5

ตอนที่ 5


ตอนที่ 5 เมื่อใจอ่อนแอ

ท่ามกลางความมืดมิดที่เข้าประชิดทุกทิศทาง เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเขากำลังหายใจไม่ออก รู้สึกได้ถึงสัมผัสของฝ่ามือหยาบกร้านที่ลูบไล้ไปทั่วร่างกาย มันทั้งน่ารังเกียจ ทั้งน่าสะอิดสะเอียน แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากหายใจหอบเอาอากาศเข้าปอด เหมือนคนจมน้ำที่พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวสุดท้าย

ไม่! ได้โปรด! ขอร้อง ให้ผมตื่นที ให้ผมตื่น

สกายคร่ำครวญ เขายังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาในหัวใจ กับเสียงสะอื้นไห้ที่ดังไม่หยุด

“พอแล้ว! หยุดที! ผมขอร้อง ผมยอมทุกอย่าง ยอมแล้ว ฮึก! ยอมแล้ว ปล่อย ไม่! ไม่!! ไม่!!!”

 

เฮือก!

เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง เหงื่อไหลชุ่มโชกไปทั้งตัว ดวงตาเบิกกว้างเหมือนเพิ่งเห็นผี หายใจหอบรุนแรงเสียจนทั้งห้องมีเพียงเสียงลมหายใจ แล้วสกายก็ทำได้แค่ยกสองมือขึ้นมากอดรอบตัวเอง หลับตาลง พยายามเรียกสติที่หล่นหายไประหว่างที่นอนหลับ

“ไม่ แค่ฝันไอ้กาย แค่ฝันเท่านั้น”

สกายส่ายหน้าแรงๆ พักใหญ่ กว่าลมหายใจจะกลับมาเป็นปกติ สองมือยกขึ้นลูบหน้า ปัดผมที่เปียกชุ่มไปด้านหลัง เผยให้เห็นแววตาหวาดหวั่น

ติ๊ง!

ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจนสกายสะดุ้ง แต่เขาก็คว้ามันขึ้นมาดู แล้วพบกับข้อความของรุ่นพี่

...พรุ่งนี้สโมฯทุกคนมาประชุมพร้อมกันตอนเที่ยง อาจารย์เรียกคุยเรื่องวันลาสต์เชียร์ มีผู้ปกครองโวยวายว่าไม่อยากให้น้องเข้าเชียร์ข้ามคืนแล้วปิดเชียร์ตอนเช้า มาคุยกันว่าจะเอายังไง...

พอพี่ปีสามทิ้งข้อความไว้ปุ๊บ เหล่าเด็กสถาปัตย์ที่ตีสี่ก็ยังไม่นอนก็ระดมโยนข้อความลงในกรุ๊ปด้วยความโมโห ทั้งถามว่าผู้ปกครองคนไหน ทั้งเรื่องเตรียมการมาเยอะแล้ว ทั้งบอกว่ามันเป็น

ประเพณีที่ทำมากันทุกรุ่น จนมีรุ่นพี่ปีสี่ปีห้าบางคนมาช่วยตอบว่าอาจารย์ไม่ได้สั่งยกเลิก แต่ให้ไปคุยกันก่อน ทุกอย่างจึงค่อยสงบลง

สกายเองก็ถอนหายใจ เรื่องความฝันจางลงบ้างแล้ว รู้ว่าหลังพรุ่งนี้ต้องงานหนักแน่ คาดว่าต้องประชุมอีกหลายรอบเพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจและพอใจ แต่ยังไงเขาก็เป็นเสียงหนึ่งที่อยากให้จัดวันลาสต์เชียร์แบบ All Night เพราะปีที่แล้วเขาก็เข้าและมันเป็นความประทับใจที่เขาอยากส่งต่อให้รุ่นน้อง

“เฮ้อ! ไม่ได้นอนแล้วมั้งกู” สกายพึมพำ ลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปยังการบ้านที่ทำค้างอยู่

ประชุมก็ต้องเข้า การบ้านก็ต้องส่ง ซ้อมเชียร์น้องก็ต้องไปดู จนรู้สึกเลยว่าร่างกายหนักกว่าปกติ

ใจคิดว่าเหนื่อย แต่สกายก็ไม่นอนต่อแล้ว ลุกขึ้นมานั่งทำงานที่อาจารย์สั่งไว้ต่อจนถึงเช้า แล้วออกไปเรียน

 

C

สกายกำลังจ้องตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเดียวที่ทำให้เขาแทบจะล้มทั้งยืน

ผลงานที่เขาตั้งใจทำส่งอาจารย์ได้ผลประเมินแค่ C

แม้ว่ากว่าครึ่งห้องจะได้ผลประเมินไม่ต่างกัน มีต่ำกว่าด้วยซ้ำ แต่กับนายนภนท์ที่นับตั้งแต่เข้าเรียนคณะนี้ไม่เคยได้เกรดห่วยแตกขนาดนี้มาก่อน ไม่นับรวมเรื่องที่เขาพยายามกับมันแทบเป็นแทบตาย ซึ่งไม่เพียงได้ผลประเมินต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ยังตอบคำถามที่อาจารย์ถามเกี่ยวกับผลงานตัวเองไม่ได้เลยสักข้อ

“กูก็ได้ดีกว่ามึงนิดเดียว” สกายเกือบจะพูดออกไปแล้วว่าถ้ามึงปลอบได้แค่นี้ก็อย่าปลอบเลย โดยเฉพาะคนปลอบได้คะแนนสวยๆ อย่าง B

ไอ้เรนเป็นคนทำงานช้า มันอาจจะต้องอดหลับอดนอนข้ามวันข้ามคืนเพื่อทำงานให้เสร็จตามที่อาจารย์กำหนด และเดือดร้อนให้กายโทร.ตามเสมอ แม้ช่วงหลังๆ จะเบาใจว่าพี่พายุจะปลุกมันมาส่งงานแทน แต่ผลงานของมันก็ยังได้คะแนนสมใจ ไม่เหมือนกับเขาที่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าต้องแก้ไขปรับปรุงยังไง

“ช่างมันเหอะ เดี๋ยวงานหน้าค่อยเอาใหม่” แม้สมองจะยังไม่เข้าใจว่าพลาดตรงไหน แต่ก็ยังให้กำลังใจตัวเอง

“เออ งานหน้าเอาใหม่ เพราะแค่อาทิตย์หน้าก็ต้องส่งแล้ว” ไอ้เรนตอบรับด้วยท่าทางสยองขวัญ

พวกเขาเปิดเทอมมาได้สองอาทิตย์แล้ว และเชื่อเถอะว่าเป็นเวลาสองสัปดาห์ที่ทำให้หลายคนในรุ่นโอดครวญไม่เว้นแต่ละวัน งานก็ถาโถมไม่ต่างจากคลื่นสึนามิ แต่ใครมีแฟนก็ดีไป เพราะมีคนคอยส่งข้าวส่งน้ำ แบบที่พวกรุ่นพี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วบอกว่ามึงคิดว่าโชคดีต้องรอดูหลังจากนี้อีกสักเดือนเถอะ

แฟนที่ไหนจะทนได้กับเด็กคณะพวกเขาที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะอ่านไลน์!

ใช่ ต่อให้สกายไม่บล็อกเบอร์พี่พายทิ้งก็ไม่มีเวลามานั่งอ่านข้อความที่เด้งบนหน้าจอหรอก

หากนั่นคิดว่าแย่แล้ว เด็กกิจกรรมอย่างสกายที่ต้องรับผิดชอบเรื่องซ้อมเชียร์รุ่นน้องยิ่งหนักไปอีกหลายเท่า พอเรียนเสร็จแทนที่จะมีเวลาไปนั่งทำงาน เขาต้องอยู่ประชุมกับรุ่นพี่ที่มีสภาพไม่ต่างศพจนดึกดื่น กลับเข้าห้องก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำ พอล้มตัวลงนอน แทนที่จะหลับสนิท ก็ดันมีฝันร้ายเก่าๆ มาตามหลอกหลอน ตอนนี้แม้แต่คนใจเย็นเองก็ชักจะไม่เย็นอย่างทุกที

เหนื่อยฉิบหาย...คำนี้อาจจะบรรยายความรู้สึกของตอนนี้น้อยไปด้วยซ้ำ

“ไอ้กาย มึงจะไปไหน”

“พวกปีสามโทร.ตาม”

“เออ งั้นไปเหอะ”

แม้แต่ในบ่ายวันที่ว่าง เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งตัดโมเดลกับเพื่อนสนิทอยู่คนละฝั่งของหอที่รกรุงรังก็ยังถูกรุ่นพี่โทร.ตาม จนได้แต่เปลี่ยนเสื้อผ้าลวกๆ แล้วยืมรถเพื่อนกลับเข้าไปยังคณะ ในหัวยังวนเวียนคิดถึงคำวิจารณ์ของอาจารย์เมื่อหลายวันก่อน

ความคิดของคนที่เดินไวๆ แล้วปะเข้ากับ...

“ไอ้กาย!”

เจ้าของชื่อหันไปมองทันทีแล้วพบว่าเป็นรุ่นพี่ปีห้า...พี่ส้ม

“สวัสดีครับพี่ส้ม”

“เจอมึงก็ดีแล้ว พวกมึงไปสอนเด็กปีหนึ่งภาษาอะไรวะไม่รู้จักเคารพรุ่นพี่!” สกายยังไม่ทันจะลดมือที่ยกมือไหว้ลงด้วยซ้ำ รุ่นพี่หน้าใสที่หน้าตาน่ารักยิ่งกว่าไอ้เรนก็แยกเขี้ยวใส่ แล้วเปิดฉากเล่นงานจนคนฟังขมวดคิ้วฉับ

“ไม่แค่ไม่ยกมือไหว้กู แทบจะเดินชนกูล้ม ขอโทษกูสักคำก็ไม่มี ทำไมสอนได้เหี้ยขนาดนี้!”

มหาวิทยาลัยของพวกเขาไม่ได้บังคับให้รุ่นน้องทุกคนเข้าเชียร์ อยู่ที่ความสมัครใจ แต่ก็เป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าทุกคนมักจะเข้า และต้องรู้จักระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง โดยเฉพาะการให้ความเคารพรุ่นพี่ ซึ่งนี่ก็เข้าสัปดาห์ที่สามแล้ว รุ่นพี่จะโกรธก็ไม่แปลก แต่เขาไม่ได้รับผิดชอบเรื่องสอนน้องนี่หว่า

คนที่รับผิดชอบคือปีสาม และถึงจะบอกว่าปีสองเป็นพี่เลี้ยงให้ปีหนึ่ง สกายก็ไม่เคยโผล่ไปยืนหน้าห้องเชียร์เลยสักครั้ง แล้วนี่มันเรื่องอะไรที่เอามาลงที่เขา

“เอ่อ ผมว่า...”

“ก็พี่ส้มตัวเล็กนี่ครับ น้องมันคงคิดว่ารุ่นเดียวกัน” แม้สกายจะนึกเคือง แต่เขาไม่ใช่คนที่พูดจาหาเรื่องใครแบบนี้ ดังนั้นคำพูดพวกนี้จึงออกมาจากปากของบุคคลที่สาม ผู้ซึ่งโผล่หัวมาจากมุมทางเดินด้วยรอยยิ้มกว้างจนดวงตายิบหยี

“ไอ้ซิก!” พี่ส้มคำราม

“ชายซิกรายงานตัวครับผม” หนุ่มหล่อประจำชั้นปีก็ยกมือตะเบ๊ะด้วยท่าทางขี้เล่น

“ไหน ผมได้ยินแว่วๆ ว่าพี่ส้มตัวเล็กจนโดนชนกระเด็น มีแผลหรือเปล่าพี่ ให้ผมอุ้มไปห้องพยาบาลมั้ย ตัวเล็กๆ อย่างพี่ ผมน่าจะอุ้มไหว” รุ่นพี่ตัวเล็กตาวาวไม่ต่างจากเสือ ทำท่าเหมือนอยากจะตะกุยหน้าไอ้หล่อ

“มึงอยากโดนตีนใช่มั้ย!”

“ตีนไม่เอา เอาพี่มาหอมแก้มผมแทนได้ปะ”

“ส้นตีนสิ!”

ท่าทางพี่ส้มจะลืมเขาไปสนิทใจ เพราะรายนั้นหมุนตัว กระทืบเท้าปึงๆ ไปอีกทาง ขณะที่ซิกก็หันมายิ้มให้

“ทำใจว่ะ มึงเพื่อนสนิทไอ้เรน พี่ส้มเลยพาลมึงด้วย ก่อนหน้านี้ไอ้เรนเองก็โดนฉะเละ งั้นกูไปก่อนนะ ขอไปแหย่อีกหน่อย” ว่าแล้วมันก็รีบวิ่งตามรุ่นพี่ตัวเล็ก ขณะที่ปากก็ตะโกนตามหลังไปด้วย

“พี่ส้มจะรีบไปไหน ผมเป็นเฮ้ดปีสองนะพี่ พี่มาระบายความข้องใจกับผมได้ เดี๋ยวผมเอาไปลงโทษปีหนึ่งให้พี่ไง” สองคนนั้นเดินลับหายไปไกลแล้ว ปล่อยให้สกายถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ยกมือคลึงหัวคิ้วอย่างเครียดๆ

สกายเป็นคนเต็มใจรับหน้าที่สโมฯรุ่นของปีสองเอง แต่ตอนนี้เขาชักคิดประโยคที่ไม่ควรคิด...อะไรก็กู!

“เฮ้อออ ทำไมชีวิตมันซวยแบบนี้วะ!”

นั่นสิ ทำไมช่วงนี้ชีวิตถึงอยู่ในช่วงขาลงได้ขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าเพราะมียักษ์ตัวดำมาอมโชคของเขาไปหมดแล้ว

ทว่าเด็กหนุ่มก็ปัดเรื่องนี้ออกไป เอาเรื่องที่พี่ส้มว่าไปบอกพวกพี่ปีสามอีกที ซึ่งแม้ภายนอกกายจะทำเหมือนไม่คิดมาก แต่กับเด็กหนุ่มที่อายุเพิ่งจะสิบเก้าปีเมื่อไม่กี่เดือนก่อน การที่อะไรหลายอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกันมีหรือที่จะไม่เซ

ไม่หรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แย่กว่านี้ยังเคยเจอมาแล้ว!

หากเทียบตอนนี้กับเรื่องที่เขาเคยเจอ กับแค่คะแนนห่วย โดนอาจารย์ด่า ถูกรุ่นพี่พาลใส่ มันทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

ใช่ นั่นคือความคิดของเมื่ออาทิตย์ก่อนจะได้เห็นคะแนนของงานอาทิตย์นี้...D+

คราวนี้แม้แต่วาเรนเองก็ไม่รู้จะปลอบยังไง เพราะก็เอาตัวไม่รอด แทบจะทำงานไม่ทันส่งเหมือนกัน

นอกจากนั้น พวกเขาใกล้จะปิดห้องเชียร์ แม้ว่าสกายจะไม่ได้ไปช่วยดูแลรุ่นน้องในห้อง แต่ก็มีงานเอกสารข้างหลังที่ต้องทำ ต้องอยู่ดึกดื่นแทบทุกคืน ไอ้ครั้นรับปากมาแล้วว่าจะทำแล้วไม่รับผิดชอบก็ไม่ใช่นิสัย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นยังทำร้ายเขาได้ไม่เท่า...ฝันร้าย!

นับตั้งแต่วันที่เรนถามเรื่องแฟนเก่า กายเองก็ฝันร้ายซ้ำๆ

“บ้าเอ๊ย!”

แล้วมันจะไปแปลกอะไรที่ร่างกายจะรับไม่ไหว จนเช้าวันหนึ่งตื่นมาพร้อมกับอาการตัวรุมๆ

นภนท์รู้แน่ชัดแล้วว่าตัวเขาป่วย แต่วันนี้มีเรียนวิชาสำคัญจะให้นอนอยู่ที่ห้องเฉยๆ ก็ไม่ได้ เจ้าตัวเลยลากสังขารมาวิ่งผ่านน้ำ แต่งตัวแล้วออกจากห้องมาเจอกับถุงอาหารเช้าร้านชื่อดังในย่านเยาวราชที่แขวนเอาไว้หน้าห้อง กลิ่นหอมที่ลอยอวลขึ้นมาทันทีที่เปิดถุงทำให้สกายกัดปากแน่น

“ส่งมาได้ทุกเช้า ถ้ามีเวลาว่างมากนักมาช่วยกูทำงานดีกว่ามั้ย!” เขาว่าพาลๆ เพราะในหนึ่งสัปดาห์จะมีสองสามวันที่มีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมหรืออาหารมาแขวนเอาไว้หน้าห้อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝีมือใคร จนชักอิจฉาคนมีเวลาเหลือเฟือ พอๆ กับความหมั่นไส้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

คนที่เอาเรื่องของเขาไปบอกไอ้เรนก็ผู้ชายคนนั้น จนถูกถามเรื่องแฟนเก่าก็เพราะผู้ชายคนนั้น แล้วแบบนี้เขายังจะต้องใจอ่อนอีกเหรอ

อีกทั้ง...

“เมื่อไหร่จะเบื่อวะ”

ไม่ใช่ว่าสกายเล่นตัว เขาเองก็ไม่ได้มีดีขนาดจะทำแบบนั้นได้ แต่เพราะรู้ต่างหากว่าผู้ชายแบบพระพายถ้าเบื่อเมื่อไหร่ก็แค่เขี่ยทิ้ง แล้วเขาจะยอมไปถูกเขี่ยทำไม สู้ไม่เริ่มต้นอะไรเพื่อไม่ต้องเห็นจุดจบไม่ดีกว่าเหรอ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเดินหิ้วถุงโจ๊กร้านดังลงมาชั้นล่าง ตรงไปยังข้างตึก แล้วเททั้งถุงให้เจ้าตูบสามแม่ลูกที่วิ่งกระดิกหางมาหา

ในเมื่อจะทิ้งก็เสียดาย งั้นเอามาให้หมาแมวกินแทนเนี่ยแหละ

จากนั้นก็ประคองร่างเพลียๆ ไปมหาวิทยาลัย ไม่สนใจโทรศัพท์ที่กำลังสั่นรัวๆ เป็นข้อความว่า

...คิดถึงนะครับ...

 

“ไอ้กาย มึงไหวแน่นะ”

“ทำเหมือนมึงไม่เคยเห็นคนในคณะสภาพนี้”

วาเรนอาจจะเห็นศพเดินได้ หรือพวกที่ยิ่งเรียนก็ยิ่งพูดไม่รู้เรื่องในคณะมาแล้ว ตัวเขาเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน แต่เพื่อนสนิทกลับมีสภาพย่ำแย่กว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นใต้ตาดำคล้ำ แต่ขอบตาแดงก่ำเหมือนคนไม่สบาย หน้าซูบซีดไร้สีเลือด ปากแห้งแตก ผมเผ้ายุ่งเหยิงแบบคนที่ไม่สนใจแล้วว่าจะอยู่ในสภาพไหน ไม่นับรวมเรื่องที่ว่ามันเองก็วิ่งวุ่นทั้งเรื่องเรียนทั้งกิจกรรม

ไอ้ครั้นจะถามว่าให้ช่วยมั้ยก็ยังเอาตัวไม่รอด

เขาไม่ใช่พี่พายุที่เก่งทั้งเรื่องเรียนกับกิจกรรมนี่หว่า ได้ข่าวว่าสมัยเรียน รายนั้นเรียนไป ทำกิจกรรมไป แถมยังมีเวลาทำงานอดิเรกอีกต่างหาก เรียกว่าเก่งสัสๆ สมกับเป็นเทพพายุที่ทุกคนนับถือ ตอนแรกก็เคยเถียงว่าเพื่อนสนิทตัวเองก็เก่งเหมือนกัน แต่ตอนนี้ให้ไปสู้ก็คงไม่ไหวละนะ

เอาให้ไอ้กายเดินตรงทางก่อนดีกว่า

“เคย แต่สภาพมึงดู...”

“ทุเรศ” มันต่อคำให้ด้วยเสียงแหบแห้ง

“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่กูว่ามึงโดดคาบเย็นนี้เหอะ กลับไปนอน เดี๋ยวกูไปส่งที่หอ” แม้เรนจะยังสงสัยเรื่องพี่พระพายสุดหัวใจ ไหนจะเรื่องแฟนเก่าที่ทำให้เพื่อนมีอาการแปลกๆ แต่ตอนนี้ขอห่วงคนที่แทบจะลืมตาไม่ขึ้นก่อนดีกว่า

“ไม่ได้ เย็นนี้มีประชุมเรื่องวันลาสต์เชียร์ของวันมะรืน ต้องเข้าประชุม แล้วงานก็ยังไม่เสร็จ” ไอ้กายงึมงำเสียงเบาลงทุกที แล้วก็สะบัดหน้าแรงๆ

“ไม่ต้องห่วง ปิดเชียร์เมื่อไหร่ก็สบายแล้ว”

“ไม่ให้กูห่วงมึงได้ไงวะ เฮ้ย! มึงไข้ขึ้นนี่” เรนยื่นมือไปแตะแขนแล้วชักมือหนีแทบไม่ทัน

“ฮื่อออ มึงอย่าเสียงดัง กูปวดหัว”

“กินยาหรือยัง” คนตัวเล็กยอมเบาเสียงลง แต่ถามไปอีกเรื่อง แล้วหันไปสะกิดเพื่อนผู้หญิงข้างหน้าว่ามียาแก้ไข้หรือเปล่า แบบที่เพื่อนสนิทก็ไม่โงหัวขึ้นมา แค่พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่ากินแล้ว บอกเพื่อให้คลายใจ

“เดี๋ยวยาออกฤทธิ์ก็ดีขึ้น”

แม้ไอ้กายจะว่าแบบนั้น บวกกับอาจารย์เข้าห้องจนยอมหยุดซักไปก่อน แต่เรนก็ไม่ลืมที่จะสังเกตอาการของคนข้างกายอยู่ตลอดเวลา แล้วเนี่ยเหรอคนที่บอกว่าไม่เป็นไร เพราะไม่ใช่แค่ผิว

ของมันที่ดูแดงเรื่อเท่านั้น แต่เหงื่อยังซึมรอบหน้าผาก สองมือกอดอกเอาไว้แน่นทั้งที่สวมเสื้อกันหนาวทับเอาไว้อีกชั้น ดูยังไงก็คนป่วยดีๆ นี่เอง

“ไอ้กาย มึงไหวแน่นะ”

“อืม”

เรนคอยถามเป็นระยะ รู้สึกว่าเพื่อนดูมึนๆ งงๆ ตาปรือๆ แบบสติสตังไปหมดแล้ว

เขาลังเลใจว่าควรจะขออนุญาตอาจารย์พามันไปหาหมอตอนนี้เลยดีมั้ย แต่ก็ยังพยายามใจเย็น รอจนคาบเรียนจบ พออาจารย์ปล่อยคลาสปุ๊บก็รีบคว้าแขนเพื่อน เพื่อพบว่าคนที่กินยาแล้วตัวร้อนจี๋จนต้องเบิกตากว้าง

“ไปหาหมอ ไอ้กาย!”

“ไม่เอา เดี๋ยวกลับมาเรียนไม่ทัน”

“อย่าดื้อนะมึง สภาพนี้มึงเรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง! ไอ้ซิกมาช่วยพยุงไอ้กายหน่อย กูคนเดียวไม่ไหว!” วาเรนไม่ลังเลที่จะตะโกนเรียกเพื่อนอีกคนที่ก้าวเข้ามาอย่างงงๆ กระทั่งไอ้หล่อมันจับแขนสกายอีกข้างนั่นแหละถึงตาโต

“ตัวร้อนขนาดนี้ มึงยังนั่งเรียนได้อยู่อีกเหรอวะ!”

“กูไม่ได้เป็นอะไร พวกมึงอย่าตื่นตูมได้มั้ย” ไอ้กายพูดพลางนิ่วหน้า ดูปวดหัวกับเสียงดัง ปัดมือเพื่อนทั้งสองทิ้ง รวบข้าวของแล้วลุกขึ้นยืน

โครม!

“เฮ้ย!”

เท่านั้นแหละ ร่างทั้งร่างก็เอนไปกระแทกโต๊ะตัวหน้า

ไม่รู้ว่าเพราะสกายยืนไม่เต็มเท้าหรือเพราะอาการไข้ แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มือของเรนหรือซิกเท่านั้นที่คว้าตัวเอาไว้ เพื่อนคนอื่นก็พยายามห้ามคนที่บอกว่าต้องไปหารุ่นพี่เอาไว้สุดความสามารถ แล้วล็อกตัวไปโยนขึ้นรถของวาเรน เพื่อตรงดิ่งไปโรงพยาบาล

ตอนนี้อย่าเอาแค่ห้องพยาบาลเลย ไปหาหมอให้ฉีดยาไอ้คนอวดเก่งสักจึ้กสองจึ้กเถอะ!

 

แม้พระพายจะไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความคิดจะถอยทัพจากเด็กหนุ่มเย็นชา แต่เขาเองก็ไม่ใช่นักศึกษาที่มีเวลาเที่ยวเล่นไปวันๆ เพราะชายหนุ่มก็ทำงานในบริษัทของบิดาที่ผลิตเกี่ยวกับอุปกรณ์ผลิตอิเล็กทรอนิกส์เต็มตัว และด้วยความที่บริษัทมีโรงงานผลิตแยกอยู่ต่างจังหวัด เขาเองจึงยุ่งกับเรื่องที่โรงงานมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน เพิ่งจะกลับเข้ากรุงเทพฯเมื่อเช้านี้

ก่อนหน้านี้พระพายไปส่งของขวัญด้วยตัวเอง แต่อาทิตย์ที่ผ่านมาต้องสั่งคนให้เอาของไปฝากไว้กับพี่จอย เพื่อเอาไปให้สกายอีกที ตอนนี้จึงโคตรจะคิดถึงเลย

ไอ้ครั้นจะโทร.หาก็ดันไม่ติด แล้วไม่ต้องให้ใครมาตะโกนใส่หูก็รู้ว่าโดนบล็อกเบอร์

“ยิ่งใจแข็งพี่ก็ยิ่งอยากทำให้อ่อนนะรู้มั้ย” ชายหนุ่มบอกกับตัวเองอย่างอารมณ์ดี เพราะวันนี้เย็นๆ ตั้งใจว่าจะแวะไปดักหน้าหอสักหน่อย

เขาว่าน้ำหยดลงหินทุกวันยังกร่อน แล้วนับภาษาอะไรกับใจนุ่มๆ ของน้องกาย

ว่าแล้วก็อยากขยำก้นนุ่มๆ นั่นชะมัด!

สกายอาจจะไม่ใช่คนที่น่ารักที่สุดที่เขาเคยเจอมา แต่ภายใต้ร่มผ้า พระพายมั่นใจว่าตูดอวบๆ แน่นๆ น่าขยำนั่นดูดีกว่าคนอื่นที่เขาเคยสัมผัส เรียกว่าเปลื้องผ้าออกปุ๊บ เจ้าเพลิงน้องเขาที่ว่าน่ารักระดับจักรวาลก็สู้ไม่ได้ ไม่นับรวมว่าเขาเองก็ไม่อยากได้ประเภทน้องชายเป็นเมียด้วย

แค่คิดก็ปวดหัวตาย ไม่เหมือนคนนิ่งๆ เย็นๆ ที่มีเสน่ห์กว่ากันเยอะ

ช่วงนี้พอว่างทีไร สมองก็เอาแต่คิดถึงน้องสกายอยู่ตลอดเวลาแฮะ

เขาไม่ได้ถูกมองอย่างเหยียดหยามมากว่าสองอาทิตย์แล้วสินะ

“วันนี้จะทำหน้ายังไงน้า~” แค่คิด พระพายก็อยากให้ถึงเวลาเลิกงานเร็วๆ ส่วนตอนนี้ก็ทำได้แค่คว้าโทรศัพท์ที่ซื้อมาใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะมาพิมพ์ข้อความ

...น้องสกายสบายดีมั้ยครับ พี่คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว...

ในเมื่อเบอร์เก่าน่าจะโดนบล็อก งั้นหาเบอร์ใหม่ส่งไปก็ได้ แม้ว่าข้อความก่อนหน้าที่บอกว่าคิดถึงจะยังไม่มีใครมากดอ่านก็ตาม จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วเริ่มต้นทำงาน เพราะถึงจะเป็นลูกชายเจ้าของบริษัท แต่พ่อไม่เคยพูดสักคำว่าถ้าไม่ทำงานแล้วจะให้เงินเดือน

ช่วงนี้ต้องขยันๆ หาเงินซื้อของกำนัลไปแขวนหน้าห้องเด็ก

ชายหนุ่มคิดอย่างขบขัน

ทว่าพระพายก็ไม่เห็นเหมือนกันว่าระหว่างนั้นข้อความที่เขากดส่งไปถูกเปิดอ่านเป็นครั้งแรก และยิ่งแปลกใจเสียจนแทบจะทำโทรศัพท์หลุดมือ เมื่อเครื่องใหม่ที่ซื้อมาเพื่อแหย่เด็กน้อยโดยเฉพาะกรีดเสียงร้องขึ้นมา เพราะคนเดียวที่จะโทร.หาเขาได้มีแค่...น้องสกาย

“ฮัลโหล คิดถึงจังเลยครับ”

คนตัวโตรีบปรับสีหน้า ระบายยิ้มออกมา กดรับด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ แต่...

[พี่พายเหรอ นี่เรนเองนะ]

รอยยิ้มหุบฉับลงทันควัน

“ไหงเรนใช้เครื่องนี้โทร.มาล่ะ” ด้วยความที่ตามตื๊อมาสักพัก ต่อให้ไม่เม็มเบอร์ไว้ เขาก็จำหมายเลขสิบหลักของปลายสายได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่บันทึกเอาไว้ว่าน้องสกาย แต่ทำไมคนที่โทร.มาประเดิมเครื่องนี้กลับเป็นแฟนตัวเล็กของเพื่อนเสียอย่างนั้น

[ก็มือถือไอ้กายอยู่กับผมนี่หว่า]

นั่นแหละที่เขาอยากรู้ว่าแล้วไปอยู่กับวาเรนได้ยังไง

[คืองี้พี่ ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องของไอ้กาย กำลังตื้ออยู่พอดีว่าจะเอาไงดี แล้วเห็นข้อความที่พี่ส่งมาเลยโทร.หา ตอนนี้พี่พายว่างหรือเปล่า] พระพายสาบานได้ว่าคนฉลาดอย่างเขาไม่เข้าใจว่าแฟนเพื่อนต้องการสื่ออะไรกันแน่ แต่ก็พยักหน้า

“อีกชั่วโมงเลิกงานก็ว่างแล้ว”

[แล้วคืนนี้พี่ว่างมั้ย ผมก็รู้นะว่าเป็นการรบกวน ถ้าผมเอางานมาด้วยก็คงอยู่นี่เองแล้ว ไม่รบกวนพี่หรอก แต่ผมเอางานไว้ที่บ้าน ยังทำไม่เสร็จ ยังไงคืนนี้ก็ต้องกลับบ้านพี่พายุไปทำต่อ แล้ว...]

“หยุดก่อน!” ก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กพล่ามไปเรื่อย พระพายก็เบรกไว้ก่อน ถามเสียงกลั้วหัวเราะ

“ช่วยเรียบเรียงให้พี่เข้าใจหน่อยว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บอกตรงๆ ว่าพี่ไม่เข้าใจที่เรนพูดว่ะ”

[คืองี้...]

ปลายสายเงียบไปอึดใจ แล้วพูดคำที่ทำให้คนฟังลุกพรวดขึ้นมา

[ไอ้กายไม่สบายหนัก ล้มที่ห้องเรียนครับพี่พาย]

“ว่าไงนะ!!!”

[ก็ไม่สบายไงพี่ เป็นไข้ ตัวร้อน แล้วยังทนจนล้มโครมกลางห้อง]

“ตอนนี้อยู่ไหน”

[ผมอยู่ที่หอกับมัน]

“รอนั่นแหละ พี่ไปเดี๋ยวนี้”

[เฮ้ย!]

พระพายไม่สนใจเสียงแย้งว่าไหนอีกชั่วโมงเลิกงาน เพราะเขาจัดการรวบเอกสารที่ทำค้างไว้มายัดลงกระเป๋าโน้ตบุ๊ก บอกหัวหน้าว่าขอกลับก่อน มีเหตุฉุกเฉิน แล้วแล่นฉิวลงมายังรถยนต์ที่จอดไว้อย่างไม่สนใจเสียงห้าม อย่างน้อยก็คงไม่มีใครไล่ลูกชายเจ้าของบริษัทออกเพราะรีบแล่นไปดูว่าที่แฟนที่ไม่สบายหรอก

เวลานี้ ชายหนุ่มลืมคิดไปว่าคนรักสนุกอย่างเขากำลังยกให้สกายขึ้นมาเป็นคนที่อยากได้เป็นแฟนอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

เขาร้อนใจเกินกว่าที่จะคิดเรื่องพวกนั้น

 

ในวันทำงาน พระพายไม่ค่อยใช้บิ๊กไบค์คู่ใจ วันนี้เขาจึงใช้เวลาอยู่บนท้องถนนมากกว่าปกติกว่าจะฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดมายังหอพักนักศึกษาที่แวะมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งครั้งนี้ชายหนุ่มไม่แวะไปนั่งเล่นโปรยเสน่ห์อยู่ในออฟฟิศ แต่อาศัยความหน้าด้านตามติดคนในหอที่ใช้บัตรผ่านขึ้นมาชั้นบน มือล้วงกระเป๋าต่อสายหาคนที่เขามาหา

[ครับพี่พาย]

“อยู่ห้องไหน”

[308 สุดทางตรงชั้นสาม]

ทุกทีวาเรนก็ปิดปากเงียบสนิทเรื่องสกาย แต่ครั้งนี้ฝ่ายนั้นเองก็คงร้อนใจใช่เล่น เลยยอมบอกง่ายๆ จนคนฟังรีบก้าวทีเดียวสองขั้นมายังชั้นสาม แค่คิดว่าเด็กหนุ่มไม่สบาย เขาก็ร้อนรนแปลกๆ ไหนจะเรื่องที่ได้ยินว่าล้มกลางห้องนั่นอีก บอกตรงๆ ว่าอยากเห็นกับตาว่ายังสบายดี

พอมาถึงชั้นสามก็ไม่ต้องเสียเวลามองหาห้อง เพราะเด็กตัวเล็กกำลังยืนโบกมือหย็อยๆ มาจากสุดทางเดินอีกฝั่ง

“น้องสกายอยู่ไหน”

“เฮ้ยพี่พาย ฟังก่อน!”

พอเขาทำท่าจะเปิดประตูเข้าห้อง เรนก็คว้าหลังเสื้อเอาไว้แทบขาด

“ไอ้กายหลับไปแล้ว คุยกันหน้าห้องให้รู้เรื่องก่อน” พระพายเลยยอมหมุนตัวกลับมาสบตา ใช้สายตาแทนคำถามให้เรนเริ่มต้นอธิบาย

“ก็อย่างที่ผมบอกพี่พายแหละว่าไอ้กายไข้ขึ้นสูง ผมเองก็พอจะรู้ตั้งแต่เช้าแล้วว่ามันดูไม่ค่อยดี แต่มันทนบอกแต่ว่าไม่เป็นไรๆ จนล้มเลยช่วยกันลากไปโรงพยาบาล หมอก็อยากให้นอนโรงพยาบาลสักคืน แต่ไอ้กายไม่ยอม บอกว่างานไม่เสร็จ สุดท้ายเลยให้น้ำเกลือไปขวดนึง แล้วกลับมานอนหมดสภาพต่อที่ห้องเนี่ยแหละ ผมเองก็อยากจะโทร.หาพ่อแม่มันนะ แต่ไอ้กายไม่ยอมอีก คือพ่อแม่มันหย่ากันแล้วน่ะพี่ แม่มันอยู่เมืองนอก ส่วนพ่ออยู่ลพบุรี มันไม่อยากบอกให้เขาเป็นห่วง” เรนเล่าด้วยท่าทางไม่สบายใจ ไม่ใช่ว่าเพราะเอาข้อมูลที่เคยปิดเงียบไว้มาเล่าในทีเดียว แต่เป็นห่วงคนในห้องมากกว่า

“เพื่อนผมไปบอกอาจารย์ให้แล้ว มีใบรับรองแพทย์ อาจารย์เขายอมให้ไอ้กายส่งงานช้าได้ แต่ของผมไม่ได้ไงพี่พาย ถ้าเอางานที่ทำค้างมาด้วยก็คงเฝ้าไข้มันเอง แต่งานอยู่บ้านพี่พายุ ถ้าขับรถไปกลับก็ไม่รู้จะทำทันมั้ย แล้วก็ไม่อยากให้ไอ้กายอยู่คนเดียว”

ตอนนี้พระพายเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“เรนจะให้พี่เฝ้าไข้แทนสินะ” แม้เรนจะลังเล แต่ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างรู้สึกผิด

“ต้องกินยาอีกทีเมื่อไหร่” ทว่าคนตัวโตไม่สน ถามต่อ

“พรุ่งนี้เช้า หมอฉีดยาลดไข้ให้มันแล้ว”

“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่ดูแลเอง เรนกลับไปทำงานเถอะ” พอรับปาก อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างอย่างโล่งอก ล้วงกุญแจห้องออกมาจากในกระเป๋ากางเกง แต่ก่อนที่จะส่งให้กลับชะงัก

“ผมไว้ใจพี่พายได้แน่นะ”

พระพายมั่นใจว่าเขาปกปิดสายตาที่มองกุญแจตาเป็นมันเอาไว้แล้วนะ แต่คงรู้สึกมากไปหน่อย วาเรนถึงดึงกุญแจกลับเข้าหาตัว

“แน่นอน”

ทว่าคนตัวเล็กก็ยังไม่ส่งให้ ทั้งยังหรี่ตามอง

“ไหนว่ารีบกลับไปทำงานไง ชักช้าแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่เสร็จกันพอดี ข้างนอกรถติดด้วยนะ” ชายหนุ่มไล่ด้วยรอยยิ้ม

“สัญญากับผมก่อนว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อนผม”

“ถ้าเรนไม่ไว้ใจพี่ก็ให้คนอื่นมาเฝ้าไข้แทนก็ได้นะ” ร่างสูงบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจ แต่คนฟังกลับเบ้ปากใส่

“ขนาดนี้แล้วจะหาใครมาแทนได้วะ”

“นั่นสิ ขนาดนี้แล้วเรนยังลังเลอีกเหรอ” คนพูดทำหน้าใสซื่อ จนเรนเองก็จนใจยอมส่งกุญแจให้

“ไอ้กายตื่นมาคงฆ่าผมแน่”

พระพายมองกุญแจดอกเล็กในมืออย่างพอใจ จากนั้นเงยหน้าสบตาคนที่ยังทำท่าเหมือนคิดผิด

เขาไม่ลังเลด้วยซ้ำตอนที่บอกว่า “พี่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อนเรา”

“หืม?”

คนพูดยังแปลกใจเลยว่าเขาพูดแบบนี้ทำไม ในเมื่อเหยื่อมานอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ใกล้แค่เอื้อม แถมไม่มีแรงไล่เขา ทำไมต้องพูดอะไรที่เป็นโซ่มาล่ามขาตัวเองด้วย ถึงจะไม่เลวขนาดที่จับคนป่วยปล้ำทำเมีย แต่นิดๆ หน่อยๆ พอกระชุ่มกระชวยก็ไม่เห็นผิดนี่ ยังไงเขาก็อุตส่าห์เสียเวลามาเฝ้าไข้แล้ว แต่...เขาก็ยอมสัญญาแบบนั้น

แววตาจริงจังทำให้เรนเองก็อ่อนลง

“งั้นฝากพี่พายด้วยนะ ถ้าไอ้กายตื่นแล้วโทร.บอกผมหน่อย”

เด็กหนุ่มถอนหายใจ แล้วเดินไปทางบันได แต่ไม่วายที่จะหันมามองหลายครั้งอย่างลังเล โดยมีพระพายยิ้มส่ง กระทั่งลับแผ่นหลังไปแล้ว รอยยิ้มก็หุบลง แล้วร่างสูงก็ไม่เสียเวลาสักเสี้ยววินาทีที่จะหมุนตัวไปเปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว หากแต่เบามือที่สุด

ภายในห้องของสกายค่อนข้างกว้าง แต่รก ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจ

พระพายพุ่งตรงไปยังเตียงนอนหลังใหญ่ที่มีคนป่วยหลับสนิทอย่างร้อนใจในทันที แล้วก็ต้องชะงัก ไม่คิดว่าช่วงเวลาที่ไม่เจอกันแค่ไม่กี่สัปดาห์จะทำให้สกายซูบลงขนาดนี้ ไหนจะใบหน้าซีดสีกับริมฝีปากแห้งแตกอย่างคนเป็นไข้ที่ทำให้ร่างสูงนั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปสัมผัสแก้มอย่างเบามือ

แม้ผิวกายไม่ได้ร้อนจัดอย่างที่เรนบอก แต่เนื้อตัวรุมๆ ก็ทำให้เขากังวลอย่างบอกไม่ถูก

พระพายไม่รู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไร เขาแค่...ไม่อยากเห็นเด็กคนนี้ป่วย

“เฮ้อ! ทำให้พี่ห่วงขนาดนี้ ตื่นมาแล้วจะลงโทษให้เข็ด”

แม้ใจจะยังไม่สงบลงเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้บุบสลายตรงไหน นอกจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างทรมานกับอาการไม่สบายตัว พายก็ถอนหายใจแผ่วๆ ผุดยิ้มออกมาจางๆ เลื่อนมือไปปัดปอยผมเปียกชุ่มด้วยเหงื่อไปข้างหลังอย่างอ่อนโยน

“เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้นะ”

ครั้งนี้พระพายสาบานได้ว่าไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงนอกจากสงสารคนที่นอนตัวเปียกเหงื่ออยู่บนเตียง

หมับ!

แต่ยังไม่ทันที่ก้นจะพ้นฟูก เขาก็สัมผัสถึงแรงกระตุกด้านหลังเสื้อจนต้องหันไปมอง แล้วก็พบกับดวงตาสีดำสนิทที่แดงเรื่อด้วยพิษไข้ปรือขึ้นมอง จากนั้นริมฝีปากแห้งผากก็กระซิบถ้อยคำที่สั่นสะท้านหัวใจของผู้ชายตัวโต

“อย่าไป...อย่าไปนะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น