5
เสียงแตรนอนดังแผ่วระโหยก่อนเลือนหายไปในบรรยากาศหม่นเศร้า
ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกผิดของคนที่ยังมีชีวิตรอดเหลืออยู่...
น้อยหน่าไม่เคยชอบงานสีดำ โดยเฉพาะงานที่มักจะโดนบังคับให้ไปเป็นเพื่อนคุณนาถฤดีเพื่อเป็นตัวแทนคุณพ่อในการไว้อาลัยแด่ร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารหาญผู้ปลิดปลิว
ในงานนั้นยังมีกลุ่มคนในชุดดำกับพิธีอันขรึมขลัง ศักดิ์สิทธิ์ และเศร้าหมอง
หลายคนเข้าไปปลอบใจญาติ แต่คำปลอบใจเหล่านั้นจะช่วยอะไรได้ อีกหมื่นล้านคำปลอบใจก็ไม่อาจเรียกให้ร่างไร้วิญญาณที่ในโลงตื่นขึ้นมา
คนตายจากไปตลอดกาล
ยังดีอยู่หรอกที่คราวนี้เป็นการตายตามธรรมชาติของอดีตนายพลสูงอายุท่านหนึ่ง ซึ่งมีผู้คนเคารพรักจำนวนมาก พิธีจึงเนืองแน่นด้วยผู้คน หลังจากทักทายญาติผู้ตายได้ไม่กี่คำ เธอและคุณนาถฤดีก็ต้องถอยออกมา เพื่อให้แขกด้านหลังอีกจำนวนมากเข้ามาแทนที่
แม้จะไม่ต้องฝืนคุยกับเจ้าภาพมากนัก แต่ด้วยตำแหน่งของสามีทำให้คุณนาถฤดียากจะหลีกเลี่ยงการเข้ามาทักทายของแขกจำนวนมากที่รู้จักกับท่านนายพล นั่นทำให้เธอเกร็งจนอึดอัดไปหมด บรรดาแขกกิตติมศักดิ์แวะเวียนกันเข้ามาไม่ขาดสาย แต่ด้วยได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ทำให้หญิงสาวรักษามารยาททางสังคมได้อย่างคงเส้นคงวา ไม่มีตกหล่นให้คุณแม่เสียหน้า
"น้อยหน่าเป็นอะไรลูก ทำท่าเหมือนคนตกหมอน" คุณนาถฤดีถามขึ้น หลังจากสังเกตอาการของลูกสาวที่คอเกร็งๆ แข็งๆ ดูจะเอี้ยวคอไม่ได้ เพราะเมื่อมีใครทักจากด้านข้างหรือด้านหลัง หญิงสาวจะหันไปทั้งตัว ไม่หันหน้าไปดู
"เอ่อ...ก็...ทำนองนั้นค่ะคุณแม่" หญิงสาวยิ้มแหยให้มารดา ไม่อาจบอกความจริงไปได้ว่าคอเคล็ดเพราะนอนผิดท่า ฟุบอยู่บนโต๊ะในครัวมาทั้งคืน แถม...ในครัวบ้านผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้อีกต่างหาก!
โอ๊ย...โชคยังดีนะที่เจ้าของบ้านไม่ได้กลับมาเจอ ไม่งั้นคงได้ขึ้นโรงพักให้พ่อ แม่ และพี่ๆ ต้องมาประกันตัวกันวุ่นวายด้วยข้อหาบุกรุกแหงๆ แค่คิดก็สยองแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่า จะโดนกักบริเวณและถูกให้วิ่ง กระโดดกบรอบค่าย หรือวิดพื้นอีกกี่พันครั้ง
สีหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวขึ้นทุกที ยามคิดว่าตัวเองรอดจากทัณฑ์ทรมานเหล่านั้นมาได้อย่างเฉียดฉิวแค่ไหน
สาธุ! สาบานเลยว่าต่อไปนี้จะไม่อยากรู้อยากเห็นเกินขนาดแบบนั้นอีกแล้ว
แต่...ใครใช้ให้เขาทำทางเดินพระจันทร์ไว้ล่อลวงให้เธอเดินตามเข้าไปเล่า
แถม...เข้าไปถึงในบ้านแล้วกลับไม่มีอะไรสักอย่าง
จะบอกว่าไม่มีอะไร มันก็...
บ้านหลังใหญ่นั่นเกินคำว่า 'มี' ไปเยอะ ต้องเรียกว่าน่าอยู่เป็นบ้าเลยต่างหาก!
อาคารสไตล์ลอฟต์ทันสมัยด้วยกระจกบานใหญ่มหึมาและปูนเปลือยที่ดูดิบเถื่อนหลังนั้น เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่าง มีกระทั่งห้องออกกำลังกายที่ถึงขนาดมีเวทีมวยเล็กๆ อยู่ในนั้น มันโคตรพร้อมจนหญิงสาวเนื้อเต้น ครัวกว้างๆ ก็เป็นผนังกระจกใสยาวตลอดแนว มองออกไปเห็นสวนสวยได้สุดสายตา ตู้หนังสือของเขาก็เลิศมาก เต็มไปด้วยหนังสือที่เธอชอบจนอยากขโมยมาไว้บ้าน
เมื่อคิดถึงเรื่องบ้าน ปากอิ่มของน้อยหน่ามีอันต้องเบ้อย่างห้ามไม่อยู่ ขณะเหลือบมองคุณนาถฤดีที่จนป่านนี้ยังรับการทักทายจากบรรดาแขกผู้มาร่วมงานไม่จบเลย
แล้วเธอจะหาโอกาสคุยได้ไงเนี่ย...หญิงสาวถามตัวเองอย่างปลดปลง ขณะนึกคำพูดที่เตรียมมาค้างๆ คาๆ แต่ไม่รู้จะเอ่ยออกมาอย่างไรดี
‘คือ...แม่จ๋า ขอเอ่อ...ตังค์สัก...สักหมื่นสองหมื่นได้ไหมอ่า’
แน่นอนว่าพูดออกไปแล้วมีโอกาสสูงทีเดียวที่จะโดนลากตัวกลับไปบ้านในค่ายทหาร ให้ไอ้พวกพี่ๆ หัวเราะเยาะได้ แต่...น้อยหน่าไม่มีหนทางแล้วจริงๆ
เมื่อตอนสายพี่ปืนยื่นโนติสให้จ่ายค่าเช่าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นก็เก็บข้าวเก็บของย้ายออกไปอยู่กับคุณป้าทิพย์ซะ
นั่นคือฟางเส้นสุดท้ายแล้วสำหรับการยอมให้พี่ปืนข่มขู่...การไปอยู่กับป้าทิพย์คือฝันร้ายที่ไม่มีใครเข้าใจจริงๆ
พี่สาวของคุณแม่ ป้าทิพย์ หรือคุณน้ำทิพย์เป็นหญิงวัยกลางคนที่ยังคงความงามสง่าแบบผู้ดีแท้และดูแพงได้ตลอดเวลา ผมตีกะบังสูงแข็งเป๊กจนน้อยหน่าเคยสงสัยว่า มันอาจหล่อมาจากปูนปลาสเตอร์ ท่านั่งหลังตรงอันเป็นเอกลักษณ์นั่นก็อีกอย่าง หญิงสาวสงสัยจริงๆ ว่าต้องมีไม้กระดานดามหลังไว้แหงๆ คุณป้าถึงได้ตัวแข็งทื่อได้ขนาดนั้น
ความแข็งทื่อนั้นลามมาถึงคอและนัยน์ตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มองมาทางเธอ เอ่อ...เคยมีใครบอกป้าไหมอะว่า วิธีการจ้องเขม็งมาแบบนั้นมันน่ากลัว...
นอกจากสายตาพิฆาตแล้ว ป้าทิพย์ยังเชือดเฉือนด้วยคำพูด จิกกัดแบบผู้ดี คือบับว่า...สวยสง่าน่ารำคาญเป็นบ้าเลยอะ!
นอกจากคุณป้าผู้น่ากลัวแล้ว ที่บ้านนั้นยังมีธารทิพย์ ลูกสาวคุณป้าผู้สืบทอดเชื้อสายทายาทอสูรมาอย่างไม่มีตกหล่น คุณป้ายังแค่แสดงกิริยาเย่อหยิ่งและจิกกัดด้วยคำพูด แต่ไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่ธารทิพย์ ญาติสาวรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นร้ายกาจกว่า...
ริมฝีปากอิ่มของน้อยหน่าเบ้ด้วยความขุ่นเคืองอัดอั้น ยามย้อนคิดถึงสารพัดเรื่องราวที่เธอเคยปะทะคารมและกระทบกระทั่งอย่างรุนแรงกับญาติฝั่งมารดา ซึ่ง...ระดับความรุนแรงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคนฉลาดอย่างเธอรู้ตัวว่า ยากต่อการหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเรื่องร้ายแรง เพราะหากมีเรื่อง...ตลกเป็นบ้าเลยที่คนบ้านเธอจะไม่มีใครเข้าข้างเธอเลยสักคนเดียว!
เฮอะ!
ถึงเธอจะไม่ได้ฉลาดตัวท็อป แต่ก็ไม่ได้โง่จนยอมใครนะ เรื่องอะไรจะให้เธอพาตัวเองไปติดกับให้คนอื่นเขารังแกได้ง่ายๆ
ไอ้พี่ปืน! คิดจะบีบเธอให้ต้องยอมกลับไปอยู่ในค่ายทหาร!
ฝันไปเหอะ
สีหน้าดื้อดึงปรากฏพร้อมกับดวงตาวาววับยามหญิงสาวบอกตัวเองว่า ต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้ไอ้พี่บ้าพวกนั้นสมหวัง
‘เอาวะ! ตายเป็นตายยังไงก็ต้องพูด ยังไงๆ คุณแม่ก็เป็นคนที่ปรานีที่สุดในบ้านแล้ว ถึงไม่ยอมให้เงินก็คงยังไม่ถึงกับลากตัวเรากลับไปด้วยทันทีหรอก’
หญิงสาวสูดลมหายใจลึก อ้าปากเตรียมจะพูดสิ่งที่ซ้อมอยู่ในใจมาเป็นร้อยรอบ
‘รอคุณแม่หันมาหาทางนี้ก่อนเถอะ!’
"น้อยหน่า...เป็นอะไรไปลูก ทำหน้าเหมือนปวดท้อง" คุณนาถฤดีหันมาเห็นสีหน้าเหยเกของบุตรสาวที่อ้าปากหุบปากก่อนแปรเป็นรอยยิ้มแห้งๆ
น้อยหน่าส่ายหน้าพร้อมพึมพำในคอ
"มะ...ไม่มีอะไรค่ะคุณแม่"
‘ไอ้น้อยหน่าแกมันขี้ขลาด!’คนคิดหลั่งน้ำตาเงียบๆ อยู่ในใจ ยามความกล้านั้นเหือดหายไปสิ้น
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่บ้าน ทำไมเหมือนมีคำว่า ‘อ่อนแอ ไร้ประโยชน์ ไม่สำเร็จ’ ลอยวนอยู่ในหัวจนใจฝ่อไปหมดอย่างนี้ก็ไม่รู้
แต่หญิงสาวก็สูดลมหายใจลึกอีกรอบ อย่างไรก็ต้องอ้อนเอาเงินมาให้ได้ เพื่อไม่ให้ไอ้พี่ปืนมันไล่เธอไปอยู่บ้านป้าทิพย์
‘เอาวะ!’
"คะ...คุณแม่คะ" น้อยหน่าเงยหน้าขึ้นมาเรียกด้วยเสียงแผ่วหวิวราวเสียงยุงบินขณะคุณนาถฤดีติดพันกับการทักทายแขกคนหนึ่งอยู่
กว่าคุณแม่จะหันกลับมามองด้วยสายตาตั้งคำถามได้ หญิงสาวก็คอตก ส่ายหัวอย่างสิ้นหวังอีกรอบแล้ว
"มะ...ไม่มีอะไรค่ะ" น้อยหน่าตอบด้วยน้ำเสียงสุดระทม ภาพคฤหาสน์โบราณพร้อมสีหน้าเหยียดหยันของคุณน้ำทิพย์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในสมองเธอ ถ้อยคำเสียดสีด่าทออย่างผู้ดีที่เคยถูกว่ากระทบกระเทียบตอนอยู่ที่นั่นลอยวนอยู่ในหัว
นี่เธอต้องไปเจอจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย...อีคุณป้าแปดสาแหรกพรรค์นั้น คำด่าทออันสาหัสซึ่งได้แต่ข่มกลั้นไว้ น้อยหน่าคิดพลางรำพึงกับตัวเองอย่างร้าวระทม
ท่ามกลางความสับสนกึ่งกล้ากึ่งกลัวของหญิงสาว เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นเพลงแดนซ์สุดมัน (ส์) ที่ทำเอาสายตาคนในศาลาหันมามอง น้อยหน่ารีบร้อนกดรับด้วยไม่เคยหลุดทำตัวเสียกิริยาอย่างนี้มาก่อน
ลืมเปิดให้มันเป็นระบบสั่นได้ยังไงวะ!
แล้วหญิงสาวก็ค้นพบว่า การรับสายนั้นสร้างความวิบัติยิ่งกว่าเพลงเรียกเข้าตื๊ดๆ นั่นเสียอีก เพราะเสียงกะเทยควาย เอ๊ย! อีพี่กายร้องกรี๊ดดังลั่นมาตามสาย ครั้งนี้คนทั้งศาลาหันมามองเป็นตาเดียว หน้าแดงๆ ด้วยความอายในทีแรกของหญิงสาวเริ่มเปลี่ยนขึ้นสีเขียวแล้ว
น้อยหน่าพึมพำขอตัวก่อนลุกเดินออกมาหามุมสงบคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ ที่ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไรถึงได้กรี๊ดไม่หยุดแบบนี้
"อีพี่กาย ใจเย็น แกเป็นอะไรเนี่ย หยุดกรี๊ดแล้วพูดมาเดี๋ยวนี้" หญิงสาวกระซิบเสียงเครียดใส่เครื่องมือสื่อสาร ขณะอีกฝ่ายหายใจฟืดฟาดราวกะเทยหื่น
"แก...น้อยหน่า หุ้นแก หุ้นของแก...!"
"ทำไมวะ ตลาดหุ้นก็ตัวแดงเป็นปกติอยู่แล้วนิ" หญิงสาวเพลียใจในความโอเวอร์ของกะเทยรุ่นพี่ ซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นโบรกเกอร์ส่วนตัวคอยดูแลพอร์ตหุ้นให้เธออีกตำแหน่ง แต่ทุกทีเวลาตลาดหุ้นตัวแดงก็ไม่เห็นเคยโทร. มาโวยวายอะไรนี่นา ทำไมเที่ยวนี้ทำท่าเหมือนตื่นตกใจขนาดนี้เนี่ย
"ไม่! ไม่แดงสิ หุ้นของบริษัทปิโตรเลียมเอน่ะแกรรร" ชื่อบริษัทในกลุ่มพลังงานตัวท็อปที่ดิ่งมาเกือบสองปี และเพิ่งเจอปาฏิหาริย์อยู่ๆ ก็พุ่งพรวดทะลุกระดานจนน่าตกใจและน่าเสียดาย ที่ไม่ได้ซื้อเก็งไว้ตอนมันถูกๆ ได้ถูกเอ่ยอ้างถึง
"แกรู้ได้ยังไงว่ามันจะขึ้นหา? แกมีสายข่าววงในที่ฉันไม่รู้ใช่ไหมยะ บอกมาเดี๋ยวนี้" คำถามคาดคั้นจากกายนั้นทำให้น้อยหน่างงไปหมดแล้ว
"ข่าววงในที่ไหนวะ แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันจะขึ้น แถมยังไม่ได้ซื้อไว้สักตัวจะเอาที่ไหนมารู้ข่าว" น้อยหน่าโต้
"แกรู้สิว่ามันจะขึ้น ไม่งั้นเมื่อคืนแกจะซื้อตอนมันต่ำสุดแล้วสั่งขายตอนมันพุ่งสุดได้ยังไงไม่ทราบยะ"
"หา? ว่าไงนะเจ๊"
"หุ้นที่แกสั่งให้ซื้อเมื่อคืนนี้น่ะ มันทำกำไรมหาศาลบานตะไททะลุโลกไปแล้วย่ะ อีนังเศรษฐีนีเบอร์ล่าสุดของประเทศ" พี่กายหัวเราะดังลั่นเสียกิริยาสุดๆ ลืมตัวขนาดนี้ สันนิษฐานได้ว่าค่าตอบแทนที่นางได้รับจากกำไรหุ้นครั้งนี้ต้องไม่ใช่ย่อยๆ แต่...
"เดี๋ยวนะเจ๊...ฉันไปซื้อหุ้นตัวนั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ" หญิงสาวเกาหัวขณะคิดว่ามันคงเกิดผิดพลาดอะไรสักอย่าง และพี่กายน่าจะเข้าใจอะไรผิด
"โวะ! อีนี่...อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนนี้แกละเมอซื้อน่ะ...อ๊ะ แต่ว่าไม่ได้ เพราะมันก็ตั้งตีสองแล้ว นี่...แกละเมอจริงๆ เรอะ"
"ตีสอง? นี่เจ๊กายจะบอกว่าฉันตื่นมาเล่นหุ้นตอนตีสองเรอะ" หญิงสาวถามอย่างฉงนขณะทบทวนอย่างอ่อนใจ มั่นใจว่าเจ๊กายต้องเข้าใจอะไรผิดสักอย่าง
ตีสองเมื่อคืนเธอไม่ได้กำลังหลับอยู่บนเตียงเรอะ
เดี๋ยวสิ! ดวงตาดำจัดของหญิงสาวทอประกายยามคิดถึงความทรงจำสุดท้ายเมื่อคืนก่อนจะเผลอหลับไป ครั้งสุดท้ายที่ดูนาฬิกา ตอนนั้นน่าจะประมาณเที่ยงคืนนิดๆ เธอกำลังอ่านตำราเศรษฐศาสตร์เล่มหนึ่งอยู่ในครัวที่ไร้เจ้าของบ้านดุจบ้านร้าง
ไม่สิ...บ้านร้างที่ไหนจะได้รับการดูแลอย่างดี ได้รับการทำความสะอาดจนไร้ฝุ่นเกาะขนาดนั้น บ้านหลังนั้นมีคนอยู่แน่ แถมเผลอๆ ยัง...
"แกสั่งฉันตอนตีสองย่ะ เมื่อคืนนี้มีหุ้นตัวหนึ่งน่าสนใจฉันเลยไลน์ไปถามแกทิ้งไว้ กลัวลืม กะว่าแกตื่นมาเห็นตอนเช้าจะได้ซื้อทัน ที่ไหนได้ แกดันสั่งขายหุ้นทั้งหมดมาทุ่มกับตัวนี้ โอ๊ย...บอกมานะยายน้อยหน่า แกมีข่าววงในใช่ไหม รู้มาก่อนช่ะ ว่าหุ้นมันจะขึ้นเนี่ย ใครบอกแกหา?" กายยังพร่ำรำพันต่ออีกหลายประโยค แต่หญิงสาวไม่ได้ฟังต่อแล้ว จิตใจติดอยู่กับคำถามหนึ่ง
ใครบอกงั้นเหรอ
หญิงสาวเอาโทรศัพท์มาสไลด์หน้าจอ เรียกแอปพลิเคชันไลน์ขึ้นมาดู ข้อความสนทนาควรจะถูกบันทึกไว้กลับไม่มี เหลือเพียงหลักฐานเดียวว่า เคยมีการทำอย่างที่อีเจ๊กายว่า คือการ 'ยกเลิกข้อความ' หลายข้อความในช่วงเวลาที่ถูกอ้างถึง
ดวงตาดำจัดของหญิงสาวสว่างวาบยามปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน
ใครบางคน...ใช้โทรศัพท์เธอสวมรอยสั่งการซื้อหุ้น ในขณะที่เธอหลับอยู่ในครัว...
ใครบางคน...ที่น่าจะมีข้อมูลภายในเรื่องพวกนี้เสียด้วย!
ใครบางคน...ที่ไม่ได้โวยวายที่บ้านโดนบุกรุก แถมยังใจดี...เก็งหุ้นให้อีกต่างหาก!
หญิงสาวคุยกับรุ่นพี่อีกหลายประโยค ก่อนบอกให้อีกฝ่ายแคปหน้าจอบทสนทนาในไลน์ส่งมาให้ดู ถึงแม้ว่าทางฝั่งเธอจะถูกลบไปแล้วแต่ทางคู่สนทนายังคงมีข้อความอยู่ทำให้ไม่ยากเย็นในการสืบหา
แต่...ดูไปก็เท่านั้น ข้อความเรียบง่ายที่สั่งให้กายขายหุ้นทุกตัว แล้วนำมาทุ่มให้หุ้นปิโตรเลียมนั้นไม่มีอะไรให้จับเค้าได้เลย มีแค่การกำหนดราคาที่แม่นยำว่าควรซื้อที่เท่าไรและต้องขายที่ราคาเท่าไร
มันเป็นได้แค่หลักฐานยืนยันการมีตัวตนของใครบางคนที่คุกคามเข้ามา โดยเธอไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เริ่มตั้งแต่การซ้อมลูกน้องเธอ...
ให้มันมาทำความสะอาดบ้าน...ซึ่งเหมือนด่ากันกลายๆ ว่าเธอสกปรก
แถมท้ายด้วยส่งรายชื่อหนังสือมาอ่านให้หายโง่!
มันจะหยามกันเกินไปแล้วนะ!
ฮึ่ม! ดูเหมือนหมอนั่นจะคุ้นเคยกับการคุกคามชาวบ้านสินะ!
ดวงตาดำจัดของหญิงสาววาววับเหมือนสัตว์ล่าเนื้อยามล็อกเป้าหมายที่จะล่า
"อีเจ๊กาย บอกมาซิว่าตอนนี้ฉันมีเงินอยู่เท่าไร" น้อยหน่ากรอกเสียงถามไปทางโทรศัพท์ และปลายสายก็บอกจำนวนเงินที่ทำเอาคนฟังแทบทำโทรศัพท์หลุดมือ
หญิงสาวยืนตาโตอึ้งไปอีกชั่วพัก หายสงสัยทันทีว่าทำไมกะเทยรุ่นพี่ถึงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นจำนวนเงินที่ทำให้เธอเองแทบอยากกรีดร้องบ้าคลั่งไปด้วย
รวยแล้ว!
ฉับพลันความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายที่เธอยังไม่เคยแม้จะเห็นหน้าก็เปลี่ยนไป
หมอนี่มัน...มัน...
ตัวเงินตัวทองชัดๆ
ความคิดเห็น |
---|