6

หนีไม่พ้น


 

ตอนที่ 5

หนีไม่พ้น

            “ไอ้เรน ใจเย็นๆ ก่อน”

            “ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว ถ้ามึงไม่ช่วยกู กูหาเอาเองก็ได้!”

            สกายอยากจะยกมือกุมขมับ เมื่อเรื่องที่เขากลัวเกิดขึ้นจนได้...ไอ้เรนฟิวส์ขาดแล้วไง

            เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเพื่อนสนิทกับรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว แต่พอวาเรนกลับมาอีกครั้ง หน้างี้แดงก่ำ ตัวแดงเถือก ตาลุกโชนเหมือนมีกองไฟสุม แล้วมันก็ก้าวดุ่มๆ เข้ามาตบโต๊ะ ประกาศว่าจะเอาชนะพี่พายุให้ได้

            มันก็เหมือนครั้งก่อนใช่มั้ย แต่ไม่เลย ครั้งนี้...มันเอาจริง

            หนก่อนแค่เจ็บใจ แค่ครั้งนี้เหมือนเจ็บแค้น

            พอเรนถามว่า ตกลงจะช่วยหาทางเอาคืนพี่พายุมั้ย แล้วเขาลังเล ไม่อยากให้มันเลยเถิด คนโมโหก็ทำหน้าโกรธ แล้วหมุนตัว ก้าวดุ่มๆ ออกมาจนกายต้องวิ่งตามด้วยความเป็นห่วง

            เขาพยายามปลอบให้มันใจเย็นแล้ว แต่เหมือนจะยิ่งราดน้ำมันลงบนกองเพลิง

            “มันคิดว่ามันเป็นใคร ถึงกล้าพูดเหมือนกูเป็นตัวเลือก!”

            คนฟังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ที่แน่ๆ ที่หายกันไปเมื่อครู่ พี่พายุต้องทำเรื่องหนักพอให้ไอ้เรนฟาดงวงฟาดงาขนาดบุกไปยังห้องเรียนของพี่ปีสูง ดีเท่าไหร่แล้วที่อาจารย์ยังไม่เข้า แถมสกายเองก็คว้าตัวเพื่อนไว้ไม่ทัน ได้แต่ยกมือไหว้ขอโทษพี่คนอื่น

            “พี่ส้ม พี่รู้มั้ยว่าพี่พายุมีจุดอ่อนตรงไหน”

            “อะไรของมึงวะไอ้เรน” เรนตรงดิ่งไปหาคนที่เทิดทูนพี่พายุกว่าใคร แล้วถามตรงแน่วเสียจนสกายทำหน้าสยอง

            “พี่ตอบผมมาเหอะน่า”

            “จะไปรู้เหรอวะ และถึงรู้ก็ไม่บอก” พี่ส้มหัวเราะ ว่าขำๆ “กูเป็นแฟนคลับ กูต้องปกป้องไอดอลกู”

            “ไอดอลเหี้ย’ไรล่ะ”

            “ไอ้เรน!”

            ใครว่าพี่ส้มหน้าตาน่ารัก ต้องมาดูตอนนี้ที่พี่แกตวาดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ จนสกายรีบจับแขนเพื่อน ยกมืออีกข้างทำนองขอโทษแทน

            “โทษทีพี่ โทษที ไปโว้ยไอ้เรน”

            “กูไม่ไป!” แต่คนฟิวส์ขาดก็ฝืนตัวสุดความสามารถ จ้องเขม็งไปยังรุ่นพี่คนเดียวที่รู้ว่ารู้จักพี่พายุ ลืมไปแล้วว่านี่คือรุ่นพี่ และยิ่งลืมสนิทใจว่านี่คือพี่ชายของสาวที่ชอบ ตอนนี้ถ้าได้รู้เรื่องพี่พายุ เขายอมหมดทุกอย่าง ขอแค่มีคนยอมคายออกมาสักนิดก็ยังดี

            “แล้วพี่รู้มั้ยว่าพี่พายุมีแข่งรถที่ไหน”

            “อะไรของมึง พี่พายุเนี่ยนะแข่งรถ”

            “ก็เออสิวะ ไหนว่าเป็นไอดอลพี่ไง พี่ไม่รู้ได้ไงว่าพี่พายุมีแข่งศุกร์นี้!” เรนว่าเสียงแข็ง ไม่สนหัวคนแก่กว่าแล้ว ทำเอาพี่ส้มหน้าตึง ลุกขึ้นมาประจันหน้า

            “ไอ้เรน พูดดีๆ กูรุ่นพี่มึง”

            “แล้วไง ตกลงรู้หรือไม่รู้วะ!!!”

            “มันจะมากเกินไปแล้วนะไอ้เรน” พี่ส้มเองก็ถกแขนเสื้ออย่างเอาเรื่อง แต่วาเรนก็จ้องหน้าดำหน้าแดงอย่างไม่ยอมแพ้ ทำเอารุ่นพี่รอบข้างเริ่มหันมาสนใจว่ามีเรื่องอะไรกัน

            ภาพนั้นทำให้สกายเห็นท่าไม่ดี จึงกระชากหลังคอเสื้อเพื่อนเต็มแรง

            “ขอโทษครับพี่ส้ม ไอ้เรนมันเพิ่งมีเรื่องมา เลยใจร้อนไปหน่อย ผมรู้ว่าพี่ใจดี คงไม่เอาเรื่องมันหรอกเนอะ มึงก็ขอโทษพี่ส้มเลยไอ้สัส” คนอารมณ์เย็นพยายามคลี่คลายสถานการณ์ แต่ไอ้เพื่อนตัวขาวไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิด จนต้องงัดไม้ตาย

            “เดี๋ยวกูหาให้เองว่าพี่พายุมีแข่งที่ไหน” สกายกระซิบริมหู แบบที่คนฟังหันขวับมาสบตา

            “มึงพูดจริง?”

            “เออ แต่มึงขอโทษได้แล้ว” ข้อเสนอนี้ทำให้เรนใจเย็นลงกว่าเดิมโข หันไปสบตาพี่ส้มแล้วพบว่าทางนั้นตาขุ่นคลั่ก

            “ขอโทษครับพี่ ผมร้อนไปหน่อย”

            “เออ! ไอ้กาย มึงพาเพื่อนมึงไปเลย ก่อนจะโดนตีน!”

            ไม่ต้องรอให้รุ่นพี่ขู่ซ้ำสอง สกายก็ลากเพื่อนออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว โล่งใจที่ครั้งนี้ไอ้เรนยอมก้าวตามอย่างว่าง่าย กระทั่งลากเพื่อนตัวขาวออกมาไกลเกินกว่าจะมีรุ่นพี่คนไหนได้ยิน คนลากก็หันกลับมาสบตาด้วยแววตาขุ่นเคือง

            “มึงรู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป หาเรื่องพี่ปีสี่เนี่ยนะ!”

            “ก็กูโกรธ!”

            “งั้นมึงมีสมองคิดมั้ยว่า หาเรื่องรุ่นพี่แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวก็เดือดร้อนกันหมด!” พอคนอารมณ์เย็นเป็นฝ่ายร้อนบ้าง เรนก็ใจเย็นลง ยิ่งมองตาวาววับของเพื่อนสนิท ก็ได้แต่ก้มหน้าลงมองปลายเท้าอย่างสำนึกผิด

            “กูขอโทษ”

            “เออ มึงควรจะขอโทษตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ตกลงเกิดอะไรขึ้น” พอสกายถาม คนตัวเล็กกว่าหน่อยก็เบะปาก ตาแดง

            “กูเจ็บใจ”

            “เรื่อง?”

            เรนไม่ตอบคำถาม แค่ยกมือขึ้นมาลูบหลังคอตัวเอง หน้าซึ่งแดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงเถือก ฟันคมกัดปากล่างจนซีดขาว ทำหน้าแบบคนจะร้องไห้ ผิดกับท่าทีเอาเรื่องก่อนหน้านี้ลิบลับ จนสกายถอนหายใจ

            แบบนี้ไงล่ะ ถึงมันจะน่ารำคาญไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ใจอ่อนอยู่ดี

            “กูไม่เล่าได้มั้ย” คนพูดยื่นมือมาจับเข้าที่ชายเสื้อ

            “แล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงมีเรื่องอะไรกับพี่พายุ”

            “มึงอะ” สกายไม่ชินกับคนพูดมากที่ไม่ยอมเล่าว่าตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่ แต่พอมันทำหน้าแบบเด็กหงอ ผิดกับท่าทีเอาเรื่องพี่ส้มก่อนหน้านี้ ก็ได้แต่จนใจ ยังไงก็รับปากมาแล้วนี่นะ อีกอย่าง...ไม่อยากให้มันไปมีเรื่องกับพวกรุ่นพี่ด้วย

            ตัวก็แค่นี้ จะเอาอะไรไปสู้

            “เฮ้อ! กูไม่รับปากนะว่าจะได้เรื่องมากแค่ไหน แต่จะพยายาม”

            ถ้าเทียบกัน สกายที่เป็นคนนิ่งๆ รู้จักคนทั้งคณะมากกว่าเรนชนิดยี่สิบต่อหนึ่ง ดังนั้น พอรองประธานชั้นปีรับปากจะช่วย เรนก็ยิ้มออกมาทันที ทั้งยังพุ่งเข้ามากอดรอบไหล่

            “กูโคตรรักมึงเลยไอ้กาย”

            “เออๆ แต่มึงช่วยกูอย่าง เลิกเอาคอพาดเขียงสักที กูขี้เกียจตามเก็บกวาด” คนฟังพยักหน้าคอแทบหลุด อารมณ์ดีกว่าเดิมโข เพราะถ้าคนอย่างสกายรับปากจะช่วย เขาก็คงหาทางเอาคืนพี่พายุได้สักทางละน่า

            “บางทีกูก็กลัวนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ของมึงจริงๆ”

            “ก็ป๊ากูสอนว่า ลูกผู้ชายต้องมุ่งมั่น”

            “มุ่งมั่นเกินจนจีบสาวไม่ติดสักคน”

            “ไอ้กาย!”

            “เออๆ พอ ไม่ต้องเรียก ไปกินข้าวเหอะ กูหิวจะตายแล้ว รอมึงไม่พอ ยังต้องวิ่งตามมึงไปทั่วตึกอีก”

            สกายเดินนำไปทางโรงอาหาร โดยมีเพื่อนตัวเล็กก้าวตามด้วยรอยยิ้มหมายมาด โดยที่เรนไม่รู้ว่าไอ้นิสัยไม่ยอมลดละเนี่ย จะพาตัวเองเดินเข้าปากเสืออย่างง่ายดาย

 

            ในเวลาตีสองเศษ ขณะที่คนทั่วไปกำลังนอนหลับพักผ่อน บนถนนหลวงเส้นหนึ่งของกรุงเทพมหานคร รถหลายคันกลับจอดกั้นกลางถนน เว้นไว้เพียงเลนตรงกลางที่เป็นทางเข้า ซึ่งผู้ที่จะผ่านเข้ามายังสนามแข่งพิเศษที่ตั้งขึ้นในช่วงสองชั่วโมงนี้ และสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ต้องมีบัตรผ่านเข้างาน

            บัตรผ่านที่ไม่ใช่ตั๋วกระดาษ แต่เป็น ‘หน้า’ ของสมาชิกประจำเท่านั้น

            สนามแข่งกลางเมืองที่คนนอกอาจคิดว่าเป็นเพียงพวกแว้นข้างถนน แต่คนในรู้ดีว่ามันพิเศษกว่านั้นมาก ดูได้จากบรรดารถหรูที่กำลังทยอยกันเข้ามาในงานไม่ขาดสาย เผลอๆ รถบางคันที่จอดอยู่ตรงนี้อาจมีให้ดูได้แค่ที่นี่ที่เดียวด้วยซ้ำ ส่วนมูลค่าน่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึง

            แน่นอนว่าเพราะงานนี้ไม่ใช่งานธรรมดา แต่เป็นงานของผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งที่ชื่นชอบความเร็วยิ่งชีพ

            ตอนนี้รถคอนเทนเนอร์คันใหญ่จึงกำลังแล่นเข้ามาจอด โดยมีช่างประจำตัวผู้มีอิทธิพลที่ว่ากำลังยืนกอดอกมองอย่างไม่ต้องการให้มีอะไรผิดพลาด...ช่างที่มีงานประจำเป็นสถาปนิกธรรมดา

            “วันนี้มีรถอะไรให้เลือกบ้างวะ”

            พายุหันไปมองคนถาม แล้วยกยิ้มมุมปาก

            “รอดูก็แล้วกัน พี่ภาคินเพิ่งส่งล็อตใหม่ให้เช็กเครื่องเมื่อไม่กี่วันก่อน”

            “อื้อหือ! แล้วมึงก็ทำทันคำสั่งท่านผู้นั้นน่ะนะ” พระพาย หนุ่มร่างใหญ่ผิวเข้มถามอย่างขบขัน

            “เขาสั่งมา ก็แค่ต้องทำตาม”

            “นี่ไง พี่ภาคินถึงไม่ไว้ใจใครอย่างมึง”

พายุส่ายหน้า ตบบ่าอีกฝ่ายแรงๆ

            “แต่ตอนนี้มึงเป็นคนโปรดพี่ภาคิน”

            ในขณะที่พายุมีงานอดิเรกแต่งเครื่องซูเปอร์ไบค์มูลค่าหลักล้านให้งานแข่งนี้มาหลายปี อีกฝ่ายที่เพิ่งจะเข้ามาร่วมแข่งขันเพียงปีกว่าก็ขึ้นแท่นมาเป็นนักแข่งคนโปรดของเจ้าของงาน ซึ่งนั่นก็ทำให้พระพายหัวเราะร่วน

            “เพราะเพื่อนมึงเลิกแข่งแล้วเหอะ ว่าแล้วก็อยากลองแข่งกันสักที”

            หลายปีก่อน ไม่ใช่แค่พายุที่อยู่ประจำงานนี้ แต่น้องชายฝาแฝดก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันประจำ และคนที่เก่งที่สุด เก่งกว่าใครคือเพื่อนสนิทของสองแฝดที่อยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ด้วยการทำงานที่หนักหน่วง อีกทั้งยังมุ่งมั่นที่จะวิ่งตามคนรัก ทางนั้นจึงเลิกไปโดยปริยาย มีเพียงบางครั้งที่เอารถไปซิ่งในสนามถูกกฎหมายครบวงจรของภาคินเท่านั้น

            ส่วนงานนี้ไม่ได้ร่วมชิงชัยมาหลายปีแล้ว พระพายจึงขึ้นแท่นอันดับหนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น

            “แล้วกูจะบอกให้” พายุว่าแค่นั้น ตามองคนงานที่กำลังทยอยเอาซูเปอร์ไบค์เครื่องแรงลงมาจากคอนเทนเนอร์

            “ไม่ถูกใจสักคน” จู่ๆ พระพายก็เปรย จนพายุกวาดสายตามองไปรอบงานที่เริ่มร้อนระอุขึ้นเพราะใกล้เริ่ม

            “แข่งเอาเงิน เอาสาว หรือเอาสะใจ”

            “ยังไงสะใจก็มาเป็นอันดับหนึ่ง แต่เรื่องสาวๆ นี่ก็ขาดไม่ได้ เสียดาย ไม่เจอถูกใจสักที ไม่งั้นจะไปท้าแข่งด้วย” คนพูดว่าอย่างเสียดาย เพราะงานนี้จะมีเดิมพันเพิ่มความสนุกก็ได้ อยู่ที่ข้อตกลงทั้งสองฝ่าย แต่ยังไม่มีใครที่เขาถูกใจจนอยากเอาชนะเพื่อได้ตัวสักหน

            “หาเอาข้างนอกง่ายกว่ามั้ยวะ” พายุหัวเราะ

            “พูดเหมือนมึงหาได้แล้ว”

            ครั้งนี้พายุไม่ตอบ แค่ยกยิ้มมุมปาก อย่างที่พระพายตาโต

            “เอาเรื่องนี่หว่า”

            คนฟังหัวเราะ นึกอยากต่อสายไปฟังเสียง ‘เอาเรื่อง’ ของเด็กบางคนที่หมดท่าเมื่อหนก่อนขึ้นมาครามครัน แต่เห็นทีโทร.ไปตอนนี้มีแต่จะโดนแยกเขี้ยวใส่ซะละมั้ง

            ทำไงได้ ก็น่ารักน่าขยี้เกินไปนี่หว่า

 

            “มึงแน่ใจนะว่าที่นี่”

            ขณะเดียวกัน เรนได้แต่ถามเพื่อนที่นั่งมาด้วยอย่างไม่แน่ใจ เพราะถนนเส้นที่สกายบอกว่าเป็นที่ตั้งของสนามแข่งกลับมีคนงานก่อสร้างมากั้นทาง พร้อมกับป้ายสัญลักษณ์ว่ากำลังซ่อมถนน ให้เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น ซึ่งคนที่นั่งข้างๆ ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเหมือนกัน

            “ก็ข่าวบอกว่าที่นี่”

            “แล้วมึงได้ข่าวมาจากไหน”

            “อย่ารู้เลย เอาเป็นว่าเขาบอกแค่ว่าคืนนี้มีงานที่นี่” เรนยอมรับว่าแปลกใจตั้งแต่ที่รู้จากเพื่อนแล้วว่างานแข่งรถอะไรนี่จัดขึ้นบนถนนเส้นที่เขาก็คุ้นเคย ไม่ใช่สนามแข่งเป็นทางการ แต่เมื่อเพื่อนยืนยันว่าข่าวนี้ไม่มั่ว ก็เลยไปรับสกายตอนตีหนึ่งกว่า แล้วขับพากันมาที่นี่เพื่อพบว่า...ห้ามผ่าน!

            ไหนจะเพื่อนสนิทที่บอกอีกว่าอย่ารู้เลย

            “ถามจริง รู้มาจากใคร”

            อีกฝ่ายนิ่งไปนิด ก่อนจะยอมบอกตามจริงด้วยท่าทางอึดอัด

            “แฟนเก่า เขาบอกว่าที่นี่”

            “เฮ้ย! แล้วมึงจะไปเจอแฟนเก่าเนี่ยนะ ถ้าไม่โอเค กูวกกลับไปส่งมึงก่อนได้นะ” เรนเองก็ว่าอย่างเป็นห่วง โอเค ก็ไม่เคยมีแฟน เพราะจีบไม่ติดสักที แต่ก็พอจะรู้นะว่าการเผชิญหน้ากับแฟนเก่าไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยสักนิด จึงยิ่งรู้สึกผิดที่ดื้อรั้นจนเพื่อนต้องตามสืบให้

            ว่าแต่...แฟนเก่าไอ้กายไปรู้จักพี่พายุได้ไง

            “ไม่ต้องหรอก ปล่อยมึงไปคนเดียวกูก็ห่วง เดี๋ยวมึงเลยไปจอดข้างหน้า สงสัยคงต้องเดินกันแล้วละ” พอคนงานไม่ยอมให้รถแล่นไปตามโลเคชั่นที่สกายได้มา ก็เลยบอกให้เพื่อนขับเลยไปจอดที่ถนนอีกเส้น ดูจากมือถือแล้ว น่าจะเดินไม่ไกลเท่าไหร่

            “กูไปคนเดียวได้นะ” เรนว่าอย่างเกรงใจ เพราะเหมือนเขาลากเพื่อนมาลำบากด้วย

            “เออน่า ไปเหอะ” คนพูดก้าวลงจากรถก่อน อย่างที่เรนยังรู้เลยว่าเพื่อนไม่สบายใจ จนชักลังเลว่าเขาควรจะไปตามสืบเรื่องของพี่พายุดี หรือปล่อยให้มันจบๆ ไป แต่ประโยคที่ว่า ‘พี่ก็เลือก’ วาบเข้ามา จนไฟแห่งความมุ่นมั่นลุกโชติช่วง

            ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ก็ต้องลุยกันสักตั้ง

            ความคิดนี้ทำให้เขาต้องรีบล็อกรถ แล้วก้าวตามเพื่อนที่เดินนำไปก่อน

            พวกเขาเดินอ้อมผ่านพวกคนงานซ่อมถนน แล้วต่างก็มองหน้ากัน เพราะไม่ว่าจะมองยังไง ไอ้หลังป้ายห้ามผ่านก็ไม่ยักกะมีงานก่อสร้างเลยสักนิด จะมีก็แค่แสงไฟจากรถที่จอดลิบๆ ซึ่งถ้าสายตาไม่ได้เพี้ยน พวกเขาเห็นนะว่ามันจอดปิดกลางถนนเลย

            พอเดินเข้ามาใกล้อีกนิด ก็เห็นชายฉกรรจ์ที่ยืนคุมทางเข้า

            “ไหนว่าห้ามรถผ่านไง”

            เรนพึมพำ เพราะมีรถสปอร์ตสีเข้มแล่นผ่านถนนที่ห้ามรถวิ่งเข้ามา ตรงไปยังผู้ชายที่คุมทางเข้า ชะลอความเร็ว เมื่อเปิดกระจกลง ทางนั้นก็ให้ผ่านเข้าไป

            “ต้องมีบัตรผ่านหรือเปล่าวะ” เรนถามเพื่อน ซึ่งก็ส่ายหน้าอย่างไม่รู้เหมือนกัน

            “เอาไงมึง กลับบ้านมั้ย”

            “อีกนิดได้มั้ย ยังไม่เห็นพี่พายุเลย” สกายนิ่งไปหน่อย แต่ก็ยอมเดินเข้าไปใกล้งานมากขึ้น ซึ่งมันใกล้พอได้ยินเสียงเฮ เสียงเพลง และเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังดังกระหึ่ม นั่นยิ่งก่อความสงสัยให้วาเรนได้มากพอที่จะหันมาบอก

            “มึงรอนี่แหละ กูเข้าไปแป๊บเดียว”

            “กูไปด้วย”

            “รอนี่แหละ กูไม่อยากให้มึงเดือดร้อนด้วย” แม้จะไม่เห็นด้วย แต่แววตาที่มองมาอย่างรู้สึกผิดที่ลากเข้ามาเอี่ยวเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำให้รองประธานชั้นปีถอนหายใจ พยักหน้ารับ มองเพื่อนที่วิ่งลัดเลาะเข้าไปในงานด้วยความเป็นห่วง

            “ก็หวังว่าพวกในงานจะไม่เหี้ยอย่างแฟนเก่ากู”

            ยิ่งคิด สกายก็ยิ่งเป็นกังวล

 

            เรนไม่ได้คิดไกลขนาดที่ว่า ถ้ากุมจุดอ่อนของพายุได้จะเอาไปทำอะไร เขาแค่อยากจะเอาคืนบ้างก็เท่านั้น อยากให้อีกฝ่ายทำหน้าตกใจบ้าง ไม่ใช่หน้านิ่ง ยิ้มชั่วร้าย กลั่นแกล้งเขาอยู่ฝ่ายเดียว แต่พอลอบเข้ามาในงานแข่งรถที่เต็มไปด้วยรถหรูมูลค่าหลายล้าน เด็กน้อยก็กะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าผิดที่ผิดทางสุดๆ!

            นี่มันอะไรกันวะ!

            ไอ้พวกแว้นน่ะเจอมาเยอะ แถวบ้านก็มี แต่คนในงานนี้ดูยังไงก็ไม่ใช่เด็กแว้นธรรมดา

            “รีบหาพี่พายุ แล้วรีบไปดีกว่า”

            เด็กหนุ่มคิดง่ายๆ แค่ว่าอยากจะถ่ายรูปพายุสักแชะ แล้วส่งไปเย้ยว่าผมรู้ความลับของพี่เหมือนกัน ดังนั้น ตากลมๆ จึงสอดส่ายไปทั่วงาน แต่นอกจากจะเห็นพวกลูกคนรวยที่มีสาวสวยหุ่นดีแนบชิดข้างกาย ก็มีแต่พวกนักแข่งที่กำลังจะลงสนาม

            ชุดเท่สัส!

            “ไม่ดิ พี่พายุ พี่พายุ”

            ในขณะที่กำลังสนใจภาพตรงหน้า เรนก็ไม่ทันรู้ตัวเหมือนกันว่าท่าทางเด็กน้อยหลังเขาที่มองทุกสิ่งอย่างตื่นตาตื่นใจ ไปสะกิดใจคนคุมงานที่กำลังจ้องเขม็งมาทางนี้ ทั้งยังเริ่มว.บอกกัน

            เฮ้ย! กูจำรถคันนั้นได้

            รถคันเท่ที่กำลังถูกลำเลียงมาข้างสนาม ลักษณะแบบเดียวกับที่เห็นในอู่ของพายุเด๊ะ

            พอคิดได้ก็เริ่มยิ้มออก ก้าวตรงดิ่งไปทางนั้นทันที

            รถอยู่ คนก็ต้องอยู่

            ฟึ่บ!

            “ขอโทษครับ คุณมากับใคร” แต่ก้าวได้ไม่กี่ก้าว ผู้ชายคนหนึ่งก็เดินมาขวางทาง พอเงยหน้าขึ้นก็เจอกับท่าทีข่มขู่ จนสะดุ้งวาบ เผลอก้าวถอยหลังอีกก้าว แต่...

            พลั่ก!

            ข้างหลังก็มีอีกคนตามมาประกบ

            “เอ่อ”

            “ว่าไง คุณมากับใครครับ” เรนได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัว เพราะมันหมายความว่าเขาถูกจับได้แล้วว่าลอบเข้ามา จะเอ่ยชื่อพายุก็ไม่ได้ ถึงจะมาหาข้อมูล แต่ใช่ว่าจะยอมให้การกระทำของเขาทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย

            “คือผม...คือผมอยู่แถวนี้ แล้วสงสัยว่ามีงานอะไร ก็เลยเดินมาดู” มันอาจฟังดูไร้สาระ แต่อีกฟากถนนก็มีบ้านเรือนตั้งเรียงรายอยู่นะ จะเกิดมีคนอยากรู้อยากเห็นสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่

            อีกฝ่ายกดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

            “แปลว่าไม่มีคนพาเข้ามา”

            ซวยละ!

            แต่คำตอบของเขาไม่ใช่แบบที่ทางนั้นต้องการ แล้วเรนก็ยิ่งตกใจกว่าเดิม เมื่อคนถามตรงเข้ามาจับต้นแขนเอาไว้ ว.บอกเพื่อนร่วมงานที่เด็กหนุ่มได้ยินเต็มสองหู

            “จับหนูได้”

            ตอนนั้นแหละที่เรนรู้ว่า หากไม่หนี...แย่แน่!

            พลั่ก!

            “เฮ้ย! หยุดนะ!”

            เขาจึงอาศัยจังหวะที่สองคนนั้นคิดว่าเขายอมจำนนผลักอกคนที่จับแขนออก จากนั้นหมุนตัวแล้วออกวิ่ง ไม่ไว้ใจจริงๆ ว่าถ้ายอมให้จับตัวง่ายๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ที่แน่ๆ คือไม่พาไปส่งเข้าบ้านเข้านอนหรอก ร่างเล็กจึงหลับหูหลับตาวิ่ง แล้วก็วิ่ง ได้ยินเสียงโวยวายดังตามหลังมาด้วย

            “จับเด็กนั่นไว้!”

            หมับ!

            เรนสาบานได้ว่าเขายังวิ่งหนีไม่ถึงสองร้อยเมตรเลยตอนที่ถูกรวบตัวเอาไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง จนร้องว้ากเสียงดัง ดิ้นสุดความสามารถ เหลียวไปมองข้างหลังก็เห็นว่าไอ้พวกที่ไล่ตามพุ่งเข้ามาแล้ว เลยตัดสินใจขยี้เท้าลงบนฝ่าเท้าคนที่จับตัว

            “โอ๊ย!”

            อีกฝ่ายร้อง แต่ไม่ปล่อย แล้วที่แย่กว่านั้น…

            “ว้ากกกกกก!” เขาถูกอุ้มพาดบ่าอย่างรวดเร็วจนไม่กล้าดิ้น ตามองแค่พื้นที่อยู่ห่างออกไป สองมือก็เปลี่ยนเป็นเกาะเอวคนอุ้มแน่น เพราะกลัวถูกปล่อยลงไปหัวฟาดพื้น

            “ปล่อยนะโว้ย! ปล่อย!” เรนโวยวาย

            “ไอ้เด็กฤทธิ์มาก! ขอบคุณมากครับคุณพายุที่ช่วยจับตัวไว้ให้”

            หะ! พายุ!

            เรนงี้เอี้ยวคอแทบหักกลับไปมองคนอุ้ม แต่เขาเห็นเพียงแค่ผมสีดำสนิทที่ถูกรวบไว้ลวกๆ ตรงท้ายทอย แต่แค่นั้นก็มากพอ

            ซวยฉิบหาย! ดันถูกหวยที่พี่พายุ!

            “ส่งมาครับ เดี๋ยวพวกผมจัดการต่อ”

            “ไม่ต้องพี่ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

            ขณะที่พายุเองก็ตกใจไม่น้อย เมื่อหันมาตามเสียงโวยวายแล้วพบกับเด็กหน้าตาคุ้นๆ ที่วิ่งหนีจากพวกคนคุมงาน จนต้องทิ้งงานทั้งหมด แล้วพุ่งเข้ามาดักหน้าคนที่วิ่งไปเหลียวหลังไป สัมผัสถึงคลื่นความโกรธที่พุ่งวาบขึ้นมาในใจ และยิ่งเข่นเขี้ยวมากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายขยี้มาเต็มเท้า

            งานนี้จะเอาให้ร้องไห้น้ำตานองเลย!

            “เด็กนี่มากับผม”

            “อ้าว! ไหนบอกว่าเป็นเด็กแถวนี้”

            “สงสัยตกใจน่ะ เขาไม่เคยมางานนี้มาก่อน ขอโทษแทนด้วยที่สร้างความวุ่นวายให้ ยังไงพี่ก็ช่วยทำเป็นไม่เห็นสักครั้งก็แล้วกัน ถือว่าเห็นแก่หน้าผม” พายุไกล่เกลี่ย กระชับร่างของเด็กน้อยที่ตัวแข็งทื่อไว้แน่น ป่านนี้คงรู้แล้วว่าใครเป็นคนอุ้มตัวเอง

            “แต่ผมต้องรายงานเจ้านาย”

            “เดี๋ยวผมบอกเอง”

            พายุจ้องอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม และมันก็มากพอให้ทางนั้นถอนหายใจ

            “ก็ได้ครับ แต่หนหน้าก็ตกลงกันดีๆ ถ้าผมรู้แต่แรกว่าเป็นเด็กคุณพายุ คงไม่วุ่นวายแบบนี้”

            “โทษทีพี่” พายุส่งยิ้มแทนคำขอบคุณ มองทั้งกลุ่มที่กระจายตัวกลับไปทำหน้าที่ จากนั้นก็ก้าวไวๆ ผ่านหน้าพระพายที่กำลังยืนมองอย่างสนใจ

            “เดี๋ยวกูโทร.บอกไอ้สายฟ้าให้มาดูต่อ กูกลับก่อนละ”

            “อ่าฮะ โชคดีว่ะเพื่อน ไม่สิ โชคดีนะครับ” ท้ายประโยค พระพายบอกกับคนที่ห้อยหัวต่องแต่งช็อกจัดอยู่บนบ่าพายุ เพราะดูจากสีหน้าของช่างคนเก่งแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่าเด็กน้อยคนนี้จะเจอกับอะไร

            ท่าทางจะพายุลง!

 

            เวลาเดียวกัน คนที่หลบอยู่ข้างนอกงานก็ร้อนใจมากขึ้นทุกที ยิ่งได้ยินเสียงโวยวายอะไรสักอย่างดังมาจากในงาน เขาก็ทนอยู่เฉยไม่ได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจตามเข้ามา แล้วอาจเป็นเพราะทุกคนกำลังสนใจเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น เลยไม่ทันสังเกตเห็นเขา แต่กลายเป็นว่ากายก็ตกใจไม่แพ้กัน

            ไอ้คนที่อยู่บนบ่าพี่พายุนั่น...ไอ้เรน!

            ฉิบหายแล้วไง!

            ความคิดของคนที่เร่งฝีเท้าตาม แต่ไม่ทันแล้ว เพราะพี่พายุจัดการยัดตัววาเรนเข้าไปในรถ ไม่ปล่อยให้ดิ้นหนี กระแทกปิดดังปัง จากนั้นก็แล่นฉิวจากไป ปล่อยให้คนมาด้วยอ้าปากค้าง และพอหันหลังกลับมา…

            “น้องมาด้วยกันกับเด็กไอ้พายุเหรอ”

            เฮือก!

            เขาก็เห็นผู้ชายตัวโต ผิวสีเข้มที่กำลังยกยิ้มน่าดู มองมาทางนี้ โดยอีกฝ่ายกำลังเขย่ากุญแจที่จำได้ว่าเป็นของเพื่อน

            “เพื่อนน้องทำกุญแจรถหล่นน่ะ”

            สกายตั้งสติ ถามด้วยน้ำเสียงสงบที่สุด

            “ถ้าผมอยากได้คืน ต้องแลกกับอะไร”

            “เอาไปเลยก็ได้” อีกฝ่ายยื่นกุญแจมาตรงหน้า สกายแบมือรับ โล่งใจที่เขาระแวงไปเอง แต่ตอนจะดึงมือกลับ…

            หมับ!

            “แต่น้องรู้ใช่มั้ยว่างานนี้ต้องมีบัตรผ่าน ลอบเข้ามาแบบนี้ไม่ดีนะ” พระพายจับมือของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น ทั้งที่ยังยิ้มกว้างอย่างผู้ใหญ่อารมณ์ดี ไม่มีพิษมีภัย ผิดกับปลายนิ้วที่กดบนฝ่ามืออย่างมีความหมาย และนั่นทำให้สกายกัดปาก

            “งั้นผมขอถามว่า ต้องแลกกับอะไรถึงจะออกไปได้เงียบๆ” เขาถามอย่างใจเย็น ทำให้คนฟังยิ่งยิ้มกว้าง

            “พี่ว่าน้องรู้นะว่าพี่ต้องการอะไร”

            นั่นทำให้สกายผู้ตามใจเพื่อนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา สายตาที่เรนเองก็ไม่เคยเห็น

            “เอางั้นก็ได้” จากนั้นก็ตอบเสียงเย็น

            เขาห่วงเพื่อนก็จริง แต่อย่างน้อยไอ้เรนก็อยู่กับคนที่คุ้นหน้ากันดี ส่วนเขา...ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น