานหมูและถ้วยข้าวมาถือไว้ วางจานกะหล่ำบนเคาน์เตอร์ครัว กะไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ดังนั้น เดี๋ยวส่วนนี้เขากินเอง ส่วนถ้วยข้าวก็วางลงบนซิงค์ล้างจาน แต่ตอนที่จะผละไปเปิดตู้เย็นเพื่อทอดหมูเป็นมื้อกลางวันให้ตัวเองบ้าง...

“เอาล่ะ ไหน อยากเล่าอะไรให้อาฟัง”

“อาฟรอส!”

เพ้นท์หันขวับ ทำตาโต เงยหน้ามองคนที่เข้ามายืนประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เรียกเสียงดัง เพราะอากำลังบอกใช่มั้ยว่าเมื่อกี้ไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย

“นี่อาไม่ได้ฟังที่ผมเล่าเลย!”

อาฟรอสยิ้มกว้างเป็นเชิงยอมรับ จนคนทางนี้เริ่มเม้มปากเข้าหากัน ดวงตาร้อนผ่าว ปริ่มน้ำ ทำท่าจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ

เพียะ!

“โอ๊ย!”

แต่ก่อนที่จะร้องออกมาจริงๆ อาฟรอสกลับยกมือดีดหน้าผาก คราวนี้เสียงดัง ไม่ได้ดีดเล่นๆ เหมือนก่อนหน้านี้ จนคนจะร้องไห้เปลี่ยนเป็นร้องเสียงดัง กุมหน้าผากด้วยความเจ็บปวด

“เด็กนี่ไม่มีอารมณ์ขันเลย อาล้อเล่น พูดน้ำไหลไฟดับขนาดนั้น อาไม่ได้ยินคงหูหนวก”

อาฟรอสว่าขำๆ จนคนฟังเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความขุ่นเคือง

“แต่อาก็ตอบแค่อืมๆ” เขาเถียงสิ เพราะตลอดเวลาอาพูดแค่อืม กับเติมข้าวให้หน่อย

คนอืมยิ้ม แล้วบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เพราะสิ่งที่เพ้นท์ต้องการไม่ใช่ความคิดเห็นของอาหรือของใคร แต่เป็นการรับฟัง”

“...”

เพ้นท์ที่กำลังจะอ้าปากโต้ตอบได้แต่กลืนทุกคำพูดลงไปในลำคอ เงยหน้ามองคนสูงกว่าที่กำลังยิ้ม ดวงตาคู่คมฉายแววปลอบโยน แล้วคนที่ทำร้ายร่างกายเขาด้วยการดีดหน้าผากก็ใช้มือข้างเดิมลูบรอยแดงอย่างอ่อนโยน

“เพ้นท์ไม่ต้องการให้อายืนยันหรอกว่าสิ่งที่เพ้นท์ทำถูกหรือผิด เพราะอาคิดว่าเพ้นท์ก็รู้ดีอยู่แล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพ้นท์แค่ต้องการคนรับฟังโดยไม่ตัดสินเพ้นท์ ไม่ว่าเพ้นท์ และอาเป็นคนคนนั้นให้เพ้นท์ได้” น้ำเสียงของอานุ่ม น่าฟัง และทำให้ก้อนเนื้อในอกที่จมปลักกับความเสียใจตั้งแต่วันก่อนรู้สึกเหมือนทะยานขึ้นมาเหนือน้ำ

เขาหายใจสะดวกขึ้นเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของอา

“แต่ใครๆ ก็ว่าผมควรจะตัดใจ”

“อย่าเอาคำพูดของคนอื่นมาใส่ใจ เพราะนี่คือชีวิตของเพ้นท์ ไม่ใช่ของคนอื่น” อาฟรอสยังคงลูบหน้าผากเขาเบาๆ ปัดปอยผมที่ปรกหน้าปรกตาไปข้างหลัง และเพราพนาก็ได้แต่ยืนนิ่ง คิดตามคำที่อากำลังบอกเขา

“แต่อามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอก”

คนฟังมองเข้าไปในดวงตาคู่คม และเขาคิดว่าเขาเห็น...ความเข้าใจ

“อะไรครับ”

“รักตัวเองให้มาก”

อาฟรอสไม่ได้อธิบายมากกว่านั้น แค่คำพูดไม่กี่คำ...รักตัวเองให้มาก

เพ้นท์ไม่ได้ตีความด้วยซ้ำว่าความหมายลึกๆ ของอาหมายถึงอะไร รักตัวเองให้มากกว่ารักคนอื่น หรือทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาไม่รู้ แต่คำพูดของอาทำให้ก้อนเนื้อในอกสั่นสะท้าน ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าในหัวใจ กลั่นออกมาเป็นน้ำหยดใสที่ไหลออกมาจากดวงตา

“ผม...คือผม...”

“มานี่มา”

อีกครั้งที่คำพูดไม่กี่คำของอาฟรอสสร้างผลกระทบมากมายกับเขา

พอคนตัวโตอ้าแขนออก เพ้นท์ที่เคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง เป็นพี่ใหญ่ของบ้าน เป็นคนจริงจังประจำกลุ่ม เป็นคนมีเหตุมีผล แต่เขากลับเดินเข้าไปในอ้อมกอดของผู้ชายที่รู้จักกันมาแค่อาทิตย์เดียวด้วยความเต็มใจ ยกสองมือกอดไหล่อาเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ต้องการที่พึ่งพิง แล้วน้ำตา...ก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย

“เด็กขี้แงเอ๊ย”

อาฟรอสว่าขำๆ แต่อาก็ลูบหลังลูบหัวปลอบโยนเด็กขี้แงคนนี้อย่างอ่อนโยน

ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ตัดสินว่าสิ่งที่เขาทำถูกหรือผิด ไม่ว่าที่เขาทุ่มเงินมากมายเพื่อของขวัญวันเกิดชิ้นเดียวว่าสิ้นเปลืองและไร้สาระ ไม่มองด้วยสายตาเหนื่อยใจที่เขารักคนที่ไม่มีทางหันมารักตอบ อาฟรอสแค่ปลอบ แค่กอดแน่น แล้วโยกตัวเขาไปมาเหมือนปลอบเด็ก

ทันใดนั้น เพ้นท์ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้น

เขาอิจฉาเพื่อนสนิทที่มีอาที่เข้าใจมันแบบนี้ และเพ้นท์...ก็นึกอยากมีอาฟรอสเป็นของตัวเอง

 

โครกกก

บ่ายจัด เสียงคำรามที่ดังมาจากกระเพาะอาหารปลุกนายเพราพนาให้ตื่นขึ้นมาจากนิทรา ดวงตาบวมเป่งเพราะเสียน้ำตาอย่างหนักก็เปิดปรือขึ้นมาด้วยความงุนงง สมองพยายามปะติดปะต่อว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงมานอนอยู่บนโซฟาตัวยาวพร้อมกับ...เจ้าของบ้าน!

ตอนแรกที่เห็นปลายคางของใครบางคนก็ตกใจแทบสิ้นสติ แต่แวบเดียวเท่านั้น เพ้นท์ก็นึกออกว่าก่อนที่จะผล็อยหลับไปเขาไปทำตัวเป็นเด็กขี้แยกอดใครเสียแน่น ซึ่งพอความทรงจำแรกมันแวบมา เรื่องอื่นๆ ก็ตามมาเป็นพรวน

ใช่ เขาแปลงร่างเป็นเด็กน้อยกอดอาฟรอสอยู่นานสองนาน จนถูกอาพามานั่งที่โซฟา ได้ยินอาเรียกว่าเจ้าเด็กขี้แยอยู่สองสามครั้ง แล้วไม่รู้ว่าเพราะอ้อมกอดนี้ให้ความรู้สึกปลอดภัยหรือเปล่า คนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็เลยหลับคาอกอาเสียอย่างนั้น

ดังนั้นที่มานอนซบอาฟรอส ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องบ้าๆ ขึ้น น่าจะเพราะหลับกันไปทั้งคู่มากกว่า

เพ้นท์เองก็ไม่ใช่คนขี้โวยวาย จะให้โมเมว่าอากอดเขาก็ใช่เรื่อง แถมอับอายเสียเปล่าๆ เพราะความทรงจำสุดท้ายก็บอกว่าตัวเขาเนี่ยล่ะที่กอดอาเอง แถมคนที่ดูเหมือนเอาแต่ใจคนนี้จริงๆ ก็ช่างตามใจ ที่มานอนหลับเอาตรงนี้ก็เพราะเขาไม่ยอมปล่อย

นี่ถ้าท้องไม่ประท้วงว่ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันก็คงหลับถึงมืดค่ำเป็นแน่

ชายหนุ่มรู้ตัวเลยว่าเขาสบายใจขึ้นกว่าเดิมโข และสาเหตุก็เพราะคนที่หลับฟี้ๆ อยู่ข้างตัว

กี่โมงแล้ว

ความคิดที่ทำให้หันไปอีกด้าน แล้วโชคดีที่นาฬิกาก็อยู่พอดีสายตา

“บ่ายสาม!” เพ้นท์เด้งตัวขึ้นมานั่งทันที โชคดีที่คราวนี้อาฟรอสไม่ได้กอดเขาแน่นเหมือนหนก่อน

คราวก่อนที่ดิ้นไม่หลุดจากตัวอาก็เพราะอาฟรอสใช้สองมือกอดเอวแน่น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน อาฟรอสที่นอนอยู่ด้านในโซฟา ใช้มือหนึ่งหนุนต่างหมอน อีกมือก็วางเป็นหมอนหนุนให้เพ้นท์นอน แล้วตวัดมือข้างนั้นมาวางบนหัวเด็กน้อยหลวมๆ พอเขาลุกขึ้นนั่ง มือที่อากอดหัวเอาไว้ก็ตกห้อยลงข้างโซฟา ปล่อยร่างเพรียวเป็นอิสระอย่างง่ายดาย

หากท่วงท่าที่เพิ่งรับรู้ต่างหากที่ทำให้เพ้นท์หน้าร้อนวาบ

ชาตินี้อย่าว่าแต่ซบอกใครเลย แม้แต่นอนกับพ่อแม่ตอนเด็กก็ไม่เคยซบขนาดนี้!

“นี่อาคิดว่าผมกี่ขวบกันแน่”

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะค้อนให้คนตัวโต เขาก็ไม่มั่นหน้าอย่างไอ้เพลิงที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าถูกอาฟรอสลักหลับนี่ เพราะเห็นทีอาจะมองว่าเขาเป็นเด็กเล็กๆ ที่ถึงกอดกันไปก็ไม่เสียหายมากกว่า

เขาควรจะเจ็บปวดใจมั้ยที่โตขนาดนี้แล้วยังไม่มีเสน่ห์อย่างหนุ่มเต็มตัวเสียที

“ก็ดี ไม่คิดอะไรมากแบบนี้ก็ดี”

สุดท้าย เพ้นท์ก็ตัดสินใจว่าแบบนี้น่ะดีแล้ว ขืนอามองเขาเกินกว่าหลานก็คงมองหน้าอาไม่ติด ให้มองว่าเขาเป็นเด็กขี้แยตัวน้อยๆ แบบนี้ก็สบายใจดี อีกอย่าง...อ้อนได้

เชื่อเถอะว่าชีวิตนี้เพ้นท์เพิ่งจะเคยอ้อนใครได้ดูตัวเล็กตัวจ้อยขนาดนี้

“ขอบคุณนะครับอา”

เพราพนาไม่มีความคิดจะปลุกอา ไม่เชื่อด้วยว่าอาเป็นโรคนอนไม่หลับ เห็นทีจะขี้เซาล่ะสิไม่ว่า ดังนั้น เพ้นท์จึงจัดการจับมือที่ตกห้อยไปอยู่ข้างโซฟาขึ้นมาจะวางบนอกอกอาดีๆ แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้น ฝ่ามือที่ใหญ่และอุ่นก็เรียกดวงตาคู่โตให้เหลือบไปมอง

แปะ

ทันใดนั้น เด็กน้อยก็หน้าแดงซ่าน เพราะ...ดึงมืออาข้างนั้นมาวางลงกลางหัว!

“ขอบคุณนะครับอา ขอบคุณที่รับฟัง ผม...จะรักตัวเองให้มากๆ นะ”

ถ้าอาฟรอสตื่นอยู่ เพ้นท์คิดว่าเขาคงเขินจนไม่กล้าพูดแน่ ทั้งร้องไห้ ทั้งกอดอาแล้วโยเย แต่พออาหลับอยู่ เด็กน้อยก็เอ่ยขอบคุณคล่องปาก รู้สึกดีกับสัมผัสที่วางแนบบนศีรษะ

เพ้นท์มั่นใจแล้วว่าอาทำให้เขาเป็นเด็ก แถมอายังให้ความรู้สึกที่มั่นคง แค่อาวางมือลงบนหัว เขาก็คิดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจก็จะผ่านพ้นไปได้

หากตอนที่มาเมื่อเช้า เพราพนารู้สึกแย่แทบบ้า มาตอนนี้ เขากลับรู้สึกสบายใจอย่างไม่น่าเชื่อเช่นเดียวกัน

“ผมขอสมัครเป็นหลานอีกสักคนนะครับอา”

รู้ตัวว่ากำลังขอพึ่งอาของเพื่อน แต่เขาก็ทำใจกล้าขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เพ้นท์นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานนับนาที ซึมซับกำลังใจจากผู้ชายคนนี้แล้วก็ลุกขึ้นยืน

เขาไม่ลืมหรอกนะว่ามาที่บ้านหลังนี้ในฐานะอะไร ดังนั้น ตอนนี้ควรจะจัดการทำมื้อเย็นเตรียมไว้ให้เจ้าของบ้านดีกว่านั่งเป็นกระต่ายตาแดงจนอาตื่น

 

[ไหนมึงเล่าดิ๊ อากูนอนละเมอเหรอวะ]

“ไหนขอกูด่าหน่อยดิ๊ กูโทรหามึงตั้งแต่เมื่อวันก่อน มึงเพิ่งโทรกลับเนี่ยนะไอ้เพลิง!”

พอทำมื้อเย็นให้อาฟรอสเรียบร้อย เพราพนาก็ไม่ได้ปลุกคนที่ยังหลับสบายให้ตื่น แค่เขียนโน้ตไว้ให้ว่าขอกลับก่อน จากนั้นก็นั่งพี่วินออกมาเพื่อต่อรถประจำทาง ตอนที่เพื่อนสนิทโทรมา

ไอ้เพื่อนตัวเดียวกับที่ร้องครางอร๊างๆ ใส่เมื่อวันก่อนนั่นแหละ

[ก็กูยุ่งอยู่]

“ภารกิจผลิตลูกเหรอ” เขาประชด

[ก็อยากผลิตนะมึง แต่มึงต้องเข้าใจ ถึงจะน่ารักระดับจักรวาล แต่กูก็ไม่มีมดลูกเนี่ยสิ]

ไอ้เพลิงยังเล่น จนคนทางนี้ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ

“ช่างเหอะ ผ่านมาหลายวัน กูลืมหมดแล้วว่าจะพูดอะไร”

[แน่ะ ลืมจริงเหรอ เสียงผัวกูกร๊าวใจดีมั้ย]

“ไอ้เหี้ยเพลิง!”

ตกลงแล้วว่าที่มันรับสายตอนปฏิบัติภารกิจนี่คืออยากอวดผัว? คนอื่นอาจจะไม่ทำ แต่อย่างไอ้เพลิง เนี่ยทำชัวร์!

[น่ามึง เอาคืนที่มึงเคยปั่นกูเรื่องพี่สินธุ์ไง]

“กูเปล่า คนที่ทำคือไอ้เดรีย กูแค่พูดความจริงว่าถ้ามึงรักพี่สินธุ์ก็เลิกหาเหตุผลมาเถียงข้างๆ คูๆ ได้แล้ว” เพ้นท์บอกด้วยเหตุผล ก็ตอนที่ไอ้เพลิงกำลังลังเลว่าจะเลิกกับพี่สินธุ์ดีมั้ย ทั้งเขาทั้งไอ้แอนเดรียนี่พากันปวดหัว ยกเหตุผลสารพัดอย่างมายืนยันว่ามันโคตรจะรักพี่สินธุ์เลย

ก่อนหน้าที่เพื่อนคนนี้จะคบกับพี่สินธุ์ ไอ้เพลิงเป็นคน อืม มั่วไปทั่วมาก่อน มันยังยอมรับเลยว่าเป็นคนแรดๆ พอมาเจอพี่สินธุ์ เผลอไปนอนกับเขาคืนนึงเพราะเมา ก็ดันติดใจไงว่าผู้ชายชื่อเชยซื่อๆ คนนี้เป็นสัตว์ร้ายในฝันบนเตียง มันเลยทำทุกทางเพื่อจะได้เขาอีก ส่วนพี่สินธุ์ก็เป็นประเภทสุภาพบุรุษชนิดคบกันทีสามเดือนจับมือ หกเดือนอย่างน้อยถึงได้กัน ไอ้เพลิงนี่ประสาทจะกิน ล่อเขาทุกทาง เล่นละครสารพัดจนได้เขาเป็นผัวจนได้ แต่มันก็ดันบอกอีกว่าได้ฟันเขาเมื่อไหร่จะทิ้งให้ดู แต่ก็ไม่ทิ้ง อารมณ์ว่ารักเขาเต็มเปาแล้วนั่นแหละ

เรื่องราวก็เหมือนจะดีนะ แต่มันก็ยังสับสนไม่เลิก บอกว่าถ้าไม่เลิกตอนนี้เดี๋ยวสักวันก็ต้องเลิก ซักไปซักมาถึงรู้ว่ามันฝังใจเพราะเรื่องของอา...

“ไอ้เพลิง อาฟรอสคือคนที่ถูกทิ้งจริงๆ เหรอวะ”

เพ้นท์ก็นึกขึ้นได้ ถามขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ

ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้จักอาฟรอสก็เชื่อเรื่องที่เพื่อนเล่า แต่พอได้รู้จักกับอาแล้ว คนอย่างอาฟรอสเนี่ยนะเคยถูกทิ้ง

[ก็อาฟรอสกูเนี่ยแหละ คนทิ้งมันควาย]

พอพูดเรื่องนี้ ไอ้เพลิงก็ขึ้นทันที โกรธแทนอาอย่างเห็นได้ชัด

“มึงไม่ได้ตีไข่ใส่สีจริงดิ”

[มึงคิดว่ากูร้องไห้เล่นๆ เหรอวะ]

เพ้นท์เงียบ เพราะตอนนั้นเพื่อนก็เครียดเรื่องนี้จนร้องไห้จริงๆ แล้วมันก็ว่าต่อ

[ก็อย่างที่กูเล่าให้พวกมึงฟังนั่นแหละ สักสิบปีที่แล้ว ตอนอากูเป็นดาราดัง มึงเอ๊ย ไปไหนสาวก็กรี๊ดเหอะ เมื่อก่อนอากูก็อย่างกูเนี่ย ได้หมดถ้าสดชื่น แต่มึงนึกออกมั้ยว่าพออากูจริงจังกับใครแล้วคือให้แม่งทั้งใจ]

เขานึกออก ก็ดูอย่างหลานชายเป็นตัวอย่างสิ

[เออ ตอนนั้นอากูจริงจังเว้ย มากด้วย รักมากขนาดพาเข้าบ้าน แฟนอารู้จักพ่อแม่กู หลานอย่างพวกกูทุกคน ตอนนั้นอาโคตรเป็นผู้ชายที่มีความสุขเลยมึง อาเคยเล่าให้ฟังว่าอาวางแผนอนาคตกับแฟนคนนั้นเอาไว้ว่ายังไงบ้าง แล้วปัง! ความจริงไอ้เหี้ยนั่นคบซ้อน มีแฟนเป็นผู้หญิงอีกคนแล้วเสือกทำเขาท้อง แล้วก็โทษอาว่าเพราะอากูเป็นดาราไม่มีทางมีอนาคตร่วมกันหรอก เปิดเผยก็ไม่ได้ อะไรสารพัด แล้วก็บอกว่าเป็นผู้ชายยังไงก็ต้องแคร์ครอบครัว มีหลานให้แม่อุ้ม เหี้ยเหอะมึง คนมันจะเหี้ยก็อ้างได้สารพัด อากูพังเลยเว้ย จะเซอร์ไพรส์เขาแต่โดนเซอร์ไพรส์กว่า จนอาเกือบถูกรถบรรทุกเสย แต่ถึงหักพ้นอาก็ยับไปทั้งตัว รักษาตัวอยู่โรง’บาลเกือบสามเดือน ไอ้เหี้ยนั่นไม่ดูดำดูดีอากูเลยสักนิด กว่าที่อากูจะลุกขึ้นใหม่คือเกือบปี! เกือบปีนะมึง จะไม่ให้กูฝังใจได้ยังไงว่าผู้ชายด้วยกันไม่มีทางไปรอด นั่นขนาดอาฟรอสเชียวนะ!]

พอไอ้เพลิงเล่าเรื่องนี้ มันก็ใส่อารมณ์เต็มที่ ฟังดูก็รู้ว่าโกรธแฟนเก่าอาคนนั้นมากแค่ไหน แต่ไม่ต้องมันหรอก เขาฟังยังโกรธ

“โคตรเหี้ย”

[เออดิ โคตรพ่อโคตรแม่เหี้ย]

“อาฟรอสน่าจะเจอคนดีๆ กว่านั้นว่ะ”

ก่อนหน้านี้ก็เคยฟังเพื่อนเล่าเรื่องนี้มาหลายรอบแล้ว แต่พอมาฟังตอนนี้ เพ้นท์พบว่าอารมณ์เขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ตอนนั้นยังเป็นเรื่องของคนอื่น แต่ตอนนี้เขาสัมผัสความโกรธน้องๆ ไอ้เพลิงได้เลย

ทำไมต้องมีคนเลวๆ มาทำร้ายอาฟรอสด้วยวะ

[เดี๋ยวๆๆ มึงว่าอะไรนะ]

“กูบอกว่าอามึงน่าจะเจอคนดีๆ กว่านั้น”

[เฮ้ยๆ มึงปิ๊งอากูป่ะเนี่ย มีออกตัวแทน]

เพ้นท์ขมวดคิ้วฉับ อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้ำเสียงเพื่อนมีเลศนัย แต่ก็ตอบทันควัน

“เปล่า แค่นับถือในฐานะอาเพื่อน”

[อากูเด็ดนะมึง ลองสักทีแล้วจะติดใจ รับรองใหญ่ยาวถึงใจแน่นอน]

“ไอ้เพลิง!”

เพ้นท์หน้าร้อนวาบ ไม่เคยมองอาในแง่นั้น แต่พอไอ้เพื่อนจอมลามกที่มีงานอดิเรกกะขนาดของผู้ชายพูดใส่ ในหัวก็พลันนึกภาพที่ไม่น่านึก

[กูหมายถึงแขนขา ยาวถึงใจมั้ยล่ะ อากูกอดทีนี่มิดตัวนะเว้ย แน่ะ หนุ่มซิงคิดลึก]

ถ้าอยู่ใกล้จะแยกเขี้ยวใส่มันสักที เชื่อได้เหรอว่ามันไม่คิดลึก

“ก็ถ้ามึงเป็นเพื่อนกับคนแรดมาสามปี มึงไม่คิดก็บ้าแล้ว”

[แปลว่าตอนนี้มึงกำลังจินตนาการถึงท่อนซุงของอากู...]

“เท่านี้นะ กูขึ้นรถแล้ว”

ก่อนที่เพื่อนจะยัดเยียดความอัปรีย์เข้าหัวมากกว่านี้ เพ้นท์ก็ว่าไวๆ ตัดสายทิ้งแม่ง แล้วก็มาเข่นเขี้ยวกับนิสัยของไอ้เพื่อนบ้า

นี่ขนาดอามันยังไม่เว้น บ้าหรือเปล่าวะ สาธยายขนาดของอาให้เพื่อนฟัง

“ก็น่าจะใหญ่อยู่”

บ้าเอ๊ย! คนมันไม่เคยคิด พอมีคนพูดใส่มันก็แอบคิดสิวะ!

เพ้นท์ได้แต่ยกมือลูบหน้า ทั้งที่ความรู้สึกบางอย่างพลันสว่างวาบในอก

ถ้าอามีเรื่องไหนไม่สบายใจก็อยากเป็นคนรับฟังบ้าง

ตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเพราะอยากตอบแทน หรือเพราะ...เริ่มผูกพัน

 

ช่วงสายวันถัดมา ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องราวที่ได้ยินจากเพื่อนแล้วอยากปลอบโยนใครบางคน หรือเพราะสำนึกผิดที่ทำตัวเป็นเด็กใส่ แต่นายเพราพนาก็ใช้เวลาช่วงเย็นเมื่อวานไปตระเวนหลายตลาด และก็ได้หน่อไม้สดสวยๆ มาสามกิโลกว่า ทำการปอกเปลือกเรียบร้อย จนตอนนี้หน่อไม้อวบๆ อ่อนๆ สีเหลืองอ่อนนอนนิ่งอยู่ในกะละมังเตรียมนำมาทำอาหาร

อ้อ ก่อนหน้านี้เพ้นท์ต้องเอาคลิปไปยืนยันกับเจ้าของบ้านเลยนะว่านี่ปอกเอง ไม่ได้ซื้อแบบสำเร็จมาแล้ว อาฟรอสถึงจะเชื่อ

ไม่รู้จะแกล้งเขาเรื่องหน่อไม้อะไรนักหนา

‘เห็นมั้ย เพ้นท์หามาให้อากินได้แต่ไม่ทำ พอมาร้องไห้งอแงกับอาทีเดียว รู้สึกผิดจนหามาให้ได้เลย’

ไม่รู้จะรู้ทันอะไรนักหนา แต่เพ้นท์ยืนยันนะว่าก่อนหน้านี้หาแล้วแต่ตลาดแถวบ้านมันไม่มีขายจริงๆ

“ผัดเผ็ดหน่อไม้ กับแกงจืดใส่หน่อไม้ อาอยากกินหน่อไม้นักงั้นก็ไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์แล้วกันเนอะ”

เพ้นท์ยิ้มกว้าง อารมณ์อยากเอาคืนมันมาจากไหนก็ไม่รู้ อ้อ อาจมาจากที่ถามทีไรก็อยากกินแต่หน่อไม้ ให้เขาปวดหัวกับการนึกเมนูแต่ละวันเองก็ได้ล่ะมั้ง

ถ้าอาอยากกินนัก งั้นก็หน่อไม้เพียวๆ เลยแล้วกัน

เขานึกรู้ว่ามื้อนี้จะมีคนกินข้าวน้อย

พ่อครัวใหญ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี อารมณ์หน่วงๆ เจ็บๆ เมื่อวานมันหายแวบไปหมดแล้ว ยิ่งได้คุยกับเจ้าแฝด ฟังเจ้ารูปขอโทษหน้าหงอย กลัวเขาโกรธก็พาลปั้นหน้าดุไม่ลง ยิ่งน้องชายทำหน้าหมดหล่อยิ่งทำใจแข็งไม่ได้ วันนี้ก็สัญญาว่าจะรีบกลับก่อนเย็นแล้วไปทำของโปรดให้กิน

“หัวเราะแบบนี้หาเรื่องแกล้งอาอยู่ใช่มั้ย”

“เปล๊า!”

เพ้นท์เผลอเสียงสูง หันขวับไปมองคนที่มายืนเท้าแขนกับเคาน์เตอร์ครัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ก็อาได้ยินตั้งแต่บอกว่าจะไม่ใส่เนื้อสัตว์แล้ว”

อาฟรอสยิ้ม ผิดกับคนทางนี้ที่สะดุ้ง

“ก็อาบอกว่าอยากกินหน่อไม้ แล้วจะใส่เนื้อสัตว์ทำไม” แต่ก็ยังเถียงต่อ

“รู้มั้ยว่าเวลากินอาหารต้องกินให้ครบหมู่ แค่หน่อไม้กับข้าวจะไปพอซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายได้ยังไง” อาฟรอสมาวิชาการเต็มๆ แต่อย่าคิดว่าคนทางนี้จะไม่มีสาระ

“งั้นอาที่กินเนื้ออย่างเดียวก็กินอาหารไม่ครบหมู่เหมือนกัน เคยได้ยินมั้ยครับว่าควรจะกินผักให้ครบ 5 สี เดี๋ยวอาก็แก่ไวหรอก” ท้ายประโยคอดไม่ได้ที่จะพูดเองส่ายหน้าเอง ก็ดูสิ กินแต่อะไรก็ไม่รู้ ทำไมยังดูหนุ่มได้ขนาดนี้วะ

“แล้วใครว่าอากินไม่ครบ”

“หืม?”

เพ้นท์ก็ร้องสิ เพราะดูเมื่อวานสิ กะหล่ำปลีว่าซอยจนยิบยังไม่แตะสักเส้น จะเอาอะไรไปกินครบ 5 สี

พอเขาทำหน้าไม่เชื่อ อาฟรอสก็เลยเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น จนพ่อครัวใหญ่ยอมวางมือจากอาหารก่อน เดินตามไปดูว่าผู้ใหญ่จะมามุกไหน แต่ก็ทำเอาอึ้งเหมือนกันเมื่อเห็นอากำลังเรียงกระปุกสีขาวที่ติดฉลากต่างกันจนเต็มโต๊ะตัวเล็ก แล้วก็หันมายักคิ้วให้

“มาดูสิ รับรองว่าอากินครบ และกินมากกว่าเราด้วย”

“วิตามินเสริม!”

เพ้นท์คว้ากระปุกมาอ่านฉลาก แล้วเงยหน้ามองเจ้าของบ้านอย่างไม่เชื่อสายตา

“อื้อฮึ สกัดเข้มข้น ได้รับการรับรองจากสถาบันต่างประเทศแล้วทั้งนั้น เชื่อเถอะว่าอาดูแลตัวเองกว่าที่เราคิด” อาฟรอสบอกอย่างเหนือกว่า แต่เพ้นท์กลับไม่เห็นด้วย

คนเรากินของสดก็ดีกว่าของสกัดไม่ใช่เหรอ

“แต่...”

“พวกผักผลไม้ที่เด็ดออกจากต้นก็เสียคุณค่าทางอาหารไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงตลาด ถึงมือคนกินก็ไม่เหลืออะไรแล้ว แล้วอาจะฝืนกินเข้าไปทำไม ยาฆ่าแมลงอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” เพ้นท์ว่าเขาไม่โง่ แถมค่อนข้างจะรู้ทันคน แต่หน้าตาของอามันน่าเชื่อถือเสียจนเกือบจะคล้อยตาม

“แต่กินผักสดอร่อยกว่า ถูกกว่า และผมก็เชื่อว่ามันมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าที่อาคิด”

“ก็สำหรับอามันไม่อร่อย และอาก็ไม่แคร์เรื่องถูกกว่า”

“อ้อ ผมลืมไปเลยว่าอารวยนี่ ไม่เห็นค่าของเงิน” พอรู้ตัวว่ายังไงก็เถียงคนเอาแต่ใจไม่ได้ เพ้นท์เลยหน้ามุ่ยว่าไปอีกเรื่อง ซึ่งอาฟรอส...ยิ้ม

“ประชดอาเหรอเจ้าเด็กขี้แง มานี่เลย เมื่อวานยังกอดอาซะแน่น วันนี้เถียงฉอดๆ”

เพ้นท์ไม่รู้หรอกว่าอาฟรอสจะทำอะไร แต่เห็นผู้ชายตัวใหญ่พุ่งเข้ามาก็พุ่งหนีสิ จะอยู่ให้โดนจับเหรอ!

พอเขาวิ่ง อาฟรอสก็วิ่งตาม หนีเข้ามาถึงในห้องครัวก็อาศัยเคาน์เตอร์ครัวกั้นไว้ แต่ไม่รู้อานึกคึกอะไร ทำท่าจะปีนเคาน์เตอร์มาซะอย่างนั้น เพราพนาเลยวิ่งกลับที่เดิมหมายจะหนีเข้าห้องรับแขก แต่...

หมับ!

“ว๊ากกกกกกกกกกก!!!”

อาฟรอสแม่งพลิกตัวอย่างพริ้ว แล้วรวบเข้าที่เอวอย่างรวดเร็ว วางมือลงบนหัวแล้วขยี้หนักๆ จนเพ้นท์ร้องลั่น ไอ้ประเภทลูบเบาๆ ดูเป็นเด็กน้อยก็ชอบหรอก แต่ขยี้ซะหัวจะหลุดติดมือนี่ยอมนิ่งไม่ได้เหมือนกัน หากอาฟรอสสนใจมั้ย ไม่!

อากำลังหัวเราะอย่างชอบใจ!

“อาฟรอส พอแล้ว พอ!! ยุ่งหมดแล้ว ยอมแล้ว ผมยอมแล้ว ไม่ว่าแล้ว!”

“แต่อาไม่หยุด อาเหงามือ มาให้อาขยี้ซะดีๆ”

“อาฟรอส!!!”

เพ้นท์ทั้งดิ้น ทั้งหนี แต่สู้แรงไม่ได้ แล้วอย่างที่เพื่อนบอกว่าอาใหญ่ยาวถึงใจ อ้อ หมายถึงแขน พอโอบทีก็มิดเอว อีกมือก็ขยี้หัวหนักๆ จากที่จะหนีไปทางอื่น หลบไปหลบมา เขากลายเป็นซุกเข้าอกอาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ยิ่งตรงนี้ปลอดภัยสุด เขาก็ยิ่งซุกน่ะสิ

“ยอมแล้วอา ยอมแล้ว!”

“งั้นจะใส่เนื้อสัตว์ให้อามั้ย”

“ไม่!”

“งั้นเจอนี่”

“อ๊ากกกก ยอมแล้วๆ อาฟรอสเล็บอาโดนตาเพ้นท์!”

อาฟรอสหยุดมือทันที แล้วดันไหล่เขาให้ถอยออกไป แต่เรื่องสิ เดี๋ยวโดนเล่นอีก พอเขาดื้อไม่ยอมปล่อย อาฟรอสเลยใช้วิธีบังคับดันแค่หน้าให้เงยขึ้น

“ไหนลืมตา”

คนตัวโตปัดผมจนพ้นใบหน้าเไปแล้ว บอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่ไม่กล้าไว้ใจเลยยังหลับตาแน่น

“ไม่เอา เดี๋ยวอาแกล้งอีก”

“อาจะดูไงว่าตาแดงหรือเปล่า”

เพ้นท์ปรือตาขึ้นมอง แต่เขากลับพบ...รอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกใจเต้นแปลกๆ

แน่นอนว่าหลับตาลงทันที

“อาฟรอสยิ้มแบบนั้นแปลว่าจะแกล้งผม!”

“ดื้ออีก เดี๋ยวอาก็จูบซะเลย”

“เฮ้ย!”

เท่านั้นแหละ เพ้นท์ก็ลืมตาโพลง มองคนที่กำลังยิ้มนุ่มๆ

เขาอาจจะไม่คิดกับอาฟรอสเกินกว่าอาของเพื่อน แต่การได้มองเข้าไปในดวงตาคมกริบของผู้ชายคนนี้ก็พลันทำให้เพ้นท์รู้สึกตัวว่าตอนนี้เขาอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่โคตรมีเสน่ห์คนหนึ่ง คนที่รูปหล่อ ใจดี และกำลังมองเขาราวกับว่าเป็นขนมหวานที่น่าลิ้มลอง

ไม่ๆๆ มึงคิดไปเอง อาไม่มองมึงแบบนั้นหรอก!

หากอาฟรอสกลับโน้มหน้าเข้ามาแล้ว

“อะ...อา...” คนทางนี้เสียงสั่น มือจับแขนอาแน่น

“ชู่ววว”

เขาไม่รู้ว่าอาชู่วอะไร แต่แค่เสียงนุ่มๆ ยิ้มอุ่นๆ นั้นก็ทำให้เพ้นท์ตัวเห่อร้อนไปหมด!

เพ้นท์มองตาอา ตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก สองมือจิกแขนอาแน่นกว่าเดิม ไม่เข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น อากำลังจะแกล้งอะไร แต่...อากอดเอวเขาแน่นขึ้น

ออดดดดดดดดดดดดดดดด!

เฮือก!

ทันใดนั้น เสียงออดก็ดังลั่นบ้าน ฉุดสติที่หายเข้ากลีบเมฆของเพ้นท์ให้กลับมาอีกครั้ง จนรีบหมุนตัวให้พ้นอ้อมกอด ดันสุดแรง ถอยหลังสามก้าวถ้วน

“ผะ...ผมไปดูก่อนนะครับว่าใครมา”

งานนี้เผ่นได้เผ่น!

เพราพนาจึงไม่รู้ว่าพอคล้อยหลังเขา อาหนุ่มก็ยกมือลูบหน้าด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อเหมือนกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น