1

วันที่พายุเข้า


 

ตอนที่ 1

วันที่พายุเข้า

            “มึงงงงงง มึงได้ยินกูมั้ย พี่เขาเท่ฉิบหายเลยสัส ตอนแรกกูงี้กลัวสุดๆ ที่ได้ยินเสียงยางระเบิดดังปัง แถมยังมีใครไม่รู้มาเคาะหน้าต่างจนคิดว่า เหี้ยแล้วไง! กูจะโดนแทงแล้วรูดทรัพย์มั้ย แต่นอกจากพี่แกจะมีน้ำใจ ฝีมือขั้นเทพ จับสองทีก็เปลี่ยนล้อรถให้กูได้แล้วนะ หน้าตางี้ก็...”

            “หล่อวัวตายควายล้ม พระเอกเกาหลีชิดซ้าย ยังกับเทวดาถูกถีบลงมาเกิด”

            “อ้าว! มึงรู้ได้ไงวะ”

            “รู้สิวะ! กูฟังมาสามรอบแล้ว แถมแต่ละรอบ มึงอัพเกรดซะกูนึกว่ารอบนี้พี่บิ๊กไบค์อะไรของมึงจะไม่ใช่คนแล้วไอ้เรน”

            เรน หรือ นายวาเรน มุ่ยปากขัดใจทันทีที่ถูกเพื่อนขัด แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทจะไม่สนใจไยดี เพราะก้มหน้ากลับไปอ่านการ์ตูนในมือถือต่อหน้าตาเฉย จนคนที่อยากระบายความประทับใจอีกสักยี่สิบสามรอบกระโดดมานั่งยองๆ หน้าโต๊ะเลกเชอร์ของเพื่อน สองมือเกาะขอบโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มต้นเขย่า

            “ไอ้กาย มึงฟังกูหน่อยสิ กูอยากเล่าอะ กูอยากเล่า”

            “มึงรู้ตัวมั้ยว่าน่ารำคาญ”

            “แล้วมึงรู้ตัวมั้ยว่าใจร้าย”

            “เออ กูใจร้าย งั้นมึงก็ไประบายกับคนอื่นไป๊!”

            พอเพื่อนไล่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งเขย่าโต๊ะแรงขึ้น อยากเล่าเรื่องเฮียบิ๊กไบค์เต็มที่ แต่ชักหมั่นไส้ไอ้เพื่อนใจเย็นของตัวเองที่มีการหันหน้าไปทางอื่น เอียงหน้าหลบ ตามองแต่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ แถมพอจะแย่งเพื่อเรียกร้องความสนใจ มันดันรู้ทัน เอามือมายันหัวเขาอีกแน่ะ

            “ไอ้สกาย!”

            “ว่า?”

            “มึงมันเพื่อนใจร้าย”

            คนใจร้ายหันมาสบตา แล้วเอ่ยประโยคที่ทำร้ายจิตใจยิ่งกว่า

            “กูเข้าใจเลยว่าทำไมมึงหน้าตาก็ดี แต่จีบสาวไม่ติดสักที”

            “ไอ้สัส! อย่าซ้ำเติม!” วาเรนโอดครวญอย่างเจ็บปวด นี่ถ้าลงไปดิ้นกับพื้นได้คงทำไปแล้ว ขณะที่ตวัดค้อนมองเพื่อนอย่างเคืองๆ ไม่ได้โง่ขนาดให้สกายมาแปลภาษาไทยเป็นภาษาไทยอีกรอบ ก็เพราะนิสัยช่างตื๊อของเขาเนี่ยละที่สาวๆ บอกว่า...รำคาญค่ะ

            ไม่ใช่ว่าผู้หญิงชอบคนเอาใจใส่เหรอวะ ก็เนี่ย เอาใจใส่ทุกอย่าง ถามสารทุกข์สุกดิบสารพัด ไลน์หาแทบทุกนาที แถมมีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังหมด มันน่ารำคาญตรงไหน แบบนี้เขาเรียกกันว่าเอาใจใส่โว้ย ไม่มีใครเก่งภาษาไทยเหมือนกูสักคน

            พอเพื่อนออกอาการงอน สกายก็ถอนหายใจ ยอมเก็บมือถือเข้ากระเป๋า มองตรงไปยังคนที่อมลมแก้มพอง อดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองตั้งแต่ขนคิ้วยันขนจมูก ซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้งที่สกายยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นคนหน้าตาดี ก็เล่นตาโตแถมลูกตาดำนี่ใหญ่กว่าพวกที่ใส่บิ๊กอาย จมูกก็กำลังน่ารัก ปากสีแดงๆ แถมยังผิวขาวจั๊วะตามประสาคนที่มีเชื้อสายจีน พอรวมกับรูปร่างเพรียวๆ บางๆ กับความสูงเกือบๆ ร้อยเจ็ดสิบ มันก็ทำให้พวกผู้หญิงเหลียวมองตามหลังได้ แต่...

            “เออๆ จะเล่าอะไรก็เล่ามา”

            “งี้สิวะ กูรู้ว่ามึงเพื่อนกู! มึงฟังนะ เมื่อวันก่อน รถกูยางระเบิดว่ะ เสียงดังปังเลย รถนี่เซแซ่ดๆ กูนึกว่ากูจะไปยมโลกซะแล้ว แต่ที่กูรอดมาได้เนี่ยเพราะดวงล้วนๆ มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยว่ะมึง ตอนแรกกูนึกว่าโจรปล้นธนาคาร ก็เล่นใส่หมวกปิดหน้าปิดตา แต่พอคิดไปคิดมา โจรที่ไหนขี่ดูคาติคันเป็นล้านวะ แถมพอถอดหมวกออก แม่งเอ๊ย! หล่อโคตรพ่อโคตรแม่เลยมึง แถมเท่ฉิบหาย ยกล้อเส้นใหญ่ลงจากหลังรถกูหน้าตาเฉย แถมท่ายกนี่...”

            มันคงหาสาวได้สักคน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นคนพูดมาก ช่างตื๊อที่จะเอาให้ได้อะนะ แบบนี้มันหาผัวมาเอาใจฟังเรื่องเล่าของมันยังง่ายกว่าหาเมียเลย

            สกายคิดพลางเท้าคาง พยักหน้าหงึกๆ ทั้งที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะวันนี้น่ะรอบที่ห้า แต่วันที่เกิดเรื่องน่ะ ไอ้เรนโทร.มาตอนเที่ยงคืน แถมเล่าละเอียดยิบ กว่าจะจบก็ตีสองเศษ ใส่รายละเอียดถี่ยิบชนิดที่อยากถามมันเหลือเกินว่า ถ้าจะปลื้มเขาขนาดนี้ ทำไมไม่ขอเบอร์ไว้เลยล่ะ

            ไม่สิ ไม่ต้องถามก็รู้นี่หว่าว่าไอ้เรนจะตอบว่าไง...เออ ทำไมมึงเพิ่งทักวะ กูน่าจะขอเบอร์พี่เขาไว้...มันต้องเป็นงี้แน่

            “คุยอะไรกันอยู่เหรอ”

            ขวับ!

            “เปิ้ล!”

            ทันใดนั้น คนที่กำลังเล่าน้ำไหลไฟดับ บรรยายท่าไขนอตยางรถยนต์ประหนึ่งคาวบอยควงปืนก็หุบปากฉับ เมื่อเสียงทักดึงขึ้นจากด้านหลัง ซึ่งพอเรนหันไปมอง เห็นว่าเป็นใคร เด็กหนุ่มก็รีบยืนตัวตรง ร้องเรียกสาวน้อยในชุดนักศึกษาด้วยน้ำเสียงยินดี

            สกายยืนยันว่าเขาเห็นมันส่ายหางริกๆ ให้เขาด้วย

            ผู้หญิงตรงหน้าซึ่งกำลังส่งยิ้มให้พวกเขาคือสาวสวยอันดับต้นๆ ของรุ่นที่เกือบจะได้เป็นดาวคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และผู้หญิงคนนี้แหละที่เรนพยายามจีบมาสองเดือนเต็มตั้งแต่เริ่มเทอมสอง แต่ไม่เพียงสาวเจ้าจะไม่มีใจให้ สายตาที่มองมาสื่อว่าเอ็นดู๊เอ็นดู

            คนใจเย็นจึงฟันธงเงียบๆ เลยว่าจบที่เพื่อน เขาให้มากสุดแค่น้อง แห้วแดกแน่นอน

            “เปิ้ลมีอะไรกับเราหรือเปล่า”

            “เปล่าอะ เรามีกับกาย”

            “เฮ้ย! นี่มึงคิดตีท้ายครัวเพื่อนเหรอวะ!”

            ตีท้ายครัวเขาใช้กับคนที่มีความสัมพันธ์เกินเพื่อน แต่มึงน่ะเป็นได้แค่หมาวิ่งไล่เห่าเครื่องบิน

            สกายมองตอบเพื่อนเช่นนั้น ก่อนจะหันกลับไปหาสาวสวย

            “เปิ้ลมีอะไรหรือเปล่า”

            “เรื่องกิจกรรมรุ่นเดือนหน้าน่ะ กายมีแบบฟอร์มเอกสารเก่าๆ ของพวกรุ่นพี่มั้ย เราไม่อยากไปขอเอง ขี้เกียจเจอพี่ส้ม เดี๋ยวโดนด่าอีกว่าแค่นี้ก็ไม่รู้จักทำเอง ช่วงนี้อารมณ์ไม่ดีด้วย งานสุมน่ะ” คนมีพี่ชายในสโมสรคณะว่าเช่นนั้น แบบที่คนฟังพยักหน้าหงึกๆ

            “น่าจะมีนะ เมื่อเดือนที่แล้วเจอพี่พายุ เลยได้พวกแบบฟอร์มเอกสารสำคัญๆ มาหมดเลย” รองประธานรุ่นของปีหนึ่งตอบ แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวพุ่งเข้ามาคว้าขอบโต๊ะเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ขอในตอนแรก แต่เป็น...

            “กายเจอพี่พายุด้วยเหรอ! พี่พายุคนนั้นอะนะ!!!”

            “ถ้าหมายถึงพายุคนนั้น ก็น่าจะพายุเดียว”

            “จริงอะๆ! เจอได้ยังไง พี่เขาจบไปแล้วนี่ อิจฉาอะ เราก็อยากเจอ!” เปิ้ลร้องอย่างตื่นเต้น ขณะขยับหน้าเข้ามาชิดเพื่อน ชนิดที่เรนเองก็ตากระตุก อยากจะเข้ามาจับแยกหรอก แต่กลัวโดนสาวด่า ทั้งที่นึกขุ่นใจขึ้นมาทันทีที่ไอ้พี่พายุอะไรนี่ทำให้สาวที่หมายตาตื่นเต้นได้เพียงนี้

            “เปิ้ล ใกล้ไป”

            “แหะๆ โทษที เราตื่นเต้นมากไปหน่อย”

            “ไม่เป็นไร เราเข้าใจ”

            “แต่กูไม่เข้าใจว่ะ พายุคือใคร”

            ขวับ!

            พอเรนถามจบ สายตาทั้งสองคู่ก็หันมามองเป็นตาเดียว แถมยังมองแบบประณามหยามเหยียดว่าไปนอนหลบอยู่ในซอกตึกมาหรือไง ถึงไม่รู้จักพี่พายุคนที่ว่า ซึ่งก็เกิดจะอ้าปากโวยอยู่หรอก แต่...

            “พี่พายุคนที่พวกอาจารย์ชอบพูดถึงบ่อยๆ ในคาบไง คนที่ได้รางวัลชนะเลิศงานประกวด AsiaStar Award แถมยังเป็นตัวแทนประเทศได้ส่งงานเข้าประกวดในระดับ World Star ได้ที่สองเชียวนะ ที่สอง แถมที่ได้ที่สองเพราะมีข่าวว่าต้องช่วยงานที่บ้านจนไม่มีเวลาทุ่มให้งานประกวด”

            “คนที่เป็นประธานคณะเราสามปีซ้อน พวกสโมฯ ทุกคนรู้จักพี่พายุกันทั้งนั้น เขาว่างานอะไรที่ผ่านมือพี่พายุ ออกมาเนี้ยบทุกงาน อ้อ แถมยังเป็นเดือนมหา’ลัยตอนอยู่ปีหนึ่งด้วยนะ”

            “นั่นแหละที่สำคัญ เพราะพี่เขาหล่อมากกกกกก”

            เปิ้ลส่งเสียงวี้ดว้าย ยกสองมือขึ้นจับแก้มอย่างปลื้มปริ่มสุดๆ มาดเมิดขาดกระจุย

            “เรนคิดดูสิ พี่ชายเราไม่เคยชมใครให้ฟังยังปลื้มพี่พายุแทบเป็นแทบตาย เล่าเรื่องพี่พายุกรอกหูเราตั้งแต่เข้ามาปีหนึ่ง แล้วนี่ตอนนี้พี่ส้มอยู่ปีสี่แล้ว เรื่องเดียวที่ทำให้พี่เรายอมโงหัวขึ้นมาจากงานคือการชวนคุยเรื่องพี่พายุเลยนะ ที่เราอยากมาเรียนที่นี่เหมือนพี่ก็เพราะพี่พายุที่พี่เล่าให้ฟังเนี่ยละ เสียดายที่พอเข้ามา พี่เขาก็จบไปแล้ว” คนพูดว่าอย่างเสียดายสุดๆ และนั่นก็ทำให้เรนเผลอ...

            “พี่ชายเปิ้ลเป็นเกย์ปะ ชื่นชมอะไรนักหนาวะ”

            ซวยละ!

            คน (แอบ) หึงหลุดปากอย่างไม่น่าให้อภัย ซึ่งทำให้หญิงสาวตวัดสายตามามองอย่างไม่เชื่อสายตา ขณะที่บรรยากาศรื่นเริงในตอนแรกกลายเป็นมาคุเต็มขั้น ทำเอาคนพูดเก่งเองก็แก้ตัวไม่ออก

            ก็มันหงุดหงิดนี่หว่า อะไรจะปลื้มหมอนั่นขนาดนั้น แถมไอ้เพื่อนสนิทพูดน้อยก็เสือกชมเปาะไม่ขาดปาก ทีเพื่อนมันไม่เห็นชมงี้เลย

            คนที่แปลงร่างเป็นหมาหัวเน่าเหลือบไปมองสกาย และนั่นก็ทำให้รองประธานรุ่นถอนหายใจเฮือก

            “กูว่า ถ้าพี่ส้มเป็น มึงก็เป็นก่อนแล้วละไอ้เรน เมื่อกี้มึงยังชมเฮียบิ๊กไบค์ไม่ขาดปากอยู่เลย อีกนิดกูก็นึกว่ามึงอยากได้เขาเป็นผัวแล้ว”

            “เฮ้ย! กูแค่ชื่นชมโว้ย!”

            “เออ งั้นพวกกูก็แค่ชื่นชมพี่พายุเหมือนกัน...อย่าถือสาอะไรไอ้เรนเลยเปิ้ล ช่วงนี้มันปากเปราะ” สกายแก้สถานการณ์ให้ อย่างที่เรนเองก็คันปากยิบๆ อยากจะตอบโต้อยู่หรอก แต่เห็นสาวเจ้ามองมา เขาก็ทำได้แค่ไหล่ห่อ ช้อนตามองอย่างอ้อนๆ ทำนองยกโทษให้ผมเถอะ

            “ช่างเหอะ เราไม่ได้โกรธที่เรนว่าพี่ส้มเป็นเกย์หรอก ตรงกันข้ามต่างหาก”

            “หืม?” เรนทวนถาม

            “ก็ถ้าพี่พายุจะเอาพี่ส้ม เราจะยกพี่ชายให้เลย แต่ที่เราเคืองเพราะเรนพูดเหมือนพี่พายุไม่น่าชื่นชมต่างหาก...ยังไงถ้าได้แบบฟอร์มแล้วส่งเข้าไลน์เราได้เลยนะกาย” เปิ้ลว่ารวดเดียวจบ แล้วร่างบางก็หมุนตัว ก้าวฉับๆ ตรงดิ่งไปยังกลุ่มสาวๆ ด้านหน้า ปล่อยให้เรนยกมือค้างกลางอากาศ

            นี่กูไม่มีโอกาสแก้ตัวเลยสินะ

            “กูมีสองคำจะบอกมึงว่ะเรน” สกายยื่นหน้ามาข้างหูเพื่อนที่กำลังมองสาวสวยตาละห้อย แล้วเน้นหนัก

                “นกว่ะ”

            “ไอ้เหี้ยกาย!!!” คนฟังแทบจะพุ่งกลับมาเขย่าคอด้วยสีหน้าแค้นเคือง แต่ที่แค้นยิ่งกว่า...ไอ้พี่พายุ!

            ไม่รู้ละว่าเด่นดังมาจากไหน แต่อย่าให้เจอหน้านะมึง กูจะด่าให้ยับเลย หน็อย มึงหล่อยังไงก็สู้เฮียบิ๊กไบค์ของกูไม่ได้หรอก!

 

            กลุ่มเมฆสีดำทะมึนเคลื่อนตัวมาปกคลุมทั่วกรุงเทพมหานคร ปล่อยสายฝนเย็นบาดผิวลงมารินรดผืนดินด้านล่าง สายฟ้าแล่นแปลบปลาบ ตามมาด้วยเสียงก้องคำราม ขณะที่สายลมก็พัดกระแทกหน้าต่างร้านอาหารดังกึกๆ

            อย่างนี้ไม่ใช่แค่ฝนตก แต่เขาเรียกพายุเข้า แถมมาเข้าวันนี้ซะอีก

            “เอ้า พวกน้องไม่กินหน่อยเหรอ”

            “หนูไม่กินเหล้าค่ะพี่”

            “ผมขับรถมาครับ”

            “เอาน่า นิดนึง”

            วันที่เหล่าสายรหัสนัดรวมตัวกันมาเลี้ยงรุ่นน้องปีหนึ่ง ไม่ใช่แค่ตั้งแต่ปีห้าลงมาด้วย แต่นี่มีกระทั่งสายรหัสเมื่อยี่สิบปีก่อน แบบนี้จะไม่ให้เรนเกร็งได้ยังไงล่ะ ดีที่พวกเขานัดกันทีแบบสายโค เลยมีเพื่อนร่วมรุ่นมาด้วย แต่หากถามเรื่องระดับความสนิทให้ศูนย์ถึงสิบ เด็กหนุ่มให้ติดลบเลยเอ้า

            เขากับเพื่อนที่อยู่สายโคเดียวกันเป็นเพื่อนคนละกลุ่ม แม้จะเรียนด้วยกันมาสองเทอมแล้ว แต่ก็แทบไม่ได้คุยกันเลย แถมอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ พวกรุ่นพี่เลยมาคะยั้นคะยอให้เขากินแทน ซึ่งถ้าไม่ได้ขับรถมาก็อยากจะกรึ๊บอยู่หรอกนะ

            “อย่าไปแกล้งน้องมันสิ เดี๋ยวก็โดนเด็กด่าหรอก”

            “เฮ้ยพี่ ผมไม่กล้าหรอกครับ” เรนรีบแย้ง ส่ายหน้ายืนยันว่าไม่กล้าล่วงเกินสายรหัสที่เคารพรัก จนพวกรุ่นพี่หัวเราะครืนกันขึ้นมา

            “ไม่ๆ พวกพี่ไม่ได้หมายถึงเรน หมายถึงเจ้าเด็กอวดดีอีกคนต่างหาก”

            “ว่าน้องมันอวดดี ได้ข่าวว่าตอนมันเรียนจบ แย่งตัวมันไปทำงานกันฉิบหายเลย”

            “อ้าว! ใครก็รู้ว่ามันเป็นเพชรน้ำงาม พูดแล้วก็เสียดาย มันปฏิเสธข้อเสนอหมดเลย”

            “เออ ทำไมวะ ได้ข่าวว่าพี่เสนอเงินเดือนให้มันสูงกว่าเด็กจบใหม่โขเลยนี่”

            เรนมองซ้ายขวาอย่างสนใจ เพราะดูเหมือนทั้งโต๊ะกำลังหันมาสนใจบทสนทนานี้ แถมพี่ที่บอกว่าเสนอเงินเดือนอะไรนั่นก็เป็นสถาปนิกรุ่นใหญ่ระดับหัวหน้า ก่อนหน้านี้ได้ยินพี่เขาเล่าว่าเงินเดือนเท่าไหร่ก็ยังมีแอบสะดุ้ง จนชักสงสัยว่ากำลังพูดถึงใครกันอยู่

            ขณะที่พี่แกก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ตาพราวด้วยความขบขัน

            “มันบอกไม่อยากเป็นเด็กเส้นว่ะ”

            เท่านั้นแหละ เสียงหัวเราะก็ดังครืนขึ้นมาทั้งวง

            “โอ๊ย! อย่างเจ้าเด็กนั่นถึงจะเส้น ก็เส้นคุณภาพละวะ”

            “ก็สมเป็นมันดีนะพี่”

            “พูดอีกก็ถูกอีก เคยง้อใครที่ไหน”

            “อวดเก่งฉิบหาย แต่พวกมึงก็รักมันฉิบหายเหมือนกัน”

            “มันเป็นเจ้าชายเลยเชียวนะ ใครจะเกลียดมันลง”

            ท่ามกลางบทสนทนาที่กำลังครื้นเครง คงมีเพียงวาเรนคนเดียวที่กำลังทำหน้าหมางง เพราะแม้แต่เพื่อนร่วมรุ่นยังเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ฟังพวกรุ่นพี่อย่างตั้งใจ แล้วด้วยความเป็นคนไม่เก็บข้อสงสัยนาน เขาเลยสะกิด

            “พี่ๆ พี่พูดถึงใครอะครับ”

            “อ้าว! เรนไม่รู้จักคนดังเหรอ”

            “พอเรนเข้าปีหนึ่ง พี่เขาก็จบไปแล้วน่ะครับ” พี่ปีห้าเป็นคนแก้ตัวแทน

            “แต่ได้ข่าวว่ามันยังวนเวียนอยู่ที่คณะบ่อยๆ นี่ อาจารย์อยากให้มันรับทุนต่อโทจะเป็นจะตาย แต่เห็นว่าปฏิเสธ”

            “ก็มาบ้างครับ แถมมาถูกเวลาทุกครั้งเลย หนก่อนได้ข่าวว่าพวกสโมฯ ปวดหัวกับงบคณะเพราะเคลียร์กันไม่ลง พี่แกมาทีเดียว เรื่องจบภายในครึ่งชั่วโมง ข้างนอกเขาเรียกกันว่าเจ้าชายแห่งถาปัตย์ แต่พวกสโมฯ มันแอบเรียกลับหลังว่าเทพผู้โปรดสัตว์ บูชากันเหนือหัวทุกคน”

            “ขนาดนั้น?”

            “เออ ขนาดนั้นแหละพี่”

            “งั้นเดี๋ยวมันมาแล้วต้องแซ็ว”

            เรนหันไปมองสภาพอากาศภายนอกร้านแล้วยิ้มแหย เพราะหากเขาไม่เข้าร้านก่อนพายุมา เขาคงโทร.มาขอโทษแล้วกลับไปนอนตีพุงอยู่บ้านแล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละ คิดอีกทีใครจะกล้า เขาปีหนึ่ง นี่สายรหัสทุกรุ่น ขืนทำให้รุ่นพี่ไม่พอใจ เส้นทางอนาคตนี่ริบหรี่เห็นๆ ขณะรุ่นพี่ที่พูดถึงนี่ท่าทางจะเก่ง คงไม่แคร์หรอก

            ทำไมกูอดนึกถึงไอ้พี่พายุอะไรนั่นไม่ได้วะ

            ทันใดนั้น เรื่องที่คุยกับเพื่อนเมื่อสัปดาห์ก่อนก็แวบเข้ามาในหัว แต่วาเรนก็ส่ายหน้า ปัดมันออกจากใจ ในเมื่อแต่ละรุ่นมีกันตั้งเท่าไหร่ คงไม่ซวยมาเจอคนที่เกลียดขี้หน้าตั้งแต่ได้ยินชื่อครั้งแรกหรอก

            เปรี้ยง!

            “วร้าย!”

            “ตกแรงน่าดูเลย”

            สายฟ้าฟาดเปรี้ยงเสียงดัง สายฝนพัดกระหน่ำโหมเข้ามาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนเด็กหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าจะได้กลับบ้านกี่โมง

            “พายุโหมขนาดนี้ สงสัยฟ้าเป็นใจเปิดม่านต้อนรับคนมาสายซะละมั้ง”

            ปัง!

            วาเรนสะดุดกับคำพูดของรุ่นพี่คนหนึ่ง แต่เขาสะดุ้งโหยงมากกว่า เมื่อจู่ๆ ประตูร้านที่อยู่พอดีสายตาเปิดผางออกเสียงดัง พร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงเป็นฉากหลัง ดูน่ากลัวเสียจนตัวสั่นขึ้นมาชั่วแวบหนึ่ง แต่ความกลัวนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง และความตกตะลึงนั้นก็ทำให้อ้าปากกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

            ตอนนี้แสงไฟส่องมาให้เห็นหน้าของลูกค้าที่ก้าวเข้ามาใหม่แล้ว และนั่นแหละที่ทำให้เรนเกือบจะผุดลุกขึ้นมาชี้หน้า

            ในเมื่อผู้ชายคนที่กำลังขยี้ผมยาวประบ่าลวกๆ ปาดน้ำที่เกาะพราวบนใบหน้าหล่อเหลาทิ้ง แล้วปัดไล่น้ำที่ชื้นเต็มช่วงบ่าของเสื้อเชิ้ตสีอ่อนดูคุ้นเคยมาก เหมือนเพิ่งเจอกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพียงแต่วันนี้ไม่มีหมวกกันน็อกสุดเท่ มีเพียงใบหน้าคมคาย ไม่มีเสื้อหนังสีเข้ม มีเพียงเรือนกายเซ็กซี่ที่เห็นแวบๆ ผ่านเสื้อเปียกน้ำ แต่เรนจำได้

            “เอ้า ปรบมือให้คุณพายุที่พาพายุมาให้พวกเราหน่อยเร็ว”

            หะ! พายุ

            เรนเกือบจะลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาผู้มีพระคุณแล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ที่นั่งข้างๆ แซ็วเสียงดัง จนหันกลับมามอง แล้วก็เหลียวกลับไปอีกครั้ง เมื่อความจริงกำลังกระแทกเข้าเต็มหน้า

            “มาสายสุดเลี้ยงนะเจ้าพายุ”

            “ไอ้พายุ รู้มั้ยว่าเขานัดกันกี่โมงกี่ยาม นี่เขาจะกลับกันหมดแล้ว”

            “หวัดดีครับพี่พายุ โห! ขนาดเปียกๆ พี่ยังหล่อเหมือนเดิมเลย”

            “แต่พี่ไม่ต้องเอาพายุมาสมชื่อก็ได้นะ แล้วพวกผมจะกลับไงล่ะ”

            คราวนี้แหละ พายุ พายุ และพายุ บินว่อนรอบหัวของเรนเลย อีกทั้งเพื่อนสาวร่วมรุ่นที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็ลุกขึ้นทันที แถมก้าวไวๆ เข้าไปหาคนมาใหม่ ยกมือไหว้ด้วยท่าทางอ่อนน้อม ผิดกับแม่สาวขี้เบื่อที่กดมือถือยิกๆ เมื่อครู่ลิบโลก

            ปึง!

                “พี่คือพายุ!!!”

            ทันใดนั้น เรนก็กระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะดังปัง ผุดลุกขึ้น ตะโกนถามเสียงดัง จนทุกสายตาหันมามองเป็นตาเดียว รวมทั้งคนดังที่มาสายด้วย

            คราวนี้ตาสบตา จนเรนคิดว่าอีกฝ่ายจำเขาได้ชัวร์ ริมฝีปากก็กำลังจะยกขึ้นอย่างยินดีแล้ว แต่...

            “ใช่ครับ พี่ชื่อพายุ แล้วน้องเป็นใคร”

            วินาทีนั้น วาเรนก็ได้ยินเสียง เพล้ง! ดังสนั่นหวั่นไหวเลยเชียวละ

 

                เนี่ยนะพี่พายุ เนี่ยนะ คนนี้อะนะ!

            เรนแทบจะยกมือมากัดเล็บแก้เครียด หลังจากใช้มันปิดหน้าไปสามนาทีเต็มๆ เพราะเขาดันแสดงท่าทีว่ารู้จักอีกฝ่าย แต่พอทางนั้นจำไม่ได้ ก็อายจนแทบจะมุดโต๊ะหนี ดีที่คนอื่นไม่ได้ติดใจ อาจเพราะพุ่งความสนใจไปที่คนมาใหม่

            ฮึ สงสัยดังมากจนใครๆ ก็รู้จักตัวเอง แต่ตัวเองไม่จำเป็นต้องจำเขาได้ก็ได้สินะ

            เด็กหนุ่มคิดอย่างพาลๆ ขณะเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แล้วเขามั่นใจในความทรงจำตัวเองเลยว่าดวงตาคมกริบเหมือนตาเหยี่ยวแบบนี้ จมูกโด่งได้รูปเช่นนี้ และริมฝีปากบางที่เข้ากับกรอบหน้าคมๆ ต้องเป็นคนเดียวกับที่ช่วยเขาเมื่ออาทิตย์ก่อนแน่

            หล่อวัวตายควายล้มแบบนี้ คงไม่บังเอิญหน้าเหมือนกันเด๊ะๆ หรอก

            เฮือก!

            ร่างเล็กกำลังคิดอยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็หันมาสบตาพอดีเป๊ะ บ้าชะมัด! ทั้งที่ควรจะหงุดหงิด เกลียดขี้หน้า อยากจะอ้าปากด่าที่บังอาจเป็นไอ้พี่พายุคนนั้น เขากลับหลบสายตาเป็นพัลวัน ใจสั่นขึ้นมาเฉยๆ แล้วอาการแบบนี้มันน่าสมเพช!

            มึงอย่าทำตัวเหมือนแอบชอบพี่เขาได้มั้ย แค่ติดคำขอบคุณเขาต่างหาก

            เรนปลอบใจตัวเอง ทำไงได้ ก่อนหน้านี้ชื่นชมสุดๆ พอมารู้ว่าเป็นคนเดียวที่ทำให้เขากลายเป็นหมาหัวเน่า สาวไม่แล เพื่อนไม่สน มันก็เลยเป็นความรู้สึกก้ำกึ่งว่าควรจะเกลียดหรือปลื้มดี แต่ด้วยความที่ป๊าม้าสอนมาดี ติดหนี้บุญคุณต้องทดแทน…

            งั้นขอบคุณก็ได้ละมั้ง...

            เด็กหนุ่มเหลือบมอง

            ขวับ!

            อย่าหันมาสบตากูพอดีเด๊ะสิวะ!

            คนทำใจกล้าก้มหน้ามองโต๊ะอีกครั้ง แล้วพอเงยหน้าไปสบตาก็เจอตาคมเข้าให้อีก พอครั้งที่สาม คนที่คิดว่ามนุษยสัมพันธ์ดีก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดจากับใครไปเสียเฉยๆ

            ยอมรับก็ได้...กูเขิน!

 

            สุดท้าย นายวาเรนก็ไม่อาจเอ่ยปากขอบคุณเฮียบิ๊กไบค์ได้ตามใจคิด เพราะพอรวบรวมความกล้าเดินไปหา ก็มีพี่สักคนเดินตัดหน้าเข้าไปคุยกับพี่พายุก่อน แถมที่สำคัญ เจ้าเพื่อนสาวร่วมรุ่นก็แปลงร่างเป็นตุ๊กแกเกาะติดพี่พายุได้ยังไงก็ไม่รู้ นี่พอหันไปอีกที ก็เจอเจ๊แกนั่งชิดเอานมถูรุ่นพี่เสียอย่างนั้น จนได้แต่แอบกลอกตาบน

            ขออภัย แต่...แรดเหี้ย

            “เออ ช่างแม่งมันเหอะ พี่เขาจำไม่ได้ จะไปขอบคุณทำห่าไรวะ จบๆ ไปเหอะ กลับบ้านๆ” เรนประกาศก้อง ปิดประตูรถดังปัง แต่อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางหน้าร้าน

            นี่เขาพยายามเดินแบบเต่าคลานที่สุดแล้ว ชนิดที่พวกรุ่นพี่คนอื่นแยกย้ายกันไปคนละทาง ร้านแทบจะปิดไฟไล่ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่พายุ

            ออกมาตอนไหน หรือว่าไปต่อแล้ว

            “ช่างเหอะ ไม่ใช่เรื่องของกู” เด็กหนุ่มสั่นหน้า ขยี้หัวแรงๆ ขี้เกียจคิดแล้วว่าเฮียบิ๊กไบค์สุดเท่ที่ทำให้พูดถึงเป็นวรรคเป็นเวรมาทั้งอาทิตย์จะไปต่อกับเพื่อนเขาหรือไม่ ตัดสินใจว่ากลับบ้านดีกว่า ว่าแล้วก็กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่...

            แกร๊กๆ...กึก!

            “เอ๋!” เรนอุทาน แต่ใจเริ่มตกไปที่ตาตุ่ม

            “ไม่เป็นไร ลองอีกที อาจจะเครื่องกระตุก”

            วาเรนสตาร์ทเครื่องใหม่

            แกร๊กๆ...กึก!

            อีกครั้งที่เสียงรถดังแปลกๆ ซึ่งพอมองไปยังแผงหน้าปัดก็พบเครื่องหมายอะไรไม่รู้แดงเถือกเต็มไปหมด คราวนี้แหละ ใจหล่นหายต๋อมไปเลย

            ตอนนี้กูเปลี่ยนยางล้อรถเป็นแล้วนะ (เพราะป๊าสอน) แต่ถ้าอย่างอื่นพัง กูก็ตายเหมือนเดิม!

            เปาะแปะ เปาะแปะ...

            อีกครั้งที่พายุซึ่งเหมือนจะพัดผ่านไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน กำลังปล่อยสายฝนลงมากระทบกระจกรถ จนเรนเอาหัวโขกกับพวงมาลัยดังปึงๆ

            “ซวยได้ซวยดี ซวยสุดๆ นี่กูไม่มีดวงเรื่องรถหรือไงวะ ไอ้เรนเอ๊ยไอ้เรน”

            เด็กหนุ่มด่าตัวเองไปพลางโขกหัวกับพวงมาลัยรถไปด้วย แล้วก็บ้าชะมัด! เมื่อ...

            ปรื๊นนนนนนนนน

            “โอ๊ย! ไอ้หัวบ้า!” เขาดันโขกเข้าที่แตรจนมันส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วลานจอดรถที่เหลือเพียงไม่กี่คัน แล้วมองจากสภาพ พวกรุ่นพี่กลับกันไปหมดแล้วแน่ๆ ซึ่งหากขยายความอีกหน่อย...ปะป๊ากับหม่าม้าสุดที่รักก็เพิ่งบินไปยุโรปเมื่อเที่ยง

            หัวเดียวกระเทียมลีบของจริงแล้วละ

            เรนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาเบอร์คนที่พอจะช่วยเขาได้ ไม่คิดจะลงไปเปิดฝากระโปรงรถให้เสียเวลา เพราะดูไปก็ไม่รู้อยู่ดีว่าพังตรงไหน หาเบอร์คนมายกรถยังง่ายกว่า

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            อีกครั้งที่เด็กหนุ่มได้ยินเสียงเคาะหน้าต่าง ซึ่งครั้งนี้ไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือน เพราะหันกลับไปมองด้วยความตื่นเต้น เหตุการณ์หนก่อนลอยแวบเข้ามาในหัว และครั้งนี้...ดวงตาคมกริบประดุจเหยี่ยวก็มองลงมา

            “พี่พายุ!” เรนเปิดประตู ร้องเรียกอย่างดีใจ มองคนที่ยืนกางร่มอยู่ใกล้ๆ

            เห็นมั้ย เท่สัสๆ กูปลื้มน่ะถูกแล้ว

            “เป็นอะไรหรือเปล่า พี่ได้ยินเสียงแตร”

            “รถเสียครับพี่ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย จู่ๆ ก็สตาร์ทไม่ติด พี่พายุช่วยผมด้วยนะครับ” คนพูดว่าอย่างลืมตัว ส่งยิ้มอย่างมีความหวัง เพราะเห็นว่าหนก่อนอีกฝ่ายช่วย ครั้งนี้ก็ต้องช่วยเหมือนกัน จนเผลอขอร้องเสียงอ้อน กะพริบตาขอความเห็นใจอีกหน่อย

            แต่ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยมีรอยยิ้มให้กลับนิ่งสนิท

            ทำไมมองกูงั้นวะ เออ หรือต้องขออีก

            “นะครับพี่พายุ ผมรู้ว่าพี่พายุเก่งเรื่องรถ”

            หนก่อนเปลี่ยนล้อรถฟึ่บๆ! เสร็จ

            ทว่า...

            “พี่เข้าใจแล้ว”

            “ครับ?” เรนทวนคำอย่างงุนงง แล้วก็ต้องงงยิ่งกว่า เมื่ออีกฝ่ายกำลังกระตุกยิ้มมุมปาก

            “น้องเรนใช่มั้ย”

            “ครับ ผมชื่อเรน”

            เรนพยักหน้าแรงๆ มองอย่างมีความหวัง ไร้ซึ่งความระแวง ยิ่งรู้แล้วว่าร่างสูงเป็นรุ่นพี่ร่วมหาวิทยาลัย จนปล่อยให้อีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาจนแทบจะชิดกับเขา ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะปลายจมูก แต่เด็กหนุ่มคิดเพียงว่าพี่พายุคงก้มลงมาดูแผงหน้าปัดรถ ก็เลยหันไปมองบ้างเพื่อปิดบังเสียงในอกที่เต้นแรงขึ้น

            หล่อไป ใกล้ไป

            แต่ความเขินอายก็ปลิดปลิวไปจากหัวใจ เมื่อ...

            จุ๊บ!

                “ถ้าคิดจะอ่อยพี่ ทีหลังก็ทำให้เนียนกว่านี้นะ”

            ปลายจมูกโด่งฝังเข้าที่ซีกแก้ม พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มกระซิบริมหู และนั่นก็ทำให้สายฝนตัวน้อยๆ อ้าปากพะงาบๆ ตกใจสุดขีด

            เมื่อกี้พี่พายุว่าอะไรนะ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น