2

บทที่ 2


2

 

'ไอ้พี่ปืน! ไอ้พี่ปืน! ไอ้พี่ปืน!'

น้อยหน่าคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ในใจ เธอมีพี่ชายสี่คน 'ไอ้พี่ปืน' เป็นพี่คนที่สองที่ฉากหน้าดูเหมือนจะมีเมตตาสุด ไม่นับพี่ป้อม (ปราการ) พี่ใหญ่เฮงซวยสุดวายร้ายที่เผด็จการไม่แพ้คุณพ่อ อย่าไปพูดถึงไอ้พี่บอมบ์กับไอ้พี่ปาล์ม (นาปาล์ม) นั่นเลยเชียว ทั้งคู่มันก็ระเบิดดีๆ นี่เอง ตัวเธอก็ด้วย เพราะชื่อ ‘น้อยหน่า’ น่ะไม่ใช่คำเรียกผลไม้หอมหวาน แต่เป็นยุทธภัณฑ์อันตราย

สามระเบิดมาเจอกันทีก็ราวกับคลังแสงจะพินาศ ตีกันตายวันละหลายรอบ ร้อนถึงพี่ปืนที่แม้เป็นพี่รอง แต่ก็ทำตัวเหมือนลูกคนกลางที่ประนีประนอมได้ดีสุดแล้ว แต่เขาก็เป็นพวกคุณพ่อ พี่ปืนบีบเธอทุกทางด้วยทักษะของเสนาธิการทหารที่ได้ทุนไปเรียนมาตั้งหลายประเทศนั่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในอนาคตถ้าเขามีตำแหน่งใหญ่โตและเป็นที่ปรึกษาระดับประเทศ ประเทศชาติจะได้รับผลประโยชน์จากหมอนี่แค่ไหน เผลอๆ อาจแทบไม่ต้องทำสงครามกันเลยเสียด้วยซ้ำไป

ส่งหมอนี่ไปเจรจาประนีประนอมแค่คนเดียวก็รู้เรื่อง!

แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ใช้ทักษะเวรตะไลนั่นกับน้องสาวแบบนี้!

พี่ปืนทั้งบีบให้เธอต้องมาอยู่หอพักรูหนูที่หาความสะดวกสบายอะไรแทบไม่ได้เลย ทั้งมีเพื่อนร่วมหอที่แทบไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในค่ายที่เต็มไปด้วยเสียงนกหวีด เสียงแตรนอน เสียงเพลงฝึกทหาร แถมทั้งยังงกอีกต่างหาก เพราะแค่ไม่จ่ายค่าเช่าสามเดือน เอ่อ หกเดือนเท่านั้น พี่แกก็เล่นแง่จะไล่เธอออกจากหอ

เออ! มันก็แค่...ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าแค่...แค่หกเดือน...เอง!

พี่ชายผู้ชั่วร้ายของเธอดันจะไล่ให้เธอไปอยู่กับคุณป้าทิพย์ บ้านของคุณป้าน้ำทิพย์ หรือเรียกอีกอย่างคือบ้านเดิมของแม่นั้นเป็นสถานที่สุดทนทานจริงๆ ถ้าต้องไปอยู่ที่นั่น สู้ยอมกลับเข้าไปอยู่ในกรมทหารยังดีกว่า มีรถขับด้วย

พวกพี่ๆ ก็ไม่ช่วยเธอเลย จะไปอยู่ด้วยก็ไม่ให้อยู่ รถก็ไม่ให้ยืม ทั้งๆ ที่มีบ้านกันคนละหลัง มีรถขับกันแท้ๆ ถ้าเธออยากมีรถขับก็...โน่น ไปอยู่กับป้าทิพย์สิ!

ไม่ไป๊!!!

ก็นี่ไงสาเหตุที่ทำให้สาวสวยท่าทางไฮโซ ลูกสาวท่านนายพลแต่จนกรอบถึงต้องยอมเดินย่ำต๊อกเข้าออกซอยทีเป็นกิโลเมตร โหนรถเมล์ รถสองแถว รถไฟฟ้า แถมทางเข้าหอไอ้พี่ปืนบ้ายังให้ความรู้สึกเหมือนมีผีสิงอีก!

รู้ทั้งรู้ว่าเธอกลัวผียังจะให้อยู่ที่แบบนี้

บีบบังคับกันทุกทางขนาดนี้ คิดมั่งไหมว่า น้องสาวยังเป็นคนที่มีหัวใจเหมือนกันน่ะหา!

โว้ย!

มันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ!

น้อยหน่าเปิดประตูผางเข้ามาในห้องพัก ล็อกห้องแน่นหนา สลัดรองเท้าส้นสูงออก วางกระเป๋าเข้าที่จากนั้น...ทิ้งตัวลงกับพื้นก่อนเริ่มวิดพื้นรัวๆ หาทางเอาความอัดอั้นตันใจทิ้งไปกับเหงื่อ นี่ถ้ายังอยู่ในกรมทหาร เธอคงเข้ายิมไปหาครูฝึกสักคนสองคนมาซ้อมมือด้วยแล้ว

คิดถึงตรงนี้หญิงสาวเพิ่งรู้สึกตัวอย่างจริงจังว่า ไอ้เก่งมันหายไปจริงๆ ไม่มาคอยรองมือรองเท้าให้เธอได้เหวี่ยงแก้เซ็งสักตุ้บสองตุ้บเหมือนเคย แถมยังไม่มาคอยป้วนเปี้ยนเก็บข้อมูลไปคอยรายงานคุณพ่อเธออีกด้วย

‘เกิดอะไรขึ้นกับมันหรือเปล่านะ’

ร่างบางดีดตัวขึ้นจากพื้น คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาซับเหงื่อก่อนคล้องคอไว้ ระหว่างที่เทน้ำดื่มชดเชยเหงื่อเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ เธอก็กวาดตามองไปรอบๆ เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็กที่เธอใช้ทำงานเมื่อคืนนี้ พอเดินไปหยิบดูมันกลับไม่ใช่เอกสารแผ่นเดิมกับเมื่อคืนนี้เสียอย่างนั้น และมีข้อความที่ทำให้หญิงสาวต้องนิ่งคิด ยืนมองมันอยู่นาน

กระดาษโน้ตแผ่นนั้นเหมือนถูกฉีกออกมาจากกระดาษอื่น และหนากว่ากระดาษปกติเล็กน้อย มันเปื้อนคราบเขม่าบางอย่างที่จุดความสงสัยจนหญิงสาวต้องยกขึ้นจดจมูก กระดาษมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้าย...กลิ่นโคโลญผู้ชาย เป็นกลิ่นที่ดมแล้วรู้สึก ‘แพง’ ขึ้นมาทันที มันปะปนกับกลิ่นบุหรี่ กลิ่น...อืม...น้ำมันที่คุ้นๆ แบบแปลกๆ เหมือนเธอเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน แต่ยังนึกไม่ออก และกลิ่นสุดท้ายที่ทำให้ภาพทั้งหมดแจ่มชัดขึ้นมาเลยก็คือ กลิ่น...ดินปืน

ดวงตาของหญิงสาวทอประกายอันตรายขณะปะติดปะต่อจิกซอว์จนเป็นภาพในหัว

ภาพมือใหญ่เขียนตัวหนังสือหวัดๆ ด้วยปากกาเส้นหนาลงบนกระดาษชนิดพิเศษที่ถูกฉีกครึ่งออกมาจากเอกสารบางอย่าง กระดาษแผ่นนั้นอยู่บนโต๊ะเดียวกับที่มีขวดน้ำมัน...น่าจะ WD-40 ละมั้ง น้ำมันอเนกประสงค์ที่นิยมใช้ทำความสะอาดปืน...ต้องเป็นปืนแน่ๆ ไม่งั้นคราบเขม่าและกลิ่นดินปืนนี่จะมาจากไหน ใครบางคนคนนั้นเพิ่งใช้ปืน อาจเพิ่งยิงมาจากสนามยิงปืน หรือไม่งั้นก็อาจเป็นมือปืนที่เพิ่งไปยิงหัวใครสักคนมา

คนคนนั้นใช้ปืน ทำให้มีคราบเขม่าบางเบาติดมือ เขาเอาปืนออกมาล้างขณะที่เขียนข้อความลงไปในกระดาษ ข้อความที่...เป็นการแนะนำทางธุรกิจ!

ปมทั้งหมดที่น่าจะคลี่คลายมันมาสับสนอลหม่านตรงนี้แหละ

ใครคนนั้นเป็นคนสูบบุหรี่ แถมยังใช้น้ำหอมราคาแพง กระดาษก็แพง...ปากกาก็น่าจะแพง...แต่ลายมือขยุกขยุยไปหน่อยนะ เหมือนคนที่ไม่ได้ถูกบังคับให้คัดลายมือและโดนไม้บรรทัดตีมือเวลาเขียนผิดเหมือนที่เธอเคยโดนตอนเด็กๆ บางคำยังสะกดผิดแบบคนไม่คุ้นภาษาไทยด้วยซ้ำ แต่ภาษาอังกฤษที่ปนมานั้นกลับเป๊ะมากจนไม่มีทางที่เขาจะเป็นเด็กเกรียนคีย์บอร์ดไปได้

ที่สำคัญคือไอ้หมอนั่นรู้ได้ยังไงว่า เธอ...กำลังต้องการคำแนะนำเรื่องธุรกิจอยู่!

กระดาษแผ่นเล็กที่แนบมากับประวัติเมื่อวานก็เป็นข้อความแนะนำเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่ติดขัดอยู่ มันจุดประกายให้หญิงสาวเกิดไอเดียนำเสนองานขึ้นมา หลังจากหาข้อมูลเยอะแยะและทำแผนธุรกิจคร่าวๆ เพื่อเอาไอเดียตั้งต้นไปคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ผู้มีเส้นสายซึ่งจะหาแหล่งเงินทุนให้เธอได้

พี่กาย เพื่อนรุ่นพี่ในชุดสูทแบบเกาหลีหน้าตาหล่อเหลาไปในทางนั้นพอสมควร ก็ยิ้มมุมปากก่อนชมเบาๆ ว่า เป็นไอเดียที่ดี แต่...!

จากนั้นเขาก็วิเคราะห์ออกมาเป็นข้อๆ ทั้งโครงสร้างธุรกิจ สินค้า กลุ่มเป้าหมาย และอื่นๆ ว่าโพรเจกต์ของเธอยังมีข้อบกพร่องยิบย่อยอีกเยอะแยะแค่ไหน และไม่เหมาะกับเศรษฐกิจตอนนี้เพียงใด ก่อนตบท้ายด้วยคำแนะนำแบบ...

"ทำไมไม่ทำพวกร้านบุฟเฟต์ ชาบู หมูกระทะ หรือร้านอาหารญี่ปุ่นแบบเด็กจบใหม่มาขอเงินพ่อแม่มาทำล่ะ พวกนั้นขายง่าย กำไรดีจะตาย เทรนด์กำลังมาด้วย"

"พี่คิดว่า..." หญิงสาวเริ่มต้นช้าๆ "คนที่ทอดไข่ดาวยังไหม้ ปิ้งขนมปังยังแหลกไม่ล่ายอย่างน้อยหน่าจะไปทำร้านอะไรดีคะ แค่ช่วยแม่ติดเตาถ่านยังเกือบทำไฟไหม้บ้านมาแล้วเลยไม่อยากจะคุย"

"ขุ่นพระ!" พี่กายอ้าปากค้างตาเหลือกก่อนเก็บอาการอย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าช้าๆ กิริยาแบบ...กะเทยระอาใจ

"เอาเป็นว่า...ไอ้พวกของที่น้อยหน่าคิดจะนำเข้าตอนนี้ พี่ว่ามันยังไม่ได้ ยังไม่โดน แถมหลายอย่างยังหมิ่นเหม่จะผิดกฎหมาย"

"ผิดกฎหมายยังไงวะ" น้อยหน่าชักหัวเสียเมื่อโดนติติงในเรื่องที่คิดว่าตัวเองไม่ผิด

"อย่าง...เสื้อเกราะกันกระสุนเนี่ยผิดแน่ๆ เพราะเป็นยุทธภัณฑ์ห้ามพลเรือนครอบครอง หล่อนจะเอาไปขายใคร้! กุญแจมืองี้ กระบองไฟ หมวกกันน็อกยุทธวิธีทหาร หล่อนจะเอาของพวกนี้ไปขายใครไม่ทราบยะ! ถามจี๊ง!!!"

"มีทหารที่รู้จักกันอยู่แถวที่มันต้องใช้ และพวกเขาก็ขาดแคลนกันจริงๆ นะ"

"แล้วไง!?" เจ๊กายของขึ้น "เธอจะสั่งนำเข้ามาขายใคร เป้าหมายเธอมีแค่ทหารพวกนั้น แล้วลูกค้าอื่นทั่วราชอาณาจักรที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ไม่ต้องหาอะไรไปขายเลยใช่มะ อีกอย่าง ของพวกยุทธภัณฑ์พวกนี้มันก็ต้อง

จัดซื้อผ่านกองทัพหรือเปล่า หรือเธอจะบอกว่าใช้เส้นพ่อเธอยื่นซองประมูลงบกองทัพซื้อขายแบบผูกขาดกันไปเลย ถ้าแบบนั้นเจ้ก็ไม่ซีฯ นะ ขอแค่มีใบสั่งซื้อมาก็เอามาค้ำก็เอาเงินออกมาหมุนได้แล้ว"

คนฟังทำหน้าเบ้เมื่อคิดว่าจะต้องไปเจรจากับบิดาผู้บ้าคลั่ง หลังจากถกเถียงกับกายไปอีกหลายยก ได้รับการอบรมกึ่งเหน็บแนมจากเพื่อน (สาว) รุ่นพี่ไปพอสมควร หญิงสาวก็เก็บความผิดหวังใส่กระเป๋ากลับห้อง จนมาได้รับแรงบันดาลใจใหม่ๆ จากกระดาษแผ่นนี้นี่ละ

แต่...

สีหน้าของหญิงสาวครุ่นคิดหนัก ขณะกวาดตาสำรวจไปรอบห้องอีกครั้ง มีร่องรอยการทำความสะอาดและกระดาษสองแผ่นเมื่อวานนี้ก็ไม่อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้เก็บพวกมันทิ้ง

หรือไอ้คนที่เข้ามาทำความสะอาดมันจะเก็บทิ้งให้

หญิงสาวมองไปยังถังพลาสติกสีสวยที่สวมถุงขยะไว้ เมื่อก่อนมันมักเต็มจนล้น กว่าจะถูกถอดเอาไปทิ้ง แต่นี่กลับสะอาดโล่งว่าง...ไร้ร่องรอย เอกสารที่ผ่านตาเมื่อวานนั้นถูกทำให้หายสาบสูญไปแล้ว

น้อยหน่าขมวดคิ้วอย่างตริตรองก่อนคว้าโน้ตบุ๊กมาเปิดเซิร์ชเอนจินยอดนิยมขึ้นมา ค้นหาข้อมูลบางอย่างอยู่สองสามหน้าต่าง ก่อนต้องขมวดคิ้วเป็นปมกว่าเดิมเมื่อพบเงื่อนงำลึกลับบางอย่าง

คราวนี้ลึกลับของจริง ฟันเฟิร์ม!

ในอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตระกูลอรรคนีย์พิทักษ์ ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่สืบเชื้อสายมายาวนาน สาแหรกของตระกูลแตกแขนงไปเป็นสิบๆ สาขา และที่น่าประหลาดใจคือ ไม่มีข้อมูลของหมอนั่นเท่าไรนัก นอกจากคำอธิบายง่ายๆ สั้นๆ ถึงความสัมพันธ์ของบิดา มารดา เธออ่านเจอว่าเขาเป็นลูกคนโตที่มีน้องชายอีกคนหนึ่งคือ อาคเนย์ อรรคนีย์พิทักษ์ น้องชายที่กลายเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน...

แล้วข้อมูลของหมอนั่นหายไปไหน

ในอินเทอร์เน็ตมีแต่ข้อมูลของอาคเนย์ซึ่งก็ไม่ได้มาก เพราะดูเหมือนมหาเศรษฐีติดอันดับประเทศตระกูลนี้จะเป็นพวกเก็บตัวพอสมควร

แต่เก็บตัวยังไง...ก็ไม่ควรไร้ข้อมูลขนาดนี้ปะ

ข้อมูลทุกอย่างของ อัคนี อรรคนีย์พิทักษ์ ดูเหมือนสูญหายไปอย่างมีเงื่อนงำ รวมถึงกระดาษที่ไอ้เก่งพรินต์มาให้เมื่อวานนี้ด้วย ยังดีหรอกที่เธอเป็นคนความจำดี น้อยหน่าคว้ากระดาษและปากกาขึ้นมาก่อนหลับตานิ่วหน้า ทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจดที่อยู่หนึ่งลงไปในนั้น เป็นที่อยู่จากความทรงจำเลือนรางจากการเห็นเพียงครั้งเดียว

ที่อยู่นั้น...ไม่รู้ไอ้เก่งมันไปหามาจากไหน จริงหรือยกเมฆก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คือเธอพับแผ่นกระดาษนั้นแล้วหาที่เก็บที่ไม่น่าจะหายง่ายๆ ก่อนมองนาฬิกา เตือนตัวเองว่าได้เวลา 'ทำงาน' แล้ว

งานอย่างหนึ่งของน้อยหน่าคือ การเดินออกไปเคาะห้องข้างๆ ชวนพูดคุยอะไรนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเขายังโต้ตอบดีก็ไม่ยืดเยื้อนานนัก ก่อนจะไปเคาะห้องถัดไป แวะไปจนครบทุกห้อง ไม่เว้นแม้แต่ห้องลุงหาญเจ้าของเสียงนกหวีดตอนตีห้าครึ่งนั่น

ข้อตกลงหนึ่งในการมาอยู่ที่นี่ของเธอ คือการต้องช่วยพี่ปืนดูแลอดีตทหารป่วยเหล่านี้ อาการ PTSD ของหลายคนนั้นค่อนข้างหนัก ฝันร้าย นอนไม่หลับ กลัวเสียงดัง กลัวผู้คน และอีกสารพัดอาการที่เธอต้องเจอ มันยิ่งทำให้ทัศนคติต่อทหารของเธอติดลบเข้าไปใหญ่

"เออ มีใครเห็นไอ้เก่งบ้างไหมอะ" หญิงสาวได้โอกาสถามหาจากคนที่น่าจะอยู่บ้านตลอด

"เห็น มันมาเปิดห้องทำความสะอาดให้ทุกวันเลยนี่นา" พี่วิเชียรตอบ เขาเป็นทหารปลดประจำการที่ขาขาดจากเหตุระเบิดจนออกไปหางานทำข้างนอกไม่ได้ ต้องหางานเล็กๆ น้อยๆ มานั่งทำอยู่ที่ห้อง

"แต่น้อยหน่าไม่เห็นมันเลยนะ ไม่รู้มันหายหัวไปไหน" หญิงสาวบ่นพึมพำท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างมีนัยประหลาดของเพื่อนร่วมหอ

"คุณน้อยหน่าก็...เพลาๆ มือลงบ้าง อย่ากระทืบมันหนักมือนักเลย"

"แหม...พี่เชียรก็พูดไป ทำยังกะน้อยหน่าไปซ้อมมันเจ็บหนักอย่างนั้นแหละ"

คู่สนทนาซึ่งเป็นคนพูดน้อยเก็บงำความรู้สึกอยู่แล้วส่ายหัวนิดๆ ไม่พูดต่อ ขณะที่ลุงหาญเอ่ยทะลุกลางปล้อง

"กระทืบมันแล้วจะเสียหายตรงไหนกัน ลูกผู้ชายทนมือทนเท้าไม่ได้จะไปรบได้ยังไง"

"แต่นี่มันก็น่วมไป..." ถ้อยคำงึมงำนั้นดังอยู่ในคอของวิเชียรจนไม่มีใครได้ยิน

หลังจากได้รับคำยืนยันแล้วว่าเก่งยังมีชีวิตอยู่ และยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ หญิงสาวก็วางใจได้เปลาะหนึ่งว่าลูกไล่ที่เป็นที่รองมือรองเท้าเธอไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง แม้จะปากร้ายด่าทอกันอย่างไร้เหตุผลไปบ้าง ซ้อมกันหนักมือไปบ้าง แต่หญิงสาวก็นับว่าเป็นคนที่รักพวกพ้องและลูกน้องอยู่พอควร

ในเมื่อเจ้าลูกน้องไม่ยอมเสนอหน้ามาให้ถามไถ่ เห็นที...คิดแล้วริมฝีปากของหญิงสาวก็เบ้นิดๆ อยู่ในท่าใช้ความคิดหนัก ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง จากนั้นเปิดโน้ตบุ๊กเสาะหาร้านค้าที่ขายของบางอย่าง ของบางอย่างที่ทำให้เธอติดใจจนต้องหาข้อมูลต่อจนลืมเวลาไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีเพราะเสียงโทรศัพท์ดังระรัว

น้อยหน่ามองเวลาที่สายโทร. เข้ามาด้วยสายตาสงสัย ไอ้เก่งมันจะโทร. เข้ามาทำไมตอนเที่ยงคืนสามนาที

‘หรือ หรือ...มันมีเรื่อง!?’

"ฮัลโหล เก่ง มีอะไร" หญิงสาวรับสายด้วยน้ำเสียงร้อนรน ยิ่งอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป เธอยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากลไปกันใหญ่ "ฮัลโหล...เก่ง ไอ้เก่ง บอกมาเป็นอะไร" ท้ายเสียงของหญิงสาวดุดันอย่างคนพร้อมจะไปลุยทุกที่ที่ลูกน้องกำลังเดือดร้อน

"...คุณน้อยหน่า...ดึกแล้ว นอนได้แล้ว" เสียงของเก่งอึกอักเหมือนโดนใครสักคนบังคับให้พูด ก่อนวางสายไปแบบคนฟังยังต้องงง เพราะจับต้นชนปลายแทบไม่ถูก

‘ดึกแล้ว นอนได้แล้ว...

‘คือไรวะ!?’

หญิงสาวกดโทร. กลับไปเบอร์เดิมที่โทร. เพื่อพบว่า...มันปิดเครื่องไปแล้ว

‘ไอ้เก่ง! อะไรของเอ็งงงง’

หญิงสาวแทบยกมือขึ้นเกาหัว แต่ข้อความจากไอ้เก่งก็ทำให้เธอรู้สึกตัวขึ้นมาแหละว่าง่วงน่าดูแล้วเหมือนกัน เพราะเมื่อคืนนี้ก็แทบไม่ได้นอน

‘เออ! นอนก็ได้วะ!’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น