3

บทที่ 3


3

 

ของเล่นใหม่ทำเอาน้อยหน่าติดหนึบ

โลกสมัยนี้เปลี่ยนไวจริงๆ อะไรๆ ก็มาอยู่ในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์หมดแล้ว ขนาดการวางกับดักและจับตาดูใครสักคนยังมาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ได้แล้วเลย

หญิงสาวคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจขณะจิบกาแฟทรีอินวันรสชาติไม่ได้เรื่องไปด้วย พลางจินตนาการว่ามัน คือกาแฟกรุ่นกลิ่นอโรมาราคาแสนแพงที่แรงเกินสถานภาพกระเป๋าตังค์ในตอนนี้ พร้อมกับอาฆาตในใจไปด้วยว่า อย่าให้มีเงินหน่อยนะ...แม่จะซื้อเครื่องทำเอสเพรสโซมาตั้งชงจิบทั้งวันเลยคอยดู!

หญิงสาวซุ่มรออยู่สองวันกว่า 'เหยื่อ' จะยอมมาติดกับ กล้องวงจรปิดที่ซื้อมาแอบติดไว้ตรงหน้าประตูกำลังฉายภาพขึ้นจอคอมพิวเตอร์ที่ต่อพ่วงสัญญาณเอาไว้ เป็นภาพร่างคุ้นตาของชายคนหนึ่งที่ทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าประตูห้องพักของเธอ หมอนั่นล่อกแล่กเหลียวซ้ายแลขวาดุจกลัวใครมาเจอขณะล้วงกุญแจมาเตรียมไขประตูเข้ามาทำความสะอาดห้องให้เธอเหมือนที่พี่วิเชียรเคยเล่า

แต่...ทำไมมันต้องเลือกมาตอนเธอไม่อยู่ด้วย

แถมยังทำตัวลึกลับหลบๆ ซ่อนๆ อีก

มันไปทำอะไรไม่ดีที่บอกใครไม่ได้มาหรือไงกัน

หญิงสาวคิดขณะเดินไปเปิดบานประตูต้อนรับมันเสียเอง

เก่งสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ บานประตูตรงหน้าก็เปิดผลัวะโดยเจ้าของห้องที่ยืนจังก้าอยู่ตรงช่องประตู หญิงสาวตะปบคอเสื้อของเขาตอนหันหลังจะวิ่งหนีไว้อย่างทันท่วงที

"จะหนีไปหนาย...ไอ้เก่ง" หญิงสาวถามขำๆ ก่อนอารมณ์สนุกสนานจะเลือนไปเมื่อเก่งดิ้นรนด้วยเรี่ยวแรงที่น่าตกใจราวกับการโดนเธอเจอเป็นเรื่องร้ายแรง และเรี่ยวแรงของผู้ชายที่ดิ้นรนอย่างเต็มที่นั้นก็ทำเอาน้อยหน่าแทบจับไว้ไม่อยู่

หญิงสาวดึงทักษะการสยบศัตรูขั้นสูงมาใช้กับลูกน้อง โดยจับแขนของเขาไพล่หลังก่อนกดร่างชายหนุ่มอัดติดผนัง ยันไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงที่หมดรอยสนุกอย่างสิ้นเชิง

"ไอ้เก่ง แกเป็นอะไร หนีฉันทำไม"

"คะ...คุณน้อยหน่า ปละ...ปล่อยผมเถอะครับ ผมมีธุระ ตะ...ต้องไปแล้ว" เก่งละล่ำละลัก

"ไปไหน แกมีธุระที่ไหนอีกหา? คุณพ่อไม่ได้ให้ภารกิจแกมาเกาะติดฉันหรอกเรอะ แล้วนี่แกหายไปไหนมาตั้งหลายวัน" หญิงสาวหมุนตัวลูกน้องคนสนิทให้หันมาเผชิญหน้าก่อนเธอจะตะลึงไป

"เก่ง...หน้าแกไปโดนอะไรมา" น้อยหน่าถามเสียงแหบ ริ้วรอยความโกรธเต้นระริกในดวงตาเมื่อเห็นร่องรอยถูกทำร้ายเป็นจ้ำช้ำดำเขียวเต็มดวงหน้าลูกน้อง

"ใครซ้อมแก?" คำถามที่เปี่ยมรังสีอันตรายและน้ำเสียงที่ส่ออารมณ์เหมือนอยากอัดใครสักคนให้จมดิน ทำให้เก่งรีบส่ายหัว

"ยะ...อย่าไปยุ่งกับเขาเลยครับ คุณน้อยหน่าเอานี่ไป...ผะ...ผมต้องไปแล้ว" เก่งยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือหญิงสาว ก่อนอาศัยทีเผลอสลัดหลุดจากการจับกุมของน้อยหน่า ชายหนุ่มวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวคว้าไว้ไม่ทัน

"โว้ย!!!"

แม่ง! หนียังกะโดนผีวิ่งไล่!

คนโมโหไม่มีที่ระบายจำต้องกลับเข้าห้องพัก ปิดประตูขังตัวเองไว้อย่างหงุดหงิด

‘ไอ้เก่งนะไอ้เก่ง อมพะนำดีนัก’ หญิงสาวคิดอย่างหัวเสียพลางมองกระดาษยู่ยี่ในมือ ที่แทบขยำเป็นก้อนกลมอยู่แล้ว

กระดาษที่...คราวนี้เป็นเศษกระดาษสีขาวทั่วไป มีรอยเลอะเทอะอยู่นิดหน่อย ลายมือหวัดๆ ยังเป็นลายมือเดิม คราวนี้มันเขียนมาแต่ชื่อหนังสือที่เมื่อหญิงสาวเข้าไปเซิร์ชหาก็พบว่าเป็นหนังสือจำพวกเศรษฐศาสตร์ทั่วไป การบริหารธุรกิจเบื้องต้น และตำราสตาร์ตอัป

ตาคมวาวสีดำสนิทหรี่ลงขณะสีหน้าแผ่รังสีอันตราย ยามหญิงสาวตีความสิ่งที่เจ้าของกระดาษน้อยๆ ส่งสารมาถึงเธอ

เหมือนหมอนั่นฝากข้อความมาบอกว่า...

'อ่านหนังสือเยอะๆ นะอีหนู...จะได้ฉลาด' ไม่มีผิด!

มือเล็กกำแน่น จนกระดาษในมือแทบแหลก

ไอ้!

ไอ้คนเฮงซวยนั่นฝากข้อความมาว่าเธอ 'โง่' งั้นเรอะ!?

ตั้งแต่เกิดจนโต น้อยหน่าทำคะแนนสอบได้อันดับต้นๆ ของห้องมาตลอด เกรดเฉลี่ยก็ห่างไกลจากคำว่า 'โง่' ลิบลับ หญิงสาวไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครได้ใช้คำนี้กับเธอมาก่อน แม้แต่ไอ้พี่ๆ วายร้ายที่ถ้าลองทำอะไรพลาดสักอย่างเป็นต้องโดนถากถางและเก็บมาล้อเลียนไม่รู้จักจบสิ้น...เพราะมีพี่อย่างนั้นไง เธอถึงต้องพยายามกว่าคนทั่วไป ทำอะไรไม่ผิดพลาด เพื่อไม่ให้ใครหน้าไหนมาว่าได้

...แล้วนี่...หมอนั่นเป็นใครบังอาจมาว่าเธอว่า...โง่!

แม่งเอ๊ย!

คนเดือดปุดๆ ลุกพรวดขึ้น แต่ไม่ได้ออกแรงละลายความหงุดหงิดเหมือนทุกครั้ง คราวนี้ความคุกรุ่นในดวงตาวาววับรุนแรงกว่าความโกรธทั่วไปอยู่หลายขุม

ร่างบางเดินกลับไปกลับมาในส่วนครัวแคบๆ นั้นพลางใช้ความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น

ไอ้เก่งหายไป...น่าจะเป็นสัปดาห์ หลบหน้าหลบตา ไม่กล้ามาเจอเธอด้วยใบหน้าฟกช้ำดำเขียว

ไม่ต้องสงสัยเลย มันไปโดนใครสักคนอัดมา...ใครกันที่ซ้อมมันได้ขนาดนั้น

ถึงเก่งจะเหมือนเป็นลูกไล่ให้เธอซ้อมเล่นเป็นประจำ แต่แท้จริงแล้วก็มีความสามารถไม่ผิดกับทหารคนหนึ่ง การฝึกโหดๆ ก็ผ่านมาแทบจะเท่ากับที่เธอฝึกเสียด้วยซ้ำ เห็นเหยาะแหยะแบบนั้นก็จริง แต่ถ้าสู้กับคนทั่วไปแบบตัวต่อตัว เก่งก็สยบศัตรูที่เป็นผู้ชายตัวโตๆ ได้ในไม่กี่นาที หรือหากโดนรุมเธอก็ยิ่งมั่นใจว่า มันต้องเอาตัวรอดได้สบาย...ถ้าเป็นในระดับโดนแก๊งจิ๊กโก๋รุมยำนะ

ดวงตาดำจัดของหญิงสาวหรี่ลง มีประกายอันตรายวาววับในดวงตา

คนที่ซ้อมมันจนน่วมขนาดนั้นได้ต้องไม่ธรรมดา

หมอนั่นเป็นใคร!?

ใครที่ทำให้คนเอาตัวรอดเก่งแบบมันกลัวลนลานได้

แถม...มันไม่กล้าฟ้องอีกต่างหาก

ธรรมดาแล้วเก่งมันขี้ฟ้องจะตาย คุณพ่อถึงได้ให้มันมาสอดแนมเธอไง เพราะมันเก็บรายละเอียดไปรายงานได้ทุกเม็ด แอบอ้างบารมีคุณพ่อเพื่อเอาตัวรอดก็เก่งเป็นที่หนึ่ง แต่คราวนี้มันกลับปิดปากเงียบผิดวิสัยจริงๆ

‘แถม...’ คิดแล้วตาคมวาววับของหญิงสาวก็กวาดมองไปทั่วห้องพัก ที่เธอทำความสะอาดเองมาโดยตลอด การเป็นลูกนายพลแบบพ่อเธอใช่ว่าจะทำให้สบายกว่าคนอื่น แม้ว่าฐานะทางบ้านคุณแม่จะร่ำรวยแค่ไหนก็ตาม แต่คุณพ่อก็ฝึกวินัยเธออย่างเข้มงวด ฝึกให้ดูแลตัวเองต่างๆ นานา ไม่ยอมให้เธอไปชี้นิ้วสั่งใคร

'ก่อนจะชี้นิ้วสั่งใคร ลูกต้องชี้นิ้วสั่งตัวเองให้เป็นก่อน' น้ำเสียงเหี้ยมๆ ทรงอำนาจของคุณพ่อดังขึ้นในหัวยามนึกถึงความทรงจำนั้น 'ทำเองให้เป็น เวลาคนอื่นทำผิดจะได้บอกเขาได้เต็มปาก ถ้าลูกทำไม่เป็นเวลาเห็นลูกน้องทำผิดจะทำยังไง'

'ง่ายจะตาย ก็สั่งให้มันทำใหม่จนกว่าจะถูกเสะ!' เสียงเถียงนั้นดังได้อยู่เพียงในใจ เพราะหากพูดออกไป ถ้าไม่โดนวิ่งรอบสนามยี่สิบรอบก็อาจได้โดนดันพื้นสักร้อยหรือสองร้อยทีเป็นอย่างต่ำ ตอนนั้นหญิงสาวจึงได้แต่รับคำเบาๆ โดยไร้ข้อโต้แย้งใดๆ

แถมคุณแม่ซึ่งเป็นคุณหนูมาจากตระกูลใหญ่แท้ๆ ก็ยังพลอยคล้อยตามในเรื่องนี้อีกต่างหาก เธอจึงถูกฝึกให้ทำความสะอาดห้องตัวเอง ซักผ้าเอง ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน และไม่ใช่แค่ต้องทำเป็นนะ แต่ต้องทำให้ดีด้วย

'คนใช้บ้านนี้มันจะชี้นิ้วสั่งเจ้านายกันได้ทุกคนอยู่แล้วมั้ย' ป้าพิศ ป้าแม่บ้านซึ่งเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของคุณแม่และติดสอยห้อยตามกันมาตั้งแต่บ้านเดิม แทบจะตะโกนออกมาด้วยความอัดอั้น แต่ก็ไม่อาจขัดขืนทั้งคุณพ่อและคุณแม่ได้ จำต้องปล่อยให้คุณหนูถูกเคี่ยวกรำด้วยคอร์สช่วยเหลือตัวเองห้ามชี้นิ้วสั่งใครมาตั้งแต่เด็ก

นิสัยที่ถูกฝึกมาทำให้น้อยหน่าดูแลที่พักตัวเองได้ โดยไม่เคยต้องพึ่งแม่บ้านหรือเที่ยวใช้ใครให้ทำให้

ที่จริง...ออกจะภูมิใจอยู่หน่อยๆ เสียด้วยซ้ำไป เพราะเมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอทำเป็นทุกอย่างขณะเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนที่ทางบ้านไม่เคยฝึกฝนเรื่องนี้ให้กลับทำไม่เป็น บางคนถึงขนาดแค่ฉีกซองกาแฟทรีอินวันชงกินเองยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป!

เก่งก็รู้และไม่เคยช่วยดูแลตรงนี้ให้เธอ ห้องมันเองก็รกจะตายประสาชายโฉดเอ๊ยโสด! มันยังไม่สนใจจะทำ ปล่อยรกเป็นรังหนูอย่างไรก็อย่างนั้น

แล้วทำไมอยู่ๆ มันถึงต้องมาเที่ยววุ่นวายทำความสะอาดห้องให้เธอ

หญิงสาวหรี่ตาอย่างใช้ความคิดก่อนจะมองกระดาษในมือ เธอถือว่ามันเป็นคำปรามาสที่ถูกฝากมา แล้วดวงตากลมโตก็เบิกโพลงเมื่อตีความบางอย่างได้

หมอนั่น!...ต้องเป็นหมอนั่นที่ใช้ไอ้เก่งมาทำความสะอาดห้องให้เธอ!

‘เพราะ...’ น้อยหน่าคิดพลางกัดฟันกรอด โมโหจนเส้นเลือดแทบปูดนูนขึ้นขมับเมื่อตีความได้อีกอย่าง

หมอนั่น...ฝากไอ้เก่งบอกมาว่าเธอทำความสะอาดไม่ได้เรื่อง!

‘หน็อย...ว่าฉันโง่ไม่พอนี่ยังว่าฉันเป็นคนซกมกอีกงั้นเหรอ!?

‘ไอ้...ไอ้...ฮึ่ม!’

 

เก่งเสียวสันหลังวาบจนต้องเหลียวมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง รู้สึกราวกับเจ้านายสาวจะโผล่ออกมาจัดการเขาได้ทุกเมื่อ ทั้งๆ ที่หนีมาไกลจนมั่นใจว่าหญิงสาวจะตามไม่ทันแล้วแน่ๆ

แถม...

ชายหนุ่มเงยหน้ากวาดตามองไปรายรอบตัว ตรงนี้เป็นสวนกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยต้นไม้สูงชะลูดที่น่าจะมีอายุหลายสิบถึงหลายร้อยปี ทางเล็กๆ ของสวนวกวนจนใครที่เผลอหลุดเข้ามาจะเหมือนถูกขังอยู่ในเขาวงกต ที่มีกับดักมากมายรออยู่ตามเส้นทาง เอาไว้จัดการผู้บุกรุก

‘แต่นั่นยังไม่อันตรายเท่า...’ เก่งกวาดตาไปรอบๆ อีกทีก่อนสะดุ้งสุดตัวเมื่อสบดวงตาคมวาวคู่หนึ่งซึ่งไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร หรืออาจอยู่มานานแล้วก็ได้ คนคนนี้ถนัดในการล่องหนทำตัวเหมือนภูตผีปิศาจ เป็นภูตพรายที่สิงอยู่กับต้นไม้ในสวนปิศาจนี้

สวน...ที่ให้ความรู้สึกเหมือนมีสายตามากมายคอยมองตามตลอดเวลา

"แกดูเหนื่อยๆ นะแค่ไปทำความสะอาดห้องเล็กๆ ห้องเดียวมันเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ"

เสียงถามที่ดังจากด้านหลังทำเอาเก่งต้องสะดุ้ง เพราะเมื่อกี้คนพูดยังเหมือนอยู่ด้านหน้า ใต้ร่มเงาไม้มืดๆ ที่ยิ่งช่วยอำพรางร่างสูงใหญ่มหึมาให้เหมือนเป็นปีศาจเงาดำ แต่พริบตาที่เขาเผลอคิดเรื่องอื่น ร่างนั้นพลันหายจากเงาใต้ต้นไม้ที่ยืนพิงอยู่มาส่งเสียงถามจากด้านหลังเขาได้อย่างไรไม่รู้

เก่งเหงื่อออกท่วมตัว แต่ไม่กล้าหันกลับไป เพราะร่างสูงใหญ่ด้านหลังให้ความรู้สึกกดดันเหมือนเขาถูกปืนจ่อหลังอยู่ตลอดเวลา

"แถมยัง...กลับมาเร็วมาก..." คำถามราวกับคนพูดตามติดเขาไปทุกที่ทำให้เก่งแทบร้องไห้

"ยะ...ยังไม่ได้ทำครับ คุณน้อยหน่าเจอผม..."

"เจอ? แกซ่อนตัวยังไงให้เขาเจอ" เสียงดุดันใกล้เข้ามาจนเขาสะดุ้ง เก่งเหงื่อแตกเป็นน้ำขณะอธิบายเสียงละล่ำละลัก

"ผม...ผมระวังตัวแล้ว ระวังสุดๆ ไปเลย แต่คุณน้อยหน่าเหมือนรู้ว่าผมมา แถมยังเปิดประตูออกมาพอดีเหมือนรออยู่ก่อนเลย"

"หือ?" น้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้นก่อนเงียบไป แล้วอีกฝ่ายก็คุย...กับตัวเอง "รอไปก่อน งานนั่นเอาไว้ทีหลัง เอาที่ฉันสั่งลำดับสี่สลับขึ้นมาแทน"

จริงๆ แล้วเก่งก็รู้หรอกว่า คนที่เหมือนคุยกับตัวเองมีหูฟังสมอลทอล์กเสียบหู แต่ไม่ใช่สมอลทอล์กทั่วไป ชายหนุ่มใช้มันสื่อสารกับใครบางคนหรือหลายคนจากที่ไหนสักแห่งอยู่ตลอดเวลา

"เขารอแกอยู่แถมรู้ว่าแกมาอีกต่างหาก" เจ้าของเสียงห้าวกลับมาเข้าคำถามเดิม คราวนี้ความกดดันลดลงแล้วจางไปจนเก่งแทบจะถอนใจ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือใหญ่ๆ หนักๆ ตบพลั่กลงบนไหล่ ตรึงเขาไว้ด้วยแรงบีบที่ไหล่เกือบจะทรุดก่อนคาดคั้นว่า

"แล้ว...แกบอกอะไรเขาไปบ้าง"

"มะ...ไม่ได้บอกอะไรเลยครับ ผะ...ผมยัดกระดาษใส่มือคุณน้อยหน่าแล้ววิ่งหนีมาเลย จริงๆ นะ ยะ...อย่าทำอะไรผมเลยนะ ปละ...ปล่อยผมไปเหอะ ผมจะไม่เอาเรื่องของคุณไปบอกใครหรอก จะหุบปากให้สนิทเลย"

"คนที่หุบปากได้สนิทจริงคือคนที่ตายแล้ว...อยากไหมล่ะ"

คำถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงกลั้วเสียงหัวเราะเลือดเย็นนั้นทำเอาเก่งขาสั่นพั่บๆ รีบส่ายหน้าไปมารัวเร็ว ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่โฉบมาเหมือนตบหัวเขาเบาๆ กึ่งล้อเล่นกึ่งเอาจริง ก่อนเสียง 'พูดคนเดียว' จะห่างออกไป

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เก่งก็แทบทรุดลงกองกับพื้น มีความรู้สึกว่า 'รอดตาย' มาได้อีกครั้ง

ชายหนุ่มบอกกับตัวเองว่า...ไม่น่าเลย

ในวันนั้นเขาไม่น่าทำตามคำสั่งคุณน้อยหน่า เดินตามผู้ชายเนิร์ดๆ ร่างมหึมานี่มาเลยจริงๆ

เขามั่นใจทักษะ 'สะกดรอย' ของตัวเองมากเกินไป จนเชื่อว่าเป้าหมาย ‘หมูๆ’ ไม่มีทางรู้ตัวได้

ที่จริงเขาตามผู้ชายคนนี้มาแค่ฆ่าเวลาเล่น ความเบื่อหน่ายและรำคาญความเรื่องมากเหวี่ยงวีนของเจ้านายอยู่ไม่น้อยทำให้เขาอยากหาอะไรทำ หรืออีกนัยคือ...แอบอู้ โดยซุ่มดูอยู่ประมาณชั่วโมงหนึ่งกว่าที่ 'ครูข้างถนน' คนนั้นจะเลิกสอน แล้วหมุนตัวเดินดุ่มหายเข้าไปในสวนกว้าง

เก่งเริ่มตามไป โดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะเจอกับอะไร

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่คนสะกดรอยถูกเป้าหมายพาเดินพ้นอาณาเขตของสวนสาธารณะ เพราะพวกเขายังอยู่ในสวน ซึ่งจริงๆ ควรเรียกมันเป็นป่าเสียด้วยซ้ำ มันหนาแน่นด้วยต้นไม้ใบหนาซึ่งบดบังแสงสว่างจนรอบตัวมืดสลัว ไม่มีไฟถนนให้แสง ดีว่าเขาเคยฝึกพวกยุทธวิธีในป่ามาบ้างจึงเดินแกะรอยในป่ามืดๆ ได้อย่างไม่ลำบากนัก

ความมั่นใจแบบผิดๆ ครั้งนั้นเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาลเลยทีเดียว

ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อ 'เป้าหมาย' หลุดรอดสายตา ทำให้เขาเหลียวมองดูรายรอบตัวและเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกตินั้น รอบด้านนั้นเงียบสนิท ผิดสังเกต ในป่ามืดๆ ก็เหมือนมีดวงตาเป็นสิบๆ คู่คอยจ้องมองอยู่

รู้สึกเหมือน...ตกอยู่ในกับดัก!

มีเสียงเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง เมื่อเขาหมุนตัวกลับไปทุกสิ่งก็ดับวูบลง

...

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน กว่าเขาจะรู้สึกตัวด้วยอาการปวดหัวที่คุ้นเคย...เหมือนที่เคยถูกน็อกโดยครูฝึกยอดฝีมือจนสลบเหมือดข้ามวัน แต่อาการปวดหัวแทบระเบิดนั้นกลับกลายเป็นความเบาสบายไปเลยถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาได้เจอหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว

มันคือนรกที่เหมือนกาลเวลาไม่ผ่านไปแม้สักวินาทีเดียว เขาถูกจับมัดมือมัดเท้าอยู่บนเก้าอี้ด้วยเงื่อนแน่นหนาอย่างมืออาชีพที่ไม่มีทางคลายออกหรือดิ้นรนหลุดหนีได้เอง ชายหนุ่มถูกถุงผ้าคลุมหน้าไว้ ตกอยู่ในความมืด

ในห้องอับทึบที่ไหนสักแห่ง และถูกทรมานแทบทุกวิธีด้วยเทคนิคการทรมานที่บ่งบอกให้รู้ว่า ผู้ที่จับเขามานั้นเป็นมืออาชีพที่ถูกฝึกมาเพื่อการนี้

แต่...เขาไม่มีอะไรจะสารภาพไง!

จะให้บอกได้อย่างไรว่า เขาสะกดรอยตามคำสั่งไร้สาระของลูกสาวนายพลที่มีงานอดิเรกเป็นนักสืบ ขืนพูดออกไป...ถ้าไม่ถูกอัดจนตาย กรณีเลวร้ายสุดพวกมันอาจไปจับคุณน้อยหน่ามาทรมานด้วยอีกคนล่ะ...

แม้จะไม่ได้เป็นคนดีเท่าไร แต่ความซื่อสัตย์และภักดีต่อเจ้านายที่ดูแลกันมาตั้งแต่เด็กจนสนิทสนมกันคล้ายเพื่อนก็ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจหลุดชื่อเจ้านายสาวออกมาให้เป็นอันตรายต่อตัวเธอได้

ในท่ามกลางความทรมานอันไร้ทางออกนั้น อยู่ๆ หมอนั่นก็เริ่ม 'พูดกับตัวเอง' แม้ไม่ได้ยินบทสนทนาจากอีกฝ่าย และฝั่งทางนี้ก็พูดงึมงำอยู่แค่ในคอด้วยน้ำเสียงแปลกใจประหลาดใจบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่เก่งก็พอเดาได้ว่ามีการรายงานอะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าของมือใหญ่แสนอำมหิตคู่นั้นรามือจากเขา

แต่หลังจากนั้นนี่สิ...หลังจากเสียงพูดคุยกับตัวเองจบลง มือใหญ่ๆ หนักๆ ก็กดลงบนหัวไหล่เขา

"แกนี่ปากแข็งดีใช้ได้นะ..." คำชื่นชมนั้นไม่น่าภาคภูมิใจสักนิดเมื่อถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเลือดเย็น ก่อนเขาจะต่อคำ "ปากแข็ง...อย่างกับทหารที่ผ่านการฝึกมาแล้วเลย"

อาการสะดุ้งน้อยๆ ของเก่งทำให้เกิดเสียงหัวเราะพึงพอใจในลำคออีกฝ่ายเบาๆ ทำเอาเก่งเย็นสันหลังวาบและยิ่งเสียวสันหลังเข้าไปใหญ่กับคำถามถัดไป

"ตอบทีสิ ทำไม...คนของนายพลประกาศถึงต้องสะกดรอยตามฉัน...นายแกสั่งให้ตามฉันมาทำไมรึ"

"มะ...ไม่เกี่ยวกับท่านนายพลนะครับ" เก่งร้อนตัวพูดเสียงละล่ำละลัก

"ถ้าไม่เกี่ยวกับท่านนายพล...งั้นมัน..." คำพูดนั้นชะงักไปเพราะเหมือนคนพูดจะแบ่งสมาธิไปฟังอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นคำรายงานนั้นทำให้เขาทำน้ำเสียงประหลาดใจยิ่งยวด ถึงขั้นหลุดอุทานออกมาว่า

"จริงดิ!"

จากนั้นเหมือนเขายังฟังรายงานอยู่อีกชั่วพัก ก่อนจะเริ่มออกเดินกลับไป คราวนี้ด้วยฝีเท้าที่ไร้ความมั่นใจผิดจากที่เคย เดินวนเวียนไปมาเหมือนคนคิดไม่ตก ดูสับสนปนเปกันไปหมด จนในที่สุดเก่งเป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องตะโกนขึ้นมา

"จะทำอะไรก็ทำสักอย่างสิโว้ย! เดินวนไปมากดดันกันนี่มันเป็นการทรมานหลักสูตรไหนกันวะ"

ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็มาหยุดลงตรงหน้าให้เขาเสียวสันหลังจนต้องกลั้นหายใจเมื่อไม่รู้ว่า คราวนี้อีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่

"แก...อยู่กับลูกสาวนายพลงั้นเรอะ" คำถามด้วยเสียงไร้ความรู้สึกนั้นทำให้เก่งแทบสะดุ้ง ตระหนกกับสายข่าวของอีกฝ่ายจนเหงื่อแตกพลั่ก เขาลนลานจนต้องตะโกนออกไป

"กะ...แกอย่าไปทำอะไรคุณน้อยหน่านะ คุณน้อยหน่าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เขาแค่...คะ...แค่ แค่นิสัยซนๆ ขี้สงสัยเลยให้ฉันตามแกมาเฉยๆ อย่าไปทำอะไรเขาเลยนะ"

"คุณน้อยหน่า...ให้แกตามฉันมางั้นเรอะ" ครั้งนี้คำถามเต็มไปด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด

"ถะ...ถ้าแกทำอะไรเขา ท่านนายพลไม่เอาแกไว้แน่ ถะ...ถ้าแกปล่อยตัวฉันตอนนี้ ยัง...ยังพอแก้ไขได้นะ ฉันจะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนเลย จะ...จริงๆ นะ" เก่งหลับหูหลับตาต่อรอง โดยไม่สนใจว่ามันไม่สมเหตุสมผลสักนิดในการปล่อยตัวเขาไป แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้รับคำตอบง่ายๆ สั้นๆ

"ก็ได้"

จังหวะที่เขามัวแต่ตกตะลึง มือใหญ่ก็ตบหนักๆ ลงบนไหล่

"แต่มีข้อแม้..."

‘นั่นไงล่ะ...’ เก่งแทบร้องครวญคราง ของฟรีไม่มีในโลก การถูกปล่อยตัวจากคนอันตรายพรรค์นี้ไม่มีทางได้มาง่ายๆ ฟรีๆ มันต้องแลกมาด้วยข้อเรียกร้องที่อันตราย ยากเย็น และเต็มไปด้วยการหักหลัง...

แต่คำสั่งหลังจากนั้น...ทำให้เก่งต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นทุกที เมื่อพบว่าคำสั่งนั้นไม่อำมหิตเหมือนที่คาดเดาไว้

แต่...แต่...มัน...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น