1

ตอนที่ 1 วันที่สายลมพัดมา


ตอนที่ 1 วันที่สายลมพัดมา

สองเดือนหลังจากนั้น...

“กำลังมันเลย ต่อไปเล่ม 45”

ภายในหอพักนักศึกษาที่อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยชื่อดังมากนัก เจ้าของห้องอย่างนายนภนท์หรือไอ้สกายของเพื่อนๆ กำลังนอนกระดิกขาอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ บนฟูกข้างกายเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนนับสิบเล่มที่วางทับกัน ซึ่งพออ่านจบ เจ้าตัวก็โยนเล่มในมือวางซ้อนเล่มอื่น จากนั้นก็กลิ้งมาขอบเตียงเพื่อควานหาหนังสือการ์ตูนเล่มต่อที่เพิ่งซื้อมายกชุด

“นี่ 46 แล้วเล่ม 45 อยู่ไหนวะ”

พอคว้าหนังสือเล่มบนสุดขึ้นมาแล้วพบว่าไม่ใช่เล่มที่ต้องการ คนที่นอนอืดมาตั้งแต่เมื่อวานก็เด้งตัวขึ้นจากที่นอนยับยู่ รื้อหาหนังสือการ์ตูนที่ซื้อมารวดเดียว 70 เล่ม กะจะอ่านให้ตาแฉะกันไปข้าง แต่ไม่ว่าจะรื้อดูสันของหนังสือ หรือเทที่เหลือออกมาจนเต็มเตียง สกายก็ยังหาเล่มที่ว่าไม่เจอจนขมวดคิ้วฉับ

“อะไรวะ ตั้งแต่ 46 ถึง 70 ก็ครบนี่หว่า แล้วเล่มที่ 45 ของกูอยู่ไหน!” เจ้าของห้องพึมพำอย่างหงุดหงิด เพราะมานั่งเรียงหนังสือที่ยังไม่อ่านแล้วพบว่าขาดไปแค่เล่มเดียว และสายตาก็พลันเห็นบิลที่ยัดเอาไว้ตอนซื้อร่วงลงมาตอนที่เทหนังสือ จนคว้ามันขึ้นมา กะว่าถ้าคิดเงินมา 70 เล่มละก็ ไอ้กายจะแล่นไปฉีกอกถึงร้าน

ใครจะทำอะไร ไอ้กายไม่โกรธ แต่อย่ามาทำให้ขาดช่วงตอนกำลังอ่านการ์ตูน!

ความคิดของคนที่นั่งนับจำนวนเล่มในบิลแล้วคำนวณในหัวอย่างว่องไวเพื่อพบว่า...

“69 เล่มจริงๆ ด้วย”

สรุปคือไอ้คนขายหยิบมาให้เขาไม่ครบสินะ

ตุบ!

พอคิดได้แบบนั้น สกายก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงอีกครั้ง ยกมือขยี้ตาที่ชักแสบจากการอ่านการ์ตูนข้ามวันข้ามคืน แต่คนกำลังมัน อะไรก็หยุดไม่ได้ทั้งนั้น อีกทั้งตอนเปิดเทอมยังอดนอนจนชิน กับแค่นอนอ่านการ์ตูนโง่ๆ ไปวันๆ ไม่ทำร้ายเขาเหมือนตอนอาจารย์สั่งงานรัวๆ หรอก

“กี่โมงแล้ววะ”

พอหนังสือขาดช่วง คนที่ไม่ชอบอ่านอะไรข้ามก็ถามถึงเวลา ซึ่งเพียงเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนบนผนัง เจ้าตัวก็ไม่นึกแปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาแสบตาได้ขนาดนี้

น่าจะอดนอนมาวันครึ่งแล้ว

ความคิดของคนที่ลูบท้องป้อยๆ เพราะเมื่อรู้ตัวว่าไม่ได้นอนแล้วไง ก็เลยสำเหนียกว่าไม่ได้กินเหมือนกัน

“กิน อาบน้ำ นอน ตื่นมาค่อยไปหาซื้อเล่ม 45” เด็กหนุ่มสรุปกับตัวเอง แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดูว่ามีอะไรประทังชีวิตบ้าง เพราะแม้เขาจะเป็นเด็กหอ แต่ใช่ว่าเด็กหอทุกคนพึ่งบะหมี่สำเร็จรูปนี่นะ อย่างน้อยก็ขอเป็นอาหารแช่แข็งที่มีข้าวหน่อยเถอะ

นี่แหละกิจวัตรประจำวันในช่วงปิดเทอมของนายนภนท์

แม้ว่าในช่วงเปิดเทอม สกายจะเป็นหนึ่งในกรรมการชั้นปีของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่เพื่อนฝูงให้การนับถือ แต่ในช่วงปิดเทอมที่ไม่ต้องวิ่งหัวหกก้นขวิด ทำงานส่งอาจารย์มือเป็นระวิง เขียนแบบมากกว่าโทร.คุยกับพ่อแม่ รวมทั้งรับผิดชอบกิจกรรมรุ่น เด็กหนุ่มเองก็อยากจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไม่สนคืนไม่สนวันบ้างเหมือนกัน

แม้ว่าจะทำตัวแบบนี้มาเป็นเดือนแล้วก็เถอะ

พอรื้อเจออาหารสำเร็จรูป สกายก็ไม่ลังเลเลยที่จะยัดมันเข้าไมโครเวฟ แล้วถอดเสื้อโยนลงตะกร้า คิดจะอาบน้ำให้สดชื่นแล้วค่อยมากินอาหารมื้อ...มื้อไหนก็ช่างมันเถอะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถอดกางเกง เสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้องมาจากแถวๆ ใต้หมอน ให้เดินอย่างเกียจคร้านไปหาที่มาของเสียง

“ทะเลาะกับผัวแล้วบ่นให้กูฟังอีกสินะ”

สกายว่าคล้ายเบื่อหน่าย แต่กลับยกยิ้มจางๆ นึกขบขันเพื่อนสนิทอย่างไอ้วาเรนที่เมื่อก่อนโทร.มาได้ทุกวี่วัน ระบายพร่ำเพ้อเรื่องที่จีบสาวไม่ติด ตอนนี้พอมีผัว (ครับ อ่านถูกแล้ว!) พอมันมีผัวเป็นตัวเป็นตนก็ไม่ค่อยโทร.มากวน จะโทร.มาทีก็ตอนที่มีปัญหาอยากปรึกษา และเชื่อเถอะว่าเช้าๆ แบบนี้ก็มีมันคนเดียว

เด็ก’ถาปัตย์ไม่นิยมตื่นเช้า แม้จะเป็นช่วงปิดเทอมก็ไม่เว้น

ทว่าตัวเลขสิบหลักที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ขมวดคิ้วมุ่น

จากที่คิดว่าเป็นเพื่อนคงไม่ใช่แล้วละ และสกายก็ไม่คิดจะตัดสายทิ้ง เพราะอย่างที่ว่า...ว่าเขาเป็นกรรมการรุ่น บางทีก็จะมีโทรศัพท์จากอาจารย์ เจ้าหน้าที่ หรือพวกรุ่นพี่ที่แทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำมาถามเรื่องกิจกรรม ซึ่งช่วงนี้จะมีอะไรได้ถ้าไม่ใช่การรับน้อง

อีกไม่กี่สัปดาห์ สกายก็จะเป็นนักศึกษาปีสอง และโชคดีเหลือเกินที่ไอ้ซิก เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนอาสาจะเป็นเฮ้ดปีสอง และหวังด้วยว่าพอตอนขึ้นปีสาม ซึ่งเป็นเฮ้ดหลักดูแลการรับน้องทั้งหมด จะมีคนอาสาแบบนี้ เพราะให้ไอ้สกายนั่งทำเอกสารเป็นตั้งๆ ยังดีกว่าต้องไปเล่นเฮฮาต่อหน้าพวกปีหนึ่ง บอกตรงๆ ว่าคงทำไม่ได้

เขามันคนเงียบๆ อยู่เงียบๆ ไม่มีปัญหากับใคร ดังนั้นคนที่ไม่ชอบมีปัญหากับใครจึงกดรับสายทันท

“สวัสดีครับ”

[…]

แต่ปลายสายมีเพียงความเงียบ จนต้องเอ่ยต่อ

“ฮัลโหล ได้ยินมั้ยครับ”

[ชัดแจ๋วเลยครับ]

คนฟังขมวดคิ้วมุ่นกับน้ำเสียงขี้เล่น แต่ยังไม่เอะใจ เรียกว่าลืมไปสนิทเลยก็ว่าได้

“ใครพูดอยู่ครับ”

[แล้วใครถามอยู่ครับ]

กวนตีน!

สกายหรี่ตาลงนิด รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าปลายสายกำลังเล่นเขาแล้วไง เพียงแต่จำไม่ได้จริงๆ ว่าเสียงแบบนี้เป็นคนรู้จักคนไหน ดีไม่ดีเกิดเป็นรุ่นพี่ที่ชอบแหย่รุ่นน้องเล่น ด่าไปก็มีแต่ซวยกับซวย คนรักสงบอย่างเขาก็แค่ถอนหายใจนิด บอกด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“สกายพูดครับ”

[ชื่อน่ารักจังเลย]

“ถ้าโทร.มาแค่นี้ งั้นผมวางนะ”

[ใจร้อนซะด้วย]

ต่อให้เย็นยังไง เจอแบบนี้เข้าไปก็คิ้วกระตุก

“ครับ ผมเป็นคนใจร้อน เพราะงั้นผมวางนะ”

[แล้วอย่างอื่นร้อนด้วยมั้ย]

โรคจิตนี่หว่า

ทว่ายังไม่ทันที่สกายจะกดวาง ปลายสายก็ว่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะที่ชักจะคุ้นๆ แต่ยังนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร ในใจก็ด่าไปเต็มคำว่าโรคจิตแน่ๆ แต่เขามันพวกจิตแข็ง ถึงจะเจอแบบนี้ก็ยังนิ่งอยู่ได้ ผิดกับความสงสัยที่กำลังทวีคูณว่าไอ้เวรนี่เป็นใครกันแน่

“ก็ร้อนหมดทั้งตัวแหละครับ”

[แน่ะ! อะไรร้อนเหรอ ไปช่วยให้เย็นมั้ย]

คนทางนี้เหยียดยิ้มเย็น

“มนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่นนะครับ ผมเป็นมนุษย์จะตัวร้อนบ้างก็ไม่แปลก ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องมาช่วยผมหรอก พอดีผมไม่ชอบคลุกคลีกับพวกสัตว์เลือดเย็น เท่านี้นะครับ” จากนั้นก็วางสายแม่ง!

“เหี้ย!”

ความหมายชัดๆ ของคำที่เพิ่งจะด่าออกไป

ในเมื่อสัตว์เลือดเย็นคือสัตว์เลื้อยคลาน แล้วสัตว์เลื้อยคลานในแว่บแรกที่สกายนึกถึงคือ...ตัวเหี้ย!

ถ้ามันมีสมองนึกออกก็ถือว่าด่าสัมฤทธิผล แต่ถ้าไม่...ก็ปล่อยให้โง่ต่อไปนั่นแหละดีแล้ว

“หงุดหงิดแต่เช้า”

ติ๊ง!

จังหวะนั้นเองที่ไมโครเวฟส่งเสียงร้อง จนคนนึกเคืองสูดหายใจลึกๆ โยนโทรศัพท์ลงบนเตียง แล้วเปิดฝาไมโครเวฟ คว้าข้าวกล่องร้อนๆ มาโยนลงบนโต๊ะญี่ปุ่น ตามด้วยหยิบช้อนที่เสียบอยู่ไม่ห่าง ปัดไล่เรื่องโรคจิตออกไปจากใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดฝากล่องข้าวเลย...

RRRRRrrrrrrrrrrrrr

เจ้าของเครื่องสูดหายใจลึกๆ หันไปคว้ามันมาดู แล้วพบว่ายังเป็นเบอร์ของไอ้โรคจิตคนเดิม

“ถ้าคุณมีเวลาว่างนัก ผมแนะนำให้โทร.ไปปรึกษาจิตแพทย์”

[ฮื่อ พี่ไม่ไปหรอก ถึงไปหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี]

น้ำเสียงอารมณ์ดีดังมาตามสาย สงสัยจะคิดไม่ออกว่าเพิ่งโดนด่าไปหยกๆ

“ผมว่า...”

[เพราะพี่ป่วยเป็นโรครัก]

กึก!

คนฟังกลืนทุกคำลงคอ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ แต่เพียงชั่ววินาทีเท่านั้น เพราะ...

“ถ้าเป็นโรคลักปิดลักเปิดก็ไปยัดวิตามินซีเข้าปากนะ โทร.มาหาผมก็ช่วยอะไรไม่ได้”

ปลายสายหัวเราะเสียงนุ่มๆ ที่พาให้จั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งประโยคที่สวนกลับมา...

[พี่เป็นโรค ‘รรรรรรัก’ จริงๆ นะ]

คราวนี้กระดกลิ้นร.เรือมาเต็มๆ จนคนทางนี้กลอกตา คิดว่าความอดทนใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว และเขาจะปาโทรศัพท์เข้าผนังอยู่รอมร่อ ยิ่งคุยกับคนกวนประสาทแบบนี้ ท้องก็ร้องโครกครากแถมยังปวดแปล๊บๆ ราวกับโรคกระเพาะจะถามหา

ไหนจะ...

[เตรียมตัวให้ดี เพราะพี่จะจีบแล้วนะ]

คนฟังเม้มปากเข้าหากัน สมองทำงานเร็วจี๋ว่าปลายสายเป็นใครกันแน่

“คุณเป็นใคร” พอคิดไม่ออกก็ถามตรงๆ

[สายลมรูปหล่อไงครับ]

แต่ยิ่งฟัง สกายก็ยิ่งนึกไม่ออก คนคนเดียวที่เขารู้จักและใกล้เคียงกับคำว่าสายลมที่สุดก็คงเป็นพี่พายุ ซึ่งเป็นแฟนไอ้เรน แต่แค่นึกว่าแฟนเพื่อนพูดจาแบบนี้ เขาก็ขนหัวลุกแล้ว ไม่มีทางเลยที่พี่พายุคนนั้นจะพูดจาเกี้ยวพาแบบนี้ อีกทั้งรายนั้นรักไอ้เรนจะเป็นจะตาย ไม่มีทางอยู่แล้วที่จะมาหยอกเขาเล่น

ท่าทางนิ่งเงียบไปทำให้ปลายสายว่าต่อขำๆ

[อ้อ เตรียมใจด้วยล่ะ เพราะพี่ไม่ได้มาเล่นๆ...งั้นพี่ไม่กวนแล้ว บ๊ายบาย]

“เดี๋ยว...”

ทว่าเป็นสกายเสียอีกที่เป็นฝ่ายร้องเรียก แต่ไม่ทันอีกคนที่ตัดสายทิ้ง จนได้แต่จ้องมองหน้าจอที่กลับมาปรากฏภาพของอะนิเมะในดวงใจ สมองครุ่นคิดอย่างหนักว่าเขาเผลอไปทำอะไรที่ทำให้ใครมาติดตาต้องใจด้วยเหรอ ซึ่งไม่ว่าจะนั่งคิดหรือตะแคงคิดก็...ไม่มี

เขาเลิกเที่ยวตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย ไม่เคยบอกใครว่าเป็นเกย์ ดังนั้นถ้าจะมีครั้งไหนที่เข้าเค้าก็น่าจะเป็นเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อน

สกายเผลอตัวนอนกับผู้ชายที่เจอในงานแข่งรถคราวนั้น แต่นี่มันหลายเดือนแล้ว นานชนิดที่ลืมไปเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งช่วงเวลาสั้นๆ ที่อยู่ด้วยกันบอกเขาว่าผู้ชายแบบนั้นไม่มีทางจริงจังกับใคร ก็แค่หยอกเล่นกับทุกคนที่นึกพึงใจก็เท่านั้น และเขาแค่บังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดี

ทันใดนั้น ใบหน้าของผู้ชายที่ดูมั่นอกมั่นใจในตัวเองก็แว่บเข้ามาในหัว ทั้งดวงตาสีน้ำผึ้งที่ดูขี้เล่น ริมฝีปากที่ชอบยกยิ้มมุมปาก และเสน่ห์ที่เจ้าตัวมั่นใจว่ามีอย่างเต็มเปี่ยม จนสกายเองก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้ชายคนนั้นหมอบราบคาบแก้วบนเตียง

ทุกอย่างลอยเข้ามาในหัวจนต้องหลับตาลง

“ไม่ใช่หรอก ชื่อก็ไม่รู้ เบอร์ก็ไม่ได้ให้ อาจจะแค่โรคจิตที่โทร.สุ่มเบอร์เล่นก็ได้”

สกายปัดไล่ความคิดนี้ออกไป แต่ยังไม่ทันที่จะได้จับช้อนกินข้าว

RRRRRrrrrrrrrrrrr

“กูจะได้กินข้าวมั้ยวันนี้”

เขาพึมพำอย่างหงุดหงิด เหลือบมองหน้าจอนิด แล้วกดรับสาย

“ต้องการอะไร”

[ต้องการบอกกับน้องสกายคนน่ารักว่า ถึงด่าพี่ว่าเหี้ยก็ไม่เจ็บหรอกนะ พี่ชินแล้ว หึๆ]

ปลายสายพูดแค่นั้น แล้วตัดสายทิ้ง จนสกายอ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก โดยเฉพาะเสียงหัวเราะนุ่มๆ ตอนสุดท้ายที่บอกว่าทางนั้นขบขันแค่ไหนกับคำด่าของเขา จนง้างมือเตรียมจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง แต่...

RRRRrrrrrrrrrrrr

“อะไรอีกวะ!!!”

ตอนนี้คนเย็นก็ร้อนได้ที่ ดังนั้นสกายจึงกดรับโดยไม่มองเบอร์โทรศัพท์ด้วยซ้ำ ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด และนั่น...

[งื้อ มึงเป็นอะไรอะ โกรธอะไรกูเนี่ย]

ครั้งนี้สกายจำเสียงได้ชัดแจ๋ว

“ไอ้เรน”

[เออ กูเอง มึงเป็นอะไรหรือเปล่า โกรธอะไรกูเหรอ อย่าโกรธเลยนะ กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย]

เพื่อนสนิทว่าน้ำเสียงหงุงหงิง ดูรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด จนสกายเองก็ถอนหายใจหนักๆ ไม่อยากเอาเรื่องหงุดหงิดไปลงกับเพื่อน เสียงที่เอ่ยตอบไปจึงเย็นลงกว่าเดิมโข

“เปล่า กูแค่กำลังจะแดกข้าว แล้วมึงโทร.มาขัด”

[เอ่อ งั้นกูวางก่อนนะ มึงก็แดกข้าวให้อร่อยนะ]

แต่มีเหรอที่ไอ้เรนจะสัมผัสไม่ได้ว่าเขากำลังอยากฆ่าคนเต็มที่ มันเลยบอกด้วยน้ำเสียงแห้งๆ แล้ววางสายไป

สกายส่ายหน้าช้าๆ แม้จะนึกแปลกใจที่คนอย่างไอ้เรนยอมวางง่ายๆ ไม่ถามซอกแซกอย่างทุกที แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์สงสัยเรื่องอะไรทั้งนั้น แค่คิดว่าใครโทร.มากวนก็ปวดสมองมากพอแล้ว ไหนจะข้าวร้อนจัดที่แทบจะเย็นเฉียบนี่อีก

“สายลมรูปหล่อ? ฮึ! สายลมเฮงซวยละสิไม่ว่า”

ตอนนี้สกายจึงทั้งง่วงนอน แสบตา หิวข้าว น้ำไม่ได้อาบ จนนึกในใจว่าถ้าสายลมที่ว่ามายืนตรงหน้า เขาคงเตรียมตัวเตรียมใจแน่ละ ไม่ใช่เพราะจะรับรักบ้าบออะไรนั่น แต่เตรียมใจเป็นฆาตกรกะซวกท้องคนกวนประสาทสักครั้งในชีวิต

“อุ่นใหม่ก็ได้วะ”

สุดท้ายก็ได้แต่งึมงำกับตัวเองเบาๆ แล้วลุกไปยัดกล่องข้าวเข้าไมโครเวฟ

แต่นายนภนท์ยังไม่รู้ว่าสายลมที่ว่านี้ไม่ได้พัดมาแล้วพัดผ่านไปง่ายๆ หรอกนะ อย่างที่เขาว่า...ไม่ได้มาเล่นๆ

 

แว่บหนึ่ง สกายคิดว่าผู้ชายที่โทร.มากวนโอ๊ยเขาคือคนเดียวกับที่เขาเผลอมีความสัมพันธ์ทางกายด้วย แต่ความคิดนี้ก็ปลิวหายออกไปจากใจ เมื่อเห็นข้อความที่ทางนั้นส่งมาให้ทุกวี่ทุกวัน ไม่ใช่ว่าสกายจะยอมเปิดอ่านหรือตอบโต้ทางนั้นหรอกนะ ไม่เลย เขาไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความคิดจะคุยด้วยด้วยซ้ำ แต่แอ๊พพลิเคชั่นที่เด้งเตือนบนหน้าจอทุกครั้งต่างหากที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่ากำลังโดนเล่นสงครามประสาทอยู่

...สวัสดีครับ วันนี้อากาศดีจัง เงยหน้ามองฟ้าแล้วเห็นน้องสกายด้วย...

...ปิดเทอมทำอะไรบ้าง พี่เบื่อจังเลย...

...ใกล้เปิดเทอมแล้ว น้องสกายเตรียมตัวพร้อมหรือยัง...

เขานึกทึ่งความช่างตื๊อของอีกฝ่ายเอาเรื่องเหมือนกันที่แม้ไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน แต่ก็ยังส่งโน่นนี่มาได้ทุกวัน และสรุปง่ายๆ ว่าคงเป็นรุ่นพี่สักคนที่คณะ ซึ่งทำให้หนักใจเอาเรื่อง เพราะหากเป็นรุ่นพี่จริงแล้วต้องเผชิญหน้า เขาต้องบอกปัดยังไงไม่ให้ทางนั้นรู้สึกว่า...กูรำคาญฉิบหาย!

ตอนนี้สกายไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนสนิทอย่างไอ้เรนจะจีบสาวไม่ติด ก็ลองเจอข้อความแบบนี้ทุกวัน แทนที่จะสยิว เขาบอกได้เลยว่าสยอง และยิ่งสยองทวีคูณ เมื่อเช้าวันเปิดเทอมได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเตือนมาพร้อมกับข้อความสั้นๆ

...วันนี้เราจะได้เจอกันแล้วนะ...

ขนลุกฉิบหายเลยครับ

สกายถอนหายใจแรงๆ มองเงาสะท้อนในกระจก เขาเป็นพวกยอมรับความจริง และคิดว่าหน้าตาแบบนี้ไม่น่าจะไปต้องตาต้องใจใครได้ เขาไม่ได้น่ารักอย่างไอ้เรน หรือหล่อสัสรัสเซีย (อย่างที่ไอ้เรนโม้ให้ฟังประจำ) อย่างพี่พายุ ไม่ได้โดดเด่นด้วยบุคลิกสบายๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายอย่างไอ้ซิก เขาเป็นคนธรรมดาที่มองไปทางไหนก็เจอ อีกทั้งสกายไม่คิดจะเสริมเติมแต่งให้ตัวเองน่าดูอย่างที่ทำเมื่อหลายปีก่อน

เขาเป็นแค่คนดาดๆ ที่ตั้งใจเรียน ทำกิจกรรมแยะ เลยรู้จักคนเยอะ ก็เท่านั้น

นายนภนท์คนนี้เลิกคิดว่าตัวเองก็มีเสน่ห์มานานมากแล้ว

“ท่าทางพี่จะตาถั่วนะ” สกายบอกกับโทรศัพท์มือถืออย่างขำๆ

แม้ใจหนึ่งจะบอกว่าขนลุก แต่อีกใจก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าของข้อความพวกนี้เป็นใคร ถึงแม้หัวใจจะบอกว่าไม่สนใจความรักก็ตาม

 

กูน่าจะเชื่อสัญชาตญาณแรกสุด!

วันเปิดเทอมแรกของปีสองไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก แม้จะเป็นคณะที่ได้ชื่อว่าอาจารย์สั่งงานโหดสุดๆ ก็ยังไม่ได้ยัดห่ากันมาตั้งแต่คาบแรก จะมีอะไรน่าสนใจขึ้นหน่อยก็ตรงที่เข้าสู่ช่วงรับน้อง แต่สกายไม่ได้ทำงานอยู่เบื้องหน้าอยู่แล้ว เขาเป็นคนช่วยรุ่นพี่ทำเอกสารโน่นนี่อยู่เบื้องหลัง เลยไม่ค่อยโผล่หน้าไปให้น้องๆ เห็น วันนี้ทั้งวันจึงไม่ต่างจากที่ผ่านมาๆ กระทั่ง...ปล่อยน้องกลับบ้าน

ใช่ รุ่นพี่ปล่อยน้องกลับบ้านไปแล้ว แต่ไม่มีใครบอกเขาสักคำว่าอัญเชิญยักษ์ตัวดำมาที่คณะ!

“พี่พาย หวัดดีครับ มายากหรือเปล่า”

ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุก็คนเดิม...ไอ้เรน

เพื่อนสนิทตัวเล็กที่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเหมาะแก่การเป็นเมียชาวบ้านกำลังวิ่งร่าไปหาผู้ชายตัวโตในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแล็ก ด้านบนยังสวมเน็กไทที่ดึงปมลงมาถึงกระดุมเม็ดที่สอง ท่ามกลางสายตาตะลึงของนายนภนท์ที่เผลอยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าอย่างหมดมาดคนใจเย็น

“คุณมานี่ได้ไง!”

ก็นี่มันคนที่เขานอนด้วย!

“อ้าว มึงรู้จักพี่พายเหรอ เออว่ะ ที่พี่พายมาขอเบอร์วันนั้นเพราะจะเอาของคืนให้มึงนี่หว่า”

กูเจอตัวต้นเหตุแล้ว!

สกายเข่นเขี้ยว ร่ำร่ำอยากจะเขย่าคอเพื่อนสนิทสักทีสองที แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ราวกับไอ้เรนก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่ควรจะเอาเบอร์เพื่อนไปแจกจ่ายคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาก็ใจเย็นลงนิด ถามไถ่ที่มาของความเอวังครั้งนี้เสียก่อน...จะได้ด่าทีเดียว

“แล้วนี่...” คนพูดใช้สายตาแทนคำพูด

“เอ่อ มึงน่าจะรู้จักแล้ว แต่นี่พี่พาย เพื่อนสนิทพี่พายุที่สนามแข่ง แล้วนี่เพื่อนผมครับพี่พาย ชื่อ...”

“สกาย ครับ เรนบอกพี่แล้ว”

สายตาของสกายบอกให้เพื่อนสารภาพมาซะ วาเรนเองก็รีบบอกอย่างเอาใจ ทั้งที่ตัวหดลีบลงเรื่อยๆ แต่ยังไม่ทันที่จะแนะนำจนจบดี คนตัวโตที่โผล่มาหน้าคณะพวกเขาได้ยังไงก็ไม่รู้ก็แทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ทั้งยังก้าวเข้ามาชิด จนสกายก็ไม่เกรงใจที่จะก้าวถอยหลังเพื่อบอกให้รู้ว่า...รังเกียจ

โอเค พายที่ว่าคงไม่ใช่พายแอ๊ปเปิ้ล พายเห็ด พายไก่ที่เอาเข้าปากเคี้ยวกลืนหรอก น่าจะมาจาก...พระพาย

สายลมรูปหล่อ?

ความคิดที่ทำให้เผลอกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งที่ไม่ใช่นิสัย และนั่น...

“หล่อสมกับที่พี่โฆษณาตัวเองมั้ย”

คนฟังกัดปากตัวเองจนซีดขาวทันที ข่มกลั้นคำผรุสวาทที่ตีขึ้นมาถึงคอหอย กลืนมันกลับลงไป เพราะอย่างไรนี่ก็เพื่อนแฟนไอ้เรน เขาเองก็ไม่อยากมามีปัญหาตรงนี้ อีกทั้ง...ไม่อยากให้เพื่อนสนิทรู้ด้วยว่าเขามีความสัมพันธ์ยังไงกับผู้ชายตรงหน้า

“เอ่อ แล้วไหนพี่พายว่าฝากของมาให้พี่พายุไงครับ” ไอ้เรนเห็นท่าไม่ดีก็รีบแก้สถานการณ์ ทั้งที่สกายเห็นนะว่ามันเองก็แอบกระเถิบให้ห่างจากระยะเอื้อมถึงของเขา

“อ้อ นี่ไง” สิ่งที่ผู้ชายตรงหน้าล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงคือกระดาษพับครึ่งยับย่นหนึ่งแผ่น แล้วส่งมาให้วาเรน

“สำคัญมากเลยนะเรน สำคัญสุดๆ พี่ฝากให้ไอ้พายุหน่อย”

แม้สกายจะไม่เห็นว่ามันต่างจากกระดาษใช้แล้วทิ้งยังไง แต่เขาก็ไม่พูดอะไร เพราะเพื่อนสนิทก็ทำหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ก็รับกระดาษแผ่นนั้นใส่เข้ากระเป๋า จากนั้นตาคมก็ตวัดกลับมามองที่เขา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มกว้างขวาง สีหน้าดูพออกพอใจไม่ต่างจากวันแข่งรถวันนั้น

“แล้วก็...ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับน้องสกาย”

แต่ผมไม่ยินดีที่ได้รู้จักพี่!

สายตาสกายบอกเช่นนั้น ทั้งที่อยากจะปัดไล่คืนบ้าๆ ไปแท้ๆ อีกฝ่ายดันมาปรากฏตัวตรงหน้า แล้วไม่ต้องฉลาดถึงขั้นไอน์สไตน์ก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดออก

อีกฝ่ายได้เบอร์เขาจากไอ้เรน แล้วทั้งที่สกายหวังลึกๆ ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นแค่นักแข่งคนหนึ่งในสนามที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนใกล้ตัวเขา แต่กลับกลายว่าพี่พายอะไรนี่เป็นเพื่อนสนิทของพี่พายุ ซึ่งเป็นแฟนไอ้เรนอีกที แค่นี้ก็พอจะผูกเรื่องทุกอย่างออกมาเป็นฉากๆ ได้แล้ว

พี่พายหลอกเอาเบอร์เขาจากไอ้เรน และดูจากสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเพื่อนสนิทแล้ว มันก็คงเผลอลืมตัวบอกไปนั่นแหละ แล้วไม่ต้องเดาเลยว่าทำไมพี่พายรู้ว่าเขาเรียนอะไร อยู่ปีไหน เปิดเทอมเมื่อไหร่ ทั้งที่ไม่ใช่รุ่นพี่ในคณะก็คงมาจากไอ้เพื่อนตัวเล็กนี่คนเดียว รวมทั้งที่มาดักเจอตามข้อความที่ทิ้งเอาไว้ก็เพราะอ้างว่าจะเอาของฝากไอ้เรนไปให้พี่พายุ

กระดาษแผ่นนั้นต้องเป็นเรื่องไร้สาระที่สุด ไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างที่ปากบอกแน่

และนายนภนท์ก็เข้าใจในวินาทีนั้นเองว่าทำไมอีกฝ่ายถึงบอกว่าเขาน่าสนใจ...เพราะมีเซ็กซ์กันไปแล้วยังไงล่ะ

เขารู้ตัวนะว่าตัวเขาค่อนข้างเจนจัดเรื่องบนเตียงมากกว่าที่เห็นภายนอก ดังนั้นที่พี่พายอะไรนี่ติดใจไม่ใช่เขาหรอก เซ็กซ์ของเขามากกว่า

“แล้วนี่เรนไม่รีบไปหาไอ้พายุเหรอ ป่านนี้มันคงกลับถึงบ้านแล้วมั้ง”

คนฟังรู้ได้ทันทีว่าทำไมคนพูดถึงรีบไล่เพื่อนเขานัก ซึ่งก็ดี สกายเองก็ไม่อยากเอาอดีตของตัวเองมาแผ่ให้เพื่อนฟังเช่นเดียวกัน

“แต่ผมต้องไปส่งไอ้กายที่หอก่อน”

ทว่าวาเรนเองก็อดจะเป็นห่วงเพื่อนสนิทไม่ได้ แม้เวลาที่ปล่อยรุ่นน้องกลับบ้านจะไม่ได้ดึกดื่นมากมายนัก แต่ก็ใช่ว่าจะหารถออกนอกมหาวิทยาลัยง่ายๆ จะให้เดินก็รู้สึกผิด หอมันก็แค่นี้ ยังไงก็ขอเอาเพื่อนไปหย่อนกลับห้องก่อนดีกว่า รวมทั้งลึกๆ ก็ชักไม่ไว้ใจเพื่อนแฟนเสียแล้ว

ไอ้กายทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่ากูขนาดนี้ เรื่องอะไรจะปล่อยให้อยู่สองคนล่ะวะ!

“ไม่เป็นไร กูกลับเองได้ มึงกลับเหอะ”

“แต่...”

“กลับไปเถอะน่า ป่านนี้พี่พายุของมึงรอแย่แล้ว”

“จะดีเหรอวะ”

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ไปส่งถึงหอเอง”

ทันใดนั้น คนตัวโตก็เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ดวงตาพราววิบวับที่วาเรนยิ่งรู้สึกไม่ไว้ใจแทนเพื่อน ยิ่งมองหน้าสกายที่นิ่งไปหลายอึดใจ คนตัวเล็กก็เตรียมจะปฏิเสธแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่า...

RRRRRrrrrrrrrrr

โทรศัพท์ในกระเป๋ากรีดเสียงร้องจนต้องคว้าขึ้นมาดูหน้าจอ

“ครับพี่พายุ”

การขัดจังหวะสั้นๆ ที่สกายเองก็ได้ยินเสียงกระซิบของคนตัวโต

“เรนไม่รู้เรื่องของเราเหรอ”

คนฟังเงยหน้าขึ้นสบตา มองเข้าไปในดวงตาสีน้ำผึ้ง แล้วพบความเจ้าเล่ห์

ใช่ ไอ้เรนไม่รู้ และเขาก็ไม่คิดอยากบอกให้มันรู้ด้วยว่าความอยากเอาชนะพี่พายุของมัน สร้างความเดือดร้อนให้เขาจนต้องยอมนอนกับคนตรงหน้า เพื่อนสนิทคงรู้สึกผิดไปตลอด และสกายก็ไม่อยากให้มันรู้สึกผิดหวังกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันเหมือนที่เขารู้สึก...ก็แค่เซ็กซ์

ไอ้เรนกำลังมีความสุขกับความรักแสนบริสุทธิ์ของมัน และเขาไม่อยากทำลายภาพนั้นลง ดังนั้นจังหวะที่วาเรนหันกลับมา สกายจึงไม่ลังเลเลยที่จะบอกเสียงเด็ดขาด

“มึงกลับไปได้แล้ว ป่านนี้พี่พายุห่วงมึงแย่แล้วที่ดึกดื่นยังไม่กลับบ้าน เดี๋ยวกูกลับกับ...พี่พายก็ได้” นายนภนท์บอกพลางเหลือบมองคนตัวโตที่ยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจที่ถูกเรียกชื่อ แล้วหันกลับไปยืนยันกับเพื่อนตัวเล็กอีกที

“ไม่ต้องห่วงกูหรอก นี่ก็เพื่อนพี่พายุไม่ใช่เหรอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับกู มึงก็ตามจับถูกคน”

“พี่ไม่ได้ทำอะไรจนต้องตามจับตัวเสียหน่อย”

เชื่อตายละ

สกายโคลงหัวนิด แล้วพยักหน้าอีกที

“ไม่ต้องห่วงกูหรอกน่า”

“เอางั้นเหรอวะ งั้นผมฝากไอ้กายด้วยนะพี่พาย”

แม้ไอ้เรนจะดูลังเล แต่ก็พยักหน้าในที่สุด แถมยัง...

“แล้วมึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกันพรุ่งนี้”

เท่านั้นแหละ ไอ้เรนงี้วิ่งปรู๊ดหายวับลับสายตาไปทันที ปล่อยให้เพื่อนสนิทคนที่มันห่วงนักหนาอยู่กับผู้ชายตัวโตเพียงลำพังสองคน

คราวนี้สกายหันกลับมาสบตาอีกครั้ง

“พี่ต้องการอะไรกันแน่”

อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ควรจะจั๊กจี้หัวใจคนมอง ดวงตาคู่คมพราวระยับ ขณะที่โน้มตัวเข้ามาหาคนเตี้ยกว่าจนสายตาประสานกัน ปลายจมูกอยู่ห่างเพียงนิด ใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดลงบนแก้มขาว แล้วน้ำเสียงนุ่มๆ ของคนหล่อก็ดังตามมา

“พี่บอกแล้วไงครับว่าพี่มาจีบ...น้องสกาย”

ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นที่กวาดมองใบหน้าเขา หยุดอยู่ที่ริมฝีปาก ทำให้สกายยืนยันคำเดิม

นี่มันสายลมเฮงซวยชัดๆ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น