2

บทที่ 2


2

สามอาทิตย์ก่อนของพรำพรรษ

คุณจำคืน...ครั้งแรกของตัวเองได้ไหม?

...พรำพรรษ...จำอะไรไม่ได้เลย!

ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่หญิงสาวเห็นคือท้องฟ้าสีจัดเมื่อกะพริบตาปรับโฟกัสอีกหน่อยจึงได้สังเกตเห็นความใสของกระจกหน้าต่างบานมหึมาที่เรียงแถวจากพื้นจรดเพดานสูงลิบลิ่วเปิดเปลือยท้องฟ้าสดใสกระจ่างจ้าที่มีหมู่เมฆลอยฟ่องจนเหมือนบรรยากาศกึ่งจริงกึ่งฝันยังไงไม่รู้ หัวหนักและมึนจากอาการเมาค้างยิ่งทำให้ยิ่งรู้สึกเหมือนยังไม่ตื่นจากฝันที่ไม่รู้ว่าร้ายหรือดี นอกบานกระจกเป็นสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานที่รายรอบตกแต่งด้วยไม้ประดับจนเป็นสวนสวย รองเท้าส้นสูงสีแดงที่นอนตะแคงอยู่ริมสระ นั่นดู...คุ้นๆ

ฟ้าสว่างมากแต่ไม่รู้เวลา มือกวาดควานหาโทรศัพท์โดยอัตโนมัติเพื่อมาดูเวลาและเช็คดูว่าใครมีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือเปล่าหากสิ่งที่ควานไปพบคือความว่างเปล่าของเตียงกว้างที่ไม่เคยคุ้น มีหมอนหลายใบ ผ้าปูที่นอนผ้าไหมยับยุ่งราวกับผ่านการถูกย่ำยีมาทั้งคืน

...เอ่อ ไม่น่าจะแค่ผ้าปูนะ

รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าใต้ผ้าห่มอุ่นหนามีแต่ร่างกายอันปวดร้าวไปหมดทุกส่วนราวกับเพิ่งไปโดนเทรนเนอร์ในฟิตเนสยกพวกมารุมเทรนด์มายังไงยังงั้น เหนื่อยล้าจนไม่อยากกระดิกตัวไปไหนและรับรู้ได้ถึงความผิดปกติทางกายที่ร้าวระบมหนักตรง... ตรง... เอ่อ

...โอย...เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

หญิงสาวซุกหัวลงในหมอนแทบอยากควักสมองออกมาบิดเค้นความทรงจำเหมือนบิดผ้า ...เธอทำอะไรลงไป ...กับใคร ...หน้าตาเป็นยังไง แล้วที่นี่มันที่ไหนวะ?

คิดเค้นแทบตายก็ไม่มีอะไรหลุดออกมาสักนิดเดียวนอกจากความพะอืดพะอมจากอาการเมาค้างและหิวน้ำจนคอแห้ง เมื่อมองไปที่โต๊ะหัวเตียงพบแก้วน้ำกับยาวางอยู่ มีโน้ตแผ่นเล็กเขียนด้วยลายมืออ่านง่ายว่า

'ยาแก้เมาค้าง'

เมื่อหยิบมาดูยายังอยู่ในแผงและมีสรรพคุณเขียนบอกว่าเป็นยาช่วยในการแก้เมาค้างจริงเธอจึงไม่ลังเลที่จะฉีกออกมากินพร้อมน้ำ

เมื่อได้น้ำเข้าไปเหมือนร่างกายจะดีขึ้นนิดหน่อย ความปวดหัวค่อยคลายลงจนพอจะฝืนใจกวาดสายตาสำรวจไปโดยรอบ

ที่นี่เป็นห้องพักขนาดใหญ่...มากๆ เพดานสูง พื้นปูพรมหนาทั่วห้องมาจรดเตียงกว้างใหญ่กว่าคิงไซซ์ ทั้งเตียงทั้งเฟอร์นิเจอร์ในห้องทุกชิ้นดูเหมือนเป็นของสั่งทำขึ้นมาหมด ไม่มีเฟอร์นิเจอร์โหลๆ ปะปน ไม่มีกระทั่งดีไซน์จาก 'อิเกีย' ของทุกชิ้นเป็นของสั่งทำราคาแพงหูฉี่ มองไปด้านนอกอีกครั้งเห็นเพียงฟ้ากว้าง ไม่มียอดตึกอื่นมาบดบังทัศนวิสัย ดูเหมือนที่นี่จะเป็นเรือนกระจกบนยอดตึกที่ไหนสักแห่ง...ชั้นเพนเฮาส์?

นอกจากส้นสูงสีแดงที่หล่นอยู่ตรงสระว่ายน้ำแล้ว ไม่มีเครื่องแต่งกายสักชิ้นเดียวอยู่แถวนี้ ฮึ่ม...เอาไงดี

หญิงสาวกระชับผ้าห่มห่อตัวไว้แน่นหนาขณะหย่อนขาลงจากเตียงก้าวอย่างปวดร้าวระบมไปในทางที่จำได้รางๆ ว่ามันคือห้องน้ำห้องใหญ่ เพดานสูงมีบานกระจกเงามหึมาอยู่หลังอ่างล้างหน้า แทบสะดุ้งเมื่อสบสายตากับคนในกระจก ภาพผู้หญิงตรงหน้าไม่คุ้นตาอย่างแรง ผมยาวยุ่งเหยิง ผม...ที่พอเสยนิ้วเข้าไป ...กลับให้ความรู้สึกถึงสัมผัสประหลาด...เหมือนความทรงจำเมื่อคืนผุดพรายวาบหลอนเป็นมือใหญ่ที่มีปลายนิ้วเรียวยาวสอดนิ้วเข้าไปในเส้นผมทั้งสางทั้งยีมันจนยุ่งตลอดคืน

...เมื่อถูกกระตุ้นความทรงจำแหว่งวิ่นก็เริ่มกลับคืนมา เมื่อมองตัวเองในกระจกอีกครั้งเธอพบว่าก็เป็นตัวเองนั่นแหละเพียงแต่อยู่ในรูปลักษณ์ที่ไม่คุ้นเคยไม่มียัยป้าสวมแว่นหนารวบผมเรียบตึงจ้องดุๆ ตอบกลับมาจากในกระจกเหมือนทุกที คนในกระจกตอนนี้ได้เขวี้ยงแว่นตาหนาเตอะทิ้งไปพร้อมกับความยับยั้งชั่งใจที่ดำรงมาอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาสิบเจ็ดปี เปิดเปลือยหน้าสดที่แม้ไม่สวยเลิศเลอแต่ก็พอไปวัดไปวาตอนสายๆ ได้ด้วยดวงหน้ารูปไข่คิ้วดกหนาที่เพิ่งผ่านการกันแต่งเป็นรูปทรงเรียวสวยโดยไม่ต้องอาศัยดินสอเขียนเพิ่มตากลมโตที่ทอประกายมึนเบลอผสมกับอาการเมาค้างฉ่ำวาว ผมสยายยาวยุ่งเหยิงที่เมื่อคืนตอนหัวค่ำยังเป็นรูปทรงอย่างดีจากร้านทำผมราคาแพง ผิวขาวที่ผ่านการบำรุงด้วยคอร์สเจ้าสาวราคาแพงหูฉี่มาตลอดเดือนจนทั้งนุ่มละมุนทั้งขาวใสจนแทบจะเรืองแสงได้...บัดนี้มีรอยจ้ำช้ำกระจัดกระจายทั่วไปหมดแทบทุกตารางนิ้ว รอยเหล่านั้นช่วยเรียกคืนความทรงจำได้เป็นอย่างดี

ความทรงจำถึงลมหายใจที่ให้ความรู้สึกสะอาดที่เป่ารด ริมฝีปากร้อนระอุทั้งอบอุ่นทั้งแผดเผาที่แตะต้องอย่างเร่าร้อนไปทุกที่

โอย...พอที!

พรำพรรษเข่าอ่อนแทบทรุดจนต้องเซพิงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้มคว่ำ ผู้หญิงในกระจกจ้องตอบกลับมาหน้าตาแดงก่ำริมฝีปากเห่อช้ำเหมือนถูกจูบมาทั้งคืน...ไม่เหมือนล่ะ เมื่อปลดผ้าห่มออกจากตัวก็พบว่าริ้วรอยคิสมาร์กปรากฏไปทั่วแทบทุกตารางนิ้วบนร่างราวกับจะประกาศจับจองเป็นเจ้าของ

หญิงสาวยกมือสั่นๆ ไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พับไว้เป็นตั้งสูงมาห่อตัวก่อนเซไปนั่งลงทำธุระส่วนตัว

ความทรงจำที่ก่อนหน้านี้เค้นคั้นตั้งนานไม่ยอมจำ มาตอนนี้กลับพรั่งพรูออกมาจนแม้อยากห้ามก็ไม่มีปัญญาเสียแล้ว

ความทรงจำที่อยู่ๆ ก็แจ่มชัดเจนระดับสี่เคแถมติดเรทเอ็นซียี่สิบบวกอีกต่างหาก ยังดีที่ในความทรงจำมีคนเพียงคนเดียว ผู้ชายตัวสูงที่มีดวงตายิ้มได้เหมือนมีดวงดาวมากมายพราวพรายอยู่ในนั้น เมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาคู่นั้นก็รู้สึกเหมือนโดนสะกดให้ไม่รู้เนื้อรู้ตัวยามถูกกอดรัดเข้าไปในอกกว้าง ผิวเนื้อเหมือนจารึกรอยสัมผัส รอยจูบจากเขาติดตรึง รอยสัมผัสที่ทั้งอ่อนโยนอ่อนหวานและทวีความเร่าร้อนเบียดบด กระแทกกระทั้น

...หยุด!

พรำพรรษลุกขึ้นพยายามฝืนอาการขาสั่นเซไปที่อ่างล้างหน้าวักน้ำเย็นใส่ใบหน้าผ่าวร้อนรัวๆ เผื่อความทรงจำเร่าร้อนจะลดดีกรีลงเสียบ้าง ล้างหน้าจนผิวเย็นชืดไปหมดแล้วจึงเช็ดหน้าทำความสะอาดตัวเองลวกๆ ก่อนพันผ้าเช็ดตัวไว้กะจะเดินออกมาตามหาตู้เสื้อผ้าเพื่อหาอะไรใส่แล้วรีบหลบออกไปให้เร็วไวและเงียบเชียบที่สุด

One night stand. จบลงแล้ว

...สิ้นสุดลงเหมือนงานแต่งงานที่กำลังจะถูกบอกยกเลิก

เธอถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อสมองกลับมาคิดเรื่องงานอย่างมีประสิทธิภาพได้เสียที กระบวนการคิดเป็นไปอย่างแทบไม่ต้องคิดเลยเมื่อวางแผนถึงการบอกยกเลิกโรงแรม แจ้งยกเลิกกับแขกทุกคน ยกเลิกชุดเจ้าสาวที่เช่าไว้ ยกเลิกดอกไม้และของชำร่วย ยกเลิกบริษัทออแกไนซ์...อาจต้องเสียมัดจำหลายแสนแต่ช่างหัวมันสิ...มันไม่ใช่เงินของเธอเสียหน่อย เพราะก็เคยปฏิเสธจนปากเปียกปากแฉะไปเป็นรอบที่ห้าร้อยแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับลูกชายเธอแน่ๆ แต่คุณภัสตราภรณ์แม่ของภาสกรไม่เคยฟังเลย

อาจเพราะการคิดติดพันนี้แท้ๆ ที่ทำให้เผลอยืนเหม่อลอยคิดเค้นไปว่ายังต้องตามไปยกเลิกอะไรอีก

ดังนั้นจึงต้องยกเลิก...ความคิดที่จะหนีไปแบบเงียบๆ ได้เลย!

หญิงสาวสะดุ้งเมื่อประตูห้องเปิดออก ชายร่างสูงที่เธอไม่รู้จักแต่คุ้นเคยกันไปแล้วเดินเข้ามา ร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างที่เห็นกล้ามเป็นมัดๆ ตึงแน่นทะลุเนื้อผ้าเสื้อเชิร์ตราคาแพงนั้นออกมา เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตสีขาวไม่ติดกระดุมคอปล่อยชายเสื้อทับกางเกงสแล็กที่ดูเหมือนไม่เป็นทางการแต่มองยังไงก็เนี้ยบเรียบหรูและแพง ...เป็นผู้ชายที่ดูราคาแพงโดยไม่ต้องพยายาม ออร่าความสูงส่งและมั่นใจที่เปล่งออกมาจากร่างนั้นเหมือนเป็นการการันตีถึงฐานะที่ติดตัวเขามาแต่เกิด

"ตื่นแล้วหรือ?" เสียงทุ้มนุ่มนวลทักขึ้นขณะเดินเข้ามากวาดสายตามองคนตรงหน้าด้วยดวงตามีรอยยิ้มทั้งๆ ที่ดวงหน้าเรียบเฉย

"อ่า..." ตอบไม่ถูก ...ก็เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้นอนอยู่ที่เตียง

ขอสารภาพตรงๆ ...ทักษะการพูดคุยนอกเหนือเรื่องงานกับมนุษย์เพศผู้ของเธอมันต่ำต้อยจนน่าอนาถใจมาแต่ไหนแต่ไรจนไม่น่าแปลกใจที่ไม่รู้จะทักตอบเขาว่าอะไร

ไปไหนมา? มันจะอยากรู้ไปทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย...เอ่อ...อาจจะเป็นนิดหน่อย แต่ไม่น่าจะถึงขั้นถามละลาบละล้วงถามอะไรพวกนั้นได้

ที่นี่ที่ไหน? ไม่ล่ะไม่อยากรู้ ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น

"ผมเตรียมยาแก้เมาค้างไว้ให้" เขาบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งอึ้งไปเหมือนยังเบลอจากอาการเมาค้าง

"กินแล้วค่ะ ขอบคุณ" พรำพรรษตอบรับคำสุภาพขณะขมวดคิ้วทวนความคิดว่าเมื่อกี้...เหมือนเห็นเขากดล็อกประตูก่อนเดินเข้ามา ...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

"กี่โมงแล้วคะ?" ต้องรีบหาคำถามที่ปลอดภัยโยนให้เขาคิดคำตอบก่อนที่เซฟโซนจะถูกทำลาย

"บ่ายสามโมง" ชายหนุ่มยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือราคาแพง ตอบคำพร้อมกับสายตาที่จับจ้องมองเหมือนต้องการประเมินสิ่งที่อยู่ในความคิดหญิงสาวตรงหน้า

"บ่ายสาม..." พึมพำแผ่วเบานิ่วหน้าคิดว่าถ้ากลับไปตอนนี้จะทำงานได้กี่ชั่วโมง...

"หิวไหมอยากกินอะไรเดี๋ยวผมให้คน..." เขาถามดูเหมือนห่วงใยแต่คนฟังส่ายหน้า

"ไม่ต้องหรอก กินไม่ลง ไม่เป็นไร..." ปฏิเสธชัดถึงการไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นก่อนจะถาม "เสื้อผ้าฉันล่ะ?"

"ผมให้คนเอาไปซักให้อยู่" เขาบอกด้วยสายตาครุ่นคิดก่อนจะสำทับ "กับสั่งชุดมาให้คุณ สักสองสามชั่วโมงคงมาถึง"

สองสามชั่วโมงก็...หมดวันแล้ว พรำพรรษถอนใจขณะเริ่มถอดรหัสข้อความที่เขาพูด หิวไหมจะให้คนเอาข้าวมาให้ เสื้อผ้า...ให้คนเอาไปซัก...สั่งชุดมาให้... อืม...ผู้ชายคนนี้นอกจากรวยมากแล้วยังน่าจะแวดล้อมไปด้วยคนที่เขาสั่งใช้งานได้รอบตัวแน่...

"หายเมาค้างแล้วหรือยัง?" คนถามเดินเข้ามาประชิดตัวและไม่ยอมให้ถอยหนีเพราะยกมือใหญ่ขึ้นแตะเอวอ้อนแอ้นไว้ แค่แตะเหมือนเบาๆ แต่เป็นการบังคับกลายๆ จนไม่อาจเลี่ยงร่างสูงที่ก้าวอีกทีจนแนบใกล้ยิ่งกว่าใกล้

"เอ่อ...อ่า หะ หายแล้ว" คำถามที่อยู่ๆ เข้ามาในระยะประชิดนั้นทำให้จิตใจกระเจิดเปิดเปิงไปพอสมควร

เผลอคิดเล่นๆ ไปหน่อยเดียวเซฟโซนถูกทำลายเสียแล้วและเพราะยืนเบียดกันขนาดนี้ทำให้พรำพรรษลืมตัวเผลอเงยขึ้นสบสายตาคนตรงหน้า ...แล้วก็ได้รู้ว่า

ไม่น่าเลย... ทั้งๆ ที่ระวังตัวเป็นอย่างดีแล้วนะพยายามไม่สบสายตาไม่มองหน้าเขาเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกอะไร แต่พอเผลอมองหน้ากันเท่านั้น...

ดวงหน้านั้นเป็นใบหน้าผู้ชายที่สวยงามเพอร์เฟคที่สุดที่เคยเจอมา ไม่ได้หล่อเหลาเหมือนนายแบบหากประกอบไปด้วยรูปหน้าสมส่วน คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปที่แม้ไม่ยิ้มแต่ดวงตาสีดำคู่นั้นเหมือนแตะแต้มรอยยิ้มไว้ไม่สร่าง ราวมีเวทมนตร์ดึงดูดสะกดไม่ให้หันหนีไปไหนได้ แม้เมื่อเขาก้มลงจนชิดยิ้มใส่ตาด้วยรอยยิ้มเย้ายวนอย่างร้าย

"ไม่ปวดมึนหัวหรือรู้สึกไม่สบายแล้วใช่ไหม?"

"อ่า เอ่อ...มะ ไม่" พุทโธ ธรรมโม สังโฆ คุณพระคุณเจ้า! ช่วยบอกลูกทีว่าจะหนีให้พ้นจากรอยยิ้มและดวงตาของเขาได้ด้วยวิธีไหน ดวงตาเป็นประกายที่จ้องเอาๆ จนขนลุกขนชันไปหมด ร่างที่เบียดแนบใกล้จนลมหายใจเป่ารดกันนั่นยิ่งทำให้ความทรงจำอีโรติกเรททริปเปิ้ลเอ็กซ์สิบแปดบวกเมื่อคืนเด่นชัดกลับคืนมา เหมือนเขาจะรู้เพราะเปิดรอยยิ้มกว้างขวางที่ยิ่งดึงดูดหนักข้อขึ้นทุกทีก่อนที่จะก้มลงฉวยโอกาส

"อื้อ"

พรำพรรษเพิ่งได้รู้ว่าเดจาวูเป็นยังไง...

ผู้ชายตรงหน้ากำลังทำให้เหตุการณ์เมื่อคืนเดจาวูกลับมาด้วยมือ ริมฝีปาก ลมหายใจผ่าวร้อน ร่างแข็งแกร่งที่เบียดแนบแน่นจนแทบจะสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน เสียงที่พยายามประท้วงถูกดูดกลืนอย่างดูดดื่มจนความคิดจะขัดขืนปลิวหายไปกลายเป็นเสียงครางแผ่วราวลูกแมวป่วย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น