5

บทที่ 5


มันก็ไม่ถึงกับเลวร้าย...

ยังดีหรอกที่เขาไม่ถึงกับบังคับให้เธอกินข้าวอยู่บนเตียง

หรือถ้าจะพูดให้ถูก...โต๊ะดินเนอร์ริมสระน้ำบนยอดตึกของเขามัน...โคตรดีเลย

ตึกของอาคเนย์สูงมากจนยอดตึกเป็นท็อปวิวไม่มีตึกอื่นมาสูงแข่ง พื้นที่กว้างขวางของเพนเฮาส์จัดอย่างไม่หวงพื้นที่ สวนสวยเต็มไปด้วยไม้ประดับที่น่าจะได้รับการออกแบบโดยมัณฑนากรมีชื่อ บรรยากาศหัวค่ำเริ่มมืดสลัว ไฟประดับที่ออกแบบไว้อย่างดีให้แสงอ่อนละมุนและดวงดาวพราวทั้งฟ้าที่ความสูงของตึกพาพ้นหมอกควันของเมืองหม่นออกมา เหมือนท้องฟ้าแหวกออกราวกับเปิดเปลือยดวงดาวทั้งจักรวาลที่คล้ายคล้อยลอยต่ำลงมาดุจจะยอมให้เอื้อมหยิบคว้าได้ใกล้ๆ แถมทุกดวงดาวยังทอประกายสว่างใสสุกสกาวงดงามกว่าครั้งใดที่เคยได้สัมผัส

เสียอย่างเดียว...อีตาบ้านั่นไม่ยอมเอาชุดมาให้เธอ!

อาคเนย์มาตามหญิงสาวไปกินข้าวโดยการยื่นเสื้อเชิร์ตของตัวเองให้ด้วยดวงตาพราวประกายรอยยิ้ม ไม่สนใจสายตาขุ่นขวางที่ต่อสายตาอย่างโมโห บทสนทนาต่อรองที่ไม่ต้องเอ่ยออกมาคือเสื้อผ้าแลกกับชื่อเธอแหงๆ พรำพรรษคว้าเสื้อตัวใหญ่มหึมานั่นมาอย่างหัวเสีย สวมใส่อย่างกระแทกกระทั้นทั้งยังห่อตัวแน่นหนาใต้ผ้าห่ม ไม่เปิดโอกาสให้สายตาหื่นหิวหากำไรจากเนื้อตัวเธอ ซึ่งมัน...น่าจะไม่ทันแล้ว ดวงตายิ้มได้ที่มองมาด้วยประกายพราวระยับขำขันบอกเธออย่างนั้นเพราะเขาเห็นไปถึงไหนๆ ต่อไหนๆ ...ตั้งไม่รู้กี่รอบเข้าไปแล้ว

หญิงสาวกัดฟันอย่างมีโมโหขณะหย่อนขาลงจากเตียงพยายามพับแขนเสื้อตัวหลวมโคร่งอย่างทุลักทุเลจนเจ้าของเสื้อต้องยื่นมือมาช่วยม้วนขึ้นไปหลายทบกว่าจะหายรุ่มร่าม

"ถ้าจะยึดเสื้อผ้าฉันไว้อย่างน้อยก็ขอชุดชั้นในให้สวมบ้างไม่ได้เรอะ?" พรำพรรษตวัดสายตาขุ่นขวางต่อรองอย่างมีโมโห ไม่คุ้นชินกับความโล่งทั้งบนล่างแบบนี้

"ชิ้นบนสำหรับชื่อ ชิ้นล่างสำหรับนามสกุล ส่วนชุดจะได้เมื่อพร้อมย้ายมาที่นี่" ดวงหน้าหล่อเหลายิ้มกว้างส่งสายตาสะกดใจให้ขณะต่อรองอย่างหน้าไม่อาย

B*st*rd!

หญิงสาวสบถลั่นอยู่ในใจ เพราะจากประสบการณ์แล้วการขัดแย้งกับเขามักนำตอนจบที่ไม่สวยมาให้ ดังนั้นการด่าทอทางสายตาและเพียงในใจคู่ขัดแย้งย่อมไม่สามารถมาหาเรื่องเธอต่อได้ คนฉลาดย่อมไม่ปะทะกับคน... คน... โอย...ไม่รู้จะหาคำอะไรมาบรรยายความชั่วร้ายของผู้ชายคนนี้ดี คนที่ยิ้มทั้งปากทั้งตาใส่สายตาขุ่นขวางของเธอพร้อมยื่นมือให้

พรำพรรษลุกพรวดขึ้นพยายามทำเป็นไม่สนใจความเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมนั่น ซึ่งเขาเองก็สามารถสลัดคราบสุภาพบุรุษนั้นทิ้งได้ทันทีเหมือนกัน มือใหญ่เปลี่ยนเป้าหมายจากที่ยื่นมาช่วยพยุงเป็นคว้าหมับเข้าที่เอวเล็กขณะก้าวตามมาเดินเคียงคู่พร้อมๆ กับเลื่อนมือซุกซนข้างนั้นเคลื่อนต่ำลงอย่างไร้ความละอายสิ้นดี พรำพรรษหันกลับมาคว้ามือเขาไว้ถลึงตาใส่อย่างนึกคำด่าไม่ออก

...ถ้าไม่ได้ลวนลามเธอสักห้านาทีเขาจะตายไหม?

นอกจากไม่สำนึกแล้วอาคเนย์ยังดูเหมือนกำลังสนุกเป็นอย่างยิ่งชายหนุ่มพลิกมือข้างที่ถูกคว้าจับไว้สอดประสานนิ้วมือกับมือเล็กบางล็อกไว้แน่นหนากันหนี ก่อนที่จะลากตัวเธอให้เดินตามออกมายังสวนริมสระน้ำโดยไม่สนใจกิริยาอาการที่พยายามขัดขืนนั้น

โต๊ะอาหารตัวเล็กถูกตั้งไว้ริมสระน้ำ พร้อมบริกรที่เริ่มเข้าเสิร์ฟอาหาร

โอย...คนได้รับบริการหน้าแดงแทบไหม้เมื่อต้องนั่งรับประทานแบบฟูลคอร์สด้วยบริกรในชุดเต็มยศขณะที่ตัวเองอยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตผู้ชายตัวเดียวไร้แม้ชั้นในทั้งชิ้นบนล่าง บริกรพวกนี้ยังแต่งตัวดูดีกว่าเธอเสียอีก!

ความหิวเท่านั้นที่ขับเคลื่อนให้เธอทนกินได้จนถึงจานของหวาน และเพราะความหิวอีกเช่นกันที่ทำให้เธอไม่ทันสังเกตเห็นสายตาจากคนอีกด้านของโต๊ะอาหารที่มองข้ามมาด้วยสายตาพึงพอใจลึกซึ้ง เมื่อเฝ้ามองคนหิวโหยที่กินทุกอย่างอย่างรวดเร็วหากไม่ดูมูมมามเลยสักนิด ทั้งที่ถูกจับอดอาหารมาข้ามวันแท้ๆ แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับกินได้เรียบร้อยอย่างคนที่ได้รับการอบรมมา รวมถึงมารยาทบนโต๊ะอาหารการใช้ช้อนส้อมมีดหญิงสาวสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและเลือกใช้เครื่องมือแต่ละชิ้นได้อย่างแม่นยำอย่างคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

แบบนี้...พาไปออกงานคงไม่มีปล่อยไก่ต่อหน้าใครๆ ให้โดนนินทาภายหลังแน่

คนคิดแกว่งแก้วไวน์จิบชิมด้วยสีหน้าพึงพอใจ ขณะจินตนาการไปไกลลิบถึงร่างบางในชุดแบรนด์เนมสุดหรูซึ่งแน่นอนว่าต้องสีแดงแรงฤทธิ์ยามยืนเคียงข้างเขาในสถานที่จัดงานเลี้ยงหรูหราในทุกหนแห่ง

คิดว่าเธอน่าจะมีมารยาทสังคมที่ยอดเยี่ยมได้ไม่แพ้เรื่องบนเตียงแน่

...ความรู้สึกสองอย่างตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในสมองอาคเนย์เมื่อความคิดหนึ่งอยากจับเธอขังไว้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่ให้ใครได้เห็นแม้ปลายเล็บบอบบางขาวสะอาดเพื่อให้เธอเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น กับ...อยากพาเธอออกไปอวดกับทุกผู้คนบนโลกนี้ ซื้อโฆษณาหน้าที่แพงที่สุดของทุกสื่อเพื่อป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ไว้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสมบัติของเขา ความคิดสองอย่างนี้ตีรวนอยู่ในสมองจนเลือกไม่ถูกว่าอยากได้อย่างไหนมากกว่ากันจนไม่ได้ยินว่าหญิงสาวพูดอะไรจนเธอแทบตบโต๊ะเสียงดังเพื่อดึงความสนใจจากเขา

"นี่คุณ ฟังอยู่รึเปล่า พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานแล้วนะ พูดจริงๆ พักนี้คนพวกนั้นยิ่งชอบหาเรื่องจับผิดฉันอยู่ ถ้าพรุ่งนี้ฉันเบี้ยวงานอีกมีหวังได้โดนไล่ออกแหงๆ" พรำพรรษกัดฟันอธิบายยืดยาวให้คนที่ท่าทางเหม่อลอยไม่รู้ใจลอยคิดเรื่องอะไรอยู่ฟัง เขาเหมือนเพิ่งดึงสติกลับมาพยักหน้าทำท่ารับรู้ก่อนบอกออกมาหน้าตาเฉยที่สุด

"ก็ให้ไล่ออกไปสิ แล้วมาอยู่กับผม ผมดูแลคุณเอง"

ประกายความโกรธลุกแลบในดวงตาคู่นั้นราวประกายไฟ ...หญิงสาวกำลังโกรธจัดและต้องสูดลมหายใจข่มความโกรธอยู่นานมากนับหนึ่งน่าจะถึงเกินร้อยในใจอยู่นานกว่าน้ำเสียงที่ตอบกลับมาจะกดข่มอารมณ์ลงได้บ้าง

"ขอบคุณในความหวังดี แต่ฉันไม่ใช่โสเภณี ฉันดูแลตัวเองได้"

ความฉลาดทางอารมณ์...ไม่เลว

การระงับความโกรธ เขาให้สักแปดสิบ

ส่วน...สีหน้าตอนโกรธเขาให้เต็มร้อยเลย ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่โกรธจัดแล้วยิ่งดูสวยเซ็กซี่ฮ็อตฉ่าขนาดเธอมาก่อนประกายในดวงตาที่จ้องมองมาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนั้นกลับดูเต็มไปด้วยอารมณ์อันป่าเถื่อนและน่ากระตุ้นเร้าให้สุดๆ ดูสักทีว่ายามโกรธจัดลืมตัวแล้วเธอจะเร่าร้อนได้ขนาดไหน เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเกินไปรู้จักประเมินสถานการณ์มากเกินไปจนรู้ว่าการระเบิดอารมณ์ใส่เขานั้นมันไม่ใช่สิ่งฉลาดและจะพลอยทำให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบหนักขึ้นไปอีก

คะแนนความฉลาด...เกินต้องการไปสักยี่สิบถึงสี่สิบ

...ทำไมผู้หญิงคนนี้ไม่ฉลาดให้น้อยลงกว่านี้สักสี่สิบเปอร์เซ็นต์นะ

คนคิดลอบถอนใจเมื่อคิดว่าการเจรจาต่อรองต่อไปคงไม่ง่ายดายนัก ...แต่ก็...ให้คะแนนความท้าทายเพิ่มไปเป็นร้อยห้าสิบเลยละกัน อยู่กับเธอบางทีมันอาจสนุกดีก็ได้

"ถ้าถูกไล่ออกจากงานแล้ว...คุณจะดูแลตัวเองยังไง?" เขาถามอย่างเป็นการเป็นงานโดยไม่สนใจสายตาขุ่นขวางที่มองตอบกลับมาเหมือนส่งภาษาทางสายตาว่าถ้าเธอต้องตกงานจริงๆ มันก็เพราะเขานั่นแหละที่เป็นสาเหตุนั้น

"ฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง"

"พอจะเป็นทุนให้อยู่อย่างไม่ลำบากได้นานแค่ไหน?" คำถามราวสัมภาษณ์งานหรือสัมภาษณ์ประกอบการลงทุนนั้นกวนประสาทชะมัด แต่พรำพรรษเคยมีประสบการณ์โดนคนระดับผู้บริหารเขี้ยวๆ ไล่ต้อนมาไม่รู้เท่าไหร่ ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่หวั่นไหวแม้สักนิดเดียว

"ถ้าอยู่อย่างประหยัดๆ หน่อยก็สักห้าปีมั้ง แต่ถ้าจะผลาญก็คืนเดียวหมด ถามเพื่อ?" เธอยิงคำถามกลับไปขณะที่คนฟังยังกะพริบตาปริบๆ เหมือนยังคิดหาค่าตรงกลางเพื่อคาดคำนวณรายได้ของหญิงสาวว่าระหว่างการอยู่แบบประหยัดนานห้าปีกับการผลาญเงินได้หมดในคืนเดียวนั้น...เธอควรมีเงินเก็บแค่ไหนกันแน่

เห็นเขาขมวดคิ้วทำท่าปลงไม่ตกพรำพรรษเลยเป็นฝ่ายบอกเขาเสียเอง

"ตอนที่ฉันหาเงินได้สูงสุดนั้นได้ประมาณยี่สิบล้านในห้านาที" คำบอกเล่ามีเค้ารอยหยิ่งผยองก่อนเน้นย้ำ "ยูเอสดอลลาร์นะ" นั่นเป็นสถิติการที่มีตัวเลขเงินในบัญชีวิ่งเข้ามาสูงสุดในชีวิตแล้ว เป็นสถิติที่เจ้าตัวภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย ถึงแม้มันจะ...

"แล้วมันหมดไปภายในกี่นาที?" คนถามสีหน้าไม่แปลกใจในตัวเลขที่เธออ้าง ไม่มีเค้ารอยหวาดระแวงว่าเธอโกหกด้วยซ้ำ หากเหมือนกับว่า...เขารู้และคาดเดาได้ว่าเธอหาเงินมหาศาลนั้นมาจากอะไร...

"สามวัน" พรำพรรษพ่นลมออกจากจมูกสีหน้าขัดใจยามบอกออกไปตรงๆ โคตรเกลียดสีหน้ารู้ทันนั่นเลย

"เก่งจัง เป็นผมจะทำมันหล่นหายได้ในไม่ถึงสามนาทีด้วยซ้ำ" คนพูดคลึงแก้วไวน์ในมือสีหน้าพออกพอใจดุจการผลาญเงินมหาศาลในสามนาทีนั้นเป็นเรื่องสนุกท้าทายเสียด้วยซ้ำ

หญิงสาวหรี่ตามองคนที่ทำสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ที่ดูเหมือนจะรู้ทันกันอยู่โดยไม่ต้องพูดกันมากให้เจ็บคอ

ก็แหงล่ะคนฐานะแบบเขาการค้าเงินค้าหุ้นเก็งกำไรค่าเงินที่ผันผวนพุ่งวูบสูงดิ่งลงดับในพริบตานั้นมันคงเหมือนของเล่นของเขาอยู่แล้วนี่ ถึงทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวเมื่อเธอพูดว่าใช้เงินยี่สิบล้านดอลลาร์สหรัฐได้หมดภายในสามวัน แถมยังยกตัวข่มอีกต่างหาก!

แต่...ต้องตั้งมั่นไว้สิ!

"ฉันเป็นคนใช้เงินเปลือง ไม่น่ารักน่าเลี้ยงหรอก ถึงต้องเลี้ยงดูตัวเองอยู่ทุกวันนี้ไง คุณไปหาคนอื่นเหอะ...นะ" ท้ายประโยคพยักพเยิดเหมือนกับเป็นการบอกปัดเมื่อถูกชวนไปกินข้าวดูหนังหรือหาเพื่อนช็อปปิ้ง ...ไม่ใช่การถูกชวนร่วมเตียงโดยผู้ชายที่สันนิษฐานว่าน่าจะติดอันดับท็อปเท็นหนุ่มที่เหล่าชะนีสาวกรีดร้องต้องการสานสัมพันธ์ด้วยที่สุดในสยาม ณ ตอนนี้

ดวงตาดำจัดของคนที่นั่งตรงข้ามไม่แสดงอะไรออกมาเลยทั้งที่พรำพรรษคิดว่าเขาอาจโมโห

ช่างสิ! เขาทำให้เธอโมโหได้คนเดียวหรือไง?

ผลัดกันวินวินดี

คนคิดดูเหมือนพึงพอใจในความคิดตัวเองจนยกแก้วเครื่องดื่มสีสวยขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

น้ำสีๆ แสนอร่อยที่ชวนติดใจจนต้องเดินออกตามหา...บาร์เทนเดอร์

ความทรงจำเมื่อคืนก่อนเริ่มรื้อฟื้นขึ้นมาได้แล้วว่าเธอพบเขาได้ยังไง ผู้ชายในชุดสูทแบล็คไทที่สูงสง่าหล่อเหลาเป็นบ้า แต่ด้วยความเมารั่วของตัวเองทำให้ทักเขาเป็นบาร์เทนเดอร์ซะงั้น...

หญิงสาววางแก้วลงอดไม่ได้ที่จะตวัดสายตาไปทางคนที่นั่งตรงข้ามทันได้เห็นประกายตาพึงพอใจยามมองไปที่แก้วที่ว่างเปล่าใบนั้น พรำพรรษเลื่อนสายตากลับลงมาขณะใช้ความคิดว่าเขาพอใจอะไร

...ก็แค่แก้วน้ำหวานไม่กี่แก้ว...

ไม่สิ! รสชาติมันใกล้เคียงกับเครื่องดื่มที่เธอดื่มจนเมามายเมื่อคืนนี้อยู่สักแปดสิบเปอร์เซ็นต์นี่นา

...ซึ่งมันหมายความว่า...

หญิงสาวตวัดสายตาขุ่นขวางไปทางคนนั่งอยู่ตรงข้ามที่คราวนี้เปิดรอยยิ้มกว้างขวางจริงใจ ...ชั่วร้ายแบบจริงใจที่สุดยามเอ่ยถามออกมา

"ค็อกเทลอร่อยไหม?"

พรำพรรษหลุบตาลงมองแก้วเครื่องดื่มที่ตนคิดว่ามันเป็นน้ำหวานปริมาณไม่ต่ำกว่าครึ่งโหลตรงหน้ากัดฟันข่มใจสุดๆ ขณะที่ถามตัวเองอยู่ในใจว่า กักขังหน่วงเหนี่ยว ลักพาตัว ข่ม...เอ่อ...มันก็ไม่ได้ถึงกับขืน...ฝืนใจเท่าไหร่งั้นข้อหานี้ตกไป ...บังคับจิตใจ ไม่ยอมให้เธอใส่เสื้อผ้าแบบคนมีอารยะ ข่มขู่คุกคาม แถมท้ายด้วยการมอมเหล้าเธอ...

...ผู้ชายคนนี้ยังมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกไหมนะ!?

พรำพรรษรู้ตัวว่าเมาแล้ว...เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีคนที่อยู่อีกฟากโต๊ะกลับมายืนแนบประชิดอยู่ข้างตัวได้ยังไงก็ไม่รู้ ร่างสูงก้มลงเท้าแขนกับโต๊ะและพนักเก้าอี้เหมือนเป็นการโอบเธออยู่กลายๆ ขณะกวาดสายตามองมาด้วยดวงตายิ้มได้คู่นั้นก่อนจะเปิดรอยยิ้มใส่ตาเธอดึงดูดดวงวิญญาณไม่ให้ละสายตาไปไหนได้

"ผมกำลังสงสัย..." น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นยิ่งชวนหลงใหลขึ้นไปอีกเมื่อมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเพิ่มเข้ามาร่วมด้วย

"สงสัยว่า?" พรำพรรษถามพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวเหมือนอารมณ์ที่กำลังกระเจิดกระเจิงอยู่ในตอนนี้

"สงสัยว่าแอลกอฮอล์ปริมาณแค่ไหนถึงทำให้คุณกลายเป็นผู้หญิงสุดเซ็กซี่แบบเมื่อคืนนี้ได้" คนพูดหยิบปอยผมเธอขึ้นไปดอมดมจนชิดจมูก ด้วยกิริยาที่...ชวนให้ใจเต้นแรงแตกเตลิดเปิดเปิงเข้าไปใหญ่จนต้องรีบปัดมือเขาออก

"คุณเคยดื่มเยอะสุดมากแค่ไหน?" คนถามหยุดมือแต่ไม่หยุดสายตาที่สอดส่องจากมุมสูงมองทะลุสาบแหลมของคอเสื้อเชิร์ตซึ่งมันเป็นเสื้อผู้ชายตัวใหญ่เมื่อถูกสวมเข้ากับร่างเล็กบางทำให้คอกว้างมากบวกกับมุมสูงยิ่งทำให้การมองเห็นนั้นชัดเจนทะลุทะลวงจนเสื้อเชิร์ตเนื้อหนาแทบไม่สามารถปกปิดอะไรจากสายตาเขาได้

แต่คนที่สวมอยู่ทำได้ มือขาวบางขยุ้มสาบเสื้อเข้าหากันกุมไว้แน่นพร้อมตวัดสายตาขุ่นขวางปนรู้ทันมองเขาด้วยหน้าตาแดงก่ำ

ชายหนุ่มเบ้ปากแทบอยากพึมพำออกมาว่า 'ไม่น่ารักเลย'

...แต่นั่นก็ขัดกับความจริงไปสักหน่อย เพราะคนตรงหน้านั้น...แม้จะมีสายตาดุๆ ขุ่นขวางไปบ้างแต่แก้มที่แดงก่ำและประกายฉ่ำวาวของความเมามายในดวงตาที่กลับคืนมาอีกครั้งทำให้หญิงสาวตรงหน้านั้นดูน่ารักน่าใคร่น่าปรารถนาเป็นที่สุด

"ฉันไม่เคยดื่ม! เมื่อคืนเป็นครั้งแรก" คำตอบอย่างหัวเสียนั้นดูไร้ความเสแสร้งจนคนมองดูอยู่ต้องกะพริบตาปริบๆ พร้อมถาม

"คุณผ่านการเรียนมหาวิทยาลัยมาได้ยังไงโดยไม่เคยดื่ม?" คำถามนั้นอยากรู้จริงจัง

พ.ศ.นี้คิดว่าการได้เจอสาวพรหมจรรย์เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว นี่...นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่ดื่มเหล้า...ยังมีหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ได้อยู่อีกเหรอวะเนี่ย?

พรำพรรษเปิดรอยยิ้มกว้างขวางแต่รอยสนุกสนานนั้นไม่ส่งไปถึงนัยน์ตา ออกจะมีรอยหยันเยาะด้วยซ้ำยามเอ่ยเล่า

"เรื่องนี้ง่ายมาก...แค่คุณไม่มีเงินเลยสักบาท ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยการรับจ้างทำรายงานกับจัดตารางเพื่อแบ่งเวลาไปรับจ๊อบทำงานพิเศษอีกสี่ถึงหกที่ พร้อมๆ กับอ่านหนังสือของตัวเองไปด้วยกับต้องหาเวลานอนให้ได้วันละสักสามสี่ชั่วโมงแค่นี้คุณก็ไม่ว่างพอจะไปดื่มที่ไหนแล้ว เวลาคบเพื่อนยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ"

คนตัวสูงอิงสะโพกลงกับโต๊ะขณะสบสายตาหญิงสาวตรงหน้าอย่างค้นหา

"ฟังดูไม่เหมือนกับเป็นคนเดียวกันกับที่ทำเงินยี่สิบล้านได้ในพริบตาอย่างที่บอกเลย หลังจากเรียนจบคุณไปทำอะไรที่ไหนมา?" ความสามารถขนาดนี้ไม่น่าหลุดรอดสายตาไปได้เลย

"ทำงานไง ทุกคนที่ไม่มีมรดกพ่อแม่ไว้ให้กินใช้ได้ตลอดชีวิตก็ต้องทำงานป่าววะ?" พรำพรรษกอดอกบอกเขาด้วยน้ำเสียงยียวนเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยมาดที่รู้ตัวว่ากวนประสาทสุดๆ ซึ่งดูเหมือนเธอจะเมาจนลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เธอควรทำอะไรแบบนี้ด้วย

อาคเนย์มองจ้องนิ่งมาด้วยดวงตาดำจัดที่เป็นประกายประหลาด ประกายแวววาวที่หญิงสาวเริ่มคุ้นเคยกับการตีความหมายของมันแล้วว่าเขาจะหาทางทวงคืนเอาแบบที่เธอเสียเปรียบสุดๆ นั่นทำให้พรำพรรษผวาลุกจนสะดุดเก้าอี้หงายหลังเมื่อเขาขยับตัว

"เหวอ..." หญิงสาวซึ่งเสียหลักควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ร้องออกมาขณะกำลังหงายหลังอย่างไร้การควบคุม พรำพรรษหลับตาปี๋กำลังคิดว่าหกล้มหัวโหม่งพื้นแหงๆ แต่กลับไม่รู้สึกถึงการกระแทกสักนิด

นี่...อย่าบอกนะว่าเมาจนล้มหัวฟาดพื้นยังไม่รู้สึกเจ็บน่ะ!

หญิงสาวค่อยหรี่ตาขึ้นมาดูเมื่อเหลียวกลับไปมองพบว่าตัวเองยังห่างพื้นอยู่สักสองสามฟุตได้และเมื่อหันกลับมาก็พบว่ากำลังถูกกอดกระชับรับไว้ในอ้อมแขนของคนตัวโตที่คอยแต่คิดหาเศษหาเลยกับเธอได้ตลอดเวลา

หญิงสาวขึงตาใส่ดวงหน้าหล่อเหลาที่ลอยอยู่ใกล้หน้าโปรยรอยยิ้มยั่วเย้าใส่ตาเธอในระยะประชิด

"ปล่อย..." พรำพรรษกัดฟันสั่งคนที่โอบแขนรัดเธอไว้ทั้งตัวจนร่างสองร่างแนบชิดกันไปหมดทุกสัดส่วน

"ไม่มีคำขอบคุณบ้างเหรอที่ผมช่วยชีวิตคุณเอาไว้?" คนทวงบุญคุณทวงถามด้วยสีหน้าไร้ความละอายและความเป็นสุภาพบุรุษสิ้นดี

"เพราะคุณทำท่าจะกระโจนใส่ทำให้ฉันต้องถอยหนีจนหกล้ม ยังจะต้องสำนึกบุญคุณอยู่อีกเรอะ?"

ในเมื่อเขาไร้ความสุภาพบุรุษมาหญิงสาวก็สามารถยัดเยียดข้อหาคืนกลับได้อย่างไม่ยอมเสียเปรียบสักครึ่งคำ นี่ขนาดเมาๆ นะ อาคเนย์กลั้นหัวเราะเอื้อมมือหนึ่งไปหมุนเก้าอี้กลับมาขณะอีกแขนยังรัดร่างนั้นไว้ไม่ปล่อย

"งั้นคุณก็ต้องเรียนรู้แล้วล่ะว่า...ต่อไปห้ามขัดใจผม ผมอยากได้อะไรก็ต้องได้" อาคเนย์แนะนำ

โอย...ยังมีใครหน้าด้านหน้าทนกว่าผู้ชายเหลืออดคนนี้อีกไหม ตอนที่คิดว่าเขานั้นน่าเหลืออดสุดขีดแล้วอีตาผู้ชายหน้าหนายังอุตส่าห์สามารถอัพเลเวลตัวเองขึ้นไปอีกโดยการทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ...เก้าอี้ตัวที่เขาเพิ่งหมุนมันมานั่นแหละแถมยังเป็นการนั่งลงโดยไม่ยอมปล่อยมือจากร่างบอบบางในอ้อมแขนอีกต่างหากนั่นทำให้คนที่ยังถูกกอดรัดไว้แน่นหนาต้องพลอยนั่งตามเขาไปด้วยโดยหันหน้าเข้าหากันและคร่อมอยู่บนตัวเขาโดยมือใหญ่จัดการดึงเรียวขาของเธอคร่อมลงเสียดิบดีในท่า...

"นี่คุณ!" พรำพรรษแทบกรีดร้องออกมาเมื่อถูกบังคับให้นั่งตักเขาในท่วงท่าอนาจารซึ่งแม้ยังมีเสื้อผ้าอยู่แต่สำหรับเธอมันเป็นแค่เสื้อเชิร์ตหลวมๆ เพียงตัวเดียวซึ่งบอกตรงๆ ว่าให้ความรู้สึกแทบไม่ต่างกับเปลือยกายเลย

"อย่ามาทำกับฉันแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นนะ ฉันไม่ใช่..." หญิงสาวหันไปโดยรอบด้วยความอับอายที่เขาทำกับเธอราวกับเป็นผู้หญิงตามสถานเริงรมย์ที่จะลวนลามในที่สาธารณะต่อหน้าสายตาเป็นร้อยได้ตามใจ ซึ่งหญิงสาวมั่นใจว่าเธอต้องกำลังแสดงโชว์ต่อหน้าบริกรหลายชีวิตที่กำลังเดินเสิร์ฟอยู่แน่ แต่แล้วพรำพรรษกลับพบว่าในสวนริมสระน้ำนั้นเหลือเพียงแค่เขากับเธออยู่กันตามลำพังเท่านั้น

"ไม่มีใครเห็นหรอก ไม่ต้องห่วง ผมก็ไม่ยอมให้ใครเห็นคุณในสภาพนี้เหมือนกัน..." คนพูดเว้นวรรคก่อนรัดร่างบางแน่นเข้าหาพร้อมชะโงกตัวไปกระซิบริมหู

"ผมหวง จะเก็บไว้ดูคนเดียว"

พรำพรรษแทบกรีดร้องออกมาเมื่อคนพูดไม่พูดเปล่าแต่ยังป้วนเปี้ยนฝ่ามือร้อนๆ ไปทั่วแผ่นหลังก่อนจะคลึงเค้นหนักตรงสะโพกพร้อมกับขยับตัวเพื่อให้ร่างกายเสียดสีกันจนคนบนตักหน้าแดงขึ้นได้อีกหลายระดับ

"หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณ!" พรำพรรษเอื้อมมือไปหมายจะคว้ามือไร้ความละอายคู่นั้นไว้แต่กลับกลายเป็นว่าส่งมือตัวเองไปให้เขาล็อกไว้ด้านหลังเสียอย่างงั้น

"เรียกผมว่าอาคเนย์ อาร์คหรือพี่อาร์คก็ได้" เสียงนั้นงึมงำแทบจับความไม่ได้เพราะเจ้าตัวกำลังซุกหน้าลงกับสาบเสื้อเชิร์ตของหญิงสาวซึ่งความใหญ่ของเสื้อทำให้กระดุมเม็ดแรกมาอยู่ตรงกับพื้นที่ระหว่างก้อนเนื้อสองก้อนที่เบียดชนกันสร้างร่องลึกแนบชิดกันอย่างน่าค้นหาได้พอดิบพอดี พรำพรรษกัดฟันคิดว่าอย่างน้อยยังมีกระดุมติดไว้ แถมมือเขายังล็อกเธอไว้ไม่น่า...

"อาคเนย์!" เสียงเรียกเกือบเป็นกรีดร้องนั้นเพราะกระดุมเสื้อที่หญิงสาวคิดว่ามันพอจะช่วยปกปิดตัวเองไว้ได้ถูกคนบ้านี่ใช้ปากและฟันปลดมันออกมาอย่างง่ายดายเสียแล้ว

"ครับ" คนพูดเงยขึ้นขานรับด้วยดวงตาพราวระยับก่อนจะซุกหน้าลงใหม่คราวนี้ไม่มีสาบเสื้อมาเกะกะแล้วก้อนเนื้อนุ่มละมุนราวมาร์ชเมลโลว์จึงถูกเปิดเผยต่อผู้รุกรานเต็มๆ

"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!" ยิ่งห้ามยิ่งโมโหที่เสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

อาคเนย์เงยขึ้นจากทรวงอกเนียนละมุนนั้นแต่ไม่ได้หยุดเลยสักวินาทีลมหายใจและริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นเคลียไล่ขึ้นมาสู่ซอกคอละมุนแก้มและคางก็ไม่ได้รับการละเว้น

"บอกชื่อมาเร็วไม่งั้นผมยึดเสื้อคืนนะ" เสียงพึมพำริมหูนั้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนละลายขัดกับนัยยะที่ชั่วร้ายข่มขู่คุกคามอย่างสุดขั้ว

"ต่อให้บอกไป คุณก็ไม่หยุดอยู่ดีแล้วมันมีประโยชน์ตรงไหนกัน?" พรำพรรษพยายามตั้งสติเสียงแข็งเข้าใส่ ใช้ความ 'ไม่น่ารัก' ที่สะสมมีมาทั้งชีวิตเข้าต่อรองกับผู้ชายชั่วร้ายตรงหน้า

"มีสิ ผมอาจยอมให้คุณสวมมันคลุมไว้ไง ดึกแล้วอากาศเริ่มเย็นเดี๋ยวคุณจะหนาว" ฟังดูแล้วสุดแสนเป็นห่วงเป็นใย ถ้ามือชั่วร้ายนั้นจะไม่เอื้อมมาเริ่มต้นปลดกระดุมเสื้อเธอออก โดยพรำพรรษยังคงโดนเขาจับสองแขนล็อกไว้ด้านหลังด้วยมือใหญ่ๆ มือเดียวเท่านั้น ส่วนอีกมือหนึ่งเริ่มกอบกุมนุ่มเนื้อหากำไรจากการข่มขู่เธอ

"คุณ! ...อาคเนย์อย่าทำแบบนี้!" พรำพรรษกัดฟันข่มความรู้สึกเค้นเสียงออกมาใส่เขา แต่คนฟังเหมือนไม่รับรู้เขายังคงยิ้มด้วยดวงตาพราวระยับก่อนขยับแขนยกตัวเธอขึ้นเพื่อให้ได้ระดับพอดีกับที่ก้มหน้าลงไปหาพึมพำชิดสัดส่วนล่อตาล่อใจที่เขาหลงใหล

"บอกชื่อมาไม่งั้นผมจะเรียกคุณว่ามาร์ชเมลโลว์ ผิวคุณนุ่มยังกะขนมหวานแน่ะ แถมยังมีสตอรว์เบอร์รี่เล็กๆ สีชมพูอยู่ด้านบนด้วย" คนพูดไม่พูดเปล่าแต่ยังขบเม้มสัดส่วนที่ว่าจนคนถูกกระทำสะท้านผวาเยือกเมื่อสัมผัสถึงปลายลิ้นร้อนที่โอบล้อมดูดดึง เขาดูดดื่มกลืนกินเธอราวกับเป็นของหวานหลังอาหาร ขณะสัมผัสร้อนร้ายไม่หยุดแค่นั้นมืออีกข้างยังเค้นคลึงส่วนที่เหลือจนแทบไม่มีพื้นที่ตรงไหนหลุดสำรวจ

"ถะ...ถ้าบะ ...บอกแล้วคุณจะหยุดไหม?" พรำพรรษกลั้นใจถามเมื่อมือเขาเริ่มเลื่อนลงไปใกล้พื้นที่อันตราย

อาคเนย์เงยหน้าขึ้นจากผิวสัมผัสที่เขารู้สึกว่าเริ่มหลงรักความเนียนนุ่มที่ชวนหลงใหลนั้น ดวงตาดำจัดที่ทอประกายวาวจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างใช้ความคิด

"คุณอยากหยุด?"

เป็นคำถามที่ตอบยากมาก โดยหลักความถูกต้องแล้วมันสมควรหยุด แต่ถ้าถามเรื่องอารมณ์แล้ว...มันเกือบๆ จะไม่อยากให้หยุด และจากที่อ่านจากสายตาเขาคำตอบที่ถ้าไม่อยากเดือดร้อนนั้นไม่ควรเป็นคำว่าหยุด

"ใช่" แม้จะรู้ว่ามันเป็นคำตอบที่จะเรียกประกายตาเกรี้ยวกราดจากคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี แต่ยังไงๆ พรำพรรษก็ต้องเลือกศักดิ์ศรีอันแทบไม่มีเหลือของตัวเองเอาไว้

"งั้นก็บอกมา" อาคเนย์เริ่มต้นเหมือนจะดีถ้ามือร้อนๆ ของเขาไม่เลื้อยเข้าไปใต้ชายเสื้อเชิร์ตที่ปิดร่างเปลือยเปล่าไว้อย่างหมิ่นเหม่นั้น "ชื่อ...ชื่อเล่น...นามสกุล" พร้อมกับที่บอกดวงหน้านั้นก็ซุกไซ้เข้าหาทรวงอกนุ่มที่เขาเรียกว่ามาร์ชเมลโลว์พร้อมทั้งรุกรานหนักหน่วงด้วยสัมผัสร้อนร้าย

"อยะ ...ฮื้อ...อึก...อื้อ" เสียงห้ามปรามถูกหยุดด้วยริมฝีปากร้อนรุ่มสอดแทรกปลายลิ้นเข้าหาจู่โจมด้วยจูบที่แทบทำให้ละลาย แถมมือเขา...มือเขายังควานไปในสาบเสื้อที่คลุมขาอ่อนของหญิงสาวเอาไว้ก่อนควานลึกเข้าไปและเริ่มต้นการทรมานอันแสนหวานด้วยการบดขยี้ปลายนิ้วรัวเร็วอย่างไร้ปรานี

ยิ่งพรำพรรษพยายามขยับตัวเหมือนจะเลี่ยงหนีเขายิ่งเพิ่มความร้ายกาจด้วยการเสียดนิ้วแทรกลึกเข้าไปอีก...เอวเล็กบางถูกล็อกไว้ในอ้อมแขนแกร่ง ยิ่งเธอพยายามขัดขืนเขายิ่ง...ยิ่ง

หญิงสาวทำได้เพียงซบลงตรงไหล่กว้างปล่อยให้เขารุกรานหนักขึ้นๆ ทุกทีด้วยร่างสั่นเทาสองแขนที่เป็นอิสระแล้วแต่ไม่อาจปัดป้องหรือดิ้นหนีได้เลย ได้แต่จิกเล็บลงบนแขนเขากุมแน่นไว้เพื่อระบายความร้อนรุ่มทรมานที่ไร้ทางออกนี้ ร่างกายเหมือนโดนควบคุมโดยสิ้นเชิงด้วยแรงพิศวาสที่เขาปรนเปรอให้ เขาไม่ถามชื่ออีกต่อไปแล้วเมื่อบดจูบร้อนแรงจนเรียวปากที่ถูกเขาจูบแล้วจูบอีกจนช้ำไปหมดขณะที่ปลุกเร้าจนแน่ใจว่าร่างกายหญิงสาวพร้อมต่อการรุกรานขั้นถัดไป

พรำพรรษรู้สึกตัวเองกลายเป็นเยลลี่เหลวๆ ไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนเมื่อเขาช้อนร่างเธอยกขึ้นก่อนผ่อนลงบนความผ่าวร้อนแข็งขึงที่เสียดแทรกเข้ามา สัมผัสที่คับแน่นจนเกือบจะอึดอัดทรมานแต่ก็กลับหวานแหลมเสียดลึกจนไม่อาจหลีกหนีห้ามปรามได้ แม้เมื่อเขากดตรึงเธอลงมาหาพร้อมโผนพุ่งขึ้นสุดทางจนร่างบางสะท้านเยือก

"อื้อ" เสียงครางประท้วงนั้นได้รับจูบปลอบขวัญพร้อมเสียงพึมพำขอโทษที่ห้ามใจไม่อยู่ แต่ก็ไม่ได้หยุดการขยับเคลื่อนที่ทำให้ทั้งสองร่างเสียดสีผนึกแน่นลึกยิ่งกว่าเดิมขึ้นทุกที

ความพิศวาสรัดรึงขมวดเกลียวหญิงสาวและชายหนุ่มเข้าสู่อ้อมแขนกันและกันลึกซึ้งขึ้นทุกครั้งที่เสียดสีแนบแน่นขึ้นทุกการหอบหายใจและจุมพิตเปี่ยมความหมายที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนรู้สึกลึกซึ้งดื่มด่ำ

พรำพรรษรู้สึกถึงการแตกระเบิดของห้วงจักรวาลมีดาวเป็นล้านๆ ดวงแตกพราวระยิบฟ้าและเมื่อกะพริบตาอีกหลายครั้งดวงดาวเหล่านั้นก็ยังไม่หายไปไหน หญิงสาวจึงค่อยรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังอยู่บนโต๊ะอาหารที่กินข้าวเย็นกับอาคเนย์เมื่อตอนหัวค่ำ แก้วและจานชามถูกเก็บไปหมดสิ้นแล้วเหลือแค่โต๊ะที่มีร่างเกือบเปลือยของเธอกับผู้ชายที่ชั่วร้ายที่สุดในจักรวาลซึ่งกำลังเบียดบดร่างกายแข็งแกร่งกระทั้นลึกจนหญิงสาวโยกไหวไปทั้งตัวและหัวใจที่กำลังระรัวสั่นไหวเมื่อถูกชักพาไปแตะขอบฟ้าด้วยกันกับเขาอีกครั้ง

พรำพรรษคิดว่า...คงเป็นเพราะความเมามายที่นอกจากจะทำให้ร่างกายเธอปวกเปียกคล้ายเยลลี่เหลวๆ แล้ว...หัวใจเธอก็คล้ายละลายแหลกปนกันเมื่อสบสายตายิ้มได้คู่นั้นอีกรอบ จุมพิตพรมแผ่วหวานเต็มไปด้วยภาษากายที่คล้ายคำบอกรัก

กว่าหญิงสาวจะรู้สึกตัวว่าตัวเองเปล่าเปลือยและถูกร่วมรักใต้ท้องฟ้าพร่างดาวบนยอดตึกสูง บนโต๊ะอาหาร! แถมก่อนหน้านี้ยังมีบนเก้าอี้ด้วย!

มือที่ถูกยกขึ้นปิดหน้าเพื่อบดบังความอับอายถูกดึงออกโดยคนที่ชะโงกตัวมาบดบังแสงดาวซึ่งมีดวงตาพราวระยับดุจมีดวงดาวอยู่ในนั้น เขายิ้มใส่ตาใส่ดวงหน้าที่แดงซ่านของหญิงสาวซึ่งทอดกายเปลือยเปล่าอย่างลืมตัวอยู่ใต้ร่าง ดึงมือเล็กนั้นมาจูบหนักๆ ก่อนรั้งร่างบางขึ้นมาอย่างละมุนละม่อมคลี่เสื้อเชิร์ตที่เขาปลดออกเหวี่ยงทิ้งไปเมื่อครู่มาคลุมไหล่บางให้อย่างเอาอกเอาใจก่อนช้อนอุ้มร่างปวกเปียกนั้นขึ้นมาก้าวยาวๆ ผ่านสวนลอยฟ้าสู่ประตูกระจก

"เราจะไปไหนกัน?" หญิงสาวที่ยังไม่สร่างจากเมามายทั้งจากเครื่องดื่มดีกรีแรงและจากฤทธิ์พิศวาสพึมพำถามน้ำเสียงมึนงงโดยไม่รู้ตัวว่ามันเป็นคำถามเดียวกันกับเมื่อคืนนี้ แทบจะจุดเดียวกันเลยด้วยซ้ำเมื่อตอนที่ชายหนุ่มอุ้มเธอขึ้นมาจากการจมน้ำในสระ

อาคเนย์อมยิ้มขณะเปิดประตูอย่างคล่องขึ้นไม่ทุลักทุเลเหมือนเมื่อคืน เขาก้มลงยิ้มใส่ดวงตาฉ่ำปรือคู่สวยที่ติดตรึงใจไม่คลาย

"หาห้องนอนให้คุณ ไม่มีบ้านให้กลับไม่ใช่หรือ?" คำตอบเดียวกันหากแต่คืนนี้เต็มไปด้วยจุมพิตพรายพร่างไปทั่วหน้าก่อนเดินดิ่งไปที่เตียงอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

และถัดมา...มันเกินกว่าคำว่า 'หาห้องนอนให้คุณ' ไปไกล...

ไกลมากๆ!

 

นี่มัน...เตียงนอนไม่ได้นอน!

เป็นผลิตภัณฑ์ที่แข่งกับชุดนอนไม่ได้นอนได้เลยเพราะเตียงของอาคเนย์เป็นอย่างนั้น

...หรือถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ คือ เพื่อนร่วมเตียงที่ทำให้ไม่ได้นอนมากกว่า

"นี่...ระงับอกระงับใจสักสี่ห้าชั่วโมง ขอฉันนอนหน่อยเถอะ...นะ" พรำพรรษพึมพำขณะซุกหน้ากับอกกว้างหนีจากจูบร้อนๆ ที่ระรานไม่เลิกมาครึ่งค่อนคืนเข้าไปแล้ว

"จูบหวานๆ กู๊ดไนท์คิสก่อน" คนไม่ยอมนอนพรมจูบลงบนผมนุ่มๆ ที่ซุกหนีอยู่กับอกเขา

"จูบจนปากเปื่อยแล้ว...พอ" หญิงสาวพึมพำเสียงแผ่วก่อนตวัดแขนรัดรอบบ่ากว้างไว้ซุกหน้าลงแนบอกเขาอย่างจะไม่ยอมถูกงัดออกจากท่านั้นเรียกเสียงฮึดฮัดขัดใจจากคนร่วมเตียงที่ยังตื่นอยู่ มือใหญ่แตะต้องลูบไล้ผิวละมุนที่เขาติดใจอยู่ไม่สร่างแม้คนในวงแขนจะหายใจลึกยาวเหมือนจะหลับไปแล้ว

อาคเนย์ขยับตัวเพื่อดันร่างน้อยออกจากที่ซุกแน่นอยู่แนบอกงัดดวงหน้าเล็กๆ ที่มุดหนีนั้นขึ้นมาจรดจูบเบาๆ ที่หน้าผากก่อนจะอดใจไม่ไหวเลยเถิดมาที่พวงแก้มระเรื่อยมาถึงซอกคอ

"ฮื้อ...จะนอน" คนดุน้ำเสียงงัวเงียและดูเหมือนจะพยายามทำทุกทางที่จะหยุดยั้งเขาเอาไว้โดยการรัดแขนรอบคอเขาไว้แน่นหนาจนดวงหน้านั้นแนบนิ่งอยู่ตรงทรวงอกอิ่ม อาคเนย์ไม่เดือดร้อนเขาซุกไซ้ความนุ่มนวลนั้นอย่างถูกอกถูกใจอดพึมพำออกมาไม่ได้

"นุ่มจังเลย ทำไมตัวคุณถึงทั้งนุ่มทั้งหอมขนาดนี้ คุณใช้ครีมอะไร...หืม?" คนพูดเลื่อนตัวขึ้นมาทวงถามจูบแผ่วที่ขมับ คนจวนหลับที่ถูกรบกวนถอนใจก่อนพึมพำตอบไปโดยไม่รู้ตัว

"สปาของคอร์สเจ้าสาวน่ะ"

คำตอบนั้นทั้งแผ่วหวิวทั้งงัวเงียเกือบจับใจความไม่ได้ แต่คนฟังที่อยู่ใกล้จนแทบหายใจรดกันได้ยินชัดเต็มหู ชายหนุ่มตัวแข็งชะงักนิ่งไปนานก่อนจะหันมาเขย่าไหล่บอบบางของคนข้างตัว

"เมื่อกี้ว่าอะไรนะ! คุณ! ตื่น! ตื่นขึ้นมาก่อน คุณ! ..." เรียกเท่าไหร่คนที่เมางัวเงียก็ไม่ยอมรู้สึกตัว ดูเหมือนค็อกเทลสารพัดสีที่เขาหลอกให้เธอดื่มไปเมื่อหัวค่ำจะทำหน้าที่มอมให้เธอหลับใหลไม่ได้สติไปเสียแล้ว

...แถม...เขายังไม่รู้จะเรียกเธอว่าอะไรด้วยซ้ำ!

หากแต่สำคัญกว่านั้นคือ...ถ้อยคำบาดหูที่ได้ยินเมื่อครู่

มันอะไรยังไง!?

เขามองดวงหน้าเล็กๆ ที่แนบใกล้รู้ดีถึงความดื้อดึงและร้ายกาจที่หากไม่ยอมพูดแล้วไม่ว่าทำยังไงคนปากแข็งแบบเธอก็ไม่ยอมตอบคำถามแน่

เหลือเพียงการคาดเดาที่น่าหงุดหงิด

การคาดเดาที่ไม่ต้องเดาก็ตอบตัวเองได้

คนธรรมดาที่ไหนจะไปเข้าสปาคอร์สเจ้าสาว?

นอกจากว่าเธอกำลังจะ...

ฮึ่ม! ความหงุดหงิดยิ่งทบทวีเมื่อคิดว่าผิวขาวๆ เนียนละมุนนี้เธอบรรจงบำรุงให้เนียนนุ่มไว้เพื่อรอให้ใครบางคนชื่นชม แถมยังอุตส่าห์รักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องเอาไว้รอคนคนนั้นอีกด้วย!

คนที่ไม่ใช่เขา!

อาคเนย์สะดุ้งในใจเมื่อรู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นเกินเหตุของตัวเอง เขาเป็นอะไรไป? ปกติเขาเป็นคนใจเย็นควบคุมอารมณ์ได้เสมอ ทำไม...

มือใหญ่เลื่อนขึ้นเกลี่ยแผ่วเบาที่ริมฝีปากเห่อช้ำซึ่งเขาจับจองเป็นเจ้าของมาตลอดคืน เธอจะยอมให้ใครบางคนคนนั้นจุมพิตริมฝีปากนี้? ริมฝีปากที่เขาแน่ใจว่าหมอนั่นยังไม่เคยได้สัมผัส ไม่อย่างงั้นจะยังคงความไร้เดียงสากล้าๆ กลัวๆ แบบคนที่จูบยังไม่เป็นเลยเสียด้วยซ้ำอยู่ได้ยังไง

เขาเกลี่ยบนแก้มใสที่อาจกำลังจะกลายเป็นของคนอื่น ผิวผ่องที่มีรอยประทับที่เขาจับจองเป็นเจ้าของเป็นคนแรก!

อ้อมแขนที่ใหญ่โตกว่าอีกฝ่ายเกือบครึ่งรัดร่างนั้นเข้าหาดุจจะให้กลืนหายไปในอ้อมอกตัวเอง

เธอเป็นของเขา!

ไม่ว่าเธอจะเก็บอะไรไว้ให้ใครแต่เขาได้ช่วงชิงมันมาเป็นของตัวเองแล้ว!

แม้ว่า...เขาสูดลมหายใจลึก กล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่างลงไปขณะจ้องมองดวงหน้าที่หลับใหลในอ้อมแขนราวกระหายไม่อิ่มไม่พอในการจ้องมองเธอ

ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอก็ไม่ได้ถึงกับเลวร้าย นอกจากตอนที่แกล้งให้เธอโมโหแล้ว ตอนอยู่บนเตียงด้วยกันมันดีมากๆ เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องห่วงเรื่องความเคมีเข้ากันของทั้งคู่เพราะร่างกายของกันและกันสามารถปลุกอีกฝ่ายให้ลุกเป็นไฟได้ไม่ยากเย็น

เธอไม่ได้เสียดายหรือเสียใจที่เสียความบริสุทธิ์ให้เขา นั่นเรื่องหนึ่ง

แต่...การที่เธอไม่ยอมบอกชื่อ

การที่เธอทำท่าพร้อมจะกระโจนหนีจากเขาไปตลอดเวลา

นั่นหมายความว่า...

เธอยังอยากจะกลับไปสานต่องานวิวาห์กับไอ้หมอนั่นไม่ใช่หรือไง?

ความคิดต่างๆ สับสนวุ่นวายตีกันอยู่ในหัวชายหนุ่ม

สุดท้าย 'เตียงนอนไม่ได้นอน' ก็มีคนที่ไม่ได้นอนจนถึงเช้าจริงๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น