6

บทที่ 6



6

 

ตู้รับจดหมายยังคงล้นอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีจดหมายใหม่ๆ บิลใหม่ๆ ถูกยัดเข้ามาจนแออัด

นี่หมอนั่นไม่คิดจะหาคนมาจัดการเรื่องพวกนี้จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย

หญิงสาวคิดอย่างขัดใจขณะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นหญ้า ลงมือคัดแยกส่วนที่เป็นบิลค่าใช้จ่ายออกมา ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ จนได้ปึกใหญ่แล้วลุกพรวดขึ้น มือหนึ่งถือเอกสารไว้ขณะอีกมือกดโทรศัพท์หาหมายเลขที่คุ้นเคย อันเป็นที่รองมือรองเท้ามาตลอด แต่ทำตัวล่องหนหายไปตั้งหลายวันแล้ว

เป็นไปตามคาด เสียงเรียกเข้าดังแว่วๆ อยู่ที่ไหนสักแห่งไม่ไกลนัก

"ไอ้เก่ง ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันมีเรื่องให้แกช่วย" น้อยหน่าประกาศกร้าว ทั้งต่อเครื่องมือสื่อสารและผู้ที่เธอต้องการตัว ซึ่งมันน่าจะซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล

"คะ...คุณน้อยหน่ามีอะไรให้ทำครับ" เสียงหวาดระแวงดังอยู่ใกล้ๆ ตอนนี้เธอเห็นมันแล้ว มันหันซ้ายหันขวาล่อกแล่กดุจกลัวใครมาเจอ นี่มันได้รับคำสั่งให้ซ่อนตัวจากเธอหรือไงกันนะ

แถมเมื่อกี้ยังซ่อนเสียมิดจนเธอเกือบไม่เห็น

อ้อ...นี่สินะ

ไอ้ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกเฝ้าดูที่รู้สึกมาตลอดหลายวันนี้

ความรู้สึกว่าโดนสะกดรอย แต่ไม่เห็นตัวคน...เธอไม่ได้คิดไปเองจริงๆ

มีรอยพึงพอใจในดวงตาคมวาวของหญิงสาวยามกวาดมองแล้วพบว่า คนของเธอไม่ได้มีรอยแผลใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้น รอยเก่าที่มีก็จางลงตามอายุบาดแผล

ความที่คุ้นเคยกับแผลและเรื่องเจ็บตัวทำให้เจ้าตัวไม่มามัวใส่ใจแผลเก่านัก และการไม่มีแผลเพิ่มใหม่ทำให้สามารถปล่อยวางเรื่องที่ลูกน้องถูกซ้อมลงได้...ชั่วคราว

รอจังหวะการคิดบัญชีทบต้นทบดอกทีหลังยังไม่สาย แต่ตอนนี้...

"ฉันมีเรื่องให้แกไปทำ" น้อยหน่ายัดปึกบิลเรียกเก็บเงินค่าสาธารณูปโภคที่รวบรวมไว้ใส่มือลูกน้องคนสนิท ก่อนเปิดกระเป๋าหยิบปึกเงินที่น่าจะพอกับค่าใช้จ่ายที่เมื่อกี้กวาดตาดูแล้วบรรดาบิล พร้อมกับบอกว่า

"ไปจ่ายบิลพวกนี้ให้ที"

"หา!" เก่งอ้าปากค้าง ตาค้างกับคำสั่งแสนประหลาด รวมถึงปึกเงินกับเอกสารในมือที่ถูกยัดใส่มา แต่ไม่มีเวลางุนงงมากนัก เพราะเจ้านายสาวหมุนตัวเดินดุ่มไปที่ทางเดินเข้าสู่สวนแล้ว

"คุณน้อยหน่า...อย่าไปทางนั้นครับ มันอันตราย" คำเตือนของเขาได้รับคำตอบเป็นการโบกมือจากอีกฝ่ายทำนองไม่เป็นไร หญิงสาวเดินห่างออกไปทุกที จนเก่งต้องกล้ำกลืนคำเตือนอีกประโยคที่อยากตะโกนบอกเหลือเกินว่า

'ไอ้หมอนั่นยิ่งเป็นตัวอันตราย!'

ในที่สุดร่างโปร่งบางลับหายไปในดงไม้ ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนมองปึกบิลในมือ พร้อมเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจสักนิด

...

'ไอ้หมอนั่น' ผู้ที่เมื่อครู่ไม่ทันได้ถูกเอ่ยถึง และเป็นเป้าหมายหลักในการมาเยือนของน้อยหน่าครั้งนี้ กำลังดื่มน้ำอยู่ในครัว เครื่องมือสื่อสารของเขาหวีดเสียงจนต้องสบถ แต่ก่อนที่เขาจะได้ด่าทอให้สมใจ อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“มาอีกแล้วนะ”

"อะไรมา" คนถามยกขวดน้ำดื่มกรอกลงคออย่างไร้พิธีรีตองและไร้อารยธรรมสุดๆ

อยู่ในบ้านตัวเองต้องสนมารยาททำไมวะ นั่นเป็นหลักการที่อัคนียึดถือมาตลอด ก่อนจะสำลักเพราะคำพูดของลูกน้อง

“แฟนมา”

อัคนีเช็ดน้ำที่สำลักจนพุ่งออกมาเลอะเทอะเต็มหน้า ก่อนกัดฟันถามกลับไป

"ใครนะ"

“คุณน้อยหน่าไง ไปทำอะไรให้เขาติดใจนักหนาเนี่ย ถึงมาหาไม่เลิกขนาดนี้” คำถามกลั้วเสียงหัวเราะลงลูกคอแบบกวนประสาท ยิ่งเรียกเสียงสบถจากเขาได้อีกฝ่ายยิ่งชอบใจ

"มาก็มาไป ยังไงก็คงไม่ฟลุคเจอทางเข้าอีกรอบหรอกน่า" อัคนีพ่นลมออกจมูกด้วยสีหน้าหยันๆ ก่อนต้องสำลักน้ำอีกรอบเพราะรายงานของลูกน้อง

“เดินผ่านป่ามาจนจะถึงประตูอยู่แล้วครับพี่”

"ไอ้ฉิบหาย! เขาเข้ามาได้ยังไงวะ" 'ลูกพี่' ถามปนสบถดังลั่น

“ไม่รู้เหมือนกัน จะให้ทำยังไงกับกับดักดีล่ะ ลวกเพี่ย” คำถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาทเรียกเสียงสบถได้อีกรอบ ก่อนอัคนีจะตะโกนออกมาหน้าดำหน้าแดง

"ปิดสิโว้ย!"

ขณะอัคนีสบถด่าทออย่างดุเดือด เสียงหัวเราะฮาครืนที่บ่งบอกให้รู้ว่าคนที่อยู่ในห้องควบคุมตรงไหนสักแห่งซึ่งกำลังจับตาดูสภาพความเป็นไปของเขาอย่างใกล้ชิดนั้นมีมากกว่าหนึ่งคน และสนุกสนานกับการรับมือกับตัวปัญหาของเจ้านายกันอยู่

ขณะที่ 'ตัวปัญหา' ซึ่งไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นตัวปัญหา กำลังบุกรุกเข้ามาอีกครั้ง

‘ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักอยู่เฉยๆ บ้างเลยหรือไงกันวะ’

คนคิดหงุดหงิดจนต้องอัดบุหรี่ติดๆ กันจนควันโขมงไปทั่วห้องเล็กๆ ที่เขาพาตัวเองมาซ่อนตัวอยู่

เธอจะทำตัวนิ่งๆ ดีๆ อยู่เฉยๆ สักหลายๆ วัน...เป็นเดือน หรือจะให้ดีหายไปสักหลายๆ ปีเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้เลยหรือไงกัน

ทำไมต้องเจาะจงโผล่มาตอนนี้...

เมื่อคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ กิริยาอาการของชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นว้าวุ่นยิ่งกว่าเดิม อย่างที่ไม่มีใครเคยเห็น

"เขาทำอะไรอยู่" ชายหนุ่มถามลูกน้อง หวังจะให้มันพอบรรเทาความกระวนกระวายลงไปได้บ้าง

“อ่านหนังสืออยู่” คนบอกมีน้ำเสียงเบื่อๆ แหงละ ต้องมานั่งเฝ้าดูคนอ่านหนังสือเป็นชั่วโมงๆ ใครบ้างจะไม่เบื่อ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นสาวสวยก็เหอะ

"หือ?" น้ำเสียงประหลาดใจนั้นไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมจากลูกน้อง ทำให้คนเป็นนายต้องกัดฟันถาม "รายละเอียด?"

“อืม...” เสียงงึมงำคล้ายคนตอบกาแฟจิบไปด้วย ก่อนรายงานอย่างไม่ใส่ใจ “เป้าหมายอยู่ในครัว กำลังอ่านแมกาซีนอยู่ อืม...นิตยสารปืนกับระเบิดน่ะ โอ๊ะ เปลี่ยนแล้ว เป็นเซ็กซี่แมกาซีนอะไรสักอย่างที่เห็นหยิบมาจากตู้จดหมายแน่ะ”

นิตยสารหัวผู้ชายแบบติดเรตถูกเอ่ยขึ้น อัคนีนึกออกเลยว่า ผู้บุกรุกคงทำตาโตกับความโจ๋งครึ่มในหนังสือพวกนั้นอยู่ นั่นทำให้เขาแทบอยากทึ้งผมตัวเองพร้อมกับคำรามไปด้วย

ยายตัวแสบ!

นี่จะไม่ยอมปล่อยให้เขาได้อยู่อย่างสงบสุข พักหายใจหายคอกันเลยเรอะ

ทำไมถึงไม่ไปใช้เงินที่ได้กำไรมหาศาลจากหุ้นซะเล่า นี่ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นหากเห็นจำนวนเงินที่เธอมี ป่านนี้ไม่วิ่งเข้าห้างสรรพสินค้าและหายไปในกองของแบรนด์เนมก็แปลกประหลาดละ

หรือไม่อย่างนั้น...เธอก็น่าจะพุ่งไปจัดการกับบริษัทของตัวเองที่กำลังขาดสภาพคล่องและมีภาวะลุ่มๆ ดอนๆ มากกว่าจะมาบุกรุกบ้านชาวบ้านแบบนี้นะ

ขณะที่ฝ่ายเจ้าของบ้านงุนงงกับการกระทำของหญิงสาวอยู่ แต่สาวเจ้ากลับไม่ลังเลสักนิดเมื่ออ่านบรรดานิตยสารที่หยิบมาจากตู้จดหมายหน้าบ้านจนจบกอง และคิดจะลุกไปหยิบหนังสืออื่นๆ จากชั้นมาอ่านเพิ่ม ก่อนจะได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องคนสนิทว่าจัดการ 'ธุระ' ที่เธอสั่งไปเรียบร้อยแล้ว

น้อยหน่ามองนาฬิกา เพื่อพบว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้เกือบสองชั่วโมงแล้ว บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ของคนที่ดูมีงานยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลามาดูแลเรื่องพวกนี้ก็ได้รับการชำระแล้วเรียบร้อย

หญิงสาวผุดลุกขึ้น กวาดตามองไปทั่วห้องครัวกว้าง หยุดสายตาที่เครื่องทำกาแฟนานหน่อย จากการสำรวจก่อนหน้านี้ เธอพบว่ามีกาแฟผงแบบพรีเมียมหลายยี่ห้อและหลายรสชาติสำหรับเครื่องชงกาแฟที่อยู่ตรงหน้า มันเก็บไว้อยู่ในตู้เก็บของใกล้ๆ

ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าหญิงสาวจะตัดใจ หันไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่มออกมา ก่อนเดินไปเปิดตู้ในครัวหาแก้วน้ำมาใบหนึ่ง รินน้ำดื่มแล้วล้างเก็บที่เดิม ก่อนจะเดินกลับมาเก็บขวดน้ำดื่มแช่เย็นไว้ดังเดิม...ทำเหมือนกับเป็นบ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

อัคนีสูดลมหายใจลึกและหายใจออกยาวอย่างข่มใจกับคนถือวิสาสะอยู่ในครัวบ้านชาวบ้านอย่างไร้ความเกรงใจใดๆ ภาพห้องครัวอันคุ้นเคยแวบเข้ามาในสมองและที่น่าตกใจหนักกว่านั้นคือ มโนภาพของหญิงสาวในครัวเขามันเด่นชัดขึ้นทุกที

ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนพลันย้อนกลับคืนมา ตอนนั้นเขานั่งนิ่งๆ อยู่ในความมืดกับหญิงสาวที่ลืมตัวหลับใหลอยู่ในครัวของเขา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร หลายครั้งที่เขาเกือบเอื้อมไปสัมผัสคนตรงหน้า แต่ก็ต้องชะงักค้างไว้ เตือนตัวเองว่าเขาในตอนนี้ 'สกปรก' เกินกว่าจะไปแตะต้องเธอ

ภาวะกระอักกระอ่วนนั้นดำเนินไปชั่วพักก่อนโทรศัพท์มือถือของเธอจะส่งสัญญาณว่า มีข้อความเข้าทำให้เขาเผลอหยิบมาดูก่อนกวาดตาอ่านคร่าวๆ ก็รู้ว่ามีคนส่งรายงานเรื่องหุ้นมาให้

สีหน้าในเงามืดนั้นยากจะคาดเดา เมื่ออารมณ์ของเขาดิ่งลึกไปสู่บทสนทนาที่เคย 'สัมภาษณ์' ลูกน้องเธอ หลังจากโดนทั้งไม้อ่อนไม้แข็งเข้าไปจนน่วม เก่งก็ยอมร่วมมือตอบคำถามแต่โดยดี

'พี่ๆ รวมหัวกันแกล้งคุณน้อยหน่าครับ' ลูกน้องหรืออีกนัยหนึ่งคือ สปายของท่านนายพลยอมแฉหมดเปลือก ถึงเรื่องในบ้านเจ้านาย ไม่ว่าความพยายามของครอบครัวในการห้ามไม่ให้เธอมาใช้ชีวิตอยู่นอกกรมทหารเพียงลำพัง ความพยายามกดดันต่างๆ นานา ขู่จะตัดเงิน ตัดบัตรเครดิต บังคับให้ไปอยู่หอพักในซอยเปลี่ยว รวมถึงแผนการลับที่สร้างอุปสรรคขัดขวางเพื่อไม่ให้บริษัทของหญิงสาวดำเนินการได้อย่างราบรื่น

พอเล่าแล้ว...ดูเหมือนจะทำให้คนฟังอินไปด้วยไม่น้อย ทำให้เก่งอดเผลอเล่าต่อไปไม่ได้ถึงการถูกเคี่ยวกรำมาตั้งแต่เด็กๆ ของหญิงสาวซึ่งใครๆ คิดว่ามีชีวิตดีสุดแสนจะเพอร์เฟกต์ ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น แม้จะไม่ได้ยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่มีทางเรียกว่า ‘สะดวกสบาย’ เป็นลูกคุณหนูอย่างที่ควรเป็น

'ทำไม...' อัคนีกัดฟันถามกลั้นความโมโหไว้เต็มที่ 'ทำไมคนบ้านนั้นต้องทำอย่างนั้นกับเขาด้วย ลูกสาวคนเดียวเลี้ยงให้มันดีๆ สมศักดิ์ศรีหน่อยไม่ได้หรือไง หรือเขาเป็นลูกเมียน้อยเลยต้องถูกโขกสับ'

คำถามที่แฝงอารมณ์เกรี้ยวกราดนั้นแทบทำให้เก่งอยากตะโกนว่า จะไปรู้เรอะ! แต่ที่เขาทำได้คือระงับอกระงับใจ ตอบออกไปแบบคาดเดา

'คงเป็นความรักแบบทหารมั้งครับ ท่านนายพลคงกลัวว่าคุณน้อยหน่าจะอ่อนแอแล้วโดนรังแกได้ง่ายๆ ได้ยินท่านสอนคุณน้อยหน่าอยู่บ่อยๆ ว่า...เป็นลูกทหารต้องอดทน'

มีเสียงโครม! เหมือนใครบางคนเดือดจัดจนเตะอะไรหนักๆ สักอย่างกระเด็นกระแทกผนังเพื่อระบายความเดือดดาลที่พลุ่งพล่าน

อดทนห่าเหวอะไร! เสียงสบถในใจอัคนีดุเดือดขึ้นทุกที

มีเหตุผลอะไรที่ผู้หญิงคนนี้ต้องยอมทน

คนบ้านนั้น...ทำไมคนพวกนั้นถึงทำกับเธอแบบนี้

ไม่เห็นหรือไงว่าผู้หญิงคนนี้...น่า...น่า...เอ่อ...ยังไงก็ไม่ควรทำแบบนั้นกับเธอ

ผู้หญิงคนนี้โดนรังแกเหมือนคนที่บ้านเขาทำกับไอ้อาร์คไม่มีผิด!

ฉับพลันภาพใบหน้าน้องชายตอนที่ยังเป็นเด็กชายก็ลอยขึ้นมาในความทรงจำ น้องชายผู้ทำตัวสูงส่งอยู่เสมอ ว่าง่าย ไม่เคยดื้อ ไม่เคยซน ผิดกับเขาราวฟ้ากับเหว แม่ก็ชื่นชมมันอยู่ตลอดเวลา ใครๆ ก็ชื่นชมรักใคร่เด็กดีว่าง่าย มันเป็นลูกรักของแม่และคนในตระกูลชัดๆ แต่แล้วอยู่ๆ โลกก็พลิกกลับราวกับตีลังกาเสียอย่างนั้น

เขาโตพอจะรู้เรื่องแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพ่อกับแม่ รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพล่ามถึงความจำเป็น ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และอื่นๆ บลาๆๆ ต่างๆ นานา พล่ามกันแต่หาเหตุผล...เหตุผลที่สำหรับเขาแม่งโคตรไร้เหตุผลเลย

ไม่มีเหตุผลใดที่สมเหตุสมผลในการพรากพี่น้องออกจากกันทั้งนั้น!

สายเลือดและความผูกพันของความเป็นพี่น้อง มันหย่าขาดจากกันเหมือนความสัมพันธ์ชายหญิงได้จริงๆ งั้นหรือ

ทำไมเขากับไอ้อาร์ค...คนที่เขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแปดปี ถึงต้องแยกจากกันด้วยเหตุผลบ้าๆ พวกนั้น

มันโคตรไม่ยุติธรรมกับไอ้อาร์คเลย!

คิดแล้วภาพของผู้หญิงคนนั้นก็ลอยขึ้นมาซ้อนกับภาพน้องชายเขา

เธอก็ได้รับความอยุติธรรมจากครอบครัว เหมือนๆ กับที่อาร์คเคยโดน

ถูกบีบบังคับทุกทาง ในโลกนี้หากไร้เงิน ไร้การสนับสนุนจากอิทธิพลทางบ้าน ชีวิตย่อมต้องยากลำบากอยู่แล้วละ ดูอย่างชีวิตที่ผ่านมาของไอ้อาร์คนั่นไง

รอยยิ้มหยันเหยียดขึ้นบนใบหน้ายามเขาตอบไลน์กลับไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ด้วยความรู้เดิมและสัญชาตญาณทางธุรกิจที่สั่งสมมาจากตำแหน่ง 'ว่าที่' ผู้นำตระกูลซึ่งเรียนรู้งานด้านธุรกิจมา จะบอกว่าตั้งแต่จำความได้ก็ว่าได้

แถมทั้ง...ด้วยข้อมูลภายในที่เขาได้รับรู้ ทำให้การเก็งหุ้นนั้นไม่ยากเย็นเลยสักนิด

เออ! เขาโกง!

แล้วใครจะทำไมล่ะ

รอยยิ้มเหยียดหยันเย้ยโลกอย่างคนที่ไม่แคร์อะไรทั้งสิ้นขยายกว้างบนใบหน้าอัคนี ก่อนสั่งกายให้ซื้อหุ้นที่รู้ผลกำไรล่วงหน้าอยู่แล้วนั้น

อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าเขายื่นมือให้ความช่วยเหลือ คนพวกนั้นจะมีปัญญาทำร้ายอะไรเธอได้อีก!

อยากเห็นเหลือเกิน ยามผู้หญิงคนนี้ใช้ความสำเร็จที่มีโต้กลับทุกๆ ความพยายามในการกลั่นแกล้งเธอ

ไม่มีอะไรตอบแทนพวกคนที่ทำร้ายเราได้ดีเท่าการประสบความสำเร็จท่ามกลางอุปสรรคขัดขวางอีกแล้ว!

แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ...ได้เงินไปต่อยอดธุรกิจแล้วแท้ๆ เธอยังมาที่นี่ทำไมอีก

แว่วเสียงรายงานมาคล้ายว่าเธอลุกออกมาแล้ว

คง...กลับแหละ

แหงละ ต่อให้นั่งรอให้เขาปรากฏตัวอย่างมีน้ำอดน้ำทนแค่ไหน แต่หลายชั่วโมงขนาดนี้แล้ว...ใครจะมารอ

รอยยิ้มในความมืดเหมือนมีความขมขื่นเจือปนอยู่จางๆ ก่อนหลับตาลงช้าๆ

หลับ...ที่ก็คงไม่พ้นจากการฝันร้าย

หลับ...ทั้งๆ ที่รู้ว่าในนิทราอันหม่นหมองนั้นมีอะไรรออยู่

แต่ยังไม่ทันหลับ เขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะประตูที่เปิดผางออก

เมื่อมองย้อนแสงท่ามกลางความมืดก็เห็นผู้บุกรุกเป็นเพียงกรอบเงาโครงร่างบางๆ ร่างหนึ่งที่...เขาเริ่มคุ้นตา...ชายหนุ่มเก็บปืนในมืออย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้แล้วว่าผู้บุกรุกคราวนี้เป็นใคร

เพียงแต่...

"คุณเข้ามาได้ยังไง" เขาถามพร้อมกับยืนขึ้นช้าๆ เงยหน้านิดหนึ่ง มองร่างโปร่งบางของหญิงสาวท่ามกลางแสงสว่างที่ทอดให้เห็นบันไดห้าขั้นสู่ชั้นใต้ดินซึ่งทำเป็นห้องลับอย่างแนบเนียน บานประตูพร้อมระบบนิรภัยนั้นแน่นหนาจนแม้แต่มืออาชีพยังเจาะเข้ามาไม่ได้ง่ายๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ดันทำได้!

"ฉันเข้าไปได้ไหม" คำถามเปี่ยมมารยาทเพิ่งออกจากปากเธอหลังจากบุกรุกเข้ามาสำรวจทุกซอกทุกมุมบ้านเป็นหนที่สองเข้าไปแล้ว คนในเงามืดที่เธอมองไม่เห็นตัวเงียบไปชั่วพัก ก่อนมีเสียงการเคลื่อนไหวเบาๆ พร้อมคำอนุญาตแบบจำใจปนอ่อนใจ

"เชิญ"

คำเชื้อเชิญดังมาจากในห้องมืดมิด มันลึกลับเหมือนตัวเจ้าของบ้านไม่มีผิด หลังได้รับคำเชิญด้วยที่น้ำเสียงเหมือนคนกัดฟันพูด หญิงสาวก็ก้าวลงบันไดเพื่อเข้าไปสู่ความมืดในห้องอย่างไม่ลังเล

ทว่า...แค่ย่างเท้าเข้าไปก้าวแรก หญิงสาวก็ต้องผงะทั้งที่ยังไม่เห็นตัวเจ้าของบ้าน เพราะกลิ่นบุหรี่ฉุนจัดที่อวลอยู่ในห้องอับทึบ ไม่มีเครื่องระบายอากาศ จนต้องยกมือขึ้นอุดจมูก

ควันบุหรี่มือสองเข้มข้นขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ!

หลังจากกะพริบตาปรับสายตาอยู่ชั่วครู่ ก็มองเห็นร่างสูงทะมึนที่ยืนอยู่ในความมืดได้รางๆ เพราะห้องเล็กทำให้ก้าวยาวๆ อีกสองก้าวก็ถึงตัวคนตัวสูงนั่นแล้ว หญิงสาวคว้าข้อมือเขาก่อนลากร่างสูงให้เดินตามมา ซึ่งเขาคงยังงงอยู่ เพราะยอมเดินตามเธอออกมาแต่โดยดี

ไม่เคยมีครั้งใดที่แสงสว่างและอากาศสดชื่นจะทำให้เธอดีใจเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย พ้นออกมาจากห้องใต้ดินเหม็นๆ นั่นสักสองสามก้าว หญิงสาวก็สูดลมหายใจลึกและหายใจออกยาวหลายเฮือกก่อนหันไป...แล้วก็ต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า

ด้วยส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นต์ของเธอนั้น น้อยหน่านับว่าไม่ใช่คนตัวเล็กตามเกณฑ์ของผู้หญิงไทย เธอสูงกว่าผู้ชายหลายๆ คนด้วยซ้ำไป แต่ความสูงนั้นกลายเป็นเด็กน้อยไปทันที เมื่อมาเทียบกับ...ยักษ์!

ใครสั่งใครสอนให้ผู้ชายคนนี้ตัวใหญ่ขนาดนี้เนี่ย!?

‘เกินร้อยเก้าสิบแหงๆ’ หญิงสาวกวาดตาสำรวจคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยกิริยาที่ไม่สนใจมารยาทสักนิดเดียว ผู้ชายตัวมหึมาตรงหน้าอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงสีเข้มดูมืดทะมึนไปทั้งตัว ผิดกับลุคแรกที่เธอสะดุดตาจนต้องสั่งให้เก่งตามไปสืบเรื่องของเขา ตอนนั้นเขาสวมเชิ้ตสีขาวพับแขนที่ดูไกลๆ แล้วราวกับอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่ง...ดูเหมือนเธอจะคิดผิด

ผู้ชายตรงหน้านอกจากเสื้อผ้าที่ดำสนิทแล้ว สีหน้าเขายังทะมึนอีกต่างหาก ตั้งแต่เธอเจอคนทำหน้าบึ้งใส่มาทั้งชีวิต มีหมอนี่แหละที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ราวโกรธขึ้งกันมาเป็นร้อยปีขนาดนี้

แต่พอคิดได้ว่า ตัวเองกำลังบุกรุกบ้านเขาอยู่...รอบที่สองเข้าไปแล้วด้วย บวกกับเรื่องที่กำลังจะมาตกลงกับเขานั้น ต้องอาศัยความสมัครใจของเขาอยู่บ้าง...รอยยิ้มของเธอจึงกว้างและบรรจงใส่ความหวานเข้าไปจนตาหยีอย่างไม่สนใจคนหน้าบึ้ง ที่ยิ่งหน้าเคร่งเข้าไปใหญ่เมื่อได้รับรอยยิ้มนั้น

หน็อย...ส่งยิ้มหวานล่อลวงกันขนาดนี้แล้ว ยังไม่สะดุ้งสะเทือนอีก!

ดูท่าคงจะใช้การเฟลิร์ตใส่ไม่ได้ผลแฮะ เอาไงดี...งั้น...จริงใจใส่ให้แบบสุดๆ ไปเลยแล้วกัน!

คิดแล้วหญิงสาวจึงเชิดหน้าสูง สูดลมหายใจลึก กลิ่นบุหรี่ที่เข้มข้นจนแม้ออกนอกห้องมาแล้ว ระยะที่ยืนไม่ได้ใกล้กันนักก็ยังได้กลิ่น บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะหมกตัวอยู่ในห้องอับทึบอวลกลิ่นบุหรี่นั้นมานานแล้ว กลิ่นถึงติดตัวได้ขนาดนี้ คำถามแรกที่หลุดออกมาจึงกลายเป็น...

"ทำไมถึงไม่รู้จักซื้อเครื่องกรองอากาศมาใช้ซะบ้าง"

สีหน้าบึ้งๆ ที่แปรไปเป็นประหลาดใจนั้นโคตรตลกเลย หญิงสาวเลยยิ่งโปรยความประหลาดใจเข้าไปใหญ่

"เครื่องกรองอากาศน่ะรู้จักไหม ในเน็ตก็มีขายเยอะแยะ เดี๋ยวฉันสั่งให้เครื่องหนึ่งเอาปะ ไม่รู้หรือไงว่าควันบุหรี่มันอันตระ...งุบ" เจ้าของเสียงใสที่รัวคำพูดใส่เจ้าของบ้านอย่างไม่มีขัดเขินนั้นถูกหยุดด้วยมือใหญ่ที่ยกขึ้น ชายหนุ่มใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับริมฝีปากช่างพูดนั้นไว้ บีบไว้ไม่ให้เธอเผยอปากพูดได้อีก

น้อยหน่าอึ้งตะลึงตาค้างเบิกตา เพราะไม่เคยถูกเพศตรงข้ามปฏิบัติตัวอย่างเสียมารยาทแบบนี้มาก่อน!

คือ...ถ้าเป็นไอ้พวกพี่ๆ หรือพวกครูฝึกก็อาจลงไม้ลงมือเตะบ้างต่อยบ้าง นั่นอาจไม่เรียกได้ว่าการเสียมารยาท แต่เป็นการใช้ความรุนแรงกันเสียมากกว่า และเธอก็มีวิธีตอบโต้อย่างรุนแรง เอาคืนอย่างสมน้ำสมเนื้อเสมอ

ทว่านี่...เขาไม่ได้ใช้ความรุนแรงเลยสักนิด แต่...มารยาททรามขั้นวิกฤติ!

"หุบปาก!" เจ้าของเสียงห้าวดุกร้าวคำรามใส่ "หนวกหู!"

ถ้าบอกว่าน้ำเสียงเขาไม่รับแขกแล้วนะ สีหน้าเขายิ่งไล่แขกจนคนจิตอ่อนหน่อยอาจหันหลังหนีโกยอ้าว สีหน้าบึ้งๆ นั่นแม้ว่าจมูก ปาก คิ้ว คาง และโครงหน้าจะดูดีแค่ไหน แต่เมื่อมีดวงตาดุดันคู่นั้นประดับอยู่ ผู้ชายตรงหน้าจึงดูน่ากลัวเป็นบ้าเลย

เขาไปฝึกทำสายตาแบบนี้มาจากไหนกันนะ มันมีทั้งความโกรธ เกลียด ดุดัน ราวจะฆ่าคนได้ และเย็นชาราวจะผลักไสคนทั้งโลกอย่างไรอย่างนั้น

เออ...โอเค...ในเมื่อเจ้าของบ้านไม่พร้อมจะรับแขกขนาดนี้แล้ว...

สีหน้าเย่อหยิ่งปรากฏบนดวงหน้าของคนที่ยังถูกบีบปากไว้ คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะยกมือปัดมือเขาออก และไม่พูดสักคำเดียวเมื่อหันหลังกลับก้าวฉับๆ ห่างออกมา

"เดี๋ยว!"

ฉับพลันคนที่พยายามไล่เธอด้วยกิริยาหยาบคายสุดๆ ที่เค้นออกมาแทบตายนั้น ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไม่รู้คนตรงหน้าจะบุกเข้ามาอีกเมื่อไร และเขาอาจไม่ได้อยู่รอปิดสวิตช์กับดักอันตรายเหล่านั้นให้ได้ทุกครั้ง จนเธออาจเป็นอันตรายได้...

เดี๋ยวสิ! ไม่ใช่กลัวเธอเป็นอันตรายสิวะ! แกต้องไล่เธอไป ไม่ให้กลับมาที่นี่อีกเลยต่างหาก แต่ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่าเธอเข้ามาได้อย่างไร

"คุณเข้ามาที่นี่ได้ยังไง" น้ำเสียงของเขาอ่อนลงนิดหนึ่ง อัคนีบอกตัวเองว่า มันเป็นกลวิธีในการสอบสวน ใช่...ถ้าอยากได้คำตอบดีๆ ก็ต้องแสดงความเป็นมิตรออกมาบ้าง...ก็แค่นั้น

ไหล่บางเหยียดตรงของคนที่ก้าวยาวๆ ห่างไปขยับเหมือนเจ้าตัวสูดลมหายใจลึกอย่างข่มใจอยู่สองสามเฮือก กว่าจะหันกลับมา คราวนี้ด้วยแววตาขุ่นขวางเป็นอริ พร้อมจะเหวี่ยงเต็มที่ ไร้รอยความเป็นมิตรเหมือนครั้งแรกโดยสิ้นเชิง

ดวงตาคมปลาบของหญิงสาวหรี่ลง เธอเชิดหน้าหยิ่งๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงหยิ่งยิ่งกว่า

"นาย...ถามฉันว่า...ฉันเดินผ่านเขาวงกตเล็กๆ น่ารักเหมือนสวนสำหรับเด็กอนุบาลนั่นเข้ามาได้ยังไงงั้นเรอะ"

"ใช่!" อัคนีกัดฟัน เค้นความขุ่นขึ้งออกมาได้โดยไม่ต้องอาศัยความพยายามเลยสักนิดเดียว เมื่อใช้กับคนที่บังอาจเรียกสวนของเขาว่า 'สวนเด็กอนุบาล'

‘หน็อย...ยายตัวร้ายนี่!’

ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้บุกรุกรายไหนรอดออกจากสวนของเขาไปได้แบบสบายๆ ชิลชิลเหมือนเธอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะมาดูถูกสวนของเขาได้นะเว้ย!

กลไกกับดักและแผนผังของสวนวงกตนั้นนับได้เป็นการวางแปลนที่ซับซ้อนติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยด้วยซ้ำ

นี่ถ้าเขาไม่ได้สั่งให้ไอ้พวกนั้นให้ปิดกลไกจนหมด เธอจะมีปัญญารอดมาเงยหน้าพูดฉอดๆ ใส่เขาแบบนี้ไหม ไม่กลายเป็นเศษเนื้อเละๆ อยู่ในสวนไปตั้งนานแล้วเรอะ ยายคนไม่มีสำนึกเอ๊ย!

อย่านึกนะ เขาไม่รู้ว่าเธอเองก็รู้ มันมีกับดักอยู่ อย่างไรคนที่ได้รับการฝึกสอนด้านยุทธวิธีมาก็ต้องจับสังเกตเห็นความผิดปกติได้บ้างอยู่แล้วแหละ แต่ยายคนปากดียังพยายามจะยั่วโมโหเขา

คิดแล้วมันน่า...ฮึ่ม!

หญิงสาวกัดริมฝีปากแรงจนแทบห้อเลือดเพื่อซ่อนยิ้มเย้ยหยันไม่ให้หลุดออกมา ทำให้คนตรงหน้าปรี๊ดแตกมากไปกว่านี้ เห็นได้ชัดว่าเขาถูกยั่วโมโหจนของขึ้นแล้วจริงๆ ฮ่าๆๆ อยากมากวนโอ๊ยกันก่อนทำไมเล่า คนเขาอุตส่าห์พูดดีๆ ด้วยแท้ๆ

หญิงสาวปั้นหน้าขรึมจัด ทำสีหน้าแววตาไม่แยแสขณะยักไหล่ท่าทางกวนประสาทสุดๆ

"ที่จริง...มันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เพียงแต่อาจยาวหน่อย...เราจะคุยกันตรงนี้ใช่มะ เป็นธรรมเนียมของบ้านคุณรึไง ที่ให้แขกยืนคุยธุระกันในสวนน่ะ" คนพูดไม่มีทีท่าจะสำนึกแม้แต่น้อยเลยว่า บุกรุกบ้านชาวบ้านอยู่ เป็นหนที่สองแล้วด้วย!

อัคนีกัดฟันกรอด เพราะที่จริง...สถานที่เดียวที่เธอควรจะได้ไป คือห้องขังในโรงพักด้วยข้อหาบุกรุก และเขาน่าจะใช้เส้นสายอีกนิดหน่อย เพื่อไม่ให้เธอติดต่อกับทางบ้านให้มาช่วยประกันตัวได้ ทีนี้ละแม่คุณได้นอนค้างในห้องขังแน่

คิดแล้วก็น่าลองให้คนปากดีได้นอนตากยุงในห้องขังเสียหลายๆ วันดู เผื่อจะได้หายซ่าลงไปได้บ้าง

เสียแต่...เขาไม่สามารถเรียกตำรวจให้เข้ามาที่นี่ได้เนี่ยสิ และ...เธอก็ต้องรู้ รู้ดีทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่กระดี๊กระด๊าซะตาเป็นประกายวาววับด้วยความพออกพอใจซะขนาดนี้หรอก ยายตัวแสบนี้ช่างแสนรู้และฉลาดเป็นกรดเลยทีเดียว

"งั้น..." อัคนีกัดฟันข่มกลั้นความหัวเสีย

"เอ่อ...แฮ่ม จริงๆ ก็...คอแห้งนิดหน่อยนะ ไปคุยกันในครัวดีไหม" หญิงสาวต้องรีบหาข้ออ้างเมื่อเห็นเขาทำท่าจะหมุนตัวหันกลับเข้าไปในห้องใต้ดินเหม็นๆ นั่นอีก เธออยากพาตัวเองห่างจากสารก่อมะเร็งมือสองในห้องนั้น

คราวนี้คนที่ยืนหันหลังและเป็นฝ่ายสูดลมหายใจลึกอย่างข่มอารมณ์ กลับเป็นฝ่ายคนตัวใหญ่ยักษ์แล้ว อัคนีอยากหันไปบอกเหลือเกินว่า เมื่อกี้ไม่ใช่เธอรึไงที่เปิดตู้เย็น รินน้ำดื่ม และล้างแก้วในครัวเก็บที่เดิม ดุจครัวบ้านตัวเองก่อนเดินออกมาตามหาเขาน่ะ! ยังจะมีหน้ามาบอกคอแห้งอะไรอีก!?

เท้าในรองเท้าหุ้มข้อก้าวยาวและเร็วเข้าสู่ตัวบ้าน ดุจใช้การเดินห่างออกมาเป็นเครื่องช่วยระงับอกระงับใจ ไม่ให้หันไปจัดการคนกวนประสาทด้านหลังที่เร่งฝีเท้าตามมาติดๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น