4

บทที่ 4


4

ไม่ใช่ความฝัน!

พรำพรรษรับรู้ความจริงแบบสุดจะช็อก หญิงสาวอยู่ท่ามกลางกองหมอนและผ้าห่มหนาที่รัดพันร่างกายอันร้าวระบมไว้ราวกับตัวหนอน นึกอยากมุดหายเข้าไปในโปงผ้าห่มนั้นและไม่ต้องโผล่ออกมาพบหน้าใครอีกเลย ...เหมือนตัวดักแด้ที่ตายอยู่ในรังไหมโดยไม่ได้เกิดออกมาเป็นผีเสื้อ

หลังจากบ่ายสามโมงที่เธอตื่นจากอาการเมาค้างและปฏิเสธอาหารที่เขาเสนอให้แต่ก่อนที่จะทันได้ขอตัวออกไปให้ไวและไกลที่สุด เหมือนเขาจะรู้...และยังรู้อีกด้วยว่าเธอไม่มีปัญญาจะขัดขืนได้ถ้าเขาเข้าประชิดตัวแบบ...แบบเมื่อตลอดสามชั่วโมงที่แล้วที่เขาคว้าตัวเธอไว้และพรำพรรษก็ไม่ได้ลุกจากเตียงไปไหนได้อีกเลย

มันน่าโมโหที่เขาทำราวกับเธอเป็นผู้หญิงแบบที่เขาเรียกหามาเป็นเพื่อนร่วมเตียงได้ง่ายๆ และที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือ...เธอดันยินยอมพร้อมใจไปกับเขาอีก!

หญิงสาวอยากทึ้งผมตัวเองหรือไม่งั้นก็เอาหัวโขกหมอนขนเป็ดนี่ให้ตายไปเลย

...นี่มันไม่ใช่เธอเลยสักนิด ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว

...ยังดีหรอกที่เขายังไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เพราะยังเฝ้าเพียรถามไม่เลิกราถึงชื่อ นามสกุล ที่อยู่ อาชีพ อายุ จนหญิงสาวอดประชดกลับไปไม่ได้

"ถามขนาดนี้คุณจะสำรวจสำมะโนประชากรหรือไง?" การลืมตัวเผลอปากไวปากคมใส่เขานั้น...ผลของมันสร้างความดาเมจต่อหัวใจชนิดมาตรวัดแรงสั่นสะเทือนขนาดสิบริกเตอร์ก็ยังเอาไม่อยู่ เพราะทันทีที่พูดจบดวงตายิ้มได้คู่นั้นก็ทอประกายวาววับขึ้นมาทันที ก่อนที่หญิงสาวจะได้ทันตีความความหมายในดวงตาคู่นั้นได้สำเร็จมือใหญ่ก็เอื้อมมาตวัดคว้าเอวบางรวบเข้าหาตัว พรำพรรษไม่รู้ว่าอะไรเร็วกว่ากันระหว่างมือเขาหรือริมฝีปากที่ประกบเข้ามาเหมือนเป็นการลงโทษปากเสียๆ ของเธออย่างหนักหน่วง ยาวนาน ลึกซึ้งและร้อนแรงจนต้องหอบหายใจสั่นสะท้านเมื่อเขาคลายจุมพิตถอยห่างออกพอให้มีระยะที่จะจ้องมองดวงหน้าเธอได้ถนัด ดวงตาดำจัดคู่นั้นมองจ้องเอาๆ ราวกับจะมองให้ทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจถึงในหัวสมองเธอว่าคิดอะไรอยู่

...แต่ขอโทษทีเถอะ ผู้หญิงอย่างพรำพรรษไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ใครอ่านได้ง่ายๆ หรอกนะ แม้นิ้วมืออุ่นร้อนที่เกลี่ยไล้ลงบนริมฝีปากเห่อช้ำที่แค่เพียงแผ่วนั้นจะให้ความรู้สึกวาบหวิวอย่างร้ายกาจจนแทบอยากกระโจนเข้าหาเขาเสียเอง!

"คุณเป็นใคร?" น้ำเสียงที่ถามคราวนี้นุ่มนวลขึ้น

นั่นมัน...หลังจากที่บดบี้ขยี้ขย้ำคนอื่นจนหนำใจไปแล้วนี่!

พรำพรรษพยายามเบือนหน้าหนีจากสายตาดูดวิญญาณคู่นั้นแต่ไม่สำเร็จ มือใหญ่ใช้เพียงปลายนิ้วหมุนคางเธอกลับมา

...ไม่ได้รุนแรงแต่หญิงสาวสังหรณ์ใจว่าถ้าขัดขืนอาจไม่เหลือความนุ่มนวลอีกต่อไปแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงฝืนหันกลับมาสบนัยน์ตาคมเข้มที่เต็มไปด้วยพลังสะกดใจอันน่าหลงใหลและยังเปี่ยมไปด้วยประกายอำนาจอันคุกคามที่เหมือนบังคับไม่ให้ปฏิเสธหรือโกหกเขาได้ง่ายๆ ขณะสั่ง

"บอกชื่อคุณมา"

พรำพรรษถอนหายใจก่อนจ้องเขากลับไปตรงๆ ไร้จริตมารยา ไร้แววความอ้อนวอนขอ ไร้ความหวั่นไหวต่ออำนาจคุกคามจากสายตาคมเข้มนั้น

"สิ่งที่คุณควรถามสำหรับผู้หญิงที่เจอกันในลักษณะนี้ควรเป็นเมื่อไหร่จะไปจากที่นี่มากกว่านะ คำตอบคือเสื้อผ้ามาถึงเมื่อไหร่ฉันไปเมื่อนั้นแหละ ขอบคุณที่ให้นอนค้างด้วย มัน...เอ่อ ...มัน...มันดีมากๆ" ท้ายประโยคตะกุกตะกักแผ่วหวิวแก้มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นพร้อมกับก้มหน้าหลบสายตา จากที่ทีแรกแสดงมาดมั่นใจเป็นการเป็นงานเป็นอย่างมาก

นั่นทำให้พรำพรรษไม่ทันเห็นสายตาที่ทอประกายวาววับเข้มข้นขึ้นของคนตรงหน้า เมื่อฟังเธอจนจบ ตีความได้ว่าเธอพร้อมจะกระโจนหนีได้ตลอดเวลาถ้าหาเสื้อผ้าเจอ มือใหญ่ตะปบคว้าข้อมือบางเอาไว้แน่นเมื่อหญิงสาวขยับถอยห่างออกมาราวอยากหนีไปให้ไกลเสียเดี๋ยวนี้ พรำพรรษเงยมองด้วยสายตาตั้งคำถาม

"อยากไปจากที่นี่มากงั้นหรือ?" อาคเนย์ถามน้ำเสียงเรียบนิ่ง สีหน้าอ่านไม่ออกนั้นทำให้คู่สนทนาเผลอพยักหน้าตอบไปตามจริง

"ฮื่อ"

เป็นคำตอบที่ยิ่งเรียกประกายเข้มข้นจากดวงตาคู่นั้นขึ้นมาได้อีก

โมโห? ทำไมต้องโมโหด้วย เขาควรโล่งใจไม่ใช่เรอะที่เรื่องจะจบลงโดยไร้การต่อรองใดๆ

"ไปโดยไม่บอกชื่อที่อยู่ติดต่อหรือเบอร์โทรศัพท์ไว้เลย?" คำถามนั้นน้ำเสียงยิ่งเข้มขึ้นอีกระดับ มีริ้วรอยคาดคั้นแปลกๆ

แต่หญิงสาวอย่างพรำพรรษนั้นเหมือนคนตายด้านทางการรับรู้ความรู้สึกของคู่สนทนามานานเกินไป นานจนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าได้ไปจุดชนวนระเบิดเข้าให้แล้ว

"อืม...ฉันว่าฉันน่าจะต้องไปธุระน่ะ" คิ้วเรียวขมวดนิดๆ เค้นคิดอย่างโมโหตัวเองที่เริ่มจะติดนิสัยไม่จำเองแล้วว่าวันๆ ต้องทำอะไรบ้างต้องให้สามเลขาคอยบอกตารางนัด

"ธุระสำคัญ?" คำถามคราวนี้ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่ดวงตาลุกโพลงร้อนแรงราวมีเปลวไฟแผดเผาด้วยความโกรธ ซึ่งเป็นระดับอารมณ์ที่ต่อให้คนโง่แค่ไหนก็ต้องดูออกแล้ว

พรำพรรษผงะถอยอย่างตกใจก่อนพบว่าทำไม่ได้ ...ข้อมือเธอยังตกเป็นตัวประกันอยู่ในอุ้งมือของเขาที่จับไว้แน่นหนาให้ความรู้สึกราวกับว่า...เขาจะไม่ปล่อยมือนั้นไปจนตลอดกาล

"อ่า...เอ่อ คุณโมโหอะไรอะ?" ทั้งที่ควรโล่งใจแท้ๆ ถ้าเป็นภาสกรได้ยินผู้หญิงที่นอนด้วยพูดแบบนี้คงดีใจแทบตาย

"คุณบอกว่าต้องย้ายออกจากที่อยู่เดิมไม่ใช่เรอะ?" คำถามนั้นเรียกแววตาตื่นตระหนกจากคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี หญิงสาวเบิกตากว้างสีหน้าตกตะลึงนั้นตั้งคำถามโดยไม่ต้องถามเลยว่าเขารู้ได้ยังไง

"คุณบอกผมตอนเมาว่าคุณต้องหาที่อยู่ใหม่คุณจะไปดูบ้าน..." เขาเฉลยก่อนสำทับ "บ้านที่มีสระว่ายน้ำกับประตูระเบียงที่เหมือนประตูบ้านผม"

อยากอุทานคำว่า 'ฉิบหาย!'

ให้ตายสิ!

ตอนเมาเธอเผลอเล่าอะไรออกไปบ้างวะเนี่ย?

สายตาเจ้ากรรมช่างหวั่นไหวผิดกับนิสัยตายด้านของเจ้าตัวเป็นที่สุดเพราะมันอดไม่ไหวที่จะเหลือบมองไปที่สระว่ายน้ำตามที่เขาพูดถึง รองเท้าส้นสูงสีแดงยังคงนอนตะแคงอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือความทรงจำร้อนร้ายเริ่มคืนกลับมาเกือบครบถ้วน

ความทรงจำที่...ที่จำได้แล้วว่าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อน...

อาคเนย์มองดวงหน้าเล็กที่ซ่านซับสีเลือดขึ้นมาเหมือนระลึกได้ถึงความทรงจำเมื่อคืน นั่นทำให้ความโกรธของเขามอดดับลงได้อย่างน่าอัศจรรย์สิ้นดี

"ไว้ผมจะพาไปดูรอบๆ นะ" บอกพร้อมกับดึงแขนเข้าหาตัวขณะอีกฝ่ายขืนตัวไว้มองมาด้วยแววตาสงสัยเหมือนยังไม่เข้าใจคำพูดเขา

"ก็คุณอยากมีบ้านใหม่ที่มีสระว่ายน้ำไง ที่นี่ก็มีพร้อมเลย โครงการเพิ่งสร้างเสร็จผมเพิ่งย้ายเข้ามายังไม่ถึงสามเดือนเลย" คำบอกนั้นเรียกสีหน้าเหวอตกตะลึงตาค้างจากพรำพรรษได้เป็นอย่างดี

"ดะ...เดี๋ยวนะ นี่คุณ ...คุณจะชวนให้ฉันมาอยู่ที่นี่ด้วยงั้นเรอะ?" สีหน้าหวาดผวานั้น ทำให้คนที่เริ่มอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วเริ่มกลับมาขุ่นมัวอีกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย นั่นทำให้น้ำเสียงที่ถามเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาใหม่

"ใช่ คุณมีปัญหาอะไร?"

"มี! ฉันไม่ย้ายมาที่นี่หรอก ฉันจะไปหาบ้านใหม่ไม่อยากอาศัยอยู่บ้านใครอีกแล้ว" พรำพรรษประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน

"ดี!" น้ำเสียงอาคเนย์เข้มข้นปนกัดฟัน "งั้นก็ไม่ต้องย้าย"

พรำพรรษเกือบถอนหายใจโล่งอกอยู่ละถ้าเขาจะไม่พูดจนจบ

"อยู่ด้วยกันซะที่นี่แหละไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น!"

พรำพรรษอ้าปากค้างตาค้างคือ...แบบนี้ ...ก็ได้เหรอ...

"นี่คุณจะ...ลักพากักขังหน่วงเหนี่ยวฉันเรอะ?"

"อ้อ...แม่นกฎหมายด้วย" ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจหากรอยยิ้มนั้นดู...โคตรไม่น่าไว้ใจเลย ตาคมหลุบต่ำลงจับมือเธอมาสอดประสานนิ้วมือกับมือเขากุมไว้แน่นหนา "คุณบอกเองว่าไม่มีญาติ ไม่มีใครคบ ดังนั้นถ้าคุณหายตัวไปก็คงไม่มีใครตามหาและตำรวจก็จะไม่ทำอะไรถ้าไม่มีใครแจ้งความคนหาย" เขามองหน้าคนที่เบิกตากว้างอ้าปากค้างมองเขาอย่างตกตะลึงงัน สีหน้านั้นทั้งตกใจ ทั้งโกรธ ทั้ง...ร้ายกาจ

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครข่มเหงได้ง่ายๆ สัญชาตญาณการต่อสู้ของเธอนั้นรุนแรงจนรู้สึกได้และอาคเนย์ชักรู้สึกขึ้นมาว่าเธออาจประมือได้สูสีกับเขาเสียด้วยซ้ำไป นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากไล่ต้อนขึ้นไปใหญ่ ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยที่จะข่มขู่คุกคามผู้หญิง ที่จริงผู้หญิงทุกคนที่เขาเจอนั้นต้องเรียกว่ายิ่งกว่าเต็มใจเสียด้วยซ้ำ ไม่เคยมีใครที่ให้ความรู้สึกซับซ้อนและน่าค้นหาแบบคนตรงหน้า และ...ที่เขาต้องยอมรับกับตัวเอง ...การได้ไล่ต้อนเธอ ต่อปากต่อคำกับเธอ ได้บลัฟเธอ ...มันสนุกชะมัด!

นี่เขาเป็นซาดิสต์ไปแล้วหรือไง?

การรังแกผู้หญิงไม่ใช่วิสัยของเขาเหมือนกัน ในสายตาเขาผู้หญิงเป็นเพศที่ไร้ทางสู้และไม่ควรไปขัดแย้งวอแวด้วย ...ยกเว้นคนตรงหน้าที่เชิดหน้าสูงตาดำจัดทอประกายวาววับ

"มีสิคนแจ้งความ อย่างน้อยคนที่ทำงานฉันก็ต้องตามหาถ้าหากฉันหายไป" ใช่ วันอาทิตย์นี่ยังไม่เท่าไหร่แต่ถ้าวันจันทร์เธอยังไม่โผล่ไปที่บริษัท...ไม่อยากจะนึกภาพอันน่าสยดสยองของห้องประชุมที่ไร้เงาหัวท่านประธานกับบรรดาใบหน้าของบรรดาบอร์ดผู้บริหารสันดานเสียพวกนั้นเลย

แล้วแถม...ถ้าบอร์ดผู้บริหารทั้งคณะพากันชักแถวขึ้นโรงพักเพื่อไปแจ้งความว่า 'ประธาน' หายขึ้นมานะ...ฮึ่ม!

"ดีเลย" อาคเนย์ยิ้มกว้างจนตาหรี่ลงครึ่งหนึ่งหากประกายวิบวับบาดตาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า "งั้นผมก็แค่ให้คนเช็กไปตามโรงพักหารายชื่อผู้หญิงที่ถูกแจ้งหายไว้ผมก็จะได้ทั้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร. เลขที่บัตรประชาชนตลอดจนประวัติการศึกษาและสถานประกอบการที่รับคุณเข้าทำงาน แบบวันสต๊อปเซอร์วิสเลยทีเดียว" มือใหญ่ยกสูงขึ้นเล็มจุมพิตไปตามปลายนิ้วน้อยๆ ที่มีเล็บตัดสั้นเจียนมนสะอาดตาและนุ่มนิ่มเป็นอย่างมาก ขณะเจ้าของมือเหวอตาค้างอ้าปากค้างชั่วพักกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ

"นี่คุณเป็นคน...เหลี่ยมจัด เจ้าเล่ห์ จอมวางแผน ไร้ศีลธรรมแบบนี้มานานแล้วเหรอ?" พรำพรรษทนไม่ไหวสุดๆ จนเผลอหลุดนิสัยร้ายกาจออกมา คำถามปนแอบด่านั้นเต็มไปด้วยการเสียดสีจิกกัดใส่ความเชือดเฉือนเข้าไปไม่ยั้ง และ...แทนที่จะโกรธเขากลับหัวเราะราวกับได้รับคำชมที่ถูกใจอย่างงั้นแหละ ดวงตายิ้มได้ทอประกายวิบวับตอบกลับมา

"บอกตรงๆ ว่ามีบ้าง ส่วนใหญ่มักทำแบบไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว ...เพิ่งมีคุณเป็นคนแรกแหละ ที่ผมเปิดเผยไม่ปิดบัง" คนพูดไม่พูดเปล่ายังดึงแขนเข้าหาตัวลากเอาคนตัวเล็กติดมาด้วยก่อนตวัดแขนโอบรอบร่างบางไว้แน่นหนา

"ดีใจมั้ยที่ได้รับเกียรตินี้?" คำถามพร้อมรอยยิ้มที่ประชิดตัวจนตาพร่า

เขามัน... แบดกายชั่วร้ายและหล่อล่ำ!

โอย...ทำไมพระเจ้าต้องสร้างผู้ชายร้ายกาจคนนี้ขึ้นมาทดสอบจิตใจเธอด้วย แค่นี้ชีวิตเธอยังไม่แย่พอหรือไง

"เอาล่ะ เพื่อเป็นการลดขั้นตอน...บอกชื่อคุณมาเสียดีๆ เถอะ"

...ถ้าเขายังไม่เลิกบงการด้วยน้ำเสียงเว้าวอนในระยะประชิดขนาดนี้มีหวังเธอได้บอกชื่อ นามสกุล เลขที่บัตรประชาชน รหัสบัตรเครดิต รวมถึงโอนเงินในธนาคาร หุ้นและที่ดินให้เขาอย่างไม่ต้องสงสัยแหงๆ

เข้มแข็งไว้พรำพรรษ!

ปลุกปลอบตัวเองก่อนสูดลมหายใจลึกยาวเงยขึ้นสบสายตาแวววับคู่นั้นอย่างจะประกาศสงคราม

"ไม่!"

อาคเนย์อึ้งไปชั่วพักกวาดสายตามองดวงหน้าเล็กๆ ที่ไร้เครื่องสำอาง ไร้การปรุงแต่ง ไร้จริตของอิสตรีใดๆ เต็มไปด้วยความเข้มแข็งดื้อดึงและไม่ยอมแพ้ แม้เขาจะยอมถึงขั้นหว่านเสน่ห์เข้าใส่อย่างที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหน และแม้จะดูหวั่นไหวไปบ้างแล้วแต่เธอยังคงยึดจุดยืนอย่างเหนียวแน่น ประกายสายตาที่มองหญิงสาวเข้มข้นขึ้นขณะเปิดรอยยิ้มที่ทั้งยั่วเย้าทั้งร้ายกาจ

"ดี!"

กำลังคิดอยู่ว่าการที่เธอปฏิเสธเขามันดีตรงไหนพรำพรรษก็ต้องหวีดร้องสุดเสียงเมื่ออยู่ๆ ถูกรวบเอวยกขึ้นจนตัวลอยก่อนร่วงลงบนฟูกโดยมีร่างหนาหนักทาบทับลงมา หญิงสาวเบิกตากว้างแต่ก็คืนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์มันเลยเถิดไปขนาดนี้แล้วเธอไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนี่ เขาจะมีปัญญาคุกคามอะไรเธอได้อีก...

หญิงสาวคิดผิด!

เขามันผู้ชายร้ายกาจ! ร้ายกาจที่สุดในสามโลก!

พรำพรรษได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจเพราะปากถูกประกบจูบหนักหน่วง มือเล็กบางที่พยายามดิ้นรนขัดขืนถูกเขาใช้มือใหญ่เพียงแค่มือเดียวกดตรึงไว้เหนือศีรษะ ขณะมืออีกข้างหนึ่งเลื่อนลงหาทรวงอกนุ่มกอบกุมเค้นคลึงอย่างกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ทุกตารางนิ้วของสมบัติในครอบครอง และเหมือนกับสัมผัสนั้นยังไม่หนำใจพอ เขาคลายจุมพิตจากริมฝีปากเลื่อนสัมผัสร้อนรุ่มนั้นลงมาหากลืนกินก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นพอดีมือนั้นอย่างคลั่งไคล้หลงใหล

"ยะ...อย่านะ" ท้ายเสียงเป็นสะอื้นปนกรีดร้องเมื่อมือร้อนๆ นั้นเลื่อนต่ำลงกว่าเดิมเริ่มลงมือสำรวจพื้นที่ที่ทำให้ร่างน้อยที่ถูกตรึงขังไว้ในอ้อมแขนตัวสั่น เสียงห้ามก็พลอยสั่นระรัวไปหมด แต่ไม่เป็นผลกับผู้ชายร้ายกาจที่เหมือนกำลังเพลิดเพลินกับการสำรวจผิวเนื้ออ่อนละมุนด้วยปลายนิ้วร้อนรุ่มระคายผิวซึ่งปลุกเร้าความทรมานอันแสนหวานขึ้นมาจนร่างบางสั่นระริก ความโหยหาบางอย่างก่อตัวทวีขึ้นอย่างเข้มข้นจนพรำพรรษรู้สึกเหมือนเส้นเลือดจะลุกเป็นไฟหัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวมันแตกระเบิดออกมา แต่ที่แตกระเบิดออกกลับไม่ใช่หัวใจที่กำลังเต้นระส่ำอยู่ หากแต่เป็นร่างกายที่กำลังถูกกระตุ้นเร้าอย่างไร้ปรานีนั้น ความต้องการการเติมเต็มเปิดเปลือยหญิงสาวออกมาจนพร้อมที่จะให้เขารักอีกครั้ง ...อีกหลายๆ ครั้ง หากคราวนี้เขากลับไม่ได้เรียกร้องความปรารถนาจนสุดทางเหมือนเช่นที่เคย

ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เขาปล่อยแขนเธอเป็นอิสระแต่หญิงสาวก็ไม่มีปัญญาจะห้ามปรามขัดขืนยามเขาบุกรุกสำรวจไปถ้วนทั่วแทบจะทุกสัดส่วนด้วยสัมผัสทางร่างกาย มือและริมฝีปากร้อนที่ประทับลงบนเนื้อนุ่มที่ผ่านการถูกกระตุ้นเร้ามาอย่างหนักหน่วงนั้น

เสียงห้ามปรามกลายเป็นเสียงครางสะอื้นเมื่อลิ้นอุ่นร้อนกระทำการทรมานสัดส่วนอันแสนอ่อนไหวนั้น ทีแรกอย่างแผ่วเบายั่วเย้า เหมือนเป็นการทักทายก่อนจะทวีความร้ายกาจขึ้นทุกที

ถ้าเขาไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์ทางด้านนี้เขาต้องได้เคยทดลองทำมันกับผู้หญิงเป็นร้อยเป็นพันคนมาแล้วแน่...เขาถึงเชี่ยวชำนาญขนาดนี้!

นั่นเป็นความคิดสุดท้ายก่อนหัวสมองเธอจะพร่าเบลอว่างเปล่าขาวโพลนไปหมด เหตุผลและสติสัมปชัญญะล่องหายไปเหลือเพียงประสาทสัมผัสเท่านั้นที่ยังทำงาน...อย่างหนักหน่วง

ลิ้นร้อนๆ ชำแรกลึกดูดดื่มกลืนกินเธออย่างกระหาย เรียกเสียงกรีดร้องอย่างยอมจำนนได้ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เขายังไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้ พรำพรรษกรีดร้องออกมาอีกเมื่อสัมผัสได้ถึงการรุกรานที่ยิ่งหนักหน่วงกระตุ้นให้อารมณ์พุ่งขึ้นสูงลิบและทุกครั้งที่พรำพรรษรู้สึกเหมือนอารมณ์พุ่งขึ้นจนสุดเขาก็ยิ่งทรมานเธอหนักขึ้นจนอารมณ์ที่เธอไม่รู้จักไม่เคยรู้ว่ามีมันมาก่อนพลอยไต่สูงขึ้น สูงขึ้นจนแทบแตกระเบิดออกมา

"อาคเนย์..." ชื่อนั้นลอยล่องอยู่ในท่ามกลางเปลวเพลิงอารมณ์อันแผดเผา พรำพรรษกะพริบตาพร่าเบลอสบสายตาคมเข้มที่ลอยอยู่ใกล้หน้าเปิดรอยยิ้มร้ายกาจขณะเคลื่อนใกล้เข้าหา สัดส่วนแกร่งร้อนเบียดบดประชิดเนื้อตัวนุ่มหวานที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยอารมณ์ปรารถนา รุกล้ำเข้าไปในเส้นทางเล็กแคบทีละนิด

"ผมชื่ออาคเนย์" เสียงกระซิบแผ่วพร่าย้ำเตือนขณะเขยื้อนเข้าไปอย่างช้าๆ อย่างจะให้คนตัวเล็กใต้ร่างเขารับรู้ถึงทุกอณูเนื้อที่ค่อยๆ แนบเข้าเติมเต็มทุกตารางนิ้วที่เขาเคลื่อนผ่าน จดจำชื่อพร้อมสัมผัสระอุร้อนที่เสียดแทรกเข้ายึดครองเป็นเจ้าของเธอ สัมผัสทุกๆ อารมณ์ ทุกความรุ่มร้อนหวามไหวที่เขาเป็นคนปลุกเร้ามันขึ้น จับจองทุกความอ่อนไหวที่ยินยอมให้เขาเติมเต็มอารมณ์ปรารถนาอันซ่านระริกบีบรัดจนรู้สึกได้เป็นอย่างดี

แต่แล้วเขากลับหยุดยั้งตัวเองไว้ไม่ยอมให้เธอได้สมปรารถนา รับรู้ถึงความทรมานที่บีบรัดรอบอยู่แนบแกนกายหนึบแน่นระรัวของร่างน้อยที่ถูกกระตุ้นเร้าจนกลายเป็นความอัดอั้นทรมานที่ไร้ทางออกจนต้องหยัดกายขึ้นหา แต่เขาก็ยังไม่ยอมเขยื้อนดวงหน้าหล่อเหลาก้มลงแนบดวงหน้าหญิงสาวจูบซับไปทั่วผิวหน้าเนียนที่แดงซ่านไปด้วยแรงอารมณ์นั้นก่อนขมเม้มติ่งหูนุ่มนิ่มพร้อมกระซิบแผ่วพร่า

"บอกชื่อคุณมา"

"ฮื้อ..." เสียงครางประท้วงสายตาที่มองสบมามีทั้งความปรารถนาเร่าร้อนอันแผดเผาและความดื้อรั้นขัดขืนไม่ยินยอม มือเล็กไขว่คว้าต้นแขนเขาจิกไว้ขบริมฝีปากอิ่มแน่นขณะหอบหายใจสะท้าน

"บอกมาเหอะ นะ" เสียงกระซิบพร่าพร้อมลมหายใจอุ่นๆ ที่เล็มรดไปทั่วข้างแก้มและซอกคอขาวขณะที่การสอดประสานอันแนบแน่นของเรือนกายเร่าร้อนเต้นกระตุกต้องการการปลดปล่อยแต่เขายังใจร้ายทรมานเธอโดยไม่ยอมเคลื่อนไหวระบายความอัดอั้นนั้น

"ฮื้อ...ไม่เอา...อย่าแกล้ง" พรำพรรษวอนขอแทบเป็นสะอื้นแต่ยังไม่ยอมเอ่ยออกมาในสิ่งที่เขาต้องการ จนคนตัวโตที่ทาบทับอยู่เหนือตัวเธอต้องซบนิ่งลงข่มใจจนเหงื่อซึมหยดต้องร่างน้อยใต้ร่าง ชั่วพักกว่าที่เขาจะข่มความต้องการได้จนสามารถเจรจาต่อได้ด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

"ไม่แกล้ง เอาจริง แลกเปลี่ยนกัน นะ...บอกชื่อมา แล้วผมจะให้ที่คุณต้องการ" คนพูดเหมือนเน้นย้ำด้วยการเขยื้อนออกนิดเดียวก่อนกดตรึงลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมจนแนบแน่นและยิ่งปลุกความกระหายให้ยิ่งทรมานยิ่งกว่าเดิม มือเล็กจิกแรงไปบนไหล่กว้างร่างสั่นระริกพยายามเขยื้อนตัวอย่างทรมานแต่ติดที่เขาทับนิ่งตรึงไว้ไม่ยอมขยับเสียทีนั่นทำให้หญิงสาวแทบกรีดร้องออกมากับผู้ชายเหลือทนตรงหน้า ไขว่คว้ามือไปอย่างไร้จุดหมาย การดิ้นรนเล็กๆ นั้นมันคล้ายกลับกลายเป็นการแตะต้องที่กระตุ้นเร้าจนคนตัวใหญ่กว่าต้องสูดลมหายใจลึกอย่างข่มกลั้น แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนใต้ร่างตาเป็นประกายวาว พรำพรรษลูบมือไปบนกล้ามเนื้อตึงแน่นนั้น ลอกเลียนวิธีการที่เขาทำกับเธอผนวกกับสัมผัสนั้นให้ความรู้สึกดีเลิศจนหญิงสาวลืมตัวลืมอายโอบรอบคอเขาดึงลงมาหาเริ่มต้นจุมพิตเว้าวอนเสียเอง

อาคเนย์สบถอยู่ในใจเมื่อนางมารตัวน้อยในอ้อมแขนนั้นเรียนรู้ได้ไวผิดคาด สาบานได้ว่าเมื่อคืนนี้ใต้ฝักบัวแบบเรนชาวเวอร์เธอยังเป็นสาวพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ไม่ประสากับเรื่องบนเตียงอยู่เลย และความไร้เดียงสานั้นแทนที่จะทำให้เขาหมดอารมณ์หรือเบื่อหน่ายมันกลับมีความดึงดูดอย่างร้ายกาจที่ปลุกเร้าให้เขาอยากเป็นคนสอนให้เธอรู้จักรสรักและอารมณ์อันน่าหลงใหลนี้ด้วยตัวเอง...กับเขา แค่ลำพัง อาจพาเธอไปพรีฮันนีมูนที่ต่างประเทศสักสามหรือหกเดือนเพื่อค่อยๆ สอนบทรักให้แม่สาวเวอร์จิ้นที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนยังอายหน้าแดงอยู่เลยยามพูดจาคลุมเครือถึงความสัมพันธ์อันหมิ่นเหม่นี้ แต่ชั่วพริบตาที่เขาคิดว่าสามารถควบคุมรังแกเธอให้จนมุมได้ ...แม้ว่าตัวเองจะทรมานแทบตายก็เหอะ ยัยตัวแสบกลับเรียนรู้ที่จะตอบโต้ได้สำเร็จ! แม้จะยังเรียกไม่ได้ว่าเก่งกล้า แต่...สัมผัสอันกล้าๆ กลัวๆ ที่พยายามเรียกร้องเขากลับคืนนั้นมันเร้ารัญจวนใจยิ่งกว่าที่เคยได้รับจากสาวเปี่ยมประสบการณ์คนไหนเสียอีก

เธอมันนางมารร้ายชัดๆ

อาคเนย์บอกตัวเองยามที่ความอดทนขาดผึงลงถอดถอนออกมาจนเกือบสุด จนร่างน้อยผวาตามมือเล็กไขว่คว้าเขาไว้ซึ่งอยากบอกเหลือเกินว่าไม่จำเป็นสักนิด

แค่นี้เขาก็ไปไหนไม่รอดแล้ว!

ชายหนุ่มคิดขณะพุ่งโผนกลับคืนจนสุดลำรู้สึกถึงทุกการบีบรัดรึงอันแสนหวานของร่างน้อยที่กระตุกสั่น เขาช้อนสะโพกนุ่มขึ้นขณะเบียดอัดกระหน่ำหนักอย่างอดใจไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

ร่างน้อยโยกไหวตามจังหวะรุกเร้าอันป่าเถื่อน ผมยาวสยายยุ่งเหยิงกระจายเต็มหมอนร่างขาวละมุนที่เต็มไปด้วยรอยจูบจ้ำช้ำจากการที่ถูกรักมาตลอดคืน ห้วงอารมณ์อันแสนอ่อนหวานที่เขาได้เข้าจับจองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว

ร่างน้อยถูกจับพลิกพาไปอีกหลายครั้งหลายท่วงท่าที่จะทำให้เขาเสียดแทรกกระแทกได้ลึกซึ้งหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิมอีก เรียกเสียงกรีดร้องรัญจวนใจจนเสียงแหบแห้งจากคนที่เขาเรียกร้องบังคับเอาตามใจ ...ได้แค่เฉพาะเพียงเรื่องบนเตียงเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ว่าการชวนให้มาอยู่ด้วยกันหรือแค่อยู่กับเขาให้นานขึ้นอีกนิดดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องต้องห้ามที่เจ้าตัวขีดเส้นไว้ไม่ให้ทั้งตัวเองและเขาข้ามไป มีเพียงสัมพันธ์ทางกายระยะแค่เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้นที่เธอยอม และทำท่าเหมือนพร้อมจะลืมทุกเรื่องราวไปเสียด้วยซ้ำหากก้าวพ้นจากเตียงเขาไปได้

ไม่เคยมีครั้งไหนที่อัตตาความเป็นผู้ชายของเขาโดนท้าทายเท่าครั้งนี้เลย ...ถูกท้าทายโดยแม่สาวเวอร์จิ้นที่จูบยังไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ!

ชายหนุ่มพลิกร่างน้อยกลับลงนอนหงายขณะครอบครองอยู่เหนือร่างเธอ หญิงสาวร่างเล็กบางที่เหมือนจะแตกทำลายเป็นชิ้นๆ ยามถูกเขาโหมรักหนักหน่วง แต่เขาก็อดใจไว้ไม่ไหวจริงๆ อาคเนย์จูบหนักๆ หนักหน่วงเท่าๆ กับที่กระแทกลึกถี่ระรัวเร่งเร้าราวจะเค้นคั้นเอาความหวานของรสรักทุกหยาดหยดออกจากร่างเธอ

ดูดกลืนกินเสียงสั่นสะอื้น อ้อมแขนบอบบางที่ไขว่คว้าโอบกอดอย่างไร้ปัญญาจะขัดขืนแรงปรารถนาที่เขาเรียกร้องได้ หนักขึ้น แรงขึ้น ระรัวความลึกซึ้งอ่อนหวานจนสองร่างแทบแหลกเหลวรวมกันเมื่อถึงจุดหมาย

เป็นไคลแมกซ์ที่พุ่งพาอารมณ์สู่สุดสมหวังยิ่งกว่าครั้งใดที่เขาเคยรู้สึก

อาคเนย์พลิกตัวลงนอนเคียงข้างร่างน้อยที่ยังตัวสั่นระรัวด้วยแรงอารมณ์ที่เริงร้อนไม่น่าจะต่างจากเขาสักเท่าไหร่

นานช้ากว่าที่คลื่นอารมณ์จะสงบลง มือใหญ่เกลี่ยไล้ผิวแก้มที่ให้ความรู้สึกละมุนนั้นอย่างเผลอไผล จนหญิงสาวต้องตะปบคว้ามือเขาไว้ก่อนที่สัมผัสซึ่งให้ความรู้สึกซ่านซ่าเหมือนถูกดูดดึงด้วยไฟฟ้าสถิตนั้นจะทำให้อะไรๆ เตลิดเปิดเปิงไปอีกรอบ

ตาดำจัดลืมขึ้นสบตาเขาคราวนี้ไม่มีแวววาวหวานฉ่ำเหมือนตอนที่หลงอยู่ในโมงยามพิศวาสในกันและกันเหมือนเมื่อครู่ สีหน้าดื้อดึงและเป็นการเป็นงานแบบคนที่ตั้งสติได้และเคยควบคุมทุกอย่างในชีวิตตัวเองคืนกลับมาสู่ดวงหน้าเล็ก

มันทำให้เขานึกอยากใช้วิธีการชั่วร้ายเขย่าอัตตาเธออีกสักรอบ ...หรือหลายๆ รอบ ติดแต่พอเขาขยับตัวมือบางรีบยกขึ้นกางกั้นไว้ สีหน้าขัดใจข่มใจยามฝืนเจรจา

"ฉันหิวแล้ว ...หิวมากๆ ด้วย" คนพูดปรายสายตามองไปที่ท้องฟ้าที่กำลังจะเปลี่ยนสี ดูเหมือนทั้งคู่ทำเวลาช่วงบ่ายหายไป ...บนเตียง

"คุณคงไม่ใจร้ายปล่อยให้ฉันหิวตายหรอกใช่ไหม?" คำถามนั้นทำให้เขานึกได้ว่าเธอยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ นั่นทำให้สายตาที่มองมาอ่อนแสงลงก่อนชะโงกตัวไปจูบหนักๆ ที่หน้าผากและแก้มใส

"นอนรอไปก่อน เดี๋ยวเอาข้าวมาให้"

คนพูดดึงผ้าห่มมาขยุ้มหุ้มร่างเปลือยเปล่าขาวจัดเอาไว้ก่อนจะลุกหายไป

...เดี๋ยวสิ! ไม่ใช่แบบนี้สิ! ไม่ใช่เอาข้าวมาให้!

นายควรจะหาเสื้อผ้าให้ฉันใส่ไปนั่งกินที่โต๊ะอาหารอย่างคนที่มีอารยะเขาทำกันไม่ใช่เรอะ

อีตาบ้า!

พรำพรรษแทบกรีดร้องอย่างโมโหขณะที่มุดตัวเข้าไปในโปงผ้าห่มและไม่นึกอยากออกมาจากในนั้นอีกเลย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น