2

ต้องการเปลี่ยนแปลง


 

Chapter 2

ต้องการเปลี่ยนแปลง

“ไอ้คราม! มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ ยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาตั้งหลายปีนะ”

“ไอ้หนิง ไม่เอา”

ผมปรามเพื่อนตัวเอง รู้สึกว่าใบหน้าชาไปหมด ทั้งที่ไม่ได้โดนตบหรือโดนทำร้ายเลยแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกแบบนั้น…

มือลึกลับที่มองไม่เห็น…

ตบเข้ามาเต็มๆ เลย

“ขอโทษนะ แต่ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเรียนห้องเดียวกับคนน่าขยะแขยงแบบนี้ด้วย”

“มันจะมากไปแล้วนะ!”

“เพื่อนเธอต่างหากที่มากไป! คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติเหรอ กับสิ่งที่เพื่อนเธอทำ คิดบ้างไหมว่าฉันจะรู้สึกยังไงที่ถูกทำแบบนี้ เพื่อนเธอน่ะไม่ปกติ! มันโรคจิตเว้ย!”

“ไอ้คราม!”

“พอได้แล้ว!”

ตะโกนคั่นกลางออกไป ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับคนตัวสูงกว่าอย่างคราม ทั้งที่คิดมาตลอดว่าเป็นเทพบุตรจุติลงมา แต่เล่นมาพูดจาโหดร้ายแบบนี้ มันเปรตวัดสุทัศน์มาเกิดมากกว่าแล้ว!

“ใช่! ฉันชอบนาย แอบชอบมาตลอดสามปีที่เรียนด้วยกันเลย แต่เพราะนายเพียบพร้อมทุกอย่าง มีแต่คนห้อมล้อม ฉันเลยไม่คิดจะเปิดเผยความรู้สึกนี้ ทำได้แค่แอบมองนายเท่านั้น แล้วมันยังไงล่ะ สิ่งที่ฉันทำมันผิดมากเลยใช่ไหม ผิดมากเหรอ!”

พลั่ก!

ผลักอกแกร่งจนเซไปเล็กน้อย ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโกรธใครสักคนขนาดนี้ แววตาเย็นชาที่มองเหมือนผมเป็นสิ่งปฏิกูลอันน่ารังเกียจของคราม เป็นยิ่งกว่าเข็มพันเล่มที่แทงเข้าหัวใจ

ระดับนี้ต้องเรียกว่าเป็นการตอกเสาเข็มลงที่หัวใจกูเลยมากกว่า ฮึก!

“นี่! อย่ามาทำร้ายครามเพียงเพราะเขาไม่ได้วิปริตเหมือนนายสิ!”

“วิปริตอะไร! สมัยนี้สังคมเปิดกว้างจะตาย รักร่วมเพศก็เดินจู๋จี๋กันให้เกลื่อนเมือง พูดให้ดีๆ นะ ไม่งั้นฉันเลาะฟันเธอออกมาหมดปากแน่!”

ไอ้หนิงออกหน้าอีกเหมือนเคย มันถลกแขนเสื้อที่สั้นอยู่แล้วขึ้น พลางชูหมัดข่มศัตรูเตรียมจะบู๊แหลกลาญเต็มที่ ถึงผมจะชอบผู้ชาย แต่ยังไงผมก็เป็นผู้ชายอยู่ดี จะให้ไปออกปากด่าผู้หญิงกลับ หรือทำตัวไม่สมกับเป็นสุภาพบุรุษ แม่บนสวรรค์คงช้ำใจ รีบลงมาเกิดเพื่อตามมาไล่หวดก้นผมฐานสอนแล้วไม่จำแหงๆ

“มันไม่เหมือนกันย่ะ ดูสารรูปเพื่อนเธอด้วย เฉิ่มเชยขี้เหร่เหมือนพวกโอตาคุโรคจิตแบบนี้อะนะ อย่าว่าแต่เพศเดียวกันเลย เพศตรงข้ามก็ไม่มอง!”

“โห! ปากแบบนี้มันน่าโดนเลาะฟันจริงๆ นั่นแหละ”

“ไอ้หนิง ไม่เอา!”

ผมห้ามเพื่อนของตัวเองไว้ ตอนนี้คนเริ่มมุงดูเยอะขึ้น สายตาของครามเอาแต่จับจ้องมาทางผม เป็นสายตาที่เดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“ไอ้คราม ไปเล่นต่อดีกว่าว่ะ ปล่อยแม่งไปเหอะ”

เพื่อนของครามเดินเข้ามาตามและลากเขาออกไป สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ความสงบมากขึ้น จะมีก็แต่ผมที่ยังถูกมองและซุบซิบนินทาไม่เลิก

วันนี้มันวันเฮงซวยอะไรวะเนี่ยยย! ไม่ใช่ฉากสารภาพรักครามในฝันของกูสักหน่อย! ที่ฝันไว้คือมันต้องโรแมนติกกว่านี้เว้ยยย แบบนี้มันสายฮาร์ดคอร์เกินไป ไม่ใช่แนวกูเลย

หมับ!

“ไปไอ้ลิน!”

“เดี๋ยว ไปไหนวะ”

“โดนดูถูกและหัวเราะเยาะใส่ขนาดนั้น ไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไง!”

ไอ้หนิงหันมาตวาด ยังคงลากผมไปทางหน้ามหาวิทยาลัยด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แสดงถึงความโกรธที่ยังคงคุกรุ่น ทำให้พลอยนึกถึงแววตาที่เฉยชาไม่รับรู้อะไรของครามเมื่อกี้เลย

เขาคงตกใจมากแน่ๆ ที่อยู่ๆ ก็มีผู้ชายมาสารภาพรัก ซ้ำยังเป็นสตอล์กเกอร์ตามแอบมองมาตลอดสามปีอีก

โอ๊ยยย! ทำไมความอดทนกูต่ำระดับเดียวกับหน้าตาแบบนี้วะ ถ้าเมื่อกี้ยอมเดินออกมาโดยไม่ต้องต่อปากต่อคำก็คงจบไปแล้วแท้ๆ ผมกลับทำให้สถานการณ์มันย่ำแย่ลงด้วยการสารภาพความในใจแบบดุเดือด

“แล้วแกจะให้ฉันทำอะไรวะ ที่พวกนั้นพูดมาก็ถูกไม่ใช่หรือไง แกลองดูสภาพฉันดิ ดูว่าฉันเป็นยังไง”

รั้งแขนเพื่อนซี้เอาไว้ แล้วชี้ให้มันมองดูผมให้เต็มสองตา

ไว้ผมทรงแสกกลางหวีจนเรียบ และทาเยลซ้ำจนไม่มีผมเส้นไหนกระดกเลยสักเส้น ทับด้วยแว่นกรอบดำเพราะเป็นคนสายตาสั้นมาก เสื้อผ้าที่ใส่ก็ขอรับบริจาคมาจากรุ่นพี่ในคณะที่อยู่ข้างบ้าน แต่เพราะรุ่นพี่ตัวค่อนข้างใหญ่ พอผมเอามาใส่ มันเลยดูหลวมโคร่งไม่ค่อยเรียบร้อย แต่เป็นเพราะผมอยากช่วยพ่อที่หาเงินเข้าบ้านคนเดียวประหยัด ก็เลยไม่คิดจะซื้อใหม่ เมื่อเอาทุกอย่างมารวมกันแล้ว เลยได้ความจริงที่ว่า…

หน้าตาผมมันโคตรห่วย!

บุคลิกก็ย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤติอีกด้วย

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกไอ้ลิน แกแค่ไม่รู้จักแต่งตัวเท่านั้นเอง ฉันก็ไม่เคยทักเพราะคิดว่าอะไรที่เป็นแกมันย่อมดีที่สุดแล้ว แต่พอเจอแบบนี้ บอกเลยว่าโคตรแค้น! แค้นทั้งไอ้ครามแล้วก็พวกแฟนคลับมันเลย ผีเจาะปากมาพูดกันทั้งนั้น!”

“ขอบใจมากนะไอ้หนิง ไม่มีแก ฉันคงแย่ ไม่มีใครอยู่ข้างฉันเลยสักคน”

คิดถึงภาพเมื่อกี้ที่ทุกคนต่างพากันรุมล้อมและด่าทอผมว่าเป็นพวกโรคจิตแล้ว ก็แอบกลัวไม่น้อย ยังดีที่พอมองไปข้างๆ ก็เจอไอ้หนิงยืนพ่นไฟเป็นนักรบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ด้วย

“ถ้าแกซาบซึ้งในบุญคุณของฉันจริงๆ นะไอ้ลิน แก…”

“…”

“ต้องเปลี่ยน!”

“หา!?”

“แกต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง แปลงโฉมเป็นคนใหม่ เอาให้ตะลึงกันทั้งมหา’ลัยไปเลย โดยเฉพาะไอ้คราม หล่อเมื่อไหร่ แกรีบมาไล่จีบมันให้ติดเลยนะ จากนั้นก็เฉดหัวทิ้งให้เหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่งไปเลย!”

อื้อหือ! แค้นฝั่งหุ่นยิ่งกว่าผีก็ไอ้หนิงนี่แหละวะ

ผมยิ้มแห้งๆ มองเพื่อนรักที่ดูจะโกรธจัดและต้องการแก้แค้นเป็นอย่างมาก หากแต่คำพูดมันก็สะกิดต่อมบางต่อมในใจผมขึ้นมาได้…

ถ้าหากผมแปลงโฉมจนดูดีขึ้นแล้ว หล่อเหลาพอที่จะยืนเคียงข้างคราม แล้วถ้าฟ้าเป็นใจให้ผมจีบเขาติด ถึงตอนนั้น…จะเป็นยังไงนะ

ให้เฉดหัวเขาทิ้ง…ไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้ไหม อย่าลืมสิว่าเขาคือรักแรก และผมก็แอบชอบเขามาถึงสามปีเต็มเลยด้วย! แอบชอบทั้งที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเกย์หรือเปล่า แต่ระยะเวลาที่ได้ชอบคราม ผมก็ไม่เคยคิดชอบหรือมองใครอีกเลย ไม่มีใครทำให้ผมใจเต้นแรงได้เลยสักคน...

“เอาจริงเหรอ…”

“เออ! เดี๋ยวให้เวลาฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับการแปลงโฉมของพวกผู้ชายก่อน แล้วค่อยเริ่มเปลี่ยนจากภายใน วันนี้เราแค่ไปช็อปปิ้งเลือกพวกเสื้อผ้ากับเครื่องประดับเตรียมไว้ก็พอ อย่างน้อยแค่ต้องมีตัวช่วยเสริมให้ดูเด่นบ้าง อย่างพวกสร้อย แหวน กำไล ต่างหู อะไรงี้”

“หระ…เหรอ”

จะรอดไหมวะเนี่ย เอาผู้หญิงมาช่วยแปลงโฉมผู้ชาย สาบานว่าสภาพกูจะไม่ออกมาเป็นสาวประเภทสอง!

กูแค่ชอบครามนะเว้ย แต่ไม่ได้เบี่ยงเบนถึงขั้นนั้น!

“พร้อมแล้วลุยเลย! หลังมหา’ลัยมีร้านกิฟต์ช็อปเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง ขายเครื่องประดับครบครัน ฉันเคยไปซื้อมาแล้ว สวยและไม่แพง แกซื้อได้แน่นอน!”

“มีงบห้าสิบบาทนะเว้ย”

“ห้าสิบก็เหลือเฟือ ไปเร็ว!”

ว่าแล้วก็ลากผมเดินต่ออย่างเร่งรีบ เห็นมันมุ่งมั่นในการจะช่วยเปลี่ยนแปลงผมขนาดนี้แล้ว ก็เอ่ยปากห้ามไม่ลง แม้ในใจจะย้อนแย้งเพราะคิดว่าทำไปก็เสียเวลาเปล่าๆ ก็เถอะนะ คนอย่างผม…สภาพของผมตอนนี้ จินตนาการภาพตัวเองในตอนอาฟเตอร์ไม่ออกเลย

ย่ำแย่เกินจินตนาการจะไปถึงเลยสินะ…

แต่ก็เอาวะ! ยิ่งคิดถึงคำดูถูกและสายตาเย็นชาของครามผม ก็ยิ่งมีแรงฮึด การที่จะทำให้เจ้าชายมาสยบแทบเท้าได้ ก็มีแต่ผมเองต้องเป็นเจ้าชายด้วยเหมือนกัน

‘ผมจะต้องดูดี จะต้องหล่อ จะต้องทำให้เขาสนใจให้ได้!’

จากนี้ไป ผมจะเป็นฝ่ายดึงดูดให้ครามเข้าหาบ้างแล้ว! (หมายถึงกรณีที่หากการแปลงโฉมสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีอะนะ/ฮึกเหิมไว้ก่อน…)

 

“โห…เยอะอะไรเบอร์นี้เนี่ย”

ภายในบ้านหลังเล็กๆ ที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ แต่ภายในร้านกลับเต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง แถมราคาก็ไม่แพงเหมือนที่ไอ้หนิงบอกไว้เป๊ะเลยด้วย

“เป็นไง มีสวยๆ เยอะเลยใช่ไหมล่ะ”

“อือๆ สวยมาก ถูกด้วย”

หันไปหยิบกำไลข้อมือสำหรับผู้ชายขึ้นมาดูอันหนึ่ง เป็นแบบสายหนังสีดำมีโซ่คาด ผมว่ามันดูร็อกเกินกว่าที่ผมจะใส่ได้…

“งั้นแกก็หาดูที่ถูกใจไปละกันนะ ฉันไปหาซื้อของตัวเองก่อน อาทิตย์ก่อนมาเล็งไว้แล้ว”

“อือๆ แกไปเหอะ ฉันเลือกเองได้”

ตอบรับไอ้หนิงก่อนจะแยกย้ายกันหาซื้อของที่ต้องการ

ตรงกลางร้านมีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่งกับคุณลุงที่ผมบนหัวไม่มีเหลือสักเส้นนั่งอยู่ ท่าทางคงจะเป็นเจ้าของร้านละมั้ง ผมเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อหาของที่ถูกใจตัวเองมากที่สุดในงบห้าสิบบาท หวังว่าผมจะได้มันครบทั้งสร้อย แหวน กำไล นาฬิกา และต่างหูนะ

ใช่…

ในงบแค่ห้าสิบบาทนี้นั่นแหละ

“โอ๊ะ! สวยดีแฮะ”

หยิบเอาสร้อยเงินแบบเรียบมีจี้รูปไม้กางเขนสีดำสนิทห้อยอยู่ ราคาแค่สามสิบบาทเองด้วย โหเฮ้ย! เจ๋งเป็นบ้าเลยอะ!

ชิ้งงง!

กำลังชื่นชมสร้อยที่สวยถูกใจในราคาเหมือนขนนก อยู่ดีๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกำไลข้อมืออีกเส้นที่สวยถูกใจไม่แพ้กัน! โซ่เงินเส้นเล็กๆ ที่มีจี้วงกลมเหมือนดาวเคราะห์แปะอยู่ตรงกลาง ดูสวยงามระยิบระยับน่ามองมากๆ แต่เมื่อเหลือบมองราคา…

“สะ…สามสิบ!”

แบบนี้ก็ซื้อไม่ได้น่ะสิ!

สามสิบบวกสามสิบเท่ากับหกสิบ เกินงบมาตั้งสิบบาทแน่ะ คงต้องตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ไว้ไปรับจ้างทำความสะอาดห้องของรุ่นพี่เมื่อไหร่ค่อยเอาเงินมาซื้อเพิ่ม

“ชอบเหรอพ่อหนุ่ม”

“!!!”

ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม หันกลับไปมองคุณลุงเจ้าของร้านที่เดินมาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตกใจจนหัวใจแทบวายตายแน่ะ เสียงทุ้มๆ ยานคางแบบนี้หลอนชะมัด!

“เหลืออย่างละอันแล้วนะ ถ้าเอ็งชอบก็ซื้อเลย”

“เอ่อ…ไอ้ชอบมันก็ชอบนะลุง เพียงแต่…มันเกินงบอะ ผมตั้งงบไว้แค่ห้าสิบบาทเท่านั้น”

“งั้นนี่ นี่ล่ะๆๆๆ”

ลุงเจ้าของร้านเขย่งเท้าหยิบเอาอะไรบางอย่างที่วางไว้บนชั้นด้านบนสุดลงมา ตะกร้าเล็กๆ ที่ในตะกร้ามีเพียงแหวนเงินอยู่วงเดียว

แม้ว่ามันจะดูเรียบง่าย แต่ผมกลับสะดุดใจและรู้สึกชอบมันเหลือเกิน

“ชอบไหม”

“ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิๆ จะลองใส่เลยก็ได้นะ”

ลุงยัดเยียดแหวนใส่มือผมแล้วเอาสร้อยกับกำไลไปถือไว้ให้แทน ผมยิ้มให้แทนคำขอบคุณ ก่อนจะลองสวมแหวนลงไปที่นิ้วทีละนิ้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีนิ้วไหนใส่ได้พอดีเลย นอกจาก…

นิ้วนางข้างซ้าย!

“ใส่ได้พอดีเลยครับ”

“จริงด้วย ไม่เคยมีใครใส่แหวนนี้ได้พอดีสักคนเลยนะ งั้นเอาอย่างนี้…”

“…”

“แหวนวงนี้ลุงแถมให้ฟรีเลย ถ้าเอ็งซื้อสร้อยกับกำไลครบชุด”

“อะไรนะครับ!”

ร้องออกมาด้วยความตกใจ แหวนนี้ดูยังไงๆ ราคามันก็น่าจะแพง เพราะดูเหมือนเงินแท้มากกว่าของเคลือบทั่วๆ ไป ถ้าหากผมตกลงซื้อสร้อยกับกำไล ก็เท่ากับว่าผมต้องเพิ่มเงินไปอีกสิบบาท แต่นั่นก็จะทำให้ผมได้แหวนวงนี้มาอีกวงด้วย

คะ…คุ้มอยู่แฮะ!

“ว่ายังไง ตกลงไหม แหวนวงนี้เนื้อดีมากเลยนะ ทำจากเงินแท้แน่นอน”

“ถ้ามันดีขนาดนั้น ทำไมลุงถึงเลือกจะแถมให้ผมล่ะครับ เอาไปขายทำกำไรไม่ดีกว่าเหรอ”

“เพราะว่าแหวนวงนี้เลือกเอ็งไงล่ะ”

“ครับ?”

แหวนเลือกผม? ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม…

“ไม่มีอะไรๆ เอาเป็นว่าลุงแถมให้ละกันนะ ส่วนสร้อยกับกำไลนี่ ลุงก็ลดให้เป็นสองอันห้าสิบไปเลย!”

“จริงเหรอลุง!”

“จริงสิ มาๆ ลุงเอาไปใส่ถุงให้นะ”

ลุงรีบเดินกลับไปเอาสร้อยกับกำไลที่ผมเลือกใส่ถุงให้ ในวันร้ายๆ ยังคงมีเรื่องดีๆ แฝงอยู่ อย่างน้อยผมก็ได้เครื่องประดับที่ถูกใจมาสามชิ้นในราคาไม่เกินงบ!

วิ้งงงงงง!

แสงสะท้อนจากหลอดไฟที่ตกกระทบกับแหวนเงินตรงนิ้วของผมวูบวาบขึ้นจนแสบตา ผมใช้มืออีกข้างลูบมันไปมา เป็นแหวนที่สวยมากจริงๆ…

 

ในมุมมุมหนึ่งของร้าน ร่างของใครบางคนปรากฏตัวขึ้นในชุดนักเรียนมัธยมปลาย! เขามองไปยังร่างเล็กที่กำลังยืนยิ้มลูบแหวนวงที่สวมอยู่ด้วยแววตาดีใจระคนตื่นเต้น

“ไอ้ลิน เลือกเสร็จรึยังวะ ไปกันได้แล้ว”

“อือๆ จะไปเดี๋ยวนี้ละ”

เจ้าของแหวนคนใหม่ตะโกนตอบกลับไป เขาวิ่งไปจ่ายเงินและรับถุงใส่ของที่ซื้อมาจากคุณลุงคนขาย ก่อนจะเดินออกจากร้านไปพร้อมกับเพื่อนสนิทของตัวเอง

‘ลิน? ลินลินงั้นเหรอ น่าสนใจไม่เลวเลยแฮะ’

รอยยิ้มสนุกสนานผุดขึ้นบนใบหน้าของร่างโปร่งแสงที่ไม่มีใครมองเห็น!


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น