Chapter 3
ของแถมที่ไม่ต้องการ
‘พ่อออกไปรับจ๊อบ เจอกันพรุ่งนี้นะลูกรัก’
“เฮ้อ…อีกแล้วเหรอ”
มองไปยังกระดาษแผ่นเล็กที่มีข้อความเขียนอยู่ตรงโต๊ะญี่ปุ่นภายในบ้าน ด้านบนถูกทับไว้ด้วยอาหารเย็นที่พ่อทำเตรียมไว้ให้
บ้านผมเป็นเพียงห้องเช่าเล็กๆ มีห้องนอนหนึ่งห้องซึ่งพ่อให้ผมนอนเป็นส่วนตัว ขณะที่ตัวเองเลือกนอนข้างนอก เพราะไม่ค่อยจะได้กลับบ้านเท่าไหร่ มีห้องน้ำและโซนห้องครัวเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก เราอยู่กันแค่สองคนพ่อลูกเพราะแม่เสียไปตั้งแต่ผมอายุสิบขวบ ตอนเช้าพ่อจะไปทำงานขับรถส่งของให้โรงงานใกล้ๆ พอตกดึกก็มักจะออกไปรับจ๊อบหางานทำเพิ่ม ด้วยเศรษฐกิจเดี๋ยวนี้ข้าวของแพงขึ้นมาก และมหาวิทยาลัยก็มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนเยอะด้วย แต่ผมไม่รู้หรอกว่างานที่พ่อไปรับจ๊อบทำคืองานอะไร รู้แค่ตอนเช้ากลับมาทีไร จะต้องมีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงและเหล้าปะปนมาทุกที
มองจานข้าวที่ถูกซีนพลาสติกเอาไว้อย่างดี ก่อนจะแกะมันออกแล้วกินจนหมด ผมอยากเรียนจบเร็วๆ จะได้เป็นฝ่ายทำงานเลี้ยงพ่อบ้าง ตอนนี้ถึงแม้ผมจะอยากทำงานมากแค่ไหน ก็ไม่ได้รับอนุญาตจากพ่อ ท่านบอกว่าหน้าที่ของผมคือเรียนให้จบเท่านั้น อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องอื่น
‘ในที่สุดก็ได้ออกมาจากร้านนั่นสักที’
“!!!”
สะดุ้งสุดตัว มะ…เมื่อกี้ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงใครแว่วๆ แต่ในบ้านนี้ก็มีผมอยู่แค่คนเดียวนี่นา จะไปมีเสียงใครได้ยังไง
“ฮะๆๆ หูฝาดละมั้ง”
บอกกับตัวเองแล้วจัดการเอาจานไปล้าง จะได้อาบน้ำเข้านอน พรุ่งนี้ผมมีภารกิจยิ่งใหญ่รออยู่ คือการเปลี่ยนทรงผม!
อยู่กับทรงนี้มาทั้งชีวิต…สะเทือนใจชะมัด!
พอล้างจานเสร็จก็เข้ามาในห้อง เลือกชุดนอนที่จะใส่ในคืนนี้และเตรียมจะเปลื้องผ้าออกมาไปอาบน้ำ แต่อะไรบางอย่างดลใจให้ผมหันไปมองรอบห้องด้วยความกังวล มันมีบางอย่างทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับบ้านของตัวเองในวันนี้ ทั้งที่พ่อไม่อยู่แท้ๆ ทว่าราวกับผมไม่ได้อยู่ที่นี่…
คนเดียว
“คิดไปเองมั้ง”
คงเพราะวันนี้เจอเรื่องเครียดๆ อย่างกะทันหัน ก็เลยค่อนข้างระแวงด้วย ป่านนี้ผมคงถูกแฟนคลับของครามเกลียดเข้าเส้นเลือดฝอยไปหลายคนแล้ว
พรึ่บ!…
เปลื้องผ้าตัวเองออกทีละชิ้นจนเหลือแค่กกน.ตัวเดียว สองมือเลื่อนจับไปที่ขอบและกำลังจะถลกมันลง แต่เสียงบางอย่างที่ดังเข้ามาทำเอาต้องชะงัก!
อึก!
นะ…นั่นมัน…
เสียงกลืนน้ำลาย!
ขวับ!
หันมองไปรอบห้องอีกครั้ง ในห้องผมไม่มีหน้าต่างสักบาน จึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะเป็นการแอบมองมาจากข้างนอก แถมบ้านผมอยู่ตั้งชั้นสาม! ในห้องก็มีแค่เบาะนอนขนาดสามฟุตครึ่ง กับโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ และตู้เสื้อผ้าไม้เก่าๆ ตรงมุมห้องเท่านั้น ไม่มีที่พอจะให้ใครมาแอบหรือซ่อนตัว…
เดี๋ยวก่อนนะ…
แอบงั้นเหรอ!!!
ชิ้งงงงงง!
สายตาโฟกัสไปที่ตู้เสื้อผ้ามุมห้อง กลืนน้ำลายลงคอจนมีเสียงดังคล้ายกับที่ได้ยินเมื่อครู่ แปลว่ามันคือเสียงกลืนน้ำลายจริงๆ สินะ ในเมื่อตอนนี้ผมอยู่คนเดียว และตอนแรกก็ยังไม่ได้กลืนน้ำลายด้วย ถ้าอย่างนั้นใครกันคือเจ้าของเสียงกลืนน้ำลายนั่น!!!
ตึก…ตึก…ตึก…
เสียงฝีเท้าย่ำเข้าไปใกล้ตู้เสื้อผ้าอันเป็นจุดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับผมที่กลืนน้ำลายเอาๆ ด้วยความตื่นเต้น ร้อยวันพันปีไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ บ้านผมไม่มีทางเป็นที่หมายตาของพวกโจรหรอก เข้ามาแล้วพวกมันจะได้อะไรกลับไปล่ะ นอกจากความว่างเปล่า!
หมับ!
สองมือจับประตูตู้ที่ใกล้จะหลุดเต็มที ในใจภาวนาขอให้ไม่มีอะไร แค่ผมคิดไปเองเท่านั้น…
เอาละนะ…
“ไม่เอาน่า ตู้เล็กแค่นั้น ผมเข้าไปแอบไม่ได้หรอกนะ”
“!!!”
ยังไม่ทันจะเปิดประตูตู้ แต่เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำเอาต้องหมุนตัวกลับไปมอง แล้วถอยหลังกรูดจนชิดกับประตูตู้!!!
“นะ…นะ…นายเป็นใคร!”
หัวใจตกวูบไปที่ตาตุ่มพร้อมกับชี้หน้าบุคคลปริศนาที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต! เด็กผู้ชายในชุดมัธยมปลาย สูงกว่าผมไม่เท่าไหร่ ยืนอยู่ตรงหน้า หน้าตาของเขาหล่อและดูดี สูสีกับครามมาก เพียงแต่ดูละอ่อนกว่าเท่านั้น อาจเพราะยังอยู่แค่มัธยมก็ได้ อ๊ะ! นั่นไม่ใช่ประเด็นนี่หว่า ประเด็นคือไอ้เด็กคนนี้มันเข้ามาได้ยังไง!
“หุ่นดีจังเลยนะครับ คงเพราะใส่เสื้อผ้าใหญ่กว่าตัว ก็เลยปิดบังหุ่นที่แท้จริง ทั้งที่ออกจะดูดีแท้ๆ น้า!”
“หุ่นดีเหรอ ฉันน่ะเหรอหุ่นดี?!”
“อื้ม จริงสิครับ หุ่นเจ๋งอย่างนี้เลย”
ไอ้เด็กหน้าหล่อชูนิ้วโป้งให้ผมถึงสองนิ้วพร้อมกับยิ้มกว้าง ทำเอาอดเขินไม่ได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนชมผมตรงๆ แบบนี้
“แหะๆ…ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เห็นแบบนี้ ความจริงแล้วฉันก็รักสุขภาพ…”
“…”
“เอ๊ย! ไม่ใช่สิ อย่ามาทำให้เขวจะได้ไหม ที่ฉันอยากรู้คือนายเป็นใคร แล้วเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง!”
“ก็ลินลินเป็นคนพาผมเข้ามาเองนี่นา…”
ว่าพลางทำแก้มป่องและกะพริบตาปริบๆ เหมือนลูกหมาน้อย ถ้านี่เป็นการ์ตูนคงมีเสียงดัง ฉึก! แทรกเข้ามาแน่ๆ ถามว่าเสียงอะไรน่ะเหรอ…
ก็เสียงคันศรปักเข้ากลางอกน่ะสิเว้ย! ไอ้หน้าตาสุดน่ารักตะมุตะมินั่นไปเอามาจากไหนวะ พ่อแม่ให้กินอะไรตอนเกิดละเนี่ย!
“ใครพานายเข้ามา ฉันเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง!”
“เป็นไปได้จริงๆ นะครับ”
ไอ้เด็กหน้าหล่อพยักหน้ายืนยันอย่างมาดมั่น สายตาลูกหมาน้อยจ้องปริบๆ มาที่มือซ้ายของผม
มือซ้ายมันทำไมหว่า
ผมมองตามสายตาของอีกฝ่ายมาที่มือตัวเอง ไม่มีอะไรแปลกไปเลย นอกจากตรงนิ้วนางมีแหวนเงินวงที่เพิ่งซื้อมาเพิ่มขึ้นเท่านั้น อ่า…จริงสิ ผมลืมถอดมันออกนี่หว่า
หมับ…
เมื่อคิดได้ว่าลืมถอดแหวน ผมก็ลงมือถอดมันออกทันที แต่ไม่ว่าจะงัดแงะแกะเกาสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล แหวงวงนี้ติดหนึบที่นิ้วผมไม่ไปไหนเลย!!!
“ถอดไม่ออกหรอกครับ เจ้าของร้านก็บอกแล้วนี่นาว่าแหวนเลือกลินลิน”
“นายพูดอะไรของนาย แล้ว…เหวออออออ!”
ตึง!!!
ถอยหลังชนกับตู้เต็มแรงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกี้ก่อนจะก้มลงไปถอดแหวนที่นิ้ว ผมมั่นใจมากนะว่าเจ้าเด็กนี่ยืนห่างจากผมหลายก้าวเลยทีเดียว แต่ในเวลาเพี้ยงเสี้ยววินาทีนั้น หมอนี่กลับมายืนประชิดตัวจนผมเกือบจะจูบปลายคางเข้าเมื่อกี้ตอนเงยหน้าขึ้นไป!
“นาย…นาย…เป็นใครกันแน่…”
ถามเสียงสั่น ในใจเริ่มกังวลและมีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมา
ความคิดที่ว่าหมอนี่อาจ…
ไม่ใช่คน!
“นั่นสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผมเป็นใคร”
“ยะ…อย่ามาเล่นลิ้นนะ! ฉันไม่ตลกด้วยหรอก รีบบอกมาก่อนที่ฉันจะโทร.แจ้งตำรวจ!”
“ตำรวจเหรอครับ น่าเสียดายนะที่พวกเขามองไม่เห็นผม ถึงแจ้งไปก็คงไม่มีความหมายอยู่ดี”
มะ…ไม่เห็นผม…งั้นเหรอ…
ไม่ ไม่ ไม่ ขอร้องละ ช่วยบอกทีว่านี่คือเรื่องล้อเล่น มันคือการแอบถ่ายของรายการเรียลลิตี้แอบถ่ายตามบ้านอะไรสักอย่างใช่ไหม!
“ออกไป”
“…”
“ออกไปจากบ้านของฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจจริงๆ!”
กูกลัวจนฉี่จะราดแล้วนะโว้ยยยยยย!
ผมนั่งตัวสั่นอย่างไม่มีสาเหตุ ไอ้เด็กบ้าที่เข้าบ้านคนอื่นอย่างถือวิสาสะก็เอาแต่ยิ้ม ไม่มีทีท่าจะสลดหรือกลัวคำขู่ของผมเลยแม้แต่น้อย
“อย่าทำแบบนี้สิครับลินลิน เลี้ยงผมเอาไว้เถอะนะ รับรองเลยว่าจะไม่ดื้อไม่ซน นะครับนะ นะๆๆ”
มันนั่งยองๆ ลงตรงหน้าพร้อมกับกำมือ แล้วยื่นมาตรงหน้าคล้ายท่าหมาส่งมือให้เจ้าของ เอียงคอนิดๆ พอให้น่ารักหน่อยๆ
ไม่ละ…
ไม่นิดๆ หน่อยๆ แล้ว แต่มันน่ารักมากกกกก!
ไม่คิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีคนที่น่ารักได้ใกล้เคียงกับครามอยู่ด้วย! ที่ผ่านมาไปแอบอยู่หลืบไหนของโลกวะเนี่ย
“ไม่มีทาง! นายเป็นคนนะ ไม่ใช่ลูกหมา ใครเขาจะยอมเลี้ยงกันเล่า”
“ก็คิดว่าผมเป็นลูกหมาซะสิ นี่ผมก็รอให้ลินลินตั้งชื่อให้อยู่น้า ผมอยากมีชื่อบ้าง จะได้มีคนเรียกผม อยากจะลองขานรับว่า ‘คร้าบบบ!’ กับใครดูสักคน”
“นายก็แค่บอกชื่อของนายให้คนอื่นรู้ มันก็ได้แล้วไม่ใช่เรอะ!”
“บอกแล้วไงครับว่าผมไม่มีชื่อน่ะ ผมอาศัยอยู่ในแหวนวงนั้น แล้วจะไปมีชื่อได้ยังไงกันล่ะลินลิน”
คำบอกเล่าของไอ้เด็กหน้าหล่อตรงหน้า เหมือนมีดแหลมกรีดเข้าหัวใจดวงน้อยๆ
มือซ้ายอันสั่นเทาค่อยๆ ยกขึ้นต่อหน้าอีกฝ่าย ก่อนที่นิ้วชี้ของมือขวาจะชี้ไปยังแหวนที่ผมสวมอยู่ หัวใจเต้นตึกตักเหมือนเวลาดูหนังผีกับพ่อไม่มีผิด
“นะ…นายบอกว่า…อา…อาศัยอยู่ นะ…ในแหวน…วงนี้…เหรอ”
“ครับผม”
“โก…โกหกใช่ไหม”
“ไม่ได้นะโกหกนะครับ ผมอาศัยอยู่ในแหวงวงนั้นจริงๆ แต่เพราะอะไรถึงต้องเป็นแหวนวงนั้น ผมก็ไม่รู้หรอก พอตื่นขึ้นมาอีกที ผมก็ตามติดแหวนวงนั้นมาตลอดเลย”
เจ้าหน้าหล่อยังคงพูดเจื้อยแจ้ว ยิ่งมองก็ยิ่งคล้ายลูกหมาวัยกำลังซนที่ช่างพูดและดูขี้อ้อน ผมปล่อยให้เขาพูดในสิ่งที่อยากพูดต่อไป ส่วนตัวเองก็กำลังจะไขข้อสงสัยทั้งหมดโดยการเอื้อมมือไปข้างหน้า…
ไปยังจุดที่แขกไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่
พรึ่บ!
“!!!”
“เอ๋!?”
พรึ่บ!
“!!!”
พรึ่บ!
“!!!”
“พยายามไปก็เท่านั้นแหละครับ ลินลินจับตัวผมไม่ได้หรอก เพราะว่าผม…”
“…”
“เป็นวิญญาณ”
“!!!”
“หรือภาษาแบบเข้าใจง่ายเลยก็คือ ผีนั่นเองครับ~”
ไม่…ไม่จริง!
แต่มือของผมที่ทะลุผ่านร่างกายของเด็กคนนี้ไปโดยสัมผัสอะไรไม่ได้เลย บอกว่ามันคือความจริงและเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้แน่ชัดว่าคน...ไม่สิ สิ่งที่ผมกำลังสนทนาด้วยอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
“ฝะ…ฝัน…”
“…”
“นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ ครอก!”
หวังว่าหลังจากตื่นขึ้นมา ทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นนะ
“ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา จมูกยาวๆ เรียกว่างวง มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่างา มีหูมีตาหางยาว…เอ้า ช้างๆๆ…”
สะ…เสียงใครกันมาร้องเพลงบ้าอะไรกรอกหูผมเนี่ย!!!
“แต่ขนาดเท่านี้คงเป็นตัวอ่อนของช้างที่ยังอยู่ในท้องแม่ช้างมากกว่าละมั้ง”
หือ?
เสียงคุ้นๆ แฮะ คิ้วเริ่มขมวดกันเป็นเลขแปดเมื่อรู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินนั้นหาใช่เสียงในฝันของตัวเองไม่ แต่มันเหมือนเสียงในโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่า น่าแปลกตรงที่…ผมดันคุ้นกับเสียงนั้น
“ลินลิน ตื่นได้แล้วน้า เดี๋ยวไปเรียนสายไม่รู้ด้วยนะครับ”
ลินลิน?
คนที่เรียกผมด้วยชื่อนี้มีด้วยเหรอ ไม่สิ เหมือนเร็วๆ นี้จะได้ยินคนเรียกชื่อผมแบบนี้ที่ไหนมาก่อนนะ ที่ไหนหว่า อืม…
‘ก็ลินลินเป็นคนพาผมเข้ามาเองนี่นา…’
‘ถอดไม่ออกหรอกครับ เจ้าของร้านก็บอกแล้วนี่นาว่าแหวนเลือกลินลิน’
‘อย่าทำแบบนี้สิครับลินลิน เลี้ยงผมเอาไว้เถอะนะ รับรองเลยว่าจะไม่ดื้อไม่ซน นะครับนะ นะๆๆ’
เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อนนะ!
อย่าบอกนะว่า…
“ลินลินนนนนน! จะแปดโมงแล้วนะครับ ถ้าไม่รีบตื่นละก็ ไปเรียนสายไม่รู้ด้วยนา ลินลินนนนนน!”
พรึ่บ!
เบิกตาโพลงขึ้นด้วยความเร็วแสง แล้วเหลือบมองไปทางต้นเสียง เจ้าเด็กผีที่ทำให้ผมเป็นลมสลบไปด้วยความตกใจจนหัวใจเกือบจะวายตายนั้นนั่งยองๆ อยู่แถวช่วงล่างของผม แต่เมื่อเหลือบมองสภาพของตัวเองในตอนนี้ ก็ต้องอัพระดับความตกใจขึ้นไปอีกเป็นสิบเท่า เพราะผมอยู่ในสภาพที่เกือบเปลือย!
กูเหลือแค่กางเกงในตัวเดียวอะ คิดเอา
แถมเวลาเช้าๆ อย่างนี้ ‘ตรงนั้น’ ของผู้ชายก็มักจะพร้อมใจกันยืนตัวตรงเคารพธงชาติด้วย แบบนี้แสดงว่าไอ้เสียงเพลงช้างๆๆ ที่ได้ยินอยู่ในหัวก็…
มึงจ้องตรงนั้นของกูแล้วร้องเพลงนี้ออกมาสินะ ไอ้เด็กเวร!
“ไชโย! ลินลินตื่นแล้ว ผมมีเรื่องอยากจะถามอยู่พอดีเลยว่า ตกลงลินลินจะตั้งชื่อให้ผมว่าอะไรดีครับ”
หันมาถามหน้าซื่อตาแป๋ว ราวกับมันคิดว่าตัวเองเป็นลูกหมาถูกทิ้ง ไม่ใช่ผี!
ปัญหาคือมึงเป็นผีเฟ้ยยย! คนปกติที่ไหนเขาจะเลี้ยงผีเอาไว้ในบ้านกันบ้างเล่า!
“ยู้ฮู! น้องลินของพ่อ พ่อกลับมาแล้วนะลูก ออกมาหาพ่อหน่อยเร้ววว!”
บรรลัยแล้วสิงานนี้! ถ้าพ่อมาเห็นไอ้เด็กผีคนนี้เข้า ต้องตกใจตายแน่ๆ!
“นี่นาย! ไปซ่อนในตู้ก่อน เร็วเข้า!”
“ครับ?”
ความคิดเห็น |
---|