ตอนที่ 4
พ่ายแพ้หมดรูป
ภายในห้องนอนสีเขียวสบายตา ร่างหนึ่งกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนนุ่ม ขนาบด้วยหมอนข้างสองใบ ผ่อนลมหายใจเข้าออกด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมารับอรุณของวันใหม่ และคงเป็นเช่นนี้อีกนานนับชั่วโมง ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงโทรศัพท์แผดจ้าขึ้น ทำลายความเงียบสงบที่เหมาะแก่การพักผ่อน
แต่คนหลับก็แทบไม่กระดุกกระดิกร่างกาย มีเพียงมือขาวที่ควานหาโทรศัพท์ที่เขาหลับผล็อยไปกับมัน
“อื้อ ฮาโหล”
เจ้าของเครื่องใช้ความสามารถพิเศษสไลด์หน้าจอรับทั้งที่ไม่ลืมตา แล้วเอาขึ้นแนบหู ส่งเสียงงัวเงียให้ปลายสายรู้กันไปเลยว่ากำลังรบกวน และจะดีมากถ้าช่วยวางเร็วๆ
[เมืองไทยเช้าแล้วนะ ยังไม่ตื่นอีกเหรอเรน]
“หม่าม้าเหรอ”
[ปะป๊าเรามั้ง]
นั่น! มารดาที่กำลังทัวร์ยุโรปอยู่กับบิดาพูดประชดใส่ จนเรนพยายามปรือตาที่หนักอึ้ง เพื่อมองเวลาแล้วพบว่าเพิ่งจะเจ็ดโมงกว่า
“หม่าม้ามีอะไร”
[ตื่นได้แล้วเจ้าเด็กขี้เซา เดี๋ยวก็ไปเรียนไม่ทันหรอก]
“อื้อ ม้าอะ เมื่อคืนกว่าเรนจะได้นอนก็ตั้งตีสี่”
[อย่ามาพูดให้ม้าเห็นใจ เล่นเกมละสิ ไม่ใช่ทำการบ้าน]
คนฟังก็อยากแก้ตัวหรอกนะ แต่คนมันง่วงอะ กว่าเมื่อคืนจะเคลียร์ด่านได้ก็แทบตาย ซึ่งเหมือนคนอีกซีกโลกก็รู้นิสัยลูกชายดี เลยเข้าเรื่อง
[ม้าจะโทร.มาถามว่าเรื่องรถเป็นไงบ้าง ช่างบอกหรือยังว่าอะไรเสีย แล้วค่าซ่อมเท่าไหร่]
พอพูดถึงเรื่องรถ คนเพิ่งตื่นก็ชักจะตาสว่าง ทำหน้าหงิก ไม่ใช่เพราะมีศักดิ์ศรีเต็มเปี่ยมขนาดไม่รับของฟรี แต่แค่คิดว่า ‘ใคร’ เป็นคนซ่อมให้ฟรีๆ ก็ไม่สบอารมณ์แล้ว เสียงที่ตอบกลับไปจึงทั้งสั้นทั้งห้วน
“ไม่กี่ตังค์หรอก”
เขาขี้เกียจบอกว่าซ่อมฟรี ไม่งั้นทางโน้นก็ต้องซักว่าทำไมฟรี โน่นนี่นั่น แล้วถ้ารู้ว่าอู่ที่ซ่อมเป็นของรุ่นพี่ เรนรู้เลยว่าคนอย่างหม่าม้าเขาต้องอยากไปเจอ อยากเอาของไปตอบแทน อยากขอบคุณเป็นเรื่องเป็นราว เพราะงั้นอย่าเล่าเลย ถือว่าไม่ได้โกหก แค่พูดไม่หมดเท่านั้น
[โอเคๆ ม้าไม่กวนแล้ว นอนต่อเถอะ แล้วไปเรียนด้วยนะ ไม่ใช่ป๊ากับม้าไม่อยู่แล้วจะโดดเรียนได้ล่ะ ถ้าเทอมนี้เกรดไม่สวย ป๊าเขาจะยึดรถคืน ม้าบอกไว้ก่อน]
“คร้าบบบ งั้นแค่นี้นะ ฝันดีนะครับ” พอพูดถึงเกรด เจ้าตัวก็รีบตัดบท บอกเสียงอ้อน แล้ววางสายทันทีไม่ฟังเสียงมารดาบ่นต่อ
จากนั้น...ก็โยนโทรศัพท์ทิ้งแล้วคลุมโปงแม่ง
ง่วงโว้ย!
เรนอาจเป็นเด็กติดเกม แต่ก็รู้ลิมิทตัวเองดีว่าควรจะเล่นแค่ไหน แต่สองสามวันมานี้เขานอนไม่ค่อยหลับ พอหลับตา สมองก็เอาแต่คิดเรื่องของไอ้สายรหัสนิสัยเสียกับวิธีการเอาคืน คิดมากๆ เข้าก็ตาสว่าง เลยลุกขึ้นมานั่งเล่นเกมแก้เครียด พอเล่นก็เพลินไง ช่วงนี้เลยเดินตาโหลไปคณะให้พวกรุ่นพี่แซ็วว่าเข้าถึงความเป็นเด็กสถาปัตย์ ไปทุกที ซึ่งเขาก็แค่ยิ้มรับเนือยๆ
เปล่า กูเปล่าทำงาน กูแค่ไร้สาระเหอะ เพราะงั้นตอนนี้ยังง่วง...นอนต่อสิครับ รออะไร
ความคิดของคนที่พลิกตัวกอดหมอนข้าง ซุกหน้าลงกับหมอนใบนุ่ม จนดวงตาเริ่มกลับมาหรี่ปรือ แล้วปิดลงอีกครั้ง
ขอสักครึ่งชั่วโมงแล้วกัน
RRRRRrrrrrrrrrrrrrrrr
“สัส!”
คนกำลังจะหลับสบถ มือกลับไปควานหาโทรศัพท์อีกครั้ง ปลายนิ้วสไลด์รับอย่างรวดเร็ว แม้จะหงุดหงิดยังไง แต่เขาก็เดาได้ว่าใครเป็นคนโทร.มา
“หม่าม้ามีอะไรอีกอะ เรนง่วงนะ”
[...]
“หม่าม้า อย่าเงียบสิ งื้อ เรนง่วงจริงๆ นะ” เขาว่าเสียงอ้อน ยังไม่คิดจะลืมตา
[หึๆ]
หืม?!
แต่เสียงที่ดังมาไม่ใช่เสียงบ่นของมารดา กลับเป็นเสียงหัวเราะนุ่มๆ ที่ทำให้ลืมตาพึ่บ เด้งตัวผึงขึ้นมานั่ง ดึงโทรศัพท์ออกห่างหูเพื่อดูว่าใคร ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้เรนถึงกับอ้าปากค้าง...ไอ้คนเลว!
“มึงโทรมาทำไม”
[ไม่อ้อนต่อแล้วเหรอ กำลังฟังเพลินๆ]
“ใครอ้อนมึง!” เรนสวนกลับอย่างโมโห ทั้งที่แก้มเริ่มแดงซ่าน เพียงแค่คิดว่าเมื่อครู่ใช้น้ำเสียงแบบไหน...อ้อนสัสๆ ไง
[เด็กแถวนี้ละมั้ง]
เด็กหนุ่มคันปากอยากเถียง แต่สมองไม่ทำงาน พูดอะไรไปก็คงมีแต่จะเข้าตัวเท่านั้น เลยถามเสียงห้วน
“มีอะไร”
[พูดไม่เพราะนะ]
“ทำไมต้องพูดเพราะกับมึงด้วย”
[ความจำสั้นขนาดนั้นเชียว พี่คิดว่าพี่พูดชัดเจนแล้วนะ หรือต้องให้ทวนความจำ]
“ทวนความจำอะไร กูจ่ายไปแล้วเหอะ วันนั้นมึงจับ...” คนง่วงเผลอสวนกลับไป แล้วพบว่าขุดหลุมฝังตัวเอง ได้แต่ยกมือตะครุบปากตัวเองดังเพียะ ปลายสายได้ยินก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เรนจึงโวยอย่างหงุดหงิด
“มีอะไรน่าขำ”
[อยากรู้เหรอ]
อีกครั้งที่เด็กหนุ่มเงียบ เพราะน้ำเสียงนุ่มๆ มันจั๊กจี้หูจนสัญชาตญาณเตือนว่าอย่าไปอยากรู้ใจผู้ชายคนนี้เลย ทางที่ดีควรจะตัดสายให้ไวที่สุดจะดีกว่า
“แล้วตกลงมีอะไร” ถ้าเป็นเรื่องรถก็ยังพอจะคุยกันได้ แต่ถ้าโทร.มากวนตีน จะโยนทิ้งแม่ง
[ไม่มีอะไร แค่จะโทร.มาบอกว่าพี่ไม่เคยให้ใครหนีหนี้ อย่าลืมค่าซ่อมด้วยล่ะ]
“เฮ้ย! ก็ไหนว่าไม่เก็บไง พี่พายุ! พี่พายุ!!!”
อีกครั้งที่ปลายสายวางหูไปก่อน จนเด็กหนุ่มทางนี้ได้แต่โวยวายกับโทรศัพท์ ไม่เข้าใจว่าค่าซ่อมอะไรอีก อยากจะกดโทร.กลับไปคุยให้รู้เรื่อง แต่คิดอีกที ไม่เอาดีกว่า ขืนโทร.ไปแล้วมันเออออว่าเขาตื๊อใส่ก็แย่สิ วางแล้ววางเลยแบบนี้น่ะดีแล้ว
“มึงหมดโอกาสเก็บตังค์กูแล้วเหอะ”
ในเมื่อพูดเองว่าไม่เสียค่าใช้จ่าย เขาก็จะไม่ยอมจ่ายคืนย้อนหลังเหมือนกัน จบแล้วจบเลย ชัดปะ
ความคิดของคนที่ตื่นเต็มตา สะบัดผ้าห่มทิ้ง แล้วลุกขึ้นก้าวเข้าห้องน้ำด้วยอารมณ์ขุ่นมัว พอๆ กับท้องฟ้าภายนอกที่กำลังขมุกขมัวเหมือนฝนจะตก หากเรนสังเกตมากกว่านี้สักนิด จะรู้ดีว่าเขาควรหลบฝนอยู่บ้านเสียดีกว่า เพราะวันนี้...น่าจะพายุเข้า
พายุที่ว่ากำลังหัวเราะอย่างชอบใจ จนน้องชายฝาแฝดที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่เหลือบมามองหน้า
“ช่วงนี้อารมณ์ดีนะ”
“ไม่ดีเท่ามึงหรอก”
“แน่นอน คนมีความรักก็กระชุ่มกระชวยงี้แหละ” สายฟ้า วิศวกรหนุ่มผู้เป็นแฝดน้องว่าอย่างชอบใจ แม้จะบอกว่าเป็นฝาแฝดกัน แต่ทั้งสองก็แทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง
ในขณะที่พายุผมยาวประบ่า หน้าเกลี้ยงเกลา จะมีบ้างก็ไรหนวดที่ไม่กี่วันก็โกนทิ้ง แต่สายฟ้ากลับเป็นผู้ชายผมตัดสั้นที่ไว้หนวดเคราครึ้มกับเสียงดังอันเป็นเอกลักษณ์สมกับชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ แถมนิสัยก็ต่างกันคนละทิศละทาง หากไม่บอกว่าเป็นฝาแฝดกันคงไม่มีใครเชื่อ
“หาตัวจริงบ้างสิ โสดมากี่ปีแล้ววะ” น้องชายว่าขำๆ แต่กลับสะดุดกึกเมื่อพี่ชายยิ้ม
“เดี๋ยวนะ เฮ้ย! ไอ้พายุ มึงมีอะไรไม่ได้บอกกูมั้ย”
“ก็ถ้าใช่แล้วจะบอก ไปละ เช้านี้มีคุยหน้างานกับลูกค้า” พายุว่าแค่นั้นก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ ตรงไปคว้ากระเป๋า แล้วก้าวออกจากบ้านอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้น้องชายคาบขนมปังคนปาก มองตามอย่างสงสัย
“ใครวะที่ทำให้ไอ้พายุยิ้มแบบนั้นได้”
แต่ไม่ว่าเป็นใคร เขาก็อดจะสงสารไม่ได้ เพราะคงมีไม่กี่คนหรอกที่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของนายพายุ
รอยยิ้มชั่วร้ายยังล่ะ
“ไอ้เรน มึงเป็นห่าอะไร ทำท่ายังกับหนีเจ้าหนี้”
“เปล๊า!”
หลังจากเจอสายของคนที่ไม่คาดคิดเข้าไป เรนเองก็อดจะระแวงไม่ได้ เขาไม่ได้โง่ขนาดลืมไปหรอกนะว่าพี่พายุเรียนจบจากที่นี่ ถ้าจู่ๆ ทางนั้นโผล่มาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้น กันไว้ดีกว่าแก้ จะเดินพ้นทุกหัวมุม ต้องโผล่หน้าไปสอดส่องเส้นทาง!
มันจึงกลายเป็นภาพที่แปลกประหลาดของเจ้าเด็กปีหนึ่งที่โผล่หัวจากมุมเสา ก่อนจะเดินกระเถิบไปที่เสาอีกต้น โผล่หัวดูอีกที แล้วก็ขยับไปอีก จนสกายที่เดินมาอีกทางขมวดคิ้วฉับ
เป็นบ้าอะไรของมันอีก
พอสกายเดินมาทัก คนทำตัวเลียนแบบสายลับก็สะดุ้งโหยง หันขวับกลับมาส่ายหน้าขวับๆ แต่ดูยังไงก็มีพิรุธ
“เสียงสูงนะมึง”
“กูเสียงสูงอยู่แล้วเหอะ”
“เออๆ เลิกปัญญาอ่อนได้แล้ว เข้าห้องเรียนโว้ย เดี๋ยวสาย” คนฟังไม่เล่นด้วย จัดการลากเพื่อนสนิทไปทางห้องเลกเชอร์ ขณะที่เรนเองก็เกาะหลังราวกับเอาเป็นเกราะกำบัง
กระทั่งเข้ามาในห้องเรียนได้แล้ว นายวาเรนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กูว่าแล้วว่ามันไม่กล้ามาหรอก ดีแต่ขู่ อะโธ่” พอเข้าห้องเรียนได้ก็ปากเก่ง กอดอกว่าอย่างสะใจ แต่เพียงหันมาอีกที…
“เฮ้ย! ไอ้กาย รอกูด้วยมึง”
เพื่อนสนิทก็เดินนำไปไกล ไม่คิดรอคนพูดคนเดียว จนต้องรีบวิ่งตาม
“ไอ้กายๆๆ” กระทั่งนั่งที่เรียบร้อย มองแล้วพบว่าอาจารย์ยังไม่เข้า เรนก็หันไปหาคนข้างๆ กระตุกแขนเสื้อแรงๆ
“อะไรของมึง”
“มึงรู้มั้ยว่าไอ้พี่พายุเป็นช่างเครื่องด้วย”
คราวนี้สกายยอมลดโทรศัพท์มือถือลง หันมาสบตา แล้วถามกลับหนึ่งประโยค
“มึงคิดว่ากูเป็นกระเพาะอาหารพี่พายุเหรอไง ถึงรู้ว่าพี่เขาทำอะไรตลอดเวลา”
“ไอ้กาย!”
“ไม่ต้องมาไอ้กายเลย ไม่รู้โว้ย!” สกายว่าอย่างนึกรำคาญ แต่เรนยังคงกระตุกแขนเสื้อยิกๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ
“งั้นมึงไปถามพวกพี่ๆ ในสโมฯ ให้หน่อยสิวะ เนี่ย...เมื่อวันก่อนกูไปเอารถ กูได้ยินที่อู่เขาบอกว่าพี่พายุเป็นคนเช็กเครื่องรถแข่ง แบบพวกบิ๊กไบค์เท่ๆ อะมึง เห็นว่าวันศุกร์จะมีแข่งอะไรสักอย่าง มึงรู้มั้ยว่าสนามไหน เผื่อกูจะได้ข่าวอะไรเพิ่ม” เรนใส่เป็นชุด ขณะที่คนฟังย้อนกลับ
“แล้วมึงจะรู้ไปทำไม”
“อ้าว! ก็โบราณว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งไง”
“ต่อให้มึงรู้เขา กูก็ว่ามึงไม่ชนะหรอก” เรนเบ้ปากขัดใจที่เพื่อนไม่เข้าข้าง แต่ยังไม่ละความพยายาม ทั้งเขย่าโต๊ะ ทั้งเขย่าแขน พอเพื่อนหันหน้าหนี ก็ขยับไปนั่งเก้าอี้อีกฝั่ง เรียกว่าถ้าไม่ช่วย กูก็จะกวนอยู่แบบนี้แหละ
“ไอ้กาย กูรู้ว่าถ้ามึงคิดจะหาข่าว มึงต้องหาได้แน่ๆ ช่วยกูหน่อยดิ กูถูกไอ้เหี้ยนั่นแกล้งนะ นะๆๆ”
“ไอ้เรน!”
“อะไร มึงจะช่วยกูเหรอ” ร่างเล็กถามอย่างตื่นเต้น
“เปล่า กูแค่จะถามว่ามึงรู้ตัวมั้ยว่าทุกวันนี้เอาแต่พูดเรื่องของพี่พายุ”
“เฮ้ย! กูเปล่า!” เรนร้องลั่น ทำท่าจะโวยวาย แต่ติดที่สกายยกมือขึ้นเป็นปางห้ามญาติ
“เปล่าก็เปล่า มึงไม่ต้องแก้ตัว กูขี้เกียจฟัง แล้วกูก็ไม่ช่วยมึงด้วย กูไม่อยากมีปัญหา” ว่าจบ สกายก็หันไปสนใจโทรศัพท์มือถือต่อ ไม่สนเพื่อนข้างตัวที่กำลังเขย่าแขนจนหัวสั่นหัวคลอน ยืนยันอีกทีว่า ไม่ช่วยโว้ย ไม่อยากหาเหาใส่หัว!
แน่นอนว่าระดับนายวาเรนย่อมไม่หมดความพยายาม แม้อาจารย์จะเข้าแล้ว ก็ยังส่งกระดาษไปหน้าเพื่อน พร้อมข้อความว่า...ถ้าไม่ช่วย กูโป้งจริงๆ ด้วย
ร่างเล็กเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากรู้ขนาดนี้ อาจเพราะลางสังหรณ์กำลังกู่เตือนว่า ถ้าไม่เร่งหาวิธีกำชัย ภัยร้ายต้องประชิดตัวไม่วันใดก็วันหนึ่งแน่ อีกทั้งไอ้ประโยคที่ว่า ‘ไม่ยอมให้ใครหนีหนี้’ ยังดังหลอนในหัวอยู่เลย!
มันจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
“เหี้ยแล้วไง!”
เขาว่ากรรมติดจรวด แต่นายวาเรนมั่นใจว่าไม่ได้ทำบาปที่ไหน ไหงเจ้ากรรมนายเวรถึงมานั่งหล่ออยู่หน้าห้องเลกเชอร์ได้วะ!
ตอนแรกก็แปลกใจอยู่หรอกว่าทำไมอาจารย์ปล่อยคลาสแล้ว เพื่อนๆ ยังยืนอออยู่หน้าห้อง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเลยแทรกตัวไปเขย่งดูว่าทำไมการจราจรถึงติดขัด แล้วก็ชัดเลย! แค่เขย่งสุดปลายเท้า แค่ดวงตาโผล่พ้นหลังหัวของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เขาก็สบเข้ากับตาคมกริบ จนรีบหดหัวไม่ต่างจากเต่าหดหัวเข้ากระดอง!
ไอ้พี่พายุมันมาอยู่นี่ได้ไงวะ!
ไม่ใช่สิ มันเป็นศิษย์เก่า จะโผล่มาก็ไม่แปลก แต่ไหงเสือกโผล่มาหน้าห้องเรียนแทนที่จะเป็นห้องสโมฯ หรือห้องพักอาจารย์ได้ล่ะ
ไม่รู้ว่าหนีทำไม รู้แต่ว่าถอยก่อนค่อยว่ากัน
หมับ!
“เจอตัวจนได้”
ไม่อยากบอกเลยว่าขนลุกยันขนตูด!
ร่างเล็กสะดุ้งโหยงทันทีที่มือใหญ่วางทาบลงบนหัวไหล่ ตามมาด้วยเสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือหัว จนได้แต่เหลือบตาขึ้นมอง และรอยยิ้มนั่นราวกับบอกว่า...จับตัวได้แล้ว!
“น้องคนนี้แหละครับอาจารย์ ที่ผมมีธุระด้วย” เรนเกือบจะดิ้นปัดๆ เหมือนไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพายุหันไปคุยกับอาจารย์ประจำวิชา จนรู้ตัวว่าไม่ใช่แค่สายตาของอาจารย์ที่มองมาเท่านั้น แต่ยังมีสายตาของเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนมองอย่างใคร่รู้ด้วย
เขาไม่บ้าพอเป็นตัวตลกให้คนทั้งคณะดูหรอก
“งั้นไว้ว่างๆ อย่าลืมแวะมาอีกล่ะ”
“ครับอาจารย์ สวัสดีครับ”
เรนก็รอจนกระทั่งอาจารย์เดินไปไกลแล้ว สองขาเตรียมวิ่ง แต่...มือใหญ่ก็จับหมับเข้าที่หัวไหล่ทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วกว่า
“ปล่อย...”
“สวัสดีครับพี่พายุ” ร่างเล็กยังไม่ทันจะโวย เพื่อนสนิทก็ก้าวมาหยุดตรงหน้า ยกมือไหว้รุ่นพี่ เรียกตาคมให้หันไปมอง
“ไงกาย ชินกับงานที่สโมฯ หรือยัง”
“ก็พอไหวครับพี่ เอ่อ แล้ว...” กายกดสายตามองสองมือที่จับไหล่เรนเอาไว้ ทั้งยังส่งสายตาปรามเพื่อนว่ากำลังช่วย แต่มึงช่วยเงียบสักห้านาทีก่อน
“พอดีวันนี้พี่ออกมาทำงานข้างนอกน่ะ เห็นว่ามาแถวนี้พอดี เลยแวะมาทำธุระนิดหน่อย”
“ธุระที่ว่าเกี่ยวกับเพื่อนผมเหรอครับ”
“เรนเป็นเพื่อนกายเหรอ งั้นดีเลย พี่ขอยืมตัวเพื่อนเราหน่อยนะ”
“เฮ้ย! กูไม่ไป!” ขณะที่พายุยังคงยิ้มเรื่อยๆ แต่คนที่กำลังจะโดนยืมตัวสะดุ้งเฮือก ร้องลั่น พยายามยื่นมือมาเกาะแขนสกายเพื่อเอาตัวรอด แต่คนตัวโตด้านหลังก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน ทั้งยังมีหน้าก้มลงมาคุยด้วยรอยยิ้มน่ามองซะอีก
“แต่พี่โทร.บอกเรนแล้วนะว่าพี่จะมา”
“มะ...”
อย่าบอกนะว่าเมื่อเช้า!
เรนอ้าปากหวอ ไม่คิดว่านั่นคือการโทร.บอกเลยสักนิด แล้วก็ยิ่งเหวอหนัก
“พี่มาเก็บค่าซ่อม”
“ค่าซ่อมอะไรเหรอคะ” วาเรนไม่ทันสังเกตเลยว่าเปิ้ลยืนอยู่ข้างหลังสกายอีกที มารู้ตัวตอนที่หญิงสาวถามอย่างสงสัย เงยหน้ามองเขาสลับกับพี่พายุไปมา ส่งสายตาแทนคำถามว่า ‘ไหนบอกว่าไม่ชอบพี่พายุไง’ แล้วทำไมดูสนิทกัน จนอยากจะตะโกนก้องว่าเปล่าสนิท สักนิดก็ไม่มีเหอะ!
“ค่าซ่อมรถน่ะ พอดีเรนเอารถไปซ่อมที่บ้านพี่ วันนี้เลยแวะมาเก็บค่าใช้จ่ายที่ตกลงกันไว้”
“กูยังไม่ได้ตกลง...”
“แต่จริงๆ เรนก็จ่ายมาบางส่วนแล้วนะ เพราะเรนให้พี่จับ...”
หมับ!
วินาทีนั้นคือวินาทีที่เรนบอกเลยว่าสมองทำงานไวที่สุด เพราะสั่งการให้เขาตะครุบปากรุ่นพี่ตัวโตจนแน่นสนิท เหลียวกลับมามองหน้าเพื่อนสนิทกับสาวที่ถูกใจอย่างหวาดผวา ไม่แน่ใจว่าได้ยินคำพูดต่อมาของไอ้พี่พายุหรือเปล่า
ไอ้บ้านี่เคยจับอะไรน่ะเหรอ ก็เรนน้อยไงล่ะ เต็มมือเลยด้วย
เขาจะปล่อยให้คำพูดอัปรีย์พวกนั้นพ่นออกมาไม่ได้
“พี่มานี่เลย มา!”
พอสรุปความกับตัวเองได้ เรนก็ไม่คิดรอความช่วยเหลือของไอ้กายแล้ว ขืนรอแล้วความแตก ได้นกจากเปิ้ลจริงๆ แน่ ดังนั้น ร่างเล็กจึงใช้แรงทั้งหมด ทั้งฉุด ทั้งกระชาก ทั้งลากคนที่เกลียดขี้หน้าไปให้ไกลที่สุดจากตรงนี้ เอาให้สุดขอบโลกเลยยิ่งดี!
ขณะที่สกายกับเปิ้ลก็ได้แต่หันมามองหน้ากัน
“เรนก็สนิทกับพี่พายุดีนี่กาย”
“เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
สกายก็แก้ตัวแทนเพื่อนไม่ได้ เพราะเขาเห็นเต็มสองตาว่าไอ้เรนเป็นคนลากพี่พายุไปจริงๆ ดังนั้น ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ถือว่ามันทำตัวเองแล้วละนะ
“เมื่อกี้คิดจะพูดอะไรวะ!”
เวลานี้ เรนคิดเพียงว่าต้องหาที่ลับตาคนที่สุด แล้วสถานที่เดียวที่เขาคิดออกคือห้องน้ำหลังตึก ดังนั้น พออยู่กันเพียงสองคน ร่างเล็กก็หมุนตัวกลับมาจ้องตาอย่างเอาเรื่อง พูดเสียงลอดไรฟันที่ดูเหมือนลูกหมาหัดขู่ รู้เพียงว่าโกรธสุดๆ
“พูดความจริงไง”
“ความจริงอะไร ไม่มีความจริงอะไรทั้งนั้น!”
ปึง!
เฮือก!
เขาควรจะเป็นฝ่ายโกรธสิ ทำไมถึงมาอยู่ในสภาพนี้
เรนอยากจะโต้กลับให้เจ็บแสบ แต่เพียงอีกฝ่ายกระแทกฝ่ามือเข้ากับกำแพงด้านหลัง แล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มก็สะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองดวงตาเข้มจัดที่ชักไม่พอใจ
“รู้มั้ยว่าพี่เกลียดอะไรที่สุด” ดวงตาคมข่มขู่
“มะ...ไม่รู้ ทำไมต้องรู้ด้วย” ร่างเล็กกว่าพยายามทำปากเก่ง ทั้งที่สั่นแทบตาย ซึ่งพายุก็ว่าต่อ
“คนที่ไม่รักษาคำพูด”
“กูไม่เคยผิดคำพูด!!”
หมับ!
ร่างสูงเอื้อมมือมาจับเข้าที่ปลายคางแล้วยึดเอาไว้แน่น มองมาตาวาวโรจน์ ถามด้วยประโยคที่ทำให้คนในอ้อมกอดนิ่งอึ้ง
“งั้นลืมแล้วสินะว่าพี่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าค่าใช้จ่ายรอบนี้มันแพง แล้วเด็กเลี้ยงแกะบางคนก็บอกแล้วว่าจ่ายไหว” ภาพวันที่เรนพยักหน้ายืนยันว่าพร้อมเสียค่าใช้จ่ายสำหรับรถยกและค่าซ่อมแวบเข้ามาในหัว จนเจ้าตัวก็แอบตัวสั่น
ใช่ เขารับปาก แต่ไม่รู้นี่หว่าว่าต้องจ่ายเป็นอะไร
“กูไม่ได้เป็นเด็กเลี้ยงแกะ!” เขาพยายามเถียง
“งั้นก็จ่ายมาสิ” พายุก็ย้อนเสียงเย็น
“ไม่จ่าย!”
“ฮึ! เด็กเลี้ยงแกะ”
โว้ย! ไอ้บ้าเอ๊ย!!!
เด็กเลี้ยงแกะที่ว่าตะโกนลั่นในใจ จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ทั้งที่ดวงตากลมโตเริ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำใส ซึ่งก่อเกิดจากความแค้นเคืองที่เถียงสู้ไม่ได้ สองมือกำหมัดแน่น อยากจะเหวี่ยงเข้าหน้าไอ้รุ่นพี่บ้าที่ใครๆ ว่าดีนักหนา ไม่มาเจออย่างเขาล่ะว่ามันร้ายกาจแค่ไหน
“งานมึงถึงไหนแล้ววะ”
“ยังงมอยู่กับโครงตึกอยู่เลย”
ทันใดนั้น เสียงพูดคุยก็ดังมาจากหน้าห้องน้ำ จนเรนเบิกตาโพลง หันขวับไปมองแล้วพบว่าเสียงมันเข้าใกล้มาทางนี้ทุกที ถ้ามีใครมาเห็นเขากับอีกฝ่ายในสภาพนี้แล้วละก็...ซวย!
“เข้าไปๆๆ”
ปัง!
ก่อนจะทันคิดให้รอบคอบ วาเรนก็ผลักอกคนตัวโตให้ถอยเข้าไปในห้องส้วม ตามเข้าไป แล้วปิดประตูดังปัง ทันฉิวเฉียดก่อนที่ผู้ชายกลุ่มใหญ่จะเข้ามาทำธุระ จนได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทว่า...
หมับ!
“ปล่อย!”
“ชู่ววว” เรนพยายามดิ้น เมื่อท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบแผ่นหลัง แต่เมื่อได้ยินเสียงเตือน เขาก็ตัวแข็งทื่อ สองมือวางทาบกับบานประตูห้องน้ำอย่างเกร็งสุดขีด เพราะหากเสียงดัง คนข้างนอกก็จะได้ยิน แต่หากขยับตัว ก็จะเสียดสีกับคนข้างหลัง
นี่มันปิดประตูฆ่าตัวตายชัดๆ!
ร่างเล็กจึงทำได้เพียงคว้ามือใหญ่ที่กำลังยุ่มย่ามแถวกระดุมเสื้อนักศึกษาของเขาด้วยความตกใจ จะหันไปก็ไม่กล้า เพราะลมหายใจอุ่นปะทะเข้าที่หลังคอแล้ว
“ปล่อยนะโว้ย!”
“พูดดีๆ”
“ไม่” เรนตอบเสียงกระซิบ แต่นั่นคงเป็นคำตอบที่ผิด เพราะมือที่วางแนบแผ่นท้องขยับขึ้นมาตรงแผ่นอก
“อ๊ะ!”
คนตัวเล็กเบิกตากว้าง พยายามคว้ามือใหญ่ที่ปัดผ่านยอดอกของเขาผ่านเสื้อนักศึกษา!
“ดิ้นสิ คนข้างนอกคงอยากรู้ว่าเราทำอะไรกัน”
กึก!
เรนตัวแข็งอีกครั้ง ขณะที่มือใหญ่กำลังเคล้นคลึงแผ่นอกของเขาจนรู้สึกวูบวาบไปหมด เหงื่อไหลซึมจนชื้นทั่วแผ่นหลังด้วยความกลัว หูก็ได้ยินเสียงทุ้มกระซิบสั่ง
“ไหนลองขอร้องสิ”
“ไม่!”
หมับ!
“อื้อออ” ปลายนิ้วปัดผ่านยอดอกอีกครั้ง จนเรนเม้มปากแน่น ห้ามเสียงอื้ออึงให้ดังแค่ในลำคอ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อคนข้างหลังยกเข่าแทรกเข้ามาระหว่างต้นขาของเขา ถูไถที่ก้นนุ่มเบาๆ จนสั่นไปทั้งตัว
ยามนี้ อากาศในห้องส้วมเล็กๆ ที่มีผู้ชายสองคนอัดกันในนั้นร้อนจนน่ากลัว ร้อนจนเรนหน้าแดงก่ำ เสื้อนักศึกษาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าอาการตัวสั่นพร้อมกับหัวใจเต้นถี่รัวนี้เกิดจากความร้อนของอากาศ หรืออุณหภูมิร่างกายของคนที่แนบชิดกันแน่
เขาเป็นผู้ชาย พอถูกเล้าโลมแบบนี้ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกวูบวาบ
“เรียกพี่พายุสิ”
“มะ...”
จุ๊บ!
“พะ...พี่พายุ” ปากอุ่นประทับเข้าที่ต้นคอแรงๆ รู้สึกถึงแรงดูดผิวเนื้อของเขา จนเรนรีบเรียกอีกฝ่ายอย่างสิ้นท่า ร่างกายที่ขัดขืนในตอนแรกกำลังสั่นระริก ไม่กล้าทั้งดิ้นหนีหรือตะโกนขอความช่วยเหลือ
“พี่พายุปล่อยเรนนะครับ...พูด”
“ไม่เอา” ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่น้อยนิดผลักดันให้ปฏิเสธ
“ก็ไม่เป็นไร” เขาเกือบจะยิ้มออก ถ้าไม่ใช่เพราะมือข้างเดิมเปลี่ยนเป็นปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาเขาออกทีละเม็ด จนได้แต่ดิ้นกลุกกลัก แล้วก็บ้าชะมัด! พอเขาดิ้น ก้นกลมก็ไปถูเข้ากับอะไรบางอย่างที่หลับใหลอยู่ ตัวแข็งเป็นหินอีกครั้ง
พายุดันหัวเข่าขึ้นสูงอีกนิด ถูเบาๆ ขณะที่กระดุมเม็ดที่สองถูกแกะแล้ว ปลายนิ้วก็เลื่อนไปที่เม็ดที่สาม...
“พะ...พี่พายุ...ปล่อยเรนนะครับ...ฮึก!”
การกระทำทุกอย่างหยุดลง เมื่อใบหน้าแดงก่ำที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตาหันมาบอกอย่างจนตรอก ปากงี้สั่นริกๆ จนน่าสงสาร ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างหมดท่าเด็กอวดดี แต่ผู้ใหญ่ใจมารยังไม่พอใจแค่นั้น เพราะใบหน้าคมโน้มมาชิดแก้มเนียน แล้วเอ่ยคำสั่งต่อไป
“เรนสัญญาว่าจะไม่พูดคำหยาบกับพี่พายุอีก...พูด”
“ระ...เรนสัญญา...ว่าจะไม่พูดคำหยาบ...กับพี่พายุ...อีก” คนตัวเล็กท่องตามทั้งน้ำตา ส่วนคนฟังก็ยิ้มอย่างพอใจ เลื่อนมือไปยังตัวล็อก แล้ว...
แอ๊ดดด!
ชายหนุ่มเปิดประตูห้องน้ำออก แบบที่เรนสะดุ้งเฮือก พยายามจะเบียดตัวกลับมาเพื่อไม่ให้คนข้างนอกเห็นหน้า แต่พบเพียง...ห้องน้ำที่ว่างเปล่า!
“เขาออกไปหมดแล้ว”
ฮวบ!
คนกลัวแทบตายทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง พายุขยับมานั่งชันเข่าเพื่อติดกระดุมให้เด็กน้อยที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง
“พี่บอกแล้วไงว่าจะมาเก็บหนี้ และพี่ก็บอกแล้วเหมือนกันว่าเรนต้องพูดจาดีๆ กับพี่ ในเมื่อเตือนดีๆ ไม่ฟัง ก็เลยต้องมาด้วยตัวเอง” คนฟังไม่รู้จะโล่งใจหรือสับสนดี จึงได้แต่เอ่ยปากถามอย่างงุนงง
“อึ้ก...พี่ไม่ได้จะปล้ำผมเหรอ”
คำถามนี้ทำให้พายุยิ้ม แล้ววางมือลงบนหัวทุย
การกระทำที่แสนอ่อนโยน ผิดกับคำพูด...น่าตบ
“เห็นแบบนี้พี่ก็เลือกนะ”
“!!!”
ว่าจบ พายุก็ลุกขึ้นเต็มความสูง ก้มลงมองนาฬิกา
“พี่ไปละ แล้วถ้าหนหน้าเจอกันยังพูดจาไม่ดี อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน”
เรนได้แต่มองอีกฝ่ายเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ขาเขายังไม่มีแรง แต่การออกมาภายนอกแล้วได้เจออากาศที่ถ่ายเทกว่าก็ทำให้สมองเริ่มทำงานอีกครั้ง และสิ่งที่กำลังประมวลผลคือคำพูดก่อนสุดท้ายที่พายุทิ้งไว้ให้
‘เห็นแบบนี้พี่ก็เลือกนะ’
พี่พายุกำลังบอกว่าเขาไม่อยู่ในตัวเลือก...สินะ
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” พอประมวลผลเสร็จ เรนก็แหกปากร้องอย่างเจ็บใจสุดขีด ยกสองมือปิดอกตัวเองเอาไว้ น้ำตายิ่งปริ่มขอบตา เพราะมันผสานรวมกันทั้งความกลัวและเจ็บใจ ซึ่งเห็นทีว่าอย่างหลังจะมีมากกว่า
ถ้ามึงไม่เลือกกู มึงมาเล่นนมกูทำไม!
ความคิดนี้ทำให้เรนกัดปากสะอื้น พลางเหลือบตามองลงต่ำ แล้วพบว่า...เรนน้อยกำลังกระตุก
“ไอ้บ้า! ไอ้บ้า! ไอ้บ้า!!! จำไว้เลยนะไอ้บ้า!!!”
จำไว้เลยว่าทำให้เขาต้องพบกับความอดสูขนาดนี้!
เรนฝากความเจ็บใจไว้กับสายลม แต่ที่เจ็บใจที่สุดคือตัวเขาเอง...เขาที่ต้องเอาบางอย่างออกเพราะสัมผัสก่อนหน้าของคนที่เกลียดสุดๆ
เขาควรจะดีใจสินะที่อีกฝ่ายไม่เลือก แต่เอาเข้าจริง เรนอยากทำให้อีกฝ่ายกลับคำ!
กูจะทำให้มึงเลือกกูให้ได้เลย คอยดู ไอ้พี่พายุบ้า!
ความคิดเห็น |
---|