3

ประกาศสงคราม


 

ตอนที่ 3

ประกาศสงคราม

            แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างบานใสเข้ามาในห้องนอนขนาดกะทัดรัด เผยให้เห็นชายสองคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนนุ่ม หนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปหล่อผมยาวประบ่า อีกหนึ่งเป็นหนุ่มร่างเล็กผิวขาวที่กำลังขยับตัวยุกยิกอย่างไม่สบายตัวนัก อาจเพราะไม่คุ้นเคยกับท่อนแขนหนักๆ ที่วางพาดแผ่นท้อง

            “หม่าม้า ร้อนอะ เร่งแอร์ให้เรนหน่อย”

            ความใกล้ชิดเกินพอดีทำให้อุณหภูมิใต้ผ้าห่มร้อนกว่าปกติ จนเด็กน้อยพึมพำเสียงเบา แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมลืมตา มีเพียงพลิกตัวเข้าหา ป่ายปัดมือหาหมอนข้างใบโปรด

            วันนี้หมอนข้างแข็งไปนิด แต่ช่างเถอะ ง่วงชะมัดเลย เมื่อคืนก็มีแต่เรื่อง...

            พรึ่บ!

            “!!!”

            เคยมั้ยที่อ้าปากหมายจะร้องสุดเสียง แต่เสือกไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา

            นั่นแหละคือสภาพของนายวาเรนที่ลืมตาขึ้นมาเห็นภาพสุดช็อก!

            งานนี้ใครไม่ช็อกก็จิตแข็งเกินไปแล้ว

            เมื่อคืนจำได้ว่าเขานั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟา แช่งชักหักกระดูกคนบนเตียงอยู่ดีๆ แต่ดันตื่นมาเจอคนที่ว่านอนหน้าห่างไม่ถึงสามเซนติเมตร ทำให้ดวงตาเขาเบิกถลน กลั้นหายใจจนหน้าแดงก่ำ

            กูมาอยู่ตรงนี้ได้ไง!

            เรนตะโกนถามตัวเอง โคฟเว่อร์เป็นรูปปั้นหิน ไม่กล้ากระดุกกระดิกกลัวงูยักษ์จะตื่น สมองก็แล่นเร็วจี๋ แต่กลับขาวโพลน ไร้ซึ่งคำตอบว่าเขาเสือกมานอนอยู่ใต้ร่างไอ้รุ่นพี่โรคจิตหลงตัวเองคนนี้ได้ยังไง

            ไม่ๆๆๆ ก่อนอื่นมึงอย่าถามว่ามานอนได้ไง มึงควรถามว่าแล้ว...เสร็จไปเหรอยัง

            เท่านั้นแหละ วาเรนก็หลับตาปี๋ เลิกผ้าห่มขึ้น ทำใจอยู่หลายวินาทีก่อนจะเปิดตาข้างหนึ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ หวังหมดหัวใจว่าจะไม่เปิดไปเจออะนาคอนด้าหลับใหลอยู่

            เขาว่ามีแต่คนเมาที่ตื่นมาแล้วไม่รู้นอนอยู่กับใคร แต่นี่กูไม่ได้แตะเหล้าสักหยด และสาบานเลยว่าถ้าวันนี้รอดไปได้ จะไม่แตะมันอีกเลยด้วย!

            เด็กน้อยตั้งปณิธาน แล้วตัดสินใจลืมตาพรึ่บขึ้นมอง

            “เฮ้ออออออ รอด”

            ลมหายใจที่กลั้นเอาไว้เกือบนาทีเต็มๆ ปล่อยพรูออกมาอย่างโล่งใจ พร้อมกับยกมือทาบอก เมื่อใต้ผ้าห่มยังคงมีเสื้อผ้าติดกายครบทุกชิ้น ทั้งเขาและไอ้เวรที่บังอาจเอามือมาพาดพุง

            “หึๆๆ”

            เฮือก!

            เรนกลับมากลั้นหายใจอีกครั้ง ตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังเหนือหัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เสียงใคร

            ห้องนี้มีอยู่กันสองคน เสียงผีสาวเมื่อคืนมั้ง! ห่า!

            “เสื้อผ้าอยู่ครบไม่ได้แปลว่ารอดสักหน่อย”

            พลั่ก!

            คำพูดของพายุประหนึ่งยารักษาอาการแข็งเป็นหิน เพราะเรนได้สติ ผลักอกอีกฝ่ายเต็มแรง ตวัดสายตาขึ้นมองอย่างโกรธจัด แต่ดันเจอกับดวงตาเจ้าเล่ห์ที่พราวระยับ กับมุมปากที่กระตุกขึ้นอย่างพออกพอใจ ผิดกับเขาที่เจ็บใจสุดๆ

            “ปล่อยกู!” เรนดิ้นสุดความสามารถ โชคดีที่คราวนี้ไม่มีคีมมนุษย์หนีบตัวไว้ แต่...

            โครม!

            พออีกฝ่ายไม่จับ พอเขาดิ้น ผลคือ...ตกเตียงไงครับ

            “ชอบนอนพื้นก็ไม่บอก” แถมคนบนเตียงก็ไม่มีช่วยสักนิด มีแต่ซ้ำเติมด้วยการขยับมาริมเตียง เท้าแขนข้างหนึ่งมองเขาด้วยแววตาขบขัน ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งโกรธทั้งอาย ลูบก้นกบป้อยๆ ขณะพยายามยันกายลุกขึ้น

            “มึงมันเลว”

            เรนกล่าวหาทั้งน้ำตาปริ่ม นั่นทำให้คนตัวโตตาวาว

            “ว่าไงนะ”

            ในใจก็แอบกลัวจนถอยหลังสองก้าว แต่ความเจ็บใจทำให้บอกเสียงดัง

            “มึงมันเลว ได้ยินเหรอยัง!”

            “อยากเห็นมั้ยว่าคนเลวจริงๆ เขาทำยังไง”

            “อย่าเข้ามานะ!”

            พอพายุทำท่าจะก้าวเข้ามาจริงๆ เด็กปากดีก็ถอยกรูด ร้องเสียงดัง หน้าตาน่าสงสารเหมือนถูกผู้ใหญ่รังแก ซึ่งผู้ใหญ่คนนี้ก็ใจมารไง ไม่มีท่าทีสงสารเลยสักนิด มีแต่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วยิ้ม

            “กลัวเหรอ”

            “ใครกลัวมึง!”

            ฟึ่บ!

            เฮือก!

            “ไม่กลัวแล้วถอยทำไม”

            “แล้วมึงจะเข้ามาทำไม!”

            พายุแสยะยิ้ม เดินเข้ามาอีกสองก้าว แบบที่เรนก็เหลือบไปมองกระเป๋าที่วางอยู่บนโซฟา ลังเลว่าเขาจะไวพอวิ่งไปคว้า แล้ววิ่งออกนอกประตูทันมั้ย แต่ในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนั้น...พายุก็เดินเลยไปหยิบผ้าขนหนูมาพาดบ่าง่ายๆ

            “เฮ้อ!”

            “ฮึ! เด็กดีแต่ปาก”

            “กูไม่ได้มีดีแต่ปาก!”

                “งั้นก็ขอลองหน่อยสิ”

            เจ้าของห้องตวัดสายตาคมจัดมามอง โต้กลับทันควัน จนเด็กน้อยสะดุ้งโหยง เห็นท่าไม่ดี เพราะร่างสูงใหญ่กำลังย่างสามขุมเข้ามาแล้ว เขาไม่มีเวลาพิจารณามากกว่านั้น เพราะรีบวิ่งไปคว้ากระเป๋าจากโซฟา แล้ววิ่งอ้อมพายุที่ยืนอยู่กลางห้อง กลับมาที่ประตูอีกที มือจับบานประตูเอาไว้แน่น

            “ไปตายให้นอนไชไป๊!” พอมือจับลูกบิดได้ ก็ปากเก่งตะโกนด่า แต่...

            แกร๊กๆ

            “เฮ้ย!”

            ประตูเสือกเปิดไม่ออก! แต่ไม่ทันแล้ว ร่างสูงก้าวเข้ามาชิดแผ่นหลัง จนน้ำลายเหนียวหนืด เย็นวาบตั้งแต่ต้นคอถึงไขสันหลัง สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่อยู่ห่างกันนิดเดียว

            หม่าม้า ช่วยเรนนี่ด้วย!

            “รู้อะไรมั้ย” เสียงทุ้มต่ำแสนอันตรายดังชิดริมหูจากด้านหลัง จนขนอ่อนลุกชัน สมองประมวลผลสุดความสามารถ แต่กลับเครื่องช็อตเอาเฉยๆ ยิ่งมือใหญ่เอื้อมผ่านตัวมาวางทาบทับมือเขาบนลูกบิดประตู ใช้ร่างกายใหญ่โตนั่นเป็นกรงขังนักโทษอย่างสมบูรณ์แบบ

            “เรน”

            สัส! อย่าเรียกชื่อกู!!!

            เรนวาบไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงอันตรายเท่านั้น แต่เพราะริมฝีปากอุ่นปัดผ่านหูเขาทุกครั้งที่ขยับ

            “พี่จะบอกในฐานะที่อยู่ในสายรหัสเดียวกันนะ...”

            แอ๊ดดดดดด!

            “!!!”

                “โง่แล้วอย่าอวดฉลาด...จุ๊บ!

            ทันใดนั้น ประตูที่เรนพยายามดันออกสุดความสามารถก็เปิดกว้างออก เมื่อพายุบังคับให้ดึงบานประตูเข้าหาตัว เสียงทุ้มดังชิดหู แต่ไม่เท่าปากอุ่นๆ ที่กดแนบต้นคออย่างมีความหมาย จนวาเรนเผลอกลั้นหายใจ มองอิสรภาพที่อยู่ห่างเพียงนิดเดียว แต่ดูเหมือนเขาจะหนีไม่ทันแล้ว

            น้ำตาหยดโตคลอเคลือบตาโต แต่พายุกลับผละห่างออกไป จนได้แต่เหลียวไปมองทั้งน้ำตา

            “เอ้า ยังไม่ไป แปลว่าอยากต่อ”

            “ไอ้บ้า!!!”

            เท่านั้นแหละ เรนก็วิ่งปรู๊ด กอดกระเป๋าออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เจ็บใจแทบตายที่ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังตามหลัง แล้วที่แย่ของโคตรแย่คือช่างทุกคนที่มาทำงานในตอนเช้า มองเขาด้วยรอยยิ้มประหนึ่งเพิ่งเสียตัวให้เจ้าของอู่!

            กูเจ็บก้นเพราะตกเตียงโว้ย! ไม่ได้โดนเสียบ!!!

            แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบาย ขอเวลานายเรนถอยกลับไปตั้งหลักใหม่ หลังจากถูกตีทัพแตกกระเจิดกระเจิง!

            ใครว่าพี่พายุดีนักหนา กูเนี่ยละที่จะบอกว่าชั่วร้ายสุดๆ

 

            “ไอ้เรน กูถามจริง มึงเป็นห่าอะไรวะ!

            สกายไม่ใช่คนที่ชอบสอดรู้เรื่องของเพื่อน อีกอย่าง...กับเพื่อนคนนี้ถึงไม่อยากรู้ แต่เดี๋ยวมันก็เล่าให้ฟังเอง ทว่านี่ก็ผ่านมาสองสามวันแล้วที่ไอ้เรนเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ถูต้นคอเหมือนเป็นเกลื้อน ทำหน้าแค้นเคืองใครมา ปากก็ขยับมุบมิบแช่งชักหักกระดูกใครสักคน แต่ประเด็นคือไม่รู้ว่าใคร จนเขาเองก็ชักเป็นห่วง

            พอคนพูดมากไม่ยอมพูดแล้วราวกับสัญญาณแจ้งเตือนภัยสึนามิ…

            อารมณ์ประมาณว่า ถ้ามาก็จะมาโครมเดียว ตายหมดทั้งมันและคนรอบข้าง

            “ไม่มีอะไร!”

            นั่นไง คนที่เล่าเรื่องเดียวได้ทั้งอาทิตย์ พอบอกว่าไม่มีอะไรแล้วมันแปลก จนสกายมุ่นคิ้ว

            “แน่ใจนะ ตั้งแต่มึงไปงานเลี้ยงสายรหัส มึงก็ดูเงียบๆ”

            หมับ!

            ทันทีที่เพื่อนพูดถึงสายรหัส เรนก็กำมือแน่น แล้วดูเหมือนสกายจะสังเกตเห็นด้วย

            “มึงอย่าบอกนะว่า พอไปเจอพี่พายุตัวจริง ก็ยังเกลียดพี่เขาอยู่”

            “ไอ้สัส! อย่าพูดชื่อนี้ให้กูได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง!”

            โอเค รู้แล้วว่าสาเหตุมาจากใคร

            พอเรนโวย คนทักก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มองคนที่ชกลมชกอากาศด้วยท่าทางฮึดฮัด

            “ถามจริง เกิด’ไรขึ้นวะ”

            “มึงอย่ารู้เลย มึงชื่นชมไอ้พี่พายุจะตายห่านี่” เพื่อนประชด

            “ก็พี่เขาเก่ง กูชื่นชมคนเก่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” สกายว่าตรงๆ แต่อีกฝ่ายเหมือนรับความตรงไม่ได้

            “มีดีตรงไหนวะ ปากก็หมา นิสัยก็แย่ แถมซะ...”

            “ซะ?”

            “ซะ...เสแสร้ง! เออ เสแสร้งเก่งชะมัด!” คนที่เกือบจะหลุดคำว่าเซ็กซ์จัดออกมา หุบปากฉับ เพราะหากพูดออกไป คนฉลาดอย่างเพื่อนสนิทต้องจับทางได้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเอาศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเป็นประกันเลยว่า จะไม่เอาคอพาดเขียงให้เพื่อนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเด็ดขาด

            ใครจะกล้าประกาศว่าเกือบโดนเสียบละวะ!

            “มึงหมายถึงพี่พายุคนเดียวกันแน่เหรอ”

            “แล้วพี่พายุมึงมีกี่คน”

            “กูรู้จักคนเดียว”

            “ก็คนนั้นนั่นแหละ!” เรนตะโกนใส่หน้าอย่างพาลๆ แต่แล้วก็หน้าสลด เมื่อเห็นเพื่อนหน้าเสีย

            “ขอโทษ กูอารมณ์เสียไปหน่อย”

            “กูถึงถามไงว่ามีเรื่องอะไร เท่าที่กูเจอพี่พายุสองสามครั้ง เขาเป็นรุ่นพี่ที่ดีมากนะ กลับมาให้คำแนะนำคนในสโมฯ อย่างเดียวไม่พอ เห็นว่าให้คำแนะนำพวกพี่ปีห้าที่กำลังเร่งทำโปรเจ็กต์จบด้วย เนี่ย กูได้ยินพี่หลายคนเล่าว่าสมัยพี่พายุทำงานจบ มีรุ่นน้องอาสาไปช่วยเพียบเลย แต่พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เพราะวันส่งงานตรงกับวันที่พวกปีอื่นสอบ เขาไม่อยากให้รุ่นน้องอดนอนไปด้วย” สกายเล่าเท่าที่ได้ยินมา ก็อย่างว่าแหละ เขาอยู่ในสโมสรคณะ เลยรู้ข่าวพี่พายุคนดังมาบ้าง

            “กูถึงบอกไงว่ามันเสแสร้ง”

            นอกจากจะตาถั่วหาว่ากูอ่อยมันแล้ว ยังช่วยหวังผล...อย่าบอกนะว่ามันฟันไปแล้วครึ่งคณะ!

            เรนยิ่งอึดอัดอยากเล่า แต่ก็พูดไม่ออก สุดท้ายเลยได้แต่ชกลมชกอากาศหลายที

            “ไม่รู้ละ มึงไม่ต้องมาถามกู เชื่อกูก็พอว่ามันนิสัยทราม!”

                “พูดถึงใครอยู่เหรอ”

            นายวาเรนงี้เกือบจะหัวใจวายตาย เมื่อเสียงทักคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง พอหันไปมองหน้าปุ๊บ เขาก็เห็นสาวสวยกำลังยืนเอียงคออยู่เคียงข้างผู้ชายอีกคน

            ถ้าเป็นสาวอื่นจะไม่รักษาภาพเลย แต่นี่เป็นเปิ้ล!

            “พี่ส้ม สวัสดีครับ” สกายรีบยกมือไหว้รุ่นพี่พ่วงตำแหน่งพี่ชายแท้ๆ เพื่อนร่วมรุ่น จนเรนเองก็รีบไหว้ตาม

            แหงละ เล็งน้องสาวเขา ไม่เอาใจพี่ได้ไงล่ะ

            พี่ส้มเป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่มีเค้าโครงหน้าคล้ายคลึงกับน้องสาว เลยดูเป็นผู้ชายน่ารัก ผิวขาว แต่ดวงตาเอาเรื่อง และหน้าตาแบบไม่ได้นอนตามประสาเด็กสถาปัตย์ ก็ทำให้ไม่มีใครกล้าแหย็ม

            “เออ หวัดดี นี่คุย’ไรกันวะ”

            “ไม่มีอะไรพี่ ว่าแต่พี่เหอะ ได้นอนยังเนี่ย” เรนถามด้วยน้ำเสียงประจบ แบบที่อีกฝ่ายส่ายหน้า

            “ได้นอนที่ไหนล่ะ เราก็ยังไม่ได้นอนเหอะ คิดดูดิ ทุกทีไม่ยอมให้เราเข้าไปในหอ แต่เมื่อคืนงี้ตามไปลากถึงห้อง บอกว่าให้มาช่วยงานหน่อย นี่เพิ่งเสร็จเมื่อชั่วโมงที่แล้ว” น้องสาวฟ้องเสียงแจ้ว

            “เอาน่า เดี๋ยวแกทำงานไม่ทันเมื่อไหร่ พี่ค่อยไปช่วยคืน”

            “เชื่อได้ที่ไหน” น้องสาวเป็นฝ่ายแบะปาก

            “ดีแล้วที่ไม่เชื่อ เออ ไอ้เรน ได้ข่าวว่ามึงเป็นสายรหัสพี่พายุเหรอวะ”

            ชื่อนี้อีกแล้วเหรอ!

            จากคนที่กำลังยิ้มกว้างก็ลดรอยยิ้มลงช้าๆ

            “อื้อพี่ส้ม เปิ้ลก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเขานัดเลี้ยงสายเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา” เปิ้ลเสริมอย่างตื่นเต้น

            “มึงรู้ตัวมั้ยว่าโชคดี ใครๆ ก็อยากเป็นสายรหัสพี่พายุทั้งนั้น ไม่ใช่แค่คุยโม้ได้นะ แต่พี่พายุเก่งสัสๆ กูยังจำงานจบของพี่แกได้เลย ถ้าไม่ A กูก็ไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าใครจะได้ไป” รุ่นพี่วิจารณ์อย่างออกรส ไม่ได้มองหน้ารุ่นน้องเลยสักนิดว่ากำลังก้มหน้ามองเพียงมือตัวเอง...ที่กำแน่น!

            “ว่าแล้วก็อิจฉาเนอะ เราอยากอยู่สายพี่พายุบ้างจัง สายโคก็ยังดี”

            “นั่นดิ หน้าตามึงก็พอไปวัดไปวาได้นะไอ้เปิ้ล ทำไมไม่มีบุญเจอกันสักที เผื่อพี่พายุสนใจ กูจะยกให้เลย แถมข้าวอีกสามกระสอบ ยอมว่ะ อยากดองเป็นญาติด้วย” พี่ส้มว่าขำๆ ก่อนจะลุกขึ้น โบกมือลา

            “กูไปแล้วดีกว่า หากาแฟแดกให้ตาสว่างก่อนส่งงาน เดี๋ยวตอบคำถามไม่รู้เรื่อง”

            รุ่นพี่เดินจากไป แต่น้องสาวรุ่นพี่ยังคงไม่ไปไหน

            “โอ๊ย! อยากนอนชะมัด เราต้องหลับในคาบแน่ๆ” หญิงสาวนั่งลงตรงข้าม ฟุบหน้าลงกับท่อนแขนแล้วโอดครวญ ไม่ทันสังเกตว่าเพื่อนอีกคนเงียบผิดปกติ

            “เปิ้ล ถ้าเราพูดอะไรไป อย่าโกรธเรานะ”

            สกายพยายามส่งสัญญาณว่าอย่า แต่ไอ้เพื่อนหัวดื้อมันไม่ฟัง เพราะว่าต่อทันที

                “พี่พายุไม่ได้ดีอย่างที่ใครๆ บอกหรอก”

            ขวับ!

            “หมายความว่าไง”

            แม่งเลว มันจะปล้ำกู!

            เรนกลืนความจริงลงคอ พยายามใจเย็นที่สุดเท่าที่จะเย็นได้ ทั้งที่ไม่ใช่วิสัย และพยายามใช้คำพูดรักษาน้ำใจที่สุด

            “เมื่อวันอาทิตย์ พี่พายุพูดจาไม่ดีกับเรา แถมยังว่าเราโง่แล้วอวดฉลาด เราไม่เห็นว่าพี่พายุจะดีอย่างที่คนอื่นเล่าเลยสักนิด เราว่าเปิ้ลก็อย่าเชื่อคำพูดพี่ส้มมากนักเลย”

            “งั้นเรนจะบอกเราว่าอย่าเชื่อคำพูดพี่ชายตัวเองงั้นสิ” ต่อให้คนโง่ที่สุดยังรู้เลยว่าเปิ้ลเสียงแข็ง ท่าทางเป็นมิตรในตอนแรกเหมือนมีกำแพงขนาดใหญ่กางกั้น แถมคนที่ทำท่าจะนั่งฟุบตรงนี้จนกระทั่งเข้าเรียนก็นั่งตัวตรง ทำท่าจะลุกจากเก้าอี้ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

            “เปล่า เราไม่ได้พูดแบบนั้น เราแค่จะบอกว่าพี่พายุไม่ใช่คนดี”

            “เรนเข้าใจผิดหรือเปล่า”

            “แต่...”

            “เราไม่ได้เป็นคนเชื่อคนง่ายหรอกนะเรน แต่ทุกคนรอบตัวเราที่รู้จักพี่พายุก็บอกเหมือนกันว่าพี่เขาเก่ง ใช่ว่าเราอยากได้พี่พายุเป็นแฟนเหมือนพี่ส้มบอกหรอกนะ เราแค่ยกเขาเป็นไอดอลในใจ แล้วเรนคิดดูสิว่า ถ้ามีใครมาใส่ร้ายคนที่เรานับถือ เราควรรู้สึกยังไง”

            “...”

            ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน อย่างที่คนฟังพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เม้มปาก เจ็บปวดหัวใจที่อีกฝ่ายมองมาด้วยแววตาหมดความเชื่อถือ

            “เฮ้ยเปิ้ล ไอ้เรนก็แค่เล่าเรื่องที่มันเจอ”

            “งั้นเราก็แค่บอกสิ่งที่เราคิดเหมือนกัน เราว่าเราไปหากาแฟกินบ้างดีกว่า” สาวสวยเองก็ไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเพื่อนอึมครึมมากกว่านี้ เจ้าตัวเลยลุกขึ้น แล้วเดินไปทิศเดียวกับที่พี่ชายนำไปก่อน ปล่อยให้สองหนุ่มนั่งนิ่งอยู่กับที่

            ครืนนนนนน

            ซวยละ

            รองประธานชั้นปีเกือบจะยกมือตบหน้าผาก เมื่อเหลือบไปมองคนนั่งข้างๆ แล้วพบว่าไอ้เรนกำลังกำสองมือแน่น ดวงตาลุกเป็นไฟ โกรธจัดจนได้ยินเสียงความแค้นของมันปะทุยังกับภูเขาไฟเตรียมระเบิด ปากก็รีบเอ่ยปลอบ

            “แต่กูเชื่อมึงนะไอ้เรน”

            “สัส! กูต้องเอาชนะมันให้ได้!”

            ตอนนี้วาเรนไม่ฟังอะไรแล้ว มีเพียงเสียงประกาศก้อง จนเพื่อนสนิทที่เจอพายุมาแล้วถอนหายใจเฮือก

            “ไอ้เรน กูก็ไม่อยากตัดกำลังใจมึงหรอกนะ แต่นั่นน่ะพี่พายุเชียวนะ พี่พายุ ส่วนมึงก็เป็นได้แค่สายฝนพรำ จะเอาอะไรไปสู้กับพายุวะ แค่เขาโถมใส่ที มึงก็ปลิวไม่เห็นฝุ่นแล้ว”

            เพื่อนเปรียบเทียบจนเห็นภาพ แต่สายฝนพรำก็สวนกลับอย่างเจ็บใจ

            “กูจะกระชากหน้ากากของมันออกมาให้ได้ แม่งเอ๊ย! มันต้องมีจุดอ่อนสิวะ!!!”

            ตอนนี้สกายปวดหัวจี๊ด เพราะดูจากทรงแล้ว มันต้องลากเขาเข้ากระบวนการแก้แค้นของมันด้วยแน่ ทว่า...ไม่ว่าจะนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด สกายก็ทำนายได้เลยว่าศึกนี้ใครจะชนะ

            เอาไว้ตามเก็บศพไอ้เรนทีหลังก็แล้วกัน

            ใช่ว่าไม่เข้าข้างเพื่อน ก็แค่เป็นพวกยอมรับความจริง

 

            ตอนแรกวาเรนตั้งใจว่า ถ้ารถซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะขอให้ใครก็ได้มารับแทน แต่เมื่อประกาศสงครามกับพี่พายุ (โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง) พออู่โทร.มา เด็กหนุ่มก็ไม่ลังเลเลยที่จะนั่งแท็กซี่มารับด้วยตัวเอง อย่างที่โบราณเขาว่า ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้ไง หากครั้งนี้ไม่ไปที่อู่ จะหาจุดอ่อนลูกชายเจ้าของอู่ได้ยังไงล่ะ!

            พอมาถึง หนุ่มน้อยก็กวาดสายตามองไปรอบๆ สอดส่ายสายตาหาศัตรู แต่ไม่เจอ เห็นก็เพียงเจ้าพวกบิ๊กไบค์คันงามที่จอดเรียงเป็นตับ มีทุกยี่ห้อ ทั้งบีเอ็มดับเบิ้ลยู ดูคาติ ฮอนด้า ยามาฮ่า คาวาซากิ เอพริลเลียและอีกหลายเจ้า เรียกว่ายกมาแต่รถเทพๆ ที่แค่เห็นราคาก็แทบลมจับ

            นี่มันอู่อะไรวะ ทำไมมีแต่รถแข่ง แถมพวกรถยนต์...

            เรนหันไปมองรถสปอร์ตสองคันที่จอดอยู่ด้านใน แล้วเริ่มเหงื่อตก...เขาจะมีปัญญาจ่ายค่าซ่อมจริงๆ น่ะเหรอ

            นี่มันอู่ซ่อมพวกรถหรูชัดๆ

            พอคิดได้ดังนั้น ความมุ่งมั่นเลยฟีบเหี่ยวลง พอๆ กับขนาดตัวที่ได้แต่เดินห่อไหล่เข้าไปยังออฟฟิศด้านใน

            “เอ่อ ผมมารับรถครับ”

            “ครับ ขอทราบชื่อด้วยครับ...อ้อ เด็กของคุณพายุนี่เอง” พนักงานที่ก้มหน้าก้มตาจัดการเอกสารก็พูดจารื่นหูหรอกนะ แต่พอเงยหน้ามาเห็นเขาปุ๊บ ก็ทักเสียงดังจนเพื่อนโต๊ะข้างเคียงหันมามองเป็นตาเดียว ซึ่งมันดังพอให้ช่างที่อยู่ด้านหลังยื่นหน้าออกมาดู

            “คุณหนูน่ะเอง วันนั้นเห็นรีบกลับ ทีหลังให้คุณพายุไปส่งก็ได้นะ”

            แม่งเอ๊ย! กูเจอใครไม่เจอ ดันเจอคนขับรถยกเมื่อคราวก่อน!

            ตอนนี้เรนเข้าใจแล้วว่า ที่อีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตากรุ้มกริ่มน่ะ เปล่าอยากจับเขาทำเมีย แต่เห็นท่าจะคิดไปไกลมากกว่า ว่าคืนนั้นเขากับไอ้รุ่นพี่คนเลวนั่นได้กันไปถึงไหนต่อไหน!

            “ผมมารับรถครับ”

            อย่าอาละวาด ที่นี่ถิ่นมัน ใจเย็นไว้ไอ้เรน

            “คุณพายุอยู่ไหนวะ” แต่อีกฝ่ายไม่ฟัง มีการหันหน้าไปถามเพื่อนร่วมงาน

            “ดูเครื่องเจ้ามอนสเตอร์อยู่ข้างหลัง”

            “ไปครับ เดี๋ยวผมพาไปหา คุณพายุก็รอคุณอยู่”

                “ไม่ไปโว้ย!!!”

            เมื่อทางนั้นทำท่าจะพาเขาไปหาพายุขึ้นมาจริงๆ คนที่ตั้งใจจะมาหาจุดอ่อนก็ดันปอดแหกจนตะโกนออกมาลั่นออฟฟิศ แต่พอเห็นทุกสายตามองมาอย่างเคลือบแคลง เด็กหนุ่มก็รีบบอกอย่างลนๆ

            “ผะ...ผมรีบพี่ คือวันนี้ผมรีบ ต้องไปธุระต่อ” เรนแถ

            “อ้าวเหรอ งั้นเดี๋ยวผมพาไปเอารถ” ดีที่คนฟังเข้าใจ เพราะพยักหน้าหงึกๆ รับใบรับรถมาจากพนักงานอีกคน แล้วเดินนำไปอีกทาง จนเรนแทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจ แล้วโล่งอกยิ่งกว่า เมื่อรถยุโรปคันเล็กของพ่อจอดนิ่งปลอดภัยอยู่ข้างรถสปอร์ตคันงาม

            ถ้าไม่มีไอ้รถคนรวยมาจอดข้างๆ ให้หมอง รถเขาก็ออกจะดูดีมีราคา...เหมือนจะดีกว่าก่อนเข้าอู่ด้วยซ้ำ

            “ตกลงรถผมเป็นอะไรพี่”

            “เท่าที่บันทึกไว้มีแค่หม้อน้ำรั่ว กับไดร์สตาร์ทพัง เลยต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งสองตัว แต่คุณพายุเป็นคนเช็กเครื่องให้เอง ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ด้วย อันเดิมมันเก่ามากแล้ว ไม่นานก็ถึงเวลาเปลี่ยนอยู่ดี แต่น่าจะมีมากกว่านั้น ก็นะ ถ้าถึงมือคุณพายุ เขาไม่ปล่อยผ่านง่ายๆ หรอก”

            ตังค์กูจะพอมั้ย ไม่ใช่ว่าพวกอู่ต้องโทร.มาถามก่อนเหรอว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนอะไหล่

            “ทำไมสีมันดูใหม่ล่ะพี่” เรนลูบรถแก้เครียด แล้วพบว่าสีแจ่มกว่าตอนเอาเข้าอู้จริงๆ ด้วย

            “คุณพายุให้ขัดสีเคลือบเงาให้ด้วย”

            มึงถามกูสักคำมั้ยว่ากูอยากทำหรือเปล่า

            ตอนแรกว่าเกลียดแล้ว ตอนนี้ยิ่งเกลียดหนัก เพราะอีกฝ่ายบอกเองว่างานนี้จ่ายแพง มันเลยเล่นเขาซะต้องโดนป๊าด่าแน่

            “ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ”

            “อ้าว! คุณพายุไม่ได้บอกเหรอว่าไม่คิดค่าใช้จ่าย”

            “หะ!”

            “เออไง ทุกคนถึงรู้ว่าคุณเป็นเด็กของคุณพายุ”

            อะไรนะ แค่อาทิตย์กว่า กูได้รับตำแหน่งกิตติมศักดิ์เป็นเด็กไอ้พี่พายุ?!

            “คือถามจริงนะพี่ เท่าไหร่อะ”

            “ผมไม่รู้หรอก คุณพายุเขาจัดการทั้งหมด แล้วเขาบอกว่าค่าใช้จ่ายของรถคุณ เขาจะจัดการเอง เอางี้สิ เดี๋ยวผมพาไปหา จะได้คุยกัน”

            “ไม่ๆ พี่ ไม่เป็นไร...รถกูจะเป็นไรมั้ยวะเนี่ย” เรนก็รู้สึกผิดหรอกนะที่ได้รถสภาพใหม่เอี่ยมคืนมาฟรีๆ แต่อีกใจก็อดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ว่าพายุเอารถของเขาเป็นหนูลองยาหรือเปล่า ได้ข่าวว่าจบสถาปัตย์มา ไหงซ่อมเครื่องยนต์เป็น แบบนี้มือสมัครเล่นชัวร์

            “อ้าว! นี่คุณไม่รู้เหรอ” น้ำเสียงแคลงใจทำให้อีกคนถามอย่างสงสัย

            “รู้อะไรพี่”

            มีเรื่องอะไรที่เขาควรจะช็อกอีก

            “ก็ฝีมือคุณพายุน่ะสิ น้องเห็นรถแข่งที่อยู่ข้างในมั้ย นั่นน่ะเป็นรถแข่งของคุณภาคินเลยเชียวนะ คุณพายุเขาเช็กเครื่องเองทุกคัน งานประจำก็เห็นว่าหนักแล้ว ยังต้องดูเจ้าพวกนั้นให้เสร็จก่อนศุกร์หน้าอีก แต่ถ้าไม่ผ่านมือคุณพายุ เจ้าของรถเขาไม่ยอมน่ะ” ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเชื่อไปหมดใจแล้วหรือเปล่าว่าเขามีซัมติ้งกับพายุ ก็เลยเล่าอย่างออกรส

            “นั่นรถแข่ง?!”

            “ใช่ ศุกร์หน้ามีงาน เลยต้องเช็กเครื่องก่อนลงสนาม อ้อ นี่ครับ ช่วยเซ็นรับรถด้วย”

            เรนอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้นะ แต่ข้อมูลที่ได้ฟังวันนี้ก็ทำเอาเขามึนตึ้บมากพอแล้ว

            อะไรวะ นอกเหนือจากเป็นคนดังของคณะแล้ว นี่พี่แกยังรับจ๊อบพิเศษดูเครื่องรถแข่งอีกเหรอ แถมยังเก่งขนาดที่เจ้าของรถเจาะจงมาอีกว่าต้องเป็นพี่พายุ แล้วแบบนี้จะมาเรียนออกแบบทำพระแสงหอกง้าวอะไร ทำไมไม่มุ่งไปทางโน้นเลย

            ยิ่งคิดยิ่งน่าสงสัย โอ๊ย! อยากรู้!

            ตอนนี้เรนจึงไม่รู้ตัวเลยว่า เรื่องของผู้ชายที่ชื่อว่าพายุกำลังกินพื้นที่ในสมองเขามากขึ้นเรื่อยๆ เผลอๆ จะมากกว่าสาวสวยร่วมคณะอย่างเปิ้ลเสียด้วยซ้ำ

 

            รถยุโรปคันเล็กที่เครื่องไฉไลกว่าเดิมแล่นออกมายังถนนใหญ่ได้ไม่ถึงห้านาที โทรศัพท์ก็แผดเสียงดังก้อง จนเรนรีบฉวยขึ้นมารับสาย

            “ฮัลโหล”

            [มาแล้วไม่ทักทายเจ้าของบ้าน เขาเรียกว่าเด็กไม่มีสัมมาคารวะนะ]

            หืม?

            เจ้าของโทรศัพท์ดึงหน้าจอมาดู แล้วก็พบว่าเป็นเบอร์แปลก

            “ใครครับ”

            [สมองปลาทอง]

            “อะไรวะ นี่หาเรื่องกันเหรอ!”

            [เฮ้อ นี่พายุ]

            “เฮ้ย! มึงรู้เบอร์กูได้ไง!” เรนถึงกับโวยลั่น แต่ก็เงียบกริบเมื่อทางนั้นสวนกลับมา

            [ถ้าคิดสักนิด จะรู้ว่าใครเป็นคนบอกเบอร์พี่เอง]

            ภาพตอนเขากรอกข้อมูลในวันที่เอารถเข้าอู่แวบเข้ามาในหัว ทำให้เขาถึงกับกัดฟันกรอด

            [อ้อ แล้วเลี้ยวกลับมาที่อู่ก่อน ลืมใส่นอตไปตัวนึง]

            “เฮ้ย!!!”

            คนขับถึงกับเหยียบเบรกจมเท้า ดีที่ไม่มีรถตามมาข้างหลัง แล้วรีบย้ายรถเข้าไปจอดข้างทาง หน้าซีดสีไปแล้ว

            “ถ้ารถกูมีปัญหาแล้วตายขึ้นมา กูจะตามไปหลอกหลอนมึงคนแรก!”

            [ไม่จำเป็น เพราะพี่ล้อเล่น]

            “...”

            คนฟังอ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะขบขันดังมาตามสาย สติถึงกลับเข้าร่าง

            “มึงแกล้งกู!”

            [ก็ไม่ได้บอกว่าไม่แกล้ง]

            “ไอ้...”

            [พี่จะโทร.มาคุยเรื่องค่าซ่อม]

            “ก็ไหนว่าฟรี”

            [ของฟรีไม่มีในโลก]

            เรนกำหมัดแน่น อยากจะอัดเสียงไปเป็นหลักฐานให้เพื่อนฟังจริงๆ แต่โทรศัพท์เขาอัดเสียงตอนคุยไม่ได้ เลยได้แต่นึกเจ็บใจ เตรียมเลี้ยวรถกลับไปจ่ายค่าซ่อมให้มันรู้แล้วรู้รอด เพราะถึงโดนป๊าด่าว่าใช้เงินมือเปิบ ก็ยังดีกว่าเป็นหนี้บุญคุณไอ้บ้านี่

            ขืนมันบอกให้จ่ายด้วยร่างกายก็ซวยน่ะสิ

            “เท่าไหร่”

            [ไม่ใช่เท่าไหร่ แต่เป็นอะไร]

            น้ำเสียงที่ดังมาตามสายต่ำจนเรนนึกกลัว อดคิดไม่ได้ว่าแทนที่จะมาหาจุดอ่อนพายุ เขาอาจจะโดนหนักเสียเอง

            “กูจะจ่ายเป็นเงิน”

            [ไม่ต้องการ]

            “งั้นจะเอาอะไร”

            [งั้นเอาเป็น...]

            เรนตั้งใจฟังจนเหงื่อซึมแผ่นหลัง หัวใจเต้นรัวแรง กลัวข้อแลกเปลี่ยนจากรุ่นพี่ใจมารเหลือเกิน

            [จากนี้ไป พูดจากับพี่ให้สมกับเด็กมีการศึกษา รู้ว่าใครเด็กใครผู้ใหญ่ พี่ไม่อยากโดนใครมาว่าได้ว่าสายรหัสไม่มีสัมมาคารวะ] แต่น้ำเสียงต่อมาต่างหากที่ดังอย่างอารมณ์ดี ผิดกับคำพูดสุภาพที่ด่ากันเห็นๆ และทำให้เรนพูดไม่ออก จ้องกระจกรถตาถลน

            [งั้นก็เท่านี้]

            “เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน ด่าแล้วชิ่งแบบนี้ไม่ได้นะ!” เรนประท้วง แต่ไม่ทันกาล อีกฝ่ายตัดสายทิ้งไปก่อนแล้ว จึงได้แต่มองหน้าจอด้วยสายตาขุ่นเคือง

            “หงุดหงิดเว้ย!”

            ร่างเล็กระบายอารมณ์ แต่สุดท้ายคนที่ถูกพ่อแม่สั่งสอนมาดีก็แบะปาก มองทั่วรถคันสวยที่ถูกโมดิฟายใหม่จนแจ่มกว่าเดิม แค่ขับก็รู้ได้ว่าเครื่องยนต์ลื่นปรื้ดอย่างสำนึก ยิ่งคิดว่าเขาซ่อมให้ฟรีๆ ไม่คิดตังค์ ต่อมสำนึกผิดก็เต้นตุบๆ

            “โอเคๆ ขอบคุณครับพี่พายุ พอใจยัง” เรนบอกกับดินฟ้าอากาศ ก่อนจะก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง

            “ผมเรียกพี่ว่าพี่ก็ได้ แต่ผมไม่หายโกรธพี่หรอกนะ!”

            ในเมื่อพี่ดีกับทุกคน แต่ร้ายกับผมคนเดียว งั้นผมจะกระชากหน้ากากพี่ให้คนอื่นได้เห็นเหมือนกัน! ไอ้คนสองมาตรฐาน!!!

            ยืนยันนะว่าเขาโกรธ ไม่ได้งอนคนที่จำกันไม่ได้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น