9

ตอนที่ 9 อาฟรอสเป็นคนหล่อ


ตอนที่ 9 อาฟรอสเป็นคนหล่อ?

แม้เพ้นท์จะรู้ดีอยู่แล้วว่าอาฟรอสแหย่เขาเล่น แถมมองว่าเป็นเด็กน้อยไม่ประสีประสา แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่วันรุ่งขึ้นอาบอกว่าไม่ต้องมา เพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไงใส่คนที่จูบเขาดี หากวันหยุดหนึ่งวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และวันถัดมา ชายหนุ่มก็โผล่มาอยู่กลางห้องครัวของอาเพื่อนอยู่ดี

ทว่าความกังวลก็สลายหายไปกับสายลมเมื่ออาโทรมาบอกว่าจะกลับเข้าบ้านตอนเย็น ถ้าทำอาหารไว้ให้แล้วกลับเลยก็ได้

ตอนนี้เด็กน้อยจึงทำงานบ้านอย่างสบายอารมณ์

เขาใช้เวลาช่วงเช้าจัดการเสื้อผ้าที่อากองทิ้งไว้ เก็บผ้าที่ตากไว้ พับให้เรียบร้อย แล้วขึ้นไปจัดการห้องนอนห้องเดียวที่มีการใช้งาน ซึ่งทุกอย่างก็เสร็จอย่างว่องไว แล้วลงมาเตรียมมื้อเย็นที่ต้องเป็นเมนูซึ่งแม้จะเอาเข้าไมโครเวฟอุ่นก็ยังอร่อยน่าทาน แต่ยังไม่ทันจะตัดสินใจเลยว่าทำอะไรดี โทรศัพท์ก็เข้า

อาฟรอส

“ครับอา”

แม้จะเขินตอนอยู่ต่อหน้า แต่การได้ยินเสียงตามสายไม่นับ

[เพ้นท์ยังไม่กลับใช่มั้ย]

“ยังครับ อามีอะไรหรือเปล่า”

[เพ้นท์เข้าไปในห้องทำงานอาให้หน่อย]

พอปลายสายว่าเช่นนั้น เพราพนาก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินไปยังประตูบานที่ปิดเอาไว้ประจำ เขามาที่บ้านหลังนี้นานพอจะรู้ว่าประตูบานไหนเป็นห้องอะไร แล้วห้องกระจกที่เคยเห็นปิดม่านจากฝั่งของรั้วไผ่ก็คือห้องทำงานของอาฟรอสนั่นเอง

ห้องทำงานของอาให้ความรู้สึกเหมือนสตูดิโอเล็กๆ มากกว่า ได้ยินอาบอกว่าเป็นห้องเก็บเสียง พอเปิดม่านออกไปก็จะเห็นทิวไผ่สีเขียวสดไว้พักสายตา ตกแต่งให้ความรู้สึกอบอุ่น และสิ่งที่อาให้มองหาก็วางอยู่บนโต๊ะทำงาน

[เห็นแมคบุ๊คบนโต๊ะมั้ย]

“เห็นครับ”

[เฮ้อ อาลืมเอามาจริงด้วย งานที่จะใช้วันนี้อยู่ในนั้นหมดเลย]

“ให้ผมเอาไปให้มั้ยครับอา”

คนทางนี้อาสาทันที หันไปมองนาฬิกาที่บอกว่าแค่บ่ายโมงกว่า

[มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะ โอเค งั้นเดี๋ยวอาส่งแผนที่เข้าไปในไลน์นะ เพ้นท์เรียกแท็กซี่มาเลย เดี๋ยวอาออกค่ารถให้]

อาฟรอสสั่งอีกสองสามคำแล้ววางสายไป

พอได้รับคำสั่งมา เพ้นท์ก็รีบกลับเข้าห้องครัวเอาของที่ออกมาเข้าตู้เย็นตามเดิม ปิดล็อกบ้าน เช็กทุกตัวล็อกว่าไม่ลืมตรงไหน แล้วเปิดแอพพลิเคชั่นในมือถือเพื่อเรียกรถ จากนั้นก็เข้าไปเอาแมคบุ๊คของอามากอดแนบอก รอรถมารับ

อาอาจจะไม่ได้บอกว่าด่วน แต่จากน้ำเสียงของอาฟรอสก็คิดว่าด่วนมากจริงๆ

“รบกวนเร็วหน่อยนะครับพี่”

“ได้เลยน้อง เดี๋ยวพี่ซิ่งให้”

แม้คนขับแท็กซี่จะรีบให้ตามที่บอก แต่สถานที่ที่อาให้มาก็ตั้งอยู่กลางเมือง กว่าจะฝ่าการจราจรช่วงบ่ายไปได้ก็เสียเวลาเป็นชั่วโมง แถมเพ้นท์ยังต้องมายืนอึ้งท่ามกลางผู้คนมากมายที่รออยู่บริเวณหน้าอาคารเป้าหมาย

ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว...มีงานอะไรหรือเปล่า

หากเขาไม่มีเวลาสงสัยมากกว่านั้น เพราะรีบติดต่อหาคนที่บอกให้มา แต่กลับโทรไม่ติด

เพ้นท์กำลังลังเลว่าควรจะเดินไปหาพี่ยามดีมั้ย แต่ทางนั้นก็ดูกำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดการคนที่รออยู่หน้าตึก แล้วยิ่งมองไปทางไหนก็เจอแต่กล้องโปรฯ ยาวเป็นบ้องข้าวหลามก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง

“น้องคะๆ ยืนตรงนี้มั้ยคะ ตรงนี้ร่ม”

เขาหันไปมองตามเสียงเรียก แล้วก็เห็นผู้หญิงหลายคนที่ในมือมีกล้องตัวใหญ่ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร พลางชี้มายังร่มเงาข้างตัวอย่างมีน้ำใจ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธด้วยการเดินไปตามคำเชิญ ในสมองกำลังคิดว่าเขาควรจะทำยังไงกับแมคบุ๊คในมือดี

“รอหน่อยนะคะน้อง เห็นผู้จัดการบอกว่าจะออกจากตึกกันมาตอนบ่ายสาม อีกประมาณยี่สิบนาที”

เพ้นท์ได้ข้อสรุปแล้วว่าคงไม่น่ามีงานอะไร แต่ทั้งหมดนี่น่าจะเป็นแฟนคลับมารอดารามากกว่า

“ขอบคุณครับพี่”

ไอ้ครั้นจะบอกว่าไม่ได้มารอก็เหมือนจะหักหน้าพวกพี่ๆ ที่มีน้ำใจไปนิดนึง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทะเล่อทะล่าเข้าไปเลยดีมั้ย เพราะเขาไม่มีอะไรเป็นหลักฐานว่ามาขอพบคนที่อยู่ในตึก ไม่ใช่แฟนคลับที่อยากเข้าไป ยิ่งมองสายตาบางคนที่ฉายแววมุ่งมั่น ไฟลุกพรึ่บพั่บ เจ้าตัวก็อดจะเกรงเล็กๆ ไม่ได้

สิ่งที่เพ้นท์พยายามทำต่อไปคือติดต่อหาเจ้าของเครื่อง

“ไหนเล่าต่อดิ๊ เมื่อเช้าเจอพี่ฟรอสแล้วไงต่อ”

กึก!

ก่อนเขามา พี่ๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้คงคุยกันค้างอยู่ ชื่อที่ปรากฏในบทสนทนาจึงทำให้เพ้นท์ชะงักมือที่ฟังเสียงบริการฝากข้อความ

“ก็ไม่ไงหรอก หล่อไงมึง เมื่อก่อนหล่อยังไง กูว่าเดี๋ยวนี้ก็หล่ออย่างนั้น”

“พี่เขาแก่แล้วนะเว้ย”

“แล้วไม่ใช่มึงเหรอที่เมื่อก่อนกรี๊ดพี่เขาจะเป็นจะตาย ถ้าเด็กเดี๋ยวนี้กรี๊ดอปป้าแทบหลอดเสียงพัง มึงก็เคยกรี๊ดพี่ฟรอสจนคลั่งเหมือนกัน” เพ้นท์ลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงช้าๆ แต่หูยังคงฟังบทสนทนาของกลุ่มนี้ต่อไป

“เออน่า”

“เออก็เออ เดี๋ยวนี้แกชอบเด็กแล้วนี่ แต่พี่ฟรอสหล่อจริงว่ะ ไม่รู้สิ ฉันยังรู้สึกว่าออร่าดาราจับอยู่เลยนะ คือมองแวบแรกแล้วต้องเหลียว หน้าตา หุ่นเหิ้นยังดีไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย เสียดายไม่เล่นหนังแล้ว”

“เขาบอกว่าชอบงานเบื้องหลังมากกว่า”

“ไหนว่าไม่ได้ตามแล้วไง”

“แหม คนมันเคยเป็นแฟนคลับก็ต้องมีบ้างดิวะ ที่เขามาวันนี้ก็เพราะน่าจะมาช่วยงานนั่นแหละ สนิทกับผู้จัดกองนี้จะตาย” เพื่อนฝูงยังแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันอยู่ แต่สำหรับเพ้นท์แล้วกำลังเกิดคำถามขึ้นมาในใจ

หรือเรื่องที่อาฟรอสเป็นอดีตดารารูปหล่อที่ทำให้สาวๆ มดลูกสั่นจะเป็นเรื่องจริง

ที่ผ่านมา เพ้นท์อาจจะเข้านอกออกในบ้านของอาฟรอสหลายที เจอหน้ากันบ่อยเสียยิ่งกว่าเพื่อน แต่ความรู้สึกที่เพ้นท์มีต่ออาก็ยังเป็นในด้านที่ว่าอาเป็นคนใจดี อ่อนโยน อบอุ่น เป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ อาจจะขี้แกล้งบ้าง เย้าแหย่ใส่บ่อยๆ แต่นั่นก็ทำไปเพื่อให้เขาไม่คิดมากและสบายใจ แต่ในมุมของหนุ่มหล่อเสน่ห์แพรวพราวนี่...ไม่เคยคิดเลยแฮะ

หากทันใดนั้น ภาพใบหน้าของอาตอนที่โน้มเข้ามาใกล้ก็แวบขึ้นมาในหัว

ดวงตาคู่คม แพขาตาหนาน่าลูบ จมูกโด่งน่าอิจฉา ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มอบอุ่น ทั้งหมดทั้งมวลนี่เป็นองค์ประกอบของหนุ่มหล่อไม่ใช่เหรอ

ไม่หรอก ถึงคนอื่นจะเห็นอาในฐานะอดีตดาราดัง แต่ความจริงก็เป็นแค่คนแก่ที่ชอบใส่เสื้อยืดกางเกงเล และเอาแต่ใจว่าอยากจะกินแค่เนื้อไม่กินผักก็เท่านั้น

“มึงงงง! พี่เขาเป็นแวมไพร์หรือไงวะ หล่อเหี้ยๆ!”

เพราพนาหลุดจากความคิดตัวเอง เมื่อพบว่ารอบข้างมีความเคลื่อนไหว ต่างหันไปมองทิศทางของทางเข้าอาคารซึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกมา

“นั่นดิ ยังกับสตาฟเอาไว้เมื่อสิบปีก่อน โคตรหล่อ”

“ไม่เถียง!”

ผู้ชายคนนี้คืออาฟรอสจริงๆ น่ะเหรอ!

เพ้นท์ได้แต่ถามตัวเองเสียงดังลั่น

ผู้ชายคนที่ปล่อยผมยุ่งเหยิงตามธรรมชาติสวมแค่กางเกงเลกับเสื้อยืดตัวใหญ่หายไปไหน!

ทำไมคนที่กำลังมองซ้ายมองขวาอยู่หน้าตึกถึงดู...หล่อขนาดนี้

ตอนนี้ร่างสูงไม่ได้สวมเสื้อผ้าเหมือนตอนอยู่บ้าน เรียกว่าต่างกันลิบโลก เพราะช่วงขายาวอยู่ในกางเกงยีนสีดำสนิทที่ดูทันสมัยโชว์ท่อนขายาวแบบนายแบบ ท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีขาวสะอาดตา หากแต่สวมทับด้วยเบลซเซอร์สีน้ำเงินเข้มที่ดูไม่เป็นทางการเกินไป ไม่ลำลองเกินไป เมื่อรวมทั้งหมดนั่นเข้ากับเครื่องหน้าที่เพียบพร้อมกับเรือนผมที่เซ็ตเสยขึ้นไป ผู้ชายคนนี้ก็ดูต่างจากนายจ้างเขาราวกับคนละคน!

อดีตดาราหนุ่มที่ดึงดูดสายตาบรรดาแม่ๆ ซึ่งมารอนักแสดงในดวงใจได้ชะงัดนัก

นี่เป็นครั้งแรกที่เพ้นท์ถามตัวเอง

อาฟรอสหล่อขนาดนี้เชียวเหรอ

คนที่เขาอยู่ด้วยทุกวันมีเสน่ห์ขั้นนี้?

อีกครั้งที่ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นยามกำลังโน้มหน้ามาจูบเขาแวบเข้ามาในหัว จนเพ้นท์เพิ่งตระหนักได้ว่าเขาเสียจูบให้กับคนที่มีเสน่ห์ขนาดนี้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยจริงดิ

ไม่หรอก ถ้าไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยจะอยากหลบหน้าอาไปทำไม

“เพ้นท์ ทางนี้”

กึก!

แล้วผู้ชายที่ตกเป็นเป้าสายตาก็เห็นเขาท่ามกลางผู้คนมากมาย ส่งเสียงเรียก ส่งยิ้มมาให้

รอยยิ้มที่อบอุ่นเสียจนเจ้าของชื่อหน้าร้อนวาบ ร้อนไปทั้งตัว

“ขอบคุณนะครับที่ให้หลบแดด”

ชายหนุ่มรีบบอกกับพี่ๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ โค้งให้เพราะมือกอดแมคบุ๊คอยู่ แล้วรีบก้มหน้าก้มตาจ้ำไปหาคนที่เรียก แก้มแดงระเรื่อ ไม่ใช่เพราะสายตาหลายคู่ แต่อับอายต่างหากที่เขาความรู้สึกโคตรช้า เพิ่งจะรับรู้เสน่ห์ที่แท้จริงของอาหนุ่ม

“นี่ครับอา งั้นผมกลับแล้วนะ”

หมับ!

งานนี้จะไม่ให้เพ้นท์สะดุ้งสุดตัวได้ยังไง ในเมื่ออาฟรอสไม่แคร์สายตาใครเลยสักนิด จัดการจับข้อมือเขาเอาไว้

“มานี่ก่อน อย่าเพิ่งกลับ”

ว่าแล้ว อาก็จับจูงมือเด็กน้อยพาเดินเข้าไปในอาคารด้วยกัน

ดังนั้น ภาพที่หลายคนเห็นและบางคนยกกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บไว้ได้คืออดีตพระเอกหนุ่มที่จับจูงมือเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งอย่างไม่อายสายตาใคร

“น้องคนนั้นเป็นใครอะ”

“จะไปรู้เหรอ ก็ยืนอยู่ด้วยกัน”

“น่าจะสะกิดใจว่ะ น้องเขาก็หล่อเอาเรื่องนะ”

“หล่อน่ะใช่ แต่ขนาดเดินจูงมือกับพี่ฟรอสต่างหากที่อยากรู้ว่าใคร”

“เด็กปั้นพี่เขาหรือเปล่า”

คำถามที่ไม่มีใครได้รับคำตอบ แต่หลายคนก็อยากรู้แล้วว่าตกลง เด็กหนุ่มหน้าตาดีมารยาทงามที่ผู้กำกับรูปหล่อจูงมือเดินนี่เป็นใครกันแน่

 

“เป็นอะไรน่ะเรา เมาแดดเหรอ”

“เปล่าครับ แล้วเมื่อไหร่อาจะปล่อยมือผม”

“อ้อ อากลัวมีเด็กหลงน่ะ”

เพ้นท์ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายผู้ชายคนนี้ดีเลย เมื่อกี้ก็ดูเป็นผู้ชายมากเสน่ห์เปี่ยมออร่าอยู่หรอกนะ แต่พอพ้นสายตาคนอื่น ไหงกลับมาเป็นคุณอาที่ชอบเย้าแหย่คนเดิมได้ก็ไม่รู้ จนรีบดึงมือที่ร้อนผ่าวให้หลุดจากการเกาะกุม แล้วก็ส่งของที่ถูกสั่งให้เอามาส่ง

“ผมโตพอที่จะเอาของที่สั่งมาส่งถึงมือก็แล้วกันครับอา”

“เฮ้อ เด็กนี่มันโตไวจริงนะ ไม่กี่วันก่อนยังร้องไห้งอแงอยู่กับอกอาอยู่เลย วันนี้บอกว่าโตซะแล้ว”

คนที่เพิ่งร้องไห้งอแงไปก็หน้าร้อนน่ะสิ หากความรู้สึกเกร็งยามที่เห็นอาเดินออกมาจากประตูก็ผ่อนคลายลงทีละน้อย

อาฟรอสอาจจะดูต่างออกไปจากเวลาที่อยู่บ้าน แต่นิสัยอาก็ยังเหมือนเดิม

เวลาอยู่ใกล้ๆ แล้วสบายใจ

“แล้วทำอีท่าไหนไปยืนอยู่ตรงนั้นได้”

“ก็อาไม่รับสายผมนี่ครับ ผมไม่รู้จะเอาของให้อายังไง”

เพ้นท์ตอบตามความจริง โล่งใจที่ของถึงมืออาแล้ว แต่ไม่วายที่จะเงยหน้ามองหน้าอาของเพื่อนชัดๆ

ทำไมก่อนหน้านี้ถึงมองไม่เห็นเลยนะ

“หรือสายตาจะสั้นลง”

“เพิ่งรู้เหรอว่าสายตาสั้น”

คนที่เผลอหลุดความในใจออกมาสะดุ้งน้อยๆ เพราะไม่ใช่แค่เขาที่มองหน้าอาฟรอส แต่อาเองก็กำลังมองหน้าเขายิ้มๆ ไม่เห็นรีบอย่างน้ำเสียงที่บอกว่าให้เอาของมาให้ แถมยังมีการวินิจฉัยให้อีกว่าเขาสายตาสั้นจริง

“ผม...”

“และความรู้สึกช้า เพิ่งรู้ตัวเหรอว่าคนที่อยู่ด้วยหน้าตาดี”

อาฟรอสพูดเองเออเองเฉย มั่นหน้าเสียจนเพ้นท์อดจะหมั่นไส้ไม่ได้

“ไม่บอกไม่รู้เลยว่าอากับไอ้เพลิงเป็นญาติกัน”

“ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอก หน้าอากับเพลิงไปกันคนละทิศเลย”

“ผมประชดครับอา” เพราพนาว่าอย่างหมั่นไส้สุดๆ ความรู้สึกที่คิดว่าต้องไม่กล้าสบตาอาฟรอสแน่ๆ หายไปหมดแล้ว เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่มองหน้า เขาจ้องตากลับด้วย เห็นคนที่แววตาเป็นประกายอย่างคนอารมณ์ดี

“เป็นเด็กเป็นเล็กรู้จักประชดประชันซะด้วย”

เพ้นท์ไม่โต้ตอบ มีเพียงริมฝีปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ อย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

อาฟรอสก็ยังเป็นคนเดิม...

“แล้วตกลงจะมองว่าอาหล่อได้หรือยัง”

และหุบยิ้มแทบไม่ทันตอนที่อาฟรอสถามต่อ

คำพูดของอาทำให้คนฉลาดนึกรู้ว่าอาเองก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้สึกถึงเสน่ห์ของอาเลย และคิดว่าคงไม่รู้ไปอีกนาน ถ้าไม่ได้มาเห็นอายามที่อยู่นอกบ้าน ไม่สิ เสียงบางอย่างในใจเพ้นท์บอกว่าไม่ใช่เพราะเห็นอาแต่งหล่อผิดปกติหรอก แต่สิ่งที่สะกิดเตือนว่าอาฟรอสคือ ‘ผู้ชายคนหนึ่ง’ คือจูบแผ่วๆ สองจูบนั้น

มันกำลังกู่ร้องว่านี่ไม่ใช่แค่ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งแต่อา...เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ

“ผมรู้ว่าอาหล่อครับ ไอ้เพลิงบอกผมทุกวัน”

ทางนี้ก็พยายามเลี่ยง

“อาไม่ได้ถามเพลิง แต่อาถามเพ้นท์ต่างหาก”

ส่วนอีกคนก็กัดไม่ปล่อย แม้ปากจะยิ้ม ตาจะพราว แต่เพราพนารู้สึกได้ว่าอากำลังกดดันเขาไม่น้อย

ดวงตาคู่นั้นมองตรงมาที่เขา

“ผม คือผม...”

การบอกว่าอาเพื่อนหล่อมันควรจะง่ายสิ เพ้นท์ก็ชมว่าพี่สินธุ์ของไอ้เพลิงหล่อ หรือพี่แอนดริวพี่ชายแอนเดรียหน้าตาดีมาหลายครั้ง แต่ทำไมไม่รู้ที่จู่ๆ การชมอาฟรอสก็ทำให้เขาอ้ำอึ้งพูดไม่ออก แก้มร้อนๆ ราวกับจะเป็นไข้

อาฟรอสเองก็ยังมอง

“ผม คือ...”

RRRRRrrrrrrrrrrrrr

“เฮ้ออออ”

วินาทีนั้นเอง เพ้นท์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะว่าโทรศัพท์ของอาฟรอสดังแทรกเข้ามา จนอาละสายตายามคว้ามันขึ้นมาแนบหู

“โอเค เดี๋ยวขึ้นไป”

อาตอบรับไม่กี่คำก็วางหู ซึ่งคนทางนี้ก็รีบบอกไวๆ

“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”

แปะ

แต่เพียงหมุนตัวหันหลังให้ อาฟรอสก็วางลงบนกลางหัวเป็นการหยุดฝีเท้าเขาไว้ได้

“หึๆ ถอนหายใจดังเชียวนะ คิดว่าจะรอดเหรอถ้าอาไม่ปล่อยไปน่ะ” เสียงของอาดูขบขัน แต่เพ้นท์เผลอมุ่ยปาก งึมงำในลำคอ

“งั้นแปลว่าอาจะปล่อยผม”

อาฟรอสนิ่งไปหน่อย แล้วขยี้หัวเขาเบาๆ แต่ก็ยอมปล่อยออก

“ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ”

คนฟังหันไปสบตาอย่างไม่เข้าใจความหมายที่แฝงมาเท่าไหร่ แต่อาเองก็เลิกใช้สายตากดดันแล้ว แค่ยกโทรศัพท์มาต่อสายหาใครบางคนแทน

“เดี๋ยวอากลับขึ้นไปคุยงานก่อน ส่วนเราก็กลับกับเพลิงแล้วกัน”

“เพลิง ไอ้เพลิงเพื่อนผมอะนะครับ มันมาด้วยเหรอ” เพ้นท์หันไปมองรอบตัว แต่ก็ไม่เห็นใคร จนวกกลับมามองอาฟรอสที่เคาะนิ้วลงบนโทรศัพท์ที่เอาแนบหูไว้เบาๆ

“สักชั่วโมงก่อน เพลิงโทรมาหาอาว่าเย็นนี้จะแวะเข้าไปที่บ้าน เห็นว่าอยู่ห้างฯแถวนี้ อาเลยจะฝากเพ้นท์กลับด้วย ไปรออาที่บ้านกับเพลิงแล้วกัน อ้อ ไม่ต้องรีบกลับล่ะ เย็นนี้อยู่กินข้าวเย็นกันก่อน...ฮัลโหล อาเองนะ อยู่ไหนแล้ว”

คนทางนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนคุยอะไรกับอา แต่เขาก็รู้สึกอุ่นๆ ในใจ

เขากลับเองก็ได้ ไม่ต้องลำบากให้ใครมารับ แต่อาก็จัดการให้ทุกอย่าง

นอกจากนั้น พออาจะขึ้นไปทำงานก็ลูบหัวเขาเบาๆ ปัดผมที่ยุ่งเหยิงเมื่อครู่ให้เข้าที่เข้าทางแล้วบอกอย่างใจดีว่าให้รอเพลิงอยู่นี่ มาเมื่อไหร่ก็ออกไปทางประตูด้านข้าง จะได้ไม่วุ่นวาย ที่สำคัญ...

“ไปรออาที่บ้านนะ”

ทำไมประโยคนี้มันอุ่นวาบไปทั้งใจก็ไม่รู้สิ

 

“โห คนเยอะแยะเลยว่ะ วันนี้ดาราคนไหนมาเหรอ”

“กูจะไปรู้มั้ย มาถึงก็งงอย่างมึงเนี่ย อ้อ ขอบคุณมากนะครับพี่สินธุ์ที่มารับผม”

ภายในรถ เพ้นท์หันไปตอบคำถามตุ๊กตาหน้ารถ แล้วค่อยหันไปบอกกับคนขับด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ เพราะไม่ใช่แค่เพื่อนที่มารับเขาคนเดียวเท่านั้น แต่รอบนี้มันพกแฟนมาด้วย

ไอ้ประเภทให้เพื่อนมารับยังไม่เท่าไหร่ แต่เกรงใจแฟนเพื่อนมากกว่า

“ไม่เป็นไรครับ” พี่สินธุ์ของไอ้เพลิงยังคงยิ้มใจดีเป็นสุภาพบุรุษเหมือนเดิม

“ยังไงก็ขอบคุณมากเลยครับพี่”

“หูย มึงต้องขอบคุณกูสิ กูขอให้พี่สินธุ์แวะมารับมึงเลยนะเว้ย”

“ไม่ใช่เพราะว่าอาฟรอสบอกให้มึงมารับกูเหรอ” พอเห็นเพื่อนหัวเราะคิกๆ คนทางนี้ก็ขัดเข้าให้ ซึ่งนั่นหยุดไอ้เพลิงได้ผลนัก เพราะมันเหลียวกลับมามองเขาที่นั่งเบาะหลัง ดวงตาแวววาว ปิดบังความเสือกเอาไว้ไม่มิด

“มึงกับอากูเป็นไงบ้าง”

“ก็เป็นนายกำนัลกับนายจ้างไง” เขาตอบด้วยสีหน้าว่ามึงจ้างกูเอง ลืมแล้วเหรอ

“ไม่ใช่ กูไม่ได้หมายความแบบนั้น กูจะถามว่ามึงคิดว่าอากูเป็นคนยังไง” คนฟังหรี่ตาลงทันที เขาอาจจะตามไม่ทันอาฟรอสบ้าง แต่กับไอ้เพลิงนี่ไม่ใช่ รู้เช่นเห็นชาติมันมาหมดแล้ว จนว่าเสียงเย็น

“หยุดทุกความคิดในหัวมึงเลยนะไอ้เพลิง”

“มึงรู้หรือว่ากูคิดอะไร”

“ไม่เรื่องใต้สะดือก็เรื่องลามก”

“แหม ไม่มีทางเลือกให้กูเลยนะ กูนี่คิดต่ำกับต่ำใช่ป่ะ”

การเป็นเพื่อนกันมานานทำให้เพ้นท์ตอบด้วยความเกรงใจว่า...

“เออ!”

ส่วนไอ้เพลิงก็หัวเราะอย่างไม่คิดมาก ก็ถ้ามันเปิดเผยขนาดที่นั่งวิจารณ์ผู้ชายที่เดินผ่านไปผ่านมาว่าจะมีอาวุธคู่กายไซซ์ไหน เรื่องไหนมันก็คงไม่ยี่หระอีกแล้วละ จะติดก็แค่เกรงใจแฟนของมัน กลัวว่าตัวเองจะเผลอไปบอกธาตุแท้เพื่อนให้พี่สินธุ์รู้

“ผมแค่แซวกับไอ้เพลิงเล่นๆ นะพี่สินธุ์”

“ครับ พี่รู้ว่าน้องเพลิงเป็นคนเปิดเผย”

“แรดก็ได้พี่สินธุ์ เพลิงรู้ตัว แต่พี่สินธุ์ก็ชอบใช่มั้ยครับ”

คนขับหันไปส่งยิ้มให้คนข้างกายอย่างแสนรัก

“ขอเป็นน้องเพลิงพี่ก็ชอบหมดแหละ”

เชื่อหรือไม่ว่าคนหน้าด้านอย่างไอ้เพลิงหน้าแดงซ่าน เขินแฟนมันไปแล้ว

“อ้อ แต่พี่สงสัยครับ นายกำนัลที่พูดถึงคืออะไร เป็นโค้ดลับเหรอ” พี่สินธุ์วกกลับมา ให้คนแต่งตั้งตำแหน่งประหลาดให้เพ้นท์หัวเราะ

“ก็นายกำนัลที่เหมือนนางกำนัลอะพี่ ตอนแรกจะให้มันเป็นนายสนองพระโอษฐ์อาของเพลิง แต่ได้ยินว่านางสนองพระโอษฐ์จริงๆ คือผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ซิงเว่อร์อย่างไอ้เพ้นท์เป็นไม่ได้หรอก” ถ้าเขาฆ่ามันตอนนี้ พี่สินธุ์จะว่าอะไรมั้ย

“ใช่มั้ยหนุ่มซิง”

“มึงจะพูดอะไรก็พูดเหอะไอ้เพื่อนแรด”

ฉายาในกลุ่มเขาดีๆ ทั้งนั้น

ถ้าเขาคือหนุ่มซิง ไอ้เพลิงก็เพื่อนแรด ส่วนแอนเดรียก็เป็นต่างด้าว

“กูพูดก็ได้ อากูหล่อใช่มั้ยล่ะ อยู่กับอากูแล้วมดลูกมึงสั่นบ้างมั้ย”

“ไอ้เพลิง กูไม่มีมดลูก” เขาต้องแย้งมัน แต่ไอ้เพลิงสนใจที่ไหน

“นอกจากจะหล่อแล้วอาโคตรใจดี เอาใจเก่ง เสน่ห์นี่ระดับเทพบุตรชั้นฟ้า ใครไม่ชอบอาก็ตายด้านเกินไปแล้ว” คนฟังรู้สึกไปเองมั้ยว่าวันนี้มันโฆษณาอามันชัดเหลือเกิน จนมองหน้า มองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วด้วยความรู้จักกันมาหลายปี เพ้นท์จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง

“เออ แล้ววันนี้มึงมาหาอาฟรอสทำไม”

“อ้าว ก็อากู มึงก็พูดแปลก”

ไอ้เพลิงตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่เพ้นท์ก็รู้อีกนั่นแหละว่าตั้งแต่มันมีแฟนเป็นตัวเป็นตน มันก็ติดพี่สินธุ์มาก ถึงจะโทรคุยกับอาตลอด แต่ก็ไม่ค่อยเจอกัน วันนี้เลยแปลกใจว่าลมอะไรหอบมา จะว่าเปิดตัวพี่สินธุ์ก็ไม่น่าใช่ คิดว่าอาฟรอสคงรู้จักพี่สินธุ์ดีอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ก็จากปากของหลานที่เล่าทุกอย่างให้อาฟัง

“โอเค มึงไม่แปลกก็ได้ กูเพิ่งรู้เมื่อวานว่าอดีตอาสะใภ้กูไปหาอา”

เพื่อนตัวเล็กยอมรับแต่โดยดี ขณะที่สีหน้ารื่นเริงอารมณ์ดีของมันเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด

“อาเล่าให้มึงฟังเหรอ”

“เปล่า อาฟรอสไม่เอาเรื่องอะไรที่คิดว่ากูจะไม่สบายใจมาเล่าให้ฟังหรอก แต่บ้านกูมีหนึ่งคนที่รู้ทุกเรื่อง ตั้งแต่รูบนตะเข็บกางเกงในพ่อยันประวัติแฟนพี่พาย”

“อ้อ น้องสาวมึง”

“เออ พรรณโทรมาบอกเมื่อวานว่าเมียเก่าอาไปอาละวาด วันนี้เลยกะจะไปหาอา เผื่ออาจะอารมณ์ดีขึ้น แต่เห็นทีจะไม่ต้องแล้ว โทรไปหาแล้วเสียงโคตรปกติ ไม่ดิ ฟังดูอารมณ์ดีแปลกๆ” คนพูดว่าไปก็เหล่มามองเขาไป แต่เพ้นท์สนใจเรื่องอื่นมากกว่า

“ทุกทีอาจูนมาแล้วอาฟรอสจะอารมณ์ไม่ดีเหรอ”

“อย่าพูดชื่อ! เดี๋ยวเสนียดติดรถ!!”

เพราพนาสงสัยว่าเพื่อนเขาปากร้าย หรือนิสัยผู้หญิงคนนั้นเลวร้ายเกินรับไหวกันแน่

“งั้นอดีตอาสะใภ้ของมึง”

“สบายหูขึ้นเยอะ”

เห็นได้ชัดว่าไอ้เพลิงเองก็เกลียดภรรยาเก่าอาฟรอสเอาเรื่อง ซึ่งเพ้นท์ก็ไม่แปลกใจ ยิ่งได้เจอตอนที่ผู้หญิงคนนั้นด่าเพื่อนเขาเสียหาย และแน่นอนว่าเขาไม่เล่าเรื่องนี้หรอก ไม่อยากให้มันคิดมาก ถึงมันจะไม่เคยคิดมากตอนที่ถูกด่าว่ามั่วก็เหอะ

“แล้วตกลงว่าไง”

“เออดิ มึงเจอเองกับตัวไม่รู้สึกเหรอวะ กูกับพวกพี่พายยังเคยพนันกันเล่นๆ เลยว่าคู่นี้จะหย่ากันเมื่อไหร่ เรียกว่าแพ้กันหมด เพราะไม่มีใครทายว่าจะแต่งกันเกินปีเดียวสักคน” ไอ้เพลิงเล่าแบบใส่อารมณ์ แล้วยิ่งเล่าอารมณ์ก็ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

“อากูไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นหรอก อาแต่งเพราะตัดปัญหา แต่ถึงงั้นอาบอกว่าแต่งแล้วก็อยากรับผิดชอบให้ถึงที่สุด กูเห็นเลยว่าปีแรกอาฟรอสทรมานแค่ไหนที่พยายามเล่นเป็นครอบครัวกับผู้หญิงคนนั้น แต่คนมันจะเลวอะนะมึง ไม่นานสันดารมันก็โผล่ไง นิสัยนี่รับไม่ได้จริงๆ ว่ะ ขี้โวยวาย ชอบโยนความผิดให้อากู ตัวเองถูกเสมอ กูว่ากูเอาแต่ใจแล้วนะ ไม่ได้เสี้ยวคนนี้เลย แล้วก็ไม่ทำอะไรเลยนะ ใช้เงินอากูไปวันๆ เอาไปแจกญาติพี่น้อง ทำตัวเป็นราชินี พอไม่ได้ก็มาร้องไห้โวยวายกับแม่กูว่าอาไม่ทำหน้าที่สามี โน่นนี่สารพัด อาฟรอสก็ทนไง ยอมอยู่ด้วยไปก่อน พอเกือบครบปีที่สองอากูก็ไม่ไหวแล้ว อาก็เลยจะหย่า”

คนฟังทึ่ง แต่ไม่แปลกใจเพราะเจอฤทธิ์มาเองกับตัว

“พอรู้ว่าอาจะหย่าเท่านั้นแหละมึงเอ๊ย พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำตัวอ่อนหวานน่ารักขึ้นมาเชียว แต่ที่อากูทนไม่ได้เลยก็คือจู่ๆ มาบอกกับอาว่าท้อง” เพ้นท์ฟังอย่างตั้งใจ ไม่มีความคิดที่ว่าอารับไม่ได้เพราะไม่ต้องการรับผิดชอบเด็ก

เขาเห็นแล้วว่าอาฟรอสรักเด็กแค่ไหน ดูแลหลานดีแค่ไหน

“ทำไมวะ”

“วันนั้นกูสะใจฉิบหายเลยมึง อากูปล่อยให้พล่ามจนหมดเลยนะว่ามีเด็กแล้วไม่สงสารลูกบ้างเหรอ จะหย่าขาดกันได้ยังไง แล้วเด็กจะเป็นยังไงสารพัดอย่าง พอพูดจบ อากูพูดขึ้นมาประโยคนึง” ไอ้เพลิงทำหน้าแบบว่าไม่มีอะไรสะใจกว่านี้อีกแล้ว จนยิ่งอยากรู้ว่าอาพูดอะไร

“ไอ้เพลิง อย่าลีลา”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฟังดีๆ อาฟรอสบอกว่า...” ไอ้เพลิงเงียบไปอึดใจ แล้วก็ผายมือทั้งสองข้าง

“...ผมเป็นหมัน”

“ฮะ!”

ไม่ใช่แค่เพ้นท์ที่ร้อง พี่สินธุ์ที่ฟังเงียบๆ ยังร้องอย่างแปลกใจเลย ซึ่งคนเล่าก็พยักหน้าหงึกๆ ยิ้มเหี้ยม

“เออ อาฟรอสเป็นหมัน ตอนนั้นไม่มีใครรู้ กูกับที่บ้านก็ไม่รู้ อามาบอกทีหลังว่าพอจะแต่งงาน อาก็คนดีไงไปตรวจสุขภาพให้เรียบร้อย อาก็รู้ตอนนั้นเหมือนกันว่าเป็นหมัน แต่ไม่ได้บอกใคร พอบอกทีเดียวก็ตู้ม! ระเบิดลงไงมึง วันนั้นวุ่นวายฉิบหาย อดีตอาสะใภ้กูนี่แก้ตัวสารพัด ไปๆ มาๆ เลยรู้ว่านางโกหกเพราะกลัวจะต้องหย่าแล้วไม่มีที่เกาะไง แล้วธาตุแท้ก็แตกอีกรอบ ยืนยันว่าจะกอดใบทะเบียนสมรสไม่ปล่อย เรื่องมันเลยคาราคาซังมานานไง”

“คดีพลิกสุดๆ” เพ้นครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหู

“มาก! ตั้งแต่นั้นอากูก็แยกเตียงใครเตียงมัน ก็ถือว่าเก่งนะที่ผู้หญิงคนนั้นเกาะทะเบียนสมรมมาได้ตั้งห้าปี” ไอ้เพลิงเล่าอย่างเมามัน สุดท้ายมันก็บอกอย่างโล่งอก

“ถึงกูจะเคยคิดว่าไม่อยากให้อาอยู่คนเดียว แต่คิดอีกที เลิกกันไปแบบนี้ดีกับอาที่สุดแล้ว”

คนฟังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย

เขาไม่รู้หรอกว่าอาฟรอสจะรู้สึกแย่แค่ไหนที่เมียมาบอกว่าท้อง ทั้งที่ตัวเองเป็นหมัน แต่คงแย่มาก จนไม่อยากให้คุณอาแสนใจดีคนนั้นต้องเจอเรื่องแบบนี้เลย

สีหน้าท่าทางที่เพลิงก็เปรยขึ้นมาเหมือนเอ่ยกับฟ้าฝน

“ถ้าอาฟรอสเจอคนดีๆ ก็ดีเนอะ มึงว่ามั้ย”

เพ้นท์ก็ตอบรับไปโดยไม่คิดอะไร

“อืม กูก็อยากให้อาได้เจอคนดีๆ เหมือนกัน”

เขาไม่เห็นจริงๆ ว่าไอ้เพลิงฉีกยิ้มชั่วร้ายออกมาทันที

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น