6

บทที่ 6


ยังอยู่ที่เดิม...

หญิงสาวบอกกับตัวเองเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพบกับฟากฟ้าสีสดเต็มตาจากบานหน้าต่างมหึมาที่เริ่มคุ้นชิน พรำพรรษมองมันอย่างอาลัยอาวรณ์นิดหน่อยเพราะรู้ตัวว่าอีกไม่นาน ...น่าจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว

...ถ้าเธอหาวิธีหนีจากอาคเนย์ได้สำเร็จนะ

หญิงสาวหย่อนขาลงจากเตียงกว้างพลางมองไปรอบตัว มีชุดคลุมวางไว้ใกล้ๆ เหมือนอำนวยความสะดวกไว้ให้หยิบใช้ได้ทันทีที่ตื่น มือขาวเอื้อมหยิบชุดคลุมเนื้อละเอียดนั้นมาสวม ชุดที่...แม้ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่แต่ต้องนับว่าเป็นชุดแรกในรอบสองวัน

...อืม...หมอนั่นพัฒนาขึ้นแฮะ

คิดอย่างอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อยขณะสวมรองเท้าแตะสำหรับสวมในบ้านคู่เล็กพอดีเท้าซึ่งถูกเตรียมไว้ให้เช่นกัน กวาดสายตาอีกรอบจึงเห็นว่าที่ริมสระน้ำมีโต๊ะอาหารที่เหมือนมีการจัดอาหารรอไว้

คนฉลาดย่อมไม่เล่นตัว

...โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกสูบพลังครั้งแล้วครั้งอีกจนร่างแทบแหลกขนาดนี้

พรำพรรษเปิดประตูกระจกออก น่าจะเป็นช่วงเวลาตอนสายอากาศบนยอดตึกสูงลมพัดกำลังสบาย แต่อาหารยังอุ่นอยู่ราวกับถูกคาดคำนวณเวลาไว้ด้วยความใส่ใจ คนคิดเบ้ปากกับความคิดนั้น ผู้ชายบาร์บาเรี่ยน ชอบใช้กำลัง ขยันข่มขู่แถมยังเจ้าเล่ห์และร้ายกาจไร้ศีลธรรมคนนั้นน่ะนะ รู้จักใส่ใจคนอื่น

หญิงสาวถอนหายใจ...ถ้า...

...ถ้าภาสกรฉลาดได้สักหนึ่งในสามของผู้ชายคนนี้เธอคงยินยอมพร้อมใจในการแต่งงานมากกว่านี้...

ว่าแต่...ไปเอาสองคนนี้มาเทียบกันทำไมวะยัยพลัม?

คนคิดหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ก็เลื่อนเก้าอี้ออกก่อนนั่งลงจัดการอเมริกันเบรคฟาสต์มื้อนั้นจนเกลี้ยง ลังเลนิดหน่อยเพราะโดยมารยาทสังคมแล้วการไปกินข้าวบ้านคนอื่นมันควรช่วยเขาเก็บล้าง แต่...หมอนั่นก็มีคนทำให้นี่นา

...ลืมไปว่า 'อาศัย' อยู่กับมหาเศรษฐี!

คนคิดยิ้มหยันขณะรวบช้อนส้อมเช็ดปากและเลื่อนเก้าอี้ออกกวาดตามองรายรอบอย่างใช้ความคิด ลัดเลาะผ่านสวนที่ตกแต่งเป็นการแบ่งสัดส่วนบดบังสายตาเพื่อให้ส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำนั้นคงความเป็นส่วนตัวจากสายตาจากคนภายนอก ด้านหนึ่งนั้นเป็นราวระเบียงกระจกใสที่ไร้กันสาดซึ่งเปิดเปลือยมุมดิ่งจากยอดตึกที่สูงมากจนคนที่ไม่ได้กลัวความสูงอย่างเธอยังรู้สึกหวิวๆ เมื่อมองลงไป

การกระโดดลงไปไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี...และไม่น่าจะเป็นทางออกเดียวหรอกที่จะออกจากที่นี่ได้

หญิงสาวเดินกลับมาคราวนี้ความทรงจำรางเลือนพามาถึงประตูกระจกที่เชื่อมบริเวณสวนกับห้องโถงที่จัดงานเมื่อสองคืนก่อน ประตูกระจก...ที่น่าจะนิรภัยในกรอบไม้สีขาวแบ่งช่องชั้นกึ่งคลาสสิกกึ่งโมเดิร์นเรียงยาวตลอดแนวระเบียง...ที่หลังจากเขย่าประตูอย่างหัวเสียไปรอบหนึ่งลองเดินหมุนลูกบิดดูทุกบานเพื่อพบว่ามันล็อกไว้แน่นหนาดุจกลัวเชลยหนีไปได้

หนอย...ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!

หญิงสาวถอยออกมา ระงับอกระงับใจไม่ให้พุ่งตัวกระโดดถีบใส่บานประตูสีขาวนั้น ซึ่งนอกจากจะเป็นกิริยาที่ไม่งามแล้ว ไอ้ประตูนิรภัยนี้น่าจะไม่สะดุ้งสะเทือนซึ่งหมายถึงเธอจะเจ็บเท้าเปล่าๆ

...นอกจากโมโหแล้วยังจะเจ็บตัวเพิ่มอีก!

หญิงสาวกัดฟันเตือนตัวเองขณะส่งสายตาอาฆาตใส่บานประตูก่อนจะหันกลับเดินไปสำรวจหาทางหนีทีไล่ถัดไป

ฮึ่ม!

ถ้าฉันหาทางออกจากที่นี่ไปไม่ได้ ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพรำพรรษ!

บริเวณห้องนอนนั้นแม้จะติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้แต่ไม่ได้ส่องไปที่เตียงตรงๆ ทำให้คนที่เปิดดูกล้องวงจรปิดจนครบทุกตัวแต่ไม่พบคนที่ต้องการมองหาคิดว่าเธอน่าจะอยู่บนเตียงในจุดอับสายตาของกล้อง แต่เมื่อเขาเดินเข้ามากลับไม่พบตัวหญิงสาวอยู่ในห้องนอน

อาคเนย์ขมวดคิ้วมองเตียงว่างเปล่านั้นก่อนก้าวยาวๆ ออกไปที่สวน เป็นครั้งแรกที่นึกรำคาญความกว้างใหญ่และซับซ้อนของการออกแบบที่ทำให้เกิดมุมอับสายตามากมายจนต้องเดินค้นหาไปจนทั่วเพื่อพบว่าไม่มีหญิงสาวอยู่ที่นอกอาคาร เขาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเดินวนสำรวจจนทั่วบริเวณนั้นและไม่พบเงาของหญิงสาวที่เขามั่นใจว่าขังไว้แน่นหนาแล้ว

...ทางออกเดียวคือระเบียง...ทางอากาศ

มั่นใจว่าเธอฉลาดพอที่จะไม่เลือกการกระโดดหนีเขาไปจากบนตึกที่สูงติดอันดับประเทศ...แต่เพื่อให้แน่ใจยิ่งขึ้น ...บางทีเขาอาจเรียกช่างมาทำกระจกปิดตายบริเวณระเบียงไม่ให้มีทางออกไปได้

อาคเนย์ร้อนใจจนเกือบเรียกหาทีมบอดีการ์ดให้เข้ามาช่วยค้นแล้ว โชคยังดีที่ระหว่างเดินตามหาเขากวาดสายตาไปจนพบเธออยู่ที่มุมหนึ่งของห้องหนังสือ

...ในห้องหนังสือมีกล้องวงจรปิดอยู่สามตัวซึ่งเขาแน่ใจว่ามองไม่เห็นใครอยู่ในนี้...ชายหนุ่มเหลือบมองไปที่จุดติดตั้งกล้องวงจรปิดซึ่งอยู่สูงเกินกว่าที่หญิงสาวตัวเล็กจะเอื้อมเพื่อหมุนบิดเบนมุมกล้องถึง

เลื่อนสายตากลับมามองภาพจากกล้องวงจรปิดที่แสดงอยู่ในโทรศัพท์มือถืออีกครั้งภายในห้องสมุดไม่มีกล้องตัวไหนจับภาพเธอไว้ได้จริงๆ

ภายในห้องมีโซฟาและอาร์มแชร์ซึ่งอยู่ในมุมกล้องมากมายหลายตัวแต่ดูเหมือนถ้าไม่บังเอิญ...หญิงสาวก็ต้องสำรวจรู้มุมกล้องจนรู้ว่าต้องไปนั่งอยู่ซอกมุมไหนถึงจะหลุดพ้นจากเลนส์กล้องไปได้

ร่างบางๆ นั้นยึดมุมหนึ่งไว้นอนเอกเขนกท่ามกลางกองหมอนที่เหมือนกวาดเอาหมอนอิงทุกใบมารวมไว้เป็นวิมานหมอนส่วนตัว ข้างๆ มีถ้วยกาแฟซึ่งดูเหมือนว่าจะใช้เครื่องชงกาแฟในครัวชงเอกเปรสโซ่ดื่มอย่างอิ่มเอมไปเรียบร้อยแล้ว

เธออยู่ในชุดที่เขาเตรียมไว้ให้ ชุดคลุมไหมแบบกิโมโนผูกสายรัดเอวไว้หลวมๆ ซึ่งแหวกออกนิดๆ โชว์เรียวขาเนียนบนพื้นพรมของร่างที่เอนอิงอย่างสบายใจอยู่บนกองหมอน รองเท้าแตะสวมอยู่บ้านคู่เล็กหลุดออกจากเท้าข้างหนึ่งเผยให้เห็นเท้าขาวเปล่าเปลือยสะอาดตา

เขากวาดสายตาอย่างอดฉงนไม่ได้เพราะรอบตัวเธอกองเต็มไปด้วยหนังสือ...หนังสือของเขา

หนังสือที่อาคเนย์สะสมไว้เต็มห้องสมุดนั้นเต็มไปด้วยหนังสือหายากตำราทางเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงที่เนื้อหาเข้มข้นและไม่น่าจะมีผู้หญิงคนไหนแตะต้องมันได้แต่รอบตัวหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยหนังสืออ่านยากพวกนั้น บางเล่มถูกเปิดค้างไว้เหมือนกำลังหาข้อมูลอ้างอิงเพื่อทำรายงานการวิจัยอะไรสักอย่าง เล่มที่อยู่ในมือเธอนั้นเหมือนถูกอ่านไปแล้วราวร้อยกว่าหน้า...

ผู้หญิงคนนี้อ่านหนังสือพวกนี้จริงๆ หรือเพียงแค่การแสดงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขากันนะ?

เขาอดกังขาไม่ได้แต่ก็พบว่าดูเหมือนเขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเรียกร้องความสนใจจากเธอ เพราะคนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ดูจะดื่มด่ำกับตำราวิชาการเล่มนั้นจนไม่รู้ว่าเขามา แถมมือบางยังเอื้อมควานหาโดยไม่ยอมละสายตาจากบรรทัดที่อ่านอยู่ แต่ยังจะคว้าเอาหนังสืออ้างอิงอีกเล่มหนึ่งทำท่าจะเอามาอ่านให้ละเอียด

...นี่กะจะทำวิทยานิพนธ์เลยใช่ไหม?

อาคเนย์เลยช่วย... ด้วยการ...ดึงมันออกห่างจากมือที่กำลังไขว่คว้าอยู่นั้นจนเจ้าตัวต้องเงยขึ้นมองด้วยสายตาขุ่นขวางที่โดนขัดจังหวะการอ่านหนังสือโดยคนที่หายไปตลอดช่วงเช้าซึ่งเข้าใจว่าคงไปเคลียร์งาน... ก็แหงล่ะนี่มันเช้าวันจันทร์เปิดงานที่น่าจะมีเรื่องยุ่งๆ ให้สะสางไม่น้อย

...หนอย...นายมีงานต้องไปทำอยู่คนเดียวรึไงยะ!?

ความคิดนั้นทำให้พรำพรรษยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่เมื่อสบสายตาที่จ้องนิ่งมองมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

"ที่นั่งมีตั้งเยอะแยะคุณมานั่งเล่นอะไรที่พื้น?" เขาถามหยั่งเชิงและคนฟังก็รู้ สายตาคมๆ ตวัดค้อนก่อนกวาดมองไปที่กล้องสามตัวในห้องเบ้ปากให้อุปกรณ์สอดส่องนั้นก่อนกลับมามองสบตาเขาตอบด้วยน้ำเสียงยียวน

"ฉันชอบพื้นอะ มีอะไรมะ?"

อาคเนย์ทรุดลงใกล้ๆ มองด้วยสายตามีรอยยิ้มใส่คนตรงหน้าก่อนกวนประสาทกลับ

"ผมยังไม่เคยที่พื้นเหมือนกัน มันอาจดีก็ได้ แถม...ยังเป็นมุมอับของกล้องด้วย ใครๆ ก็มองเราไม่เห็น" คนพูดชะโงกตัวเข้าไปหาคนที่หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันตาเมื่อตีความคำพูดนั้นออกได้ในที่สุด

"หยุดนะ! ตาบ้า! ฉันไม่ได้หมายถึง...เรื่องนั้น"

หญิงสาวรีบยกหนังสือเล่มหนาหนักขึ้นกั้นไว้ รีบพูดรัวเร็วก่อนจะโดนรวบตัวเข้าไปแล้วคงไม่ได้มีโอกาสพูดคุยเจรจาต่อรองอีกแน่

"ฉันชื่อพลัม"

คำพูดนั้นหยุดชะงักเขาได้เป็นอย่างดี อาคเนย์กวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตานิ่งลึกและเหมือนรอคอยคำพูดต่อไป

"ฉันจะย้ายมาอยู่กับคุณที่นี่ก็ได้ แต่เรามีเรื่องต้องตกลงกัน" หญิงสาวกลั้นใจพูดมันซะให้จบๆ ไป เหงื่อตกเล็กน้อยยามสบสายตาที่มองมาเหมือนจะให้ทะลุทะลวงทุกเซลล์สมองอย่างลึกซึ้งนั้น ...สายตาที่เหมือนรู้ทันไปหมดนั่นทำไมมันถึงดูไม่น่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้

"ข้อแรก ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบ... แบบ...เอ่อ...แบบทั่วไป เอาเป็นว่าฉันไม่ชินที่จะทำอะไรแบบนี้นะ ดังนั้นเราต้องมีเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนไว้ก่อนโอเคมั้ย?" เห็นเขาไม่คัดค้านอะไรพรำพรรษจึงพยักหน้าให้ตัวเองอย่างพึงพอใจว่าเริ่มได้ดี คนฟังนิ่งไปเลย...ถึงจะนิ่งไปแบบแปลกๆ ก็เหอะ

"ฉันจะย้ายมาที่นี่ชั่วคราว ซึ่งคุณก็คงไม่ต้องการใครถาวร ดังนั้นเมื่อถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปไม่ติดค้างอะไรกัน โอเคนะ" คนพูดเมื่อเริ่มแล้วก็เหมือนลืมตัวร่ายยาวสิ่งที่ต้องการเหมือนที่เคยต้องออกคำสั่งเป็นการเป็นงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

"ระหว่างเราเป็นเรื่องส่วนตัวดังนั้นห้ามก้าวก่ายเรื่องงาน ฉันจะไม่ไปแตะต้องงานของคุณ ส่วนคุณก็ต้องให้เวลาฉันเคลียร์งานแล้วเราค่อยเจอกันหลังเลิกงาน โอเคปะ?" คนพูดลงทุนเอียงคอยิ้มหวานให้ หวังในใจว่าเขาจะไม่ถามถึงเวลางานของเธอ ซึ่งแน่นอนว่า...วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง อาทิตย์ละเจ็ดวัน!

อาคเนย์หลุบสายตาลงมีรอยยิ้มบางๆ ที่เหมือนไม่ใช่รอยยิ้ม ...เหมือนเป็นครั้งแรกที่เขายิ้มแบบนี้ พรำพรรษสะกิดใจแบบแปลกๆ แต่ก่อนที่จะได้ทันคิดอื่นใดเพิ่มเติมเขาก็ชิงตอบก่อน

"ตกลง"

ง่ายไป! สำนึกแรกกระแทกใจอย่างแรง หากแต่เมื่อดวงหน้าหล่อเหลานั้นเงยขึ้นยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะให้หญิงสาวทำอย่างไรได้นอกจากยิ้มตอบรับความง่ายดายที่เหนือการคาดเดานั้น วางมือลงไปในมือใหญ่ที่เอื้อมมารอทั้งเพื่อจับมือตกลงและช่วยดึงเธอลุกยืนขึ้นจากกองหมอนและต้องรีบบอกเมื่อเธอทำท่าเหลียวมองเหมือนอยากจะก้มลงไปเก็บหนังสือที่พื้นขึ้นมา

"ไม่ต้องเก็บหรอกกองไว้นี่แหละ เดี๋ยวมีคนมาจัดการเอง"

พรำพรรษหันไปมองกองหนังสือที่ยังอ่านค้างด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์นิดหน่อยเพราะรู้ว่าคงไม่ได้กลับมาอ่านอีกแล้ว แต่ก็มองไม่ได้นานนักเพราะโดนฉุดมือด้วยแรงที่ไม่เบาเลยให้เดินตามเจ้าของบ้านออกจากตรงนั้นมา

หญิงสาวหันกลับมาให้ความสนใจมือในมือ...เพิ่งรู้สึกตัวว่ามือตัวเองถูกกุมแน่นสอดประสานนิ้วมือกับมือเขา...เหมือนเป็นท่าบังคับไปแล้ว ขณะคนบ้าอำนาจก้าวนำลิ่วทะลุห้องนอนไปสู่ห้องแต่งตัวซึ่งมีถุงเสื้อผ้าหลากสีของร้านค้าแบรนด์เนมชั้นนำที่ราคาแพงหูฉี่วางกองรอไว้ แต่เขากลับหยุดยั้งไว้แค่ที่หน้าประตูห้องใช้ร่างอันใหญ่โตยืนขวางไว้ขณะก้มมองคนตัวเล็กกว่าที่เบือนสายตากลับมามองด้วยแววฉงน ดวงตาดำจัดจ้องนิ่งมองมาจนคนถูกมองชักใจไม่ดี

"คุณจะกลับมาใช่ไหม?"

คำถามเล่นเอาสะดุ้งในใจ พรำพรรษจ้องหน้าเขากลับไปพร้อมพยายามใช้ความคิดว่าเขาคิดอะไรอยู่ ท่าทางเขาเหมือน... รู้อะไรบางอย่าง

แต่...เขาไม่น่ารู้ ...ไม่ควรรู้

พรำพรรษมั่นใจว่าตัวเองตัวเปล่าไร้เอกสารไร้หลักฐานอะไรให้เขาหาข้อมูลได้เพราะของทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าคลัตช์ใบเล็กที่ถือมาซึ่งเธอฝากไว้ที่ปราย ตราบใดที่เขาจับตัวปรายมาสอบปากคำไม่ได้ ไม่ควรมีทางที่เขาจะหาเธอเจอแน่ คนคิดค่อยมั่นใจจนตอบเขาไปเต็มปากเต็มคำ

"ฮื่อ...กลับสิ ...ทันทีที่เคลียร์งานเสร็จฉันจะกลับมา"

"ทำไมผมถึงสังหรณ์ใจว่างานของคุณมันเป็นงานที่ไม่มีวันจบนะ?" คนพูดปล่อยมือเล็กในอุ้งมือเปลี่ยนมาเป็นรวบเอวบางไว้ด้วยสองแขนแทน ร่างอุ่นร้อนที่อยู่ๆ ก็แนบประชิดในห้องที่ปรับอากาศไว้เป็นอย่างดีนั้นเล่นเอาใจแกว่งไปไม่น้อย

ไหนๆ ก็...ไม่ได้รู้สึกเลวร้ายเท่าไหร่ ...แล้วแถมยังไม่มีอะไรจะเสียอีก พรำพรรษเลยถือโอกาสแนบร่างนุ่มนิ่มอิงตัวเข้าในอ้อมแขนเขาซะให้เต็มที่เลย อืม...เป็นผู้ชายเนื้อแน่นแข็งแรงที่ให้ความรู้สึกดีชะมัด ดวงหน้าสวยหวานเงยขึ้นสบตาเขาพร้อมรอยยิ้ม ...ยิ้มแบบที่ไม่เคยยิ้มให้ใครมาก่อน ...แหม...ก็ใครใช้ให้เขาหล่อล่ำทั้งแบดกายทั้งมีเสน่ห์วายร้ายขนาดนี้ ต่อให้คนตายด้านขนาดไหนก็ต้องมีอารมณ์อยากลองอ่อยแรงกันบ้างโดยให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพื่อให้เขาตายใจ

แค่นั้น...จริงๆ นะ

"จบสิ ที่จริง ฉันมีแผนจะเปลี่ยนงานเร็วๆ นี้ ถ้าฉันเคลียร์งานเก่าได้จบ งานใหม่ที่ฉันคิดไว้มันน่าจะมีเวลาเหลือมากขึ้น" ...ซึ่งฉันมีแผนอีกประมาณแปดอย่างไว้รอแล้วและนายไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในแผนนั้น

อาคเนย์มองดวงหน้าเล็กที่เงยขึ้นสบตาอยู่ในอ้อมแขนนั้น ซ่อนอารมณ์มันเขี้ยวไว้มิดเม้น ขณะกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิด

"คุณคงรู้ใช่ไหม ว่าถ้างานของคุณมันนานเกินไปจนผมหมดความอดทน ผมจะทำทุกทางเพื่อให้บริษัทเวรตะไลนั้นมันอยู่ไม่ได้และไม่มีปัญญาจ้างคุณ คุณจะได้ว่างงานแล้วมีเวลามาอยู่กับผม" คนพูดก้มลงยิ้มบาดตากระซิบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ข้อความชวนขนลุก

"แหม...เป็นวิธีชวนผู้หญิงมาอยู่ด้วยที่น่ารักจังนะ" พรำพรรษอดประชดประชันไม่ได้จริงๆ กัดฟันฝืนใจต่อสายตาคมวาวที่มองมาราวทะลุทะลวงไปถึงซีรีเบลลัม ซึ่งมันคงทะลุไปเรียบร้อยแล้วแหงๆ เลยเพราะเธอไม่มีปัญญาจะขัดขืนเมื่อถูกรวบเอวขึ้นจนร่างกายแนบชิดกันทุกสัดส่วนไปหมดรวมถึงริมฝีปากรุ่มร้อนที่ประกบจูบลงมาเหมือนเป็นการลงโทษคนปากคมขี้ประชดประชันอย่างจะให้เข็ดหลาบ

พรำพรรษจดไว้ในใจ

เธอจะต้องไม่เถียงเขา

จะไม่เถียงเขาอีกแล้ว...

จะต้องไม่ขัดแย้งกับเขาเด็ดขาด

จะ...อืม...หรือเถียงอีกสักหน่อยดีนะ

ไม่สิ!

หญิงสาวแทบต้องสลัดหัวเพื่อตั้งสติหลังจากที่ถูกปล่อยตัวออกมาจากอ้อมแขนนั้นในที่สุด

ฉันจะไม่เถียงเขาอีก...

เพราะหลังจากนี้น่าจะไม่มีวันที่คนสองคนที่ต่างกันสุดขั้วจะได้บังเอิญโคจรมาพบกันในค่ำคืนที่เหนือการควบคุมแบบนี้อีกแล้ว

ดังนั้น...นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้สบสายตากับดวงตายิ้มได้คู่นี้ เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ถูกบังคับกอดรัดอยู่ในอ้อมแขนเอาแต่ใจนี่ และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะถูกมือไร้ความละอายนี่แตะต้องไปทั่ว...

หญิงสาวกัดฟันคว้ามือเขาไว้เมื่อมันชักเลื่อนต่ำกว่าเอวลงไปเยอะ

"ฉันจะไปแต่งตัวแล้วรีบไปเคลียร์งะ ...เอ้อ...เก็บของ ระหว่างนั้นคุณก็เคลียร์งานของคุณไปละกัน"

ริมฝีปากอุ่นๆ แตะแผ่วตรงโหนกแก้มพร้อมเสียงกระซิบริมหู

"ผมจะรอ"

พรำพรรษเงยขึ้นยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่เปิดเปลือยความรู้สึกทั้งหมด

ยิ้มสำหรับความทรงจำแสนหวานที่พัดผ่านชั่วข้ามคืนและคงไม่มีวันย้อนคืนมาชั่วกาล

ยิ้มให้เขา...เป็นครั้งสุดท้าย

ยิ้มที่ทำให้หัวใจคนมองอยู่แทบละลายจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปประคองดวงหน้านั้นไว้จูบเหมือนประทับตราจองไปบนริมฝีปากแสนหวานนั้น

"ต่อไป...ห้ามยิ้มแบบนี้ให้ใครอีก ...นอกจากผม"

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น