4

บทที่ 4


4

 

ตู้จดหมายเต็มไปด้วยจดหมาย

...แน่นอนว่ามันเป็นตู้รับจดหมาย มันก็ต้องมีจดหมายสิ!

เพียงแต่...น้อยหน่ามองมันอย่างประหลาดใจ มันเป็นตู้รับจดหมายแบบมีฝาปิดด้านหน้า รูปทรงโค้งขนาดใหญ่วางอยู่บนเสาต้นเดียว

เธอคิดว่าตัวเองเคยเห็นบ้านร้าง หรือตู้รับจดหมายหน้าบ้านที่ไม่มีใครอยู่หลายๆ วันมาก็เยอะนะ แต่ไม่มีตู้ไหนน่าอัศจรรย์ใจเท่านี้แล้ว

ตู้ใหญ่ๆ นั้นมีจดหมายทะลักล้นออกมาจนกองพะเนินอยู่กับพื้นหญ้าเต็มไปหมด ใครดูก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มีคนอยู่บ้านแหงๆ ตู้จดหมายลักษณะนี้เป็นเป้าหมายอย่างดีของโจร เหมือนเป็นสิ่งเชิญชวนพวกมิจฉาชีพให้บุกรุกเข้าไปในบ้านที่เหมือนมีป้ายปักไว้ว่า 'ไม่มีใครอยู่บ้านน้าเชิญเลยจ้า'

เพียงแต่...ไหนวะ 'บ้าน'

นอกจากตู้จดหมายใหญ่ที่มีเลข ๖ กำกับไว้ รอบด้านคือแนวป่าโปร่งที่ลึกเข้าไปดูจะทวีความรกทึบขึ้นเป็นลำดับ จนมองเห็นเพียงความหม่นทะมึนของป่าที่ด้านในหนาทึบ

หญิงสาวนั่งยองๆ โหย่งตัวบนส้นเท้า หยิบจดหมายที่หล่นบนพื้นหญ้าขึ้นมาดู ก่อนนิ่วหน้ากับชื่อที่ปรากฏบนนั้น สีหน้ามีความสับสนไตร่ตรองไม่ตก ขมวดคิ้วจนแทบชนกันกับชื่อเจ้าของบ้านบนที่อยู่นั้น มันตรงกันกับในรายงานของเก่งซึ่งเธอเคยคิดว่ามันยกเมฆขึ้นมาหลอก

แต่นี่...หมอนั่นมีบ้านเลขที่เป็นของตัวเองจริงๆ

อัคนี อรรคนีย์พิทักษ์

บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าสาธารณูปโภคแทบทุกชนิดที่ไม่ต่ำกว่าสองเดือนนั่นบอกอะไร

หญิงสาวพลิกดูยอดค่าใช้จ่ายพลางคำนวณหลายสิ่งหลายอย่างไปด้วย

ค่าใช้จ่ายพวกนี้บ่งบอกว่ามีบ้านอยู่จริง แม้ว่าเจ้าของบ้านอาจไม่อยู่นานเป็นเดือนๆ หรือสองเดือนเข้าไปแล้ว แต่คนคนนั้นมีหลักแหล่ง...

เธอสำรวจเพิ่มเติม นอกจากบิลค้างจ่ายที่น่าจะโดนตัดน้ำตัดไฟเสียให้เข็ดเหล่านั้นแล้ว ยังมีนิตยสารภาษาอังกฤษอีกเป็นสิบๆ หัว การเป็นสมาชิกนิตยสารเหล่านั้นยิ่งเน้นย้ำถึงการมีตัวตนของเจ้าบ้านเข้าไปใหญ่ นิตยสารส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ การเงิน สารคดี มีนิตยสารผู้ใหญ่แนวเซ็กซี่ดูมๆ อีกสี่ห้าหัว และที่ทำให้ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายคือ นิตยสารปืน มีด อาวุธสงคราม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือหายาก ไม่มีให้อ่านทั่วไป

เกือบ...เกือบเผลอลืมตัวแกะออกมาดูเสียแล้ว ก่อนนึกขึ้นได้ว่ามันไม่ใช่ตู้ไปรษณีย์บ้านตัวเอง และไม่ใช่จดหมายของตัวเองอีกต่างหาก!

ริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวเบ้อย่างขัดใจ ก่อนรวบบรรดาบิลและนิตยสารที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา ลงมือยัดมันใส่ในตู้ไปรษณีย์ แต่พวกมันก็ล้นทะลักกลับลงมากองบนพื้นอยู่ดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มีคนไม่อยู่บ้าน?

...ไม่สิ...มีใครบางคนที่ควรหาคนมาดูแลบิลพวกนี้กับตู้ไปรษณีย์ของเขาเสียมากกว่า

ทำไมเขาไม่จ้างคนมาดูแลเรื่องพวกนี้ ฐานะอย่างเขาจะจ้างคนเป็นสิบเป็นร้อยคนมาใช้สอยยังได้เลย...

ดูจากค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคแล้ว 'บ้าน' ที่อยู่ลึกเข้าไปในดงไม้หนาทึบนั้น...ต้องไม่ใช่หลังเล็กๆ แน่

หญิงสาวลุกขึ้นยืนมองตู้ไปรษณีย์ซึ่งอยู่บนสนามหญ้าที่ได้รับการตัดแต่งเป็นอย่างดีเหมือนสนามหญ้ากว้างๆ หน้าบ้านหรูสักหลังหนึ่ง ผิดแต่...ส่วนที่ควรจะเป็นตัวบ้านนั้นกลับเป็นสวนป่าเท่านั้น

มีทางเดินโรยด้วยกรวดสีเทาเงินเหมือนทำด้วยหินพิเศษที่สะท้อนแสงแวววาวทอดยาวเป็นทางคดเคี้ยวเข้าไปในป่าดุจเชิญชวน...หรือล่อลวง?

นี่มันโคตรไม่น่าไว้ใจเลย คนสติดีๆ ที่ไหนเขาจะเข้าไปกัน

เงื่อนงำของผู้ชายลึกลับคนนั้นทั้งอันตราย ทั้งมีปริศนา และทั้ง...รวยจนไม่น่าจะไปตอแยด้วย

น้อยหน่ากัดริมฝีปากครุ่นคิด พยายามใช้สติไตร่ตรองเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลเพื่อฉุดรั้งตัวเองไม่ให้ทำเรื่องผิดกฎหมายมากไปกว่านี้

การบุกรุกเข้าไปในที่ส่วนบุคคล และทำให้มหาเศรษฐีตระกูลใหญ่ขนาดนั้นโกรธ ขืนคุณพ่อรู้เรื่องคงจบแบบศพไม่สวยแหงๆ

หญิงสาวกำลังจะตัดใจอยู่แล้ว พลันแววตาขี้สงสัยก็ดันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง

บนทางเดินสีเทาเงินนั้น...มีพระจันทร์เจ็ดค่ำอยู่!

 

ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งภายในห้องสลัวและเล็กแคบที่ยิ่งดูน่าอึดอัดด้วยลังแข็งๆ สีเข้ม พวกมันวางซ้อนกันบนชั้นเหล็กชิดผนังสี่ด้าน ยิ่งทำให้ห้องอับแสงจนเหมือนความมืดจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในความเร้นลับที่ดูไม่ปลอดภัย แต่คนในห้องนั้นกลับเหมือนไม่รู้สึกอะไร อาจเพราะเขาคุ้นชินกับมันแล้ว หรือไม่อย่างนั้น...อาจเพราะเขาเป็นคนที่แผ่รังสีอันตรายและน่ากลัวออกมาได้เข้มข้นยิ่งกว่าที่อยู่ในบรรยากาศของห้องก็เป็นได้

ร่างนั้นนั่งเป็นเงาทะมึนอยู่บนอาร์มแชร์ตัวใหญ่ ก็แหงละ และต้องเป็นอาร์มแชร์ตัวใหญ่มากๆ เท่านั้นถึงจะรองรับร่างกายอันใหญ่โตของผู้ชายคนนั้นได้ แม้จะอยู่ในเงามืดที่กลบรายละเอียด ก็ยังรู้สึกได้ว่ามันเป็นอาร์มแชร์หรูราคาแพง ซึ่งขัดกับลังทั้งหลายในห้องนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้บางลังจะเป็นโลหะหรือวัสดุแข็งแรงและดูแพง แต่อีกไม่น้อยที่เป็นแค่ลังกระดาษและลังไม้ ซึ่งมีเครื่องหมายอันตรายและแทบทุกคำเตือนแปะหราไว้

ของมีราคาอีกอย่างหนึ่งอยู่ในมือของเขา มันเป็นชิ้นส่วนโลหะมันวาว ที่อีกหลายชิ้นวางอย่างเป็นระเบียบบนผืนผ้า ทั้งหมดถูกทำความสะอาดลงน้ำมันอย่างดี แล้วมือใหญ่ก็ขยับผ่านอย่างคล่องแคล่วดุจการพรมนิ้วบนคีย์เปียโนของนักดนตรี หรือไม่อย่างนั้นก็มือของนักมายากลถึงทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นรวมกันเป็นปืนกระบอกหนึ่ง

หลังจากขัดถูอีกชั่วพัก ปืนกระบอกนั้นก็ถูกเก็บไป มือใหญ่กำลังเอื้อมจะหยิบอาวุธโลหะชนิดเดียวกันอีกกระบอกหนึ่งบนชั้นใกล้ๆ เมื่อเสียงที่คล้ายจะ 'ดังในหัว' หวีดขึ้น ใครสักคนคงมีเรื่องด่วนรีบร้อนเปิดไมโครโฟนเพื่อรายงานเหตุด่วนเหตุร้าย

เจ้าของเสียงห้าวสบถหยาบคายก่อนจะเริ่มพูดคนเดียวกับเสียงนั้น

"ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายนะมึง" เขาเข่นเขี้ยวก่อนจะต้องหยุดฟังเมื่ออีกฝ่ายรายงานกลับมา

“มีผู้บุกรุก”

"ที่ไหน" คำถามนั้นสื่อถึงความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด

“ในป่าเดือนหก”

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกจมูกแบบหยันๆ ก่อนจะหยิบปืนกระบอกใหม่มาวางบนผ้าปูทับโต๊ะเตี้ยตัวเล็กตรงหน้า เขาพูดพร้อมลงมือถอดมันออกมาเป็นชิ้นๆ อย่างคล่องแคล่ว

"ช่างแม่ง ให้หลงป่าตายๆ ไปเลย รอมันหลงจนหมดแรงค่อยส่งคนไปเก็บมันออกมา...รู้ไหมว่ามันเป็นใคร"

ขณะเขามีสมาธิกับงานที่คุย มือก็ลงมือทำความสะอาดและบำรุงรักษาชิ้นส่วนในมืออย่างชำนาญยิ่งโดยไม่มีหลงลืมรายละเอียดสักรายการเดียว

“ลูกสาวนายพล” เสียงนั้นดังแว่วมาให้คนในห้องต้องทำน้ำเสียงในคอเป็นเชิงถาม ประหลาดใจจนต้องหยุดมือ

“ลูกสาวนายพลประกาศ คุณน้อยหน่า ณัฐนารา ปรมอัตตา” เจ้าของคำตอบเน้นด้วยเสียงเกือบจะถอนใจ

"หา!" ร่างสูงผุดลุกพรวดขึ้น อ้าปากค้างจนบุหรี่ร่วง จนเจ้าตัวรีบคว้าไว้พร้อมกับสบถ เพราะเผลอกำบุหรี่ร้อนจนแน่น

‘แต่ยังไงกำไว้ในมือก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันร่วงลงไปที่...’ คิดพลางดวงตาคมก็เหลือบมองลังใกล้ๆ ตัว ซึ่งมีเครื่องหมายวัตถุไวไฟและคำเตือนอันตรายแปะอยู่ข้างลัง

ชายหนุ่มเตือนตัวเองว่าต้องเอาไอ้ลังติดไฟได้นี่ไปไว้ห่างๆ ตัวได้แล้ว

"คุณน้อยหน่ามาทำไมที่นี่วะ" เขาวกเข้าคำถาม แม้เงาจะสลัวจนมองไม่เห็นสีหน้าเขา แต่น้ำเสียงก็แสดงความว้าวุ่นใจเด่นชัด

เจ้าตัวนั่งลงที่อาร์มแชร์ เริ่มลงมือประกอบปืนด้วยความเร็วที่ลดลงเกินครึ่ง

“ไม่รู้สิ ให้ถามไหมล่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาแบบไร้ความเกรงใจจนเขาต้องสบถงึมงำในคอก่อนเงียบลง เพ่งมองปืนในมือด้วยสายตาราวกับมองอริอยู่ชั่วพัก เมื่อพบว่าตัวเองประกอบผิด

“แถมยังไม่หลงทางอีกต่างหาก ตอนนี้มาถึงหน้าประตูรั้วสวนหน้าบ้านแล้ว”

"ทำไมเขาไม่หลงทางวะ" คนที่ต้องถอดปืนออกมาประกอบใหม่พึมพำกับตัวเอง และเป็นอีกครั้งที่อีกฝ่ายให้คำตอบยียวนกวนประสาท

“จะไปรู้เรอะ เอาไงให้ดีเขากำลังจะเข้าไป และระบบเตือนภัยกำลังจะทำงาน”

"ปิดเดี๋ยวนี้!" น้ำเสียงคนสั่งเข้มขึ้นขณะทิ้งทุกอย่างในมือทันที

“เฮ่ย!” คนรับคำสั่งถึงกับอุทาน “ปิดได้ไงมัน...”

"ช่างหัวระบบรักษาความปลอดภัยเวรตะไลนั่นเหอะ แกคิดว่าถ้าหากลูกสาวมาบาดเจ็บสาหัสหรือตายอยู่ในพื้นที่ของเรา นายพลประกาศจะยอมเฉยอยู่ไหม ปิดมันเดี๋ยวนี้!"

คำสั่งเด็ดขาดนั้นทันฉิวเฉียดกับที่ผู้บุกรุกเอื้อมมือไปเปิดประตูรั้วเหล็กดัดที่แง้มไว้เล็กน้อย ก่อนร่างบางเพรียวลมจะเดินผ่านซุ้มประตูรูปจันทร์เสี้ยวเข้าไป ซึ่งหากสัญญาณไม่ถูกตัด ระบบรักษาความปลอดภัยจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ บรรดากับดักที่ฝังตัวอยู่ตามจุดต่างๆ จะพุ่งเป้าเข้าหาผู้บุกรุกด้วยระดับความอันตรายและ

รุนแรงสูงสุด เพราะมันออกแบบมาเพื่อจัดการผู้บุกรุกอย่างเด็ดขาดตั้งแต่ก้าวแรก และยังมีกลไกต่อเนื่องไปทุกย่างก้าวชนิดที่ไม่เหลือทางรอดใดๆ ไว้ให้ผู้บุกรุกดวงซวยได้มีโอกาสหนที่สอง

แต่ตอนนี้กับดักเหล่านั้นเองนั่นแหละที่ไม่มีโอกาสได้ทำงานด้วยคำสั่งหยุดการทำงานอย่างเร่งด่วนโดยเจ้าของบ้าน...อัคนี อรรคนีย์พิทักษ์ ผู้ซ่อนตัวเองอยู่ในห้องเล็กแคบไร้แสงสว่าง และกำลังหัวเสียปนสับสน เพราะหญิงสาวคนหนึ่งบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขา

อีกฝ่ายถอนใจหนักๆ ปลงๆ ก่อนบ่นงึมงำ

“ระบบไม่ได้มีโหมดหยุดการทำงานนะเว้ย ไม่รู้ว่ากลไกเสียหายแค่ไหน ต้องซ่อมอีกนานเท่าไร”

"ช่างแม่ง ถือซะว่าเป็นการซ้อมเช็กระบบแล้วกัน" อัคนีพูดง่ายๆ จนคนรับคำสั่งต้องสบถอย่างอดไม่ได้

"อย่างมากเขาก็วนอยู่รอบนอก เข้าไปในตัวบ้านไม่ได้หรอก" อัคนีคำนวณอย่างสุดแสนมั่นใจ

“เข้าไปแล้ว” อีกฝ่ายปฏิเสธความมั่นใจของคนมีอำนาจเหนือกว่าอย่างไม่ไว้หน้า

"..." คนออกคำสั่งนิ่งอึ้งไปนานจนดูเหมือนจะช็อก

“ลืมล็อกกุญแจใช่ไหม” อีกฝ่ายถามกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจปนรู้ทัน

คนฟังเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ฉิบหาย!...เขาไม่เคยล็อกประตูบ้านจริงๆ เสียด้วย

ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้บุกรุกรอดพ้นแนวป่ามาได้ ไหนจะกับดักในระหว่างทางเดินอีก นั่นทำให้เขาชะล่าใจจนแทบไม่เคยปิดประตูบ้าน ใครจะนึกว่า...

“เอาไง?” น้ำเสียงเซ็งๆ ทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัว ชายหนุ่มรีบสั่งงานด้วยเสียงร้อนรน

"ปิดระบบในบ้านด้วย"

“ปิดนานแล้ว” เจ้าของเสียงสู่รู้ตอบกลับมาอย่างรู้งาน

"แสนรู้จริงๆ" อัคนีกัดฟัน

“ชมช่ะ?” คำถามกลั้วหัวเราะกวนประสาทเสียจนได้รับคำสบถเสียงดัง

"กูประชด!"

เสียงแค้นๆ ของคนเป็นนายเรียกเสียงหัวเราะสะใจจากอีกฝ่ายที่น่าจะอยู่ในห้องลับที่ไหนสักแห่ง และกำลังส่องจอมอนิเตอร์ซึ่งถ่ายทอดภาพของ 'ผู้บุกรุก' ร่างปราดเปรียวที่เปิดประตูซึ่งเจ้าของบ้านลืมล็อก และเดินเข้าไปในตัวบ้านแล้ว

“เขาทักฮัลโหลมีใครอยู่บ้านไหมแน่ะ” เจ้าของเสียงยียวนกวนประสาทยังคงรายงานอย่างมีความสุขกับความเดือดร้อนของใครบางคนที่เป็นเจ้าของบ้าน ผู้ไม่เคยยอมให้ใครรุกล้ำเข้าไปได้แบบนี้มาก่อน ยิ่งอีกฝ่ายสบถหยาบคาย เขาก็ยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่

“เอาไงดีวะเนี่ย ไปบอกเขาหน่อยปะ ว่าไม่มีใครอยู่บ้าน” คราวนี้ 'สั่ง' เจ้านายเสียอีก แต่ก็ไม่มีเสียงสบถตอบกลับมา มีเพียงเสียงถอนใจหนักๆ เพราะเจ้าตัวทึ้งผมตัวเองอย่างหงุดหงิดมาสักพักแล้ว

"ช่างมัน ให้เขาสำรวจไป ถ้าไม่เจออะไรเดี๋ยวก็คงจะเลิกไปเองแหละ" อัคนีบอกด้วยน้ำเสียงปลงๆ

“เฮ่ย! เดี๋ยวดิ จะดีเหรอ” คนในห้องมอนิเตอร์ตกใจกับคำสั่งนั้นกันถ้วนหน้า

"ดี แค่นี้นะ" คนเป็นนายตัดบทก่อนปลดเครื่องมือสื่อสารออกจากหูตัวเอง เป็นการตัดบทสนทนาที่ชะงัดนัก เพราะเจ้าตัวไม่ต้องรับรู้อะไรอีกแล้ว ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงบนอาร์มแชร์ตัวโตก่อนหลับตาลงช้าๆ พักสายตาจากความมืดห้องอับแสง สู่ความฝันที่ดำมืดยิ่งกว่าความมืดใดๆ

มืด...มันเป็นความมืดมิดยิ่งกว่าคืนอับแสงใดเคยมืดมิด

เสียงกรีดร้องทุรนทุรายหลายเสียงแผดดัง เสียงกึกก้องกัมปนาทของระเบิด เสียงปืน กลิ่นควันไฟเผาไหม้อันน่าสะอิดสะเอียนผสานอยู่ในฝันนั้น พร้อมกับภาพพร่าเบลอของหลายสิ่งหลายอย่างที่วิ่งวน มันบิดเบี้ยวจนคล้ายภาพแอบสแตรกซ์ ดูไม่รู้เรื่อง แต่ล้วนบรรจุความรู้สึกอันน่าสะพรึงกลัวและหลอกหลอน

เขารู้สึกเหมือนตกลงในหล่ม โดนดูดจนร่างหนักอึ้ง รู้สึกเหมือนไร้หนทางที่จะดิ้นรนปีนกลับมาได้ เขาจมลงท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันอย่างบ้าคลั่ง และเสียงกรีดร้องเหมือนขอความช่วยเหลือที่ยังดังราวอ้อนวอน ร้องเรียกหาให้เขาไปช่วย

เขากำลังจม คราวนี้โคลนเหนียวข้นเข้าเกาะยึดเขาไว้ทุกส่วนจนขยับตัวไม่ได้ ความรู้สึกเลวร้ายท่วมทะลักทั้งกายใจและกำลังกดเขาลงให้จมมิดในหล่มลึกที่เขารู้ว่า มันเป็นกับดักของใครสักคน เป็นแผนที่ใครสักคนวางเอาไว้ และเขาถูกใช้ราวหมากตัวหนึ่ง ตัวหมากที่กำลังจมโคลนตายอย่างช้าๆ ขณะเสียงกรีดร้องทรมานกระชั้นถี่จนแทบอยากตะโกนตอบไปว่า ให้อดทนไว้ก่อน กำลังจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แล้ว

แต่ก็ไม่อาจมีคำพูดใดหลุดออกมา...

เพราะพออ้าปากโคลนเหนียวข้นก็ทะลักเข้ามาจนเข้าไปแทนที่อากาศในปอด เขาไม่อาจดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองได้ มือเท้าหนักราวถูกถ่วงด้วยตะกั่ว และก่อนที่เขาจะอึดอัดจนขาดใจตาย เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือนั้นก็ขาดหายไป

ขาดหายไปพร้อมร่างไร้ลมหายใจที่ยังคงรอให้เขาไป...

อัคนีลืมตาโพลงขึ้นในความมืด เสียงของความเงียบยังคงดังอยู่รอบกาย

เขาหอบ พยายามเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา และใช้เวลาอีกชั่วพักกว่าจะรับรู้ว่าตัวเองตื่นแล้ว...จริงๆ ไม่มีเสียงปืน เสียงระเบิด ไม่มีการเผาไหม้ ไม่มีเสียงกรีดร้องทุรนทุราย ไม่มีใครตาย...ในตอนนี้

เขากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ วางปืนในมือลงบนโต๊ะโดยมือไม่สั่นสักนิดเดียว สิ่งที่สั่นไหวคือความรู้สึกว่าจิตใจแหลกเป็นชิ้นๆ ด้วยความทรมานจากฝันร้าย เหงื่อออกจนชุ่มโชก ขณะความรู้สึกเลวร้ายแผ่ขยายราวเชื้อโรค มือใหญ่ควานหาไปตามชั้นเหล็ก เพื่อพบว่าไม่มีของที่เขาต้องการ ร่างสูงเอนตัวพิงพนัก ถอนใจยืดยาวขณะหลับตาลง พยายามเค้นความคิดว่าเขาเอายาไปไว้ที่ไหน

น่าจะ...อยู่ในครัว

...คงอยู่ในครัวแหละ

ชายหนุ่มถอนใจขณะผุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องใต้ดิน ซึ่งทำเป็นห้องนิรภัย ด้านนอกห้องนั้นมืดมิด แต่ไม่มีปัญหากับดวงตาคมวาวที่ฝึกมาจนสามารถมองในที่มืดได้ราวที่สว่าง อีกอย่าง เพราะเป็นสถานที่อันคุ้นชิน เขาจึงไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยในการเดินเข้าไปในครัว เพื่อหยิบขวดยาในตู้เก็บของออกมาโยนใส่ปาก

ไอ้ยานี่อะไรก็ดี เสียแต่กินแล้วทำให้คอแห้งเป็นบ้าเลย

เขาหมุนตัวไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำมากรอกปาก แต่พอหันกลับมานี่สิ น้ำแทบพุ่งออกจมูกเขาจนเกือบสำลัก

ร่างสูงยืนตะลึงงันอยู่อย่างนั้น เบิกตากว้าง จ้องมองราวกับไม่เคยเห็นเก้าอี้ในครัวของบ้านตัวเองมาก่อน

หลังจากยืนเหม่ออยู่พักใหญ่ กะพริบตาปริบๆ งุนงงอยู่อีกแป๊บหนึ่ง เขาค่อยหันมองไปรายรอบกายเพื่อให้แน่ใจว่ากำลังอยู่ในครัว...บ้านตัวเอง

แม้ในเงาสลัวของราตรีแต่เขาก็เห็นห้องครัวขนาดใหญ่ที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ได้อย่างชัดเจน ผนังปูนเปลือยโชว์รอยฉาบแบบดิบๆ สไตล์การตกแต่งนี้ทำให้วางท่อน้ำและท่อสายไฟบนผนังได้โดยไม่ต้องซ่อน มีเคาน์เตอร์ครัวหินอ่อนยาวตลอดแนว สำหรับใช้งานทำอาหารได้จริง ตู้เก็บของก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่พร้อมใช้งาน จานชาม และเครื่องครัวล้วนครบครันพร้อมใช้ไม่ตกหล่น

ข้าวของทุกชิ้นยังคงอยู่ครบและอยู่ในที่ในทางของมัน ยกเว้นแค่เก้าอี้ตัวหนึ่งตรงโต๊ะอาหารขนาดหกที่ ที่อยู่ตรงหน้าเขาห่างไปไม่ถึงเมตร เก้าอี้ถูกเลื่อนออกมาเพื่อใช้งานและมันถูกใช้งานโดย...

ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็จำเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายได้ เหตุการณ์ที่มีผู้บุกรุกเข้ามา ยายลูกสาวนายพลตัวแสบที่อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องปวดหัวมาให้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถแสดงตัวออกไปขับไล่ หรือทำอันตรายใดๆ กันเธอได้ จึงได้แต่ตัดสัญญาณกลไกกับดักที่อันตรายจนหมด แล้วปล่อยให้เธอเดินสำรวจบ้านไร้ผู้คน ด้วยคิดว่าถ้าหากไม่เจออะไรเธอจะยอมกลับไปเองโดยดี

แต่ใครจะคิดว่า...

ผู้บุกรุกจะไม่ยอมจากไปง่ายๆ อย่างที่คิด!

น้อยหน่าฟุบหลับอยู่กับโต๊ะอาหารในครัวของเขา หลับ...โดยปราศจากความระวังตัวใดๆ บนโต๊ะข้างๆ ตัวคือหนังสือของเขาเอง เธอคงหยิบมาจากชั้นหนังสือ มีหลายเล่มที่อยู่ในรายชื่อที่เขาเคยเขียนแนะนำให้เธอไปอ่าน และเธอก็อ่าน...อ่านจนหลับไป!

‘ใครสั่งใครสอนให้ผู้หญิงคนนี้ใจกล้าบ้าบิ่น และไร้ความระวังตัวขนาดนี้วะเนี่ย!?’

จันทร์เสี้ยวเรียวเล็กของคืนแรมหกค่ำลอยอยู่นอกหน้าต่าง ส่องแสงเบาบางเข้ามาจนเห็นเงาหน้าต่างที่ทอดลงกับพื้น แสงสลัวนั้นทำให้คนที่มองเห็นในที่มืดเก็บรายละเอียดของคนตรงหน้าได้ราวอยู่ใต้แสงตะวัน

หญิงสาวสวมเชิ้ตหลวมๆ ที่พับแขนถึงข้อศอกและกางเกงยีนพอดีตัวซึ่งไม่น่าจะสบายตัวสักเท่าไร เธอนอนตะแคงหน้ามาต้องแสงสว่างพอดี ทำให้เขาสำรวจโครงหน้ารูปไข่นั้นได้อย่างชัดตา คิ้วเรียวสวยขมวดเหมือนคิดไม่ตกจนเก็บไปฝัน แพขนตาหนาโดยไม่ต้องพึ่งมาสคาราทาบผิวแก้มใส น้อยหน่าเป็นคนที่ไม่ได้ขาวจัด แต่เนียนละมุนลออตา จมูกโด่งรั้นน่าหยิก...ให้หายดื้อสักที ริมฝีปากอิ่มสีสดเผยอน้อยๆ นั้น...

อัคนีสะบัดหัวเรียกสติ ระงับความอยากยื่นมือออกไปแตะร่างตรงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันหรือเมายาอยู่

ยาที่...เพิ่งกินเข้าไปคงไม่ออกฤทธิ์ทำให้มึนเบลอได้เร็วขนาดนี้

ขณะที่ถามตัวเองว่าควรทำอย่างไรกับเธอดี ขาไม่รักดีของเขาก็ก้าวยาวๆ ไปอีกด้านของโต๊ะ ก่อนหย่อนตัวลงนั่ง และทอดตามองคนตรงหน้าอย่างเงียบงันอยู่อย่างนั้น

ตรงที่เขานั่งนั้นอยู่ในมุมอับแสง ทำให้เห็นเป็นร่างเงาทะมึนสูงใหญ่ราวเงาร่างของปีศาจร้ายที่ซุ่มซ่อนในราตรีอันตรายน่าหวั่นผวา ขณะที่หญิงสาวฟุบหลับอยู่นั้นอยู่ในมุมสว่างกว่าด้วยแสงจันทร์ที่แม้จะหรุบหรู่ แต่สำหรับสายตาที่มองเห็นได้ดีในความมืดนั้น แสงจันทร์ที่ต้องร่างนั้นดูกระจ่างจ้าจนทอประกายราวกับสิ่งล้ำค่าในโลกจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง

ราวกับนางฟ้าที่หลงทางมาฟุบหลับในห้องครัวของปีศาจกระนั้น...

เหมือนเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่อัคนีมีความคิดว่าอยากให้ราตรีนี้ยาวนานกว่าที่เคย นาน...ตลอดไปได้ยิ่งดี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น