4
วันว่างของไอรีน
จริงๆ แล้วงานใหม่เรียกได้ว่าค่อนข้างสบายพอสมควร เพราะในยามที่การส่งของไม่มีปัญหา เรมิงตันก็ไม่ได้ให้ไอรีนทำอะไร และชายหนุ่มก็ให้อิสระในการใช้ชีวิตพอควร ไอรีนจึงยังออกไปห้างสรรพสินค้า เดินเล่น ดูหนัง และทำกิจกรรมในวันว่างได้ และวันนี้ก็เป็นวันว่างของเธอ
“จะไปไหน”
น้ำเสียงติดจะเกียจคร้านดังขึ้นลอยๆ แต่ไอรีนรู้ว่าเรมิงตันกำลังถามเธอ จึงหันไปยังทิศทางของเสียง
แล้วเลือดกำเดาก็แทบพุ่ง!
ชายหนุ่มในสภาพเปลือยอก หยดน้ำเกาะพราวทั่วร่างเนื่องจากเพิ่งขึ้นจากสระน้ำ ยืนทิ้งสะโพกถามขึ้นจากเทอร์เรซด้านนอก
“ไปข้างนอกค่ะบอส” เธอพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเอ่ยตอบออกไป ตาเรียวเฉี่ยวเบนมองทางไปอื่นแทนที่จะเป็นบอดีกระชากใจตรงหน้า
พักหลังมานี้เรมิงตันอนุญาตให้เรียกเขาสั้นๆ ว่า ‘เรย์’ ได้ แต่เธอว่ามันฟังดูสนิทสนมเกินไป จึงเรียกว่าบอสแทน
เรมิงตันเห็นท่าทางหญิงสาวตรงหน้าแล้วก็นึกอยากแกล้ง ชายหนุ่มเดินเข้ามาด้านในทั้งที่ตัวยังไม่แห้งดี หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามตัวหยดลงพื้นเป็นวงกว้าง แต่เขาก็ไม่สนใจ
ไอรีนยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยไม่รู้เจตนาของอีกฝ่าย พยายามรักษาระดับสายตาให้นิ่ง ไม่มองลงต่ำให้เป็นอันตรายต่อสายตา
ส่วนสีหน้าน่ะเหรอ...ไม่ต้องส่องกระจก เธอก็รู้ว่ามันคงแดงเถือกแน่นอน เพราะแบบนี้ไงล่ะเรมิงตันถึงได้ทำตาวิบวับ เดินเข้ามาหาเรื่องแกล้ง
เรมิงตันเดินมาหยุดตรงเคาน์เตอร์บาร์ เปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่ายกขึ้นดื่มเสร็จก็ถามต่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ไปไหน...ไปด้วยสิ”
ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ไอรีนนึกหมั่นไส้ ชอบแกล้งเธอใช่ไหม...
ได้!
ดวงตาเฉี่ยวทำเป็นมองสบตาวิบวับอย่างจริงจัง ริมฝีปากขยับบอก “ไปวัดค่ะ”
“งั้นไปเถอะ”
ไอรีนกัดปากกลั้นยิ้มขันการตอบกลับแบบไม่ต้องคิดของเขา ก่อนจะหมุนตัวเดินลิ่วกลับไปกระโดดน้ำดังตู้ม
ดูเอาเถอะ...สงสัยคนอย่างบอสคงเข้าวัดไม่ได้...ร้อน!
จัดการบอสเจ้าปัญหาออกไปได้ ร่างบางก็เดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีออกจากห้องไป ถึงแม้ว่าวัดจะไม่ใช่ที่ที่ตั้งใจจะไปวันนี้ แต่ในเมื่อยกมาพูดไปแล้ว ไอรีนคิดว่าเธอต้องยอมเปลี่ยนแผนสักหน่อย
วัดเหรอ...ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์สักหน่อยก็ดี
บรรยากาศภายในวัดที่แม้จะตั้งอยู่ย่านใจกลางเมือง แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกถึงความวุ่นวายแม้แต่น้อย ภายในยังคงความสงบร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ มีผู้คนหลากหลายวัยมาทำกิจกรรมทางศาสนา ตั้งแต่เด็กตัวน้อยจนถึงผู้สูงอายุ
ไอรีนไม่รอช้า เดินตรงไปยังซุ้มเล็กๆ เลือกดอกไม้ที่จัดใส่พานเตรียมไว้ให้ผู้ที่มาทำบุญมาได้หนึ่งชุด หยอดเงินลงกล่องบริจาคเสร็จก็เดินขึ้นไปด้านบน
การได้มาทำอะไรแบบนี้ทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมากทีเดียว อย่างน้อยเธอก็รู้สึกว่ายังมีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป
ขอให้วันเวลาสงบสุขอยู่กับเธอแบบนี้ไปนานๆ...สาธุ
เสร็จจากการเดินเวียนรอบพระธาตุ ไอรีนก็เดินออกมาด้านนอก ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร แต่ด้านหน้าของวัดมีซุ้มทำบุญบริจาคมากมาย หญิงสาวเดินตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเลยังซุ้มที่ติดป้ายด้านบน...
‘สะเดาะเคราะห์’
เธอส่งยิ้มให้เจ้าหน้าที่ของวัดที่นั่งอยู่ประจำที่ มือเรียวหยิบสมุดเล่มเล็กสำหรับเขียนใบบริจาคมาเขียนชื่อ นามสกุล และจำนวนเงิน
‘อุทิศให้แด่...เจ้ากรรมนายเวร’
หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจเมื่อจดปากกาใส่รายละเอียดที่ขาดไม่ได้ ยื่นธนบัตรส่งให้เจ้าหน้าที่พร้อมกับรับใบอนุโมทนากลับมา
มือเรียวยกกระดาษขึ้นจดหน้าผาก หันหน้าไปทางองค์พระด้านใน และตั้งจิตอธิษฐาน
ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรในสมรภูมิรบ ชายป่า เขตชายแดน พื้นที่ชายขอบทั้งหลาย ขออโหสิกรรมด้วย... สาธุ’
หวังว่าเจ้ากรรมนายเวรจะลดน้อยลงไปสักนิดนึงก็ยังดี!
เดี๋ยวนะ...
ในขณะที่เตรียมจะหันหลังกลับ ความคิดหนึ่งก็แล่นวาบจนขาที่จะก้าวเดินหยุดชะงัก
ใบเดียวไม่น่าพอ...
เมื่อนึกถึงท่าทางของเรมิงตันเมื่อเช้านี้ที่ดูจะไม่กินเส้นกับวัดเท่าไร หญิงสาวก็ตัดสินใจเขียนเพิ่มอีกสามใบ ชื่อของเจ้านายหนึ่งคนและเพื่อนร่วมงานอีกสองถูกใส่ไว้บนหัวกระดาษ
ตอนนี้ถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว เธอก็ควรอุทิศส่วนกุศลเผื่อให้เจ้ากรรมนายเวรของทั้งสามด้วย...ถือว่าช่วยๆ กัน
เสร็จจากวัดไอรีนก็เดินอย่างสบายใจไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนัก
เดินห้างคนเดียวแม้จะเปลี่ยวเหงาไปบ้าง แต่เธอก็มีความสุขที่ได้เดิน ร่างบางเดินทอดน่องไปเรื่อยเปื่อยด้วยไม่ได้มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษ และในขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น เสียงเพลงเรียกเข้าที่ตั้งไว้เป็นพิเศษก็ดังขึ้น
‘เรไร’
เห็นชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ มุมปากก็ยกบิดขึ้นเป็นรอยยิ้ม...เจ้าของสายเรียกเข้านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเรมิงตัน บอสตัวร้ายของเธอนั่นเอง
ด้วยความที่ไม่อยากบันทึกชื่อของชายหนุ่มให้เป็นมลทิน เอ๊ย ให้เป็นที่สงสัย เธอคิดอยู่นานว่ากว่าจะได้ชื่อนี้ออกมา
ก็เขาบอกเองนี่นาว่าให้เธอเรียกสั้นๆ ว่าเรย์ ก็ได้ ขอเติมท้ายอีกนิดจะเป็นไรไป?
อ้อ...แล้วก็ไม่ต้องห่วง เพราะชายหนุ่มอีกสองคนก็มีเช่นเดียวกัน
ไหนๆ ก็คิดให้บอสแล้ว คนอื่นไม่คิดให้ เดี๋ยวจะถูกหาว่าไม่เท่าเทียม ดังนั้นสำหรับคุณเอ็ม เธอจึงเติมท้ายให้เป็น ‘เอ็มม่า’ และแน่นอนว่าอีกหนึ่งหนุ่มก็ต้องเป็น ‘วินนี่’
ไม่รู้ว่าถ้าสามคนนั้นเห็นชื่อของตัวเองจะออกอาการยังไง แต่เชื่อเถอะว่าถึงเห็นก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นชื่อตัวเอง
แล้วขนาดเจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่าเป็นชื่อตัวเอง ดังนั้นหมดปัญหากังวลใจว่าหากโทรศัพท์เธอมีเหตุให้เสียต้องซ่อมหรือโดนขโมย ข้อมูลของพวกนั้นไม่มีทางหลุดไปได้แน่นอน
เห็นไหม...รอบคอบขนาดไหนถามใจดู!
“สวัสดีค่ะบอส” ไอรีนกระแอมปรับอารมณ์ตัวเองก่อนเอ่ยทักปลายสายเสียงใส
“เสร็จธุระรึยัง”
“เรียบร้อยค่ะ” ไอรีนตอบไปตามจริงแม้จะนึกสงสัยคำถามของอีกฝ่ายไม่น้อย
“อยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวให้วินไปรับมาฉลอง”
เธอยกโทรศัพท์ออกมามองราวกับจะทะลุไปเห็นยังอีกฟาก คิ้วเรียวขมวดเป็นปม
ฉลอง?
ฉลองอะไร
ทว่าปลายสายดูจะพอเดาออกจากการที่เธอเงียบไป ประโยคต่อมาถึงได้ตอบข้อสงสัยให้ร้องอ๋อ
“แผนเธอใช้ได้ดี คิลล์แจ้งว่าส่งของเรียบร้อย”
อ้อ...เธอก็นึกว่าชายหนุ่มคนนั้นจะโดนเตะโด่งให้ไปนอนเล่นในห้องขังสักวันสองวันเสียอีก
“อยู่ห้าง XX ค่ะ”
“ไหนว่าไปวัด?” น้ำเสียงสบายๆ ก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นอย่างรู้สึกได้
แหม่...จำเก่ง!
“เสร็จแล้วค่ะ...ไปทำบุญเฉยๆ ไม่ได้บวชชี ไม่ต้องอยู่ทั้งวันก็ได้ค่ะบอส”
“หึ...ปากดีนะเดี๋ยวนี้”
ไอรีนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นแน่นอน แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้เกือบจะกัดลิ้นตัวเอง
“รอที่นั่นแหละ เดี๋ยวจะให้เอ็มไปรับ”
“...”
“เดี๋ยวเอ็มจะไปรับ”
“ค่ะ!” ไอรีนฟึดฟัดขัดใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะก่อนสายจะตัดไป
เรมิงตันช่างเจ้าคิดเจ้าแค้น รู้ทั้งรู้ว่าท่าทีนิ่งๆ ดูดุๆ ของเอ็มทำให้เธอรู้สึกเกร็ง แต่อีกฝ่ายก็ยังจะส่งเอ็มมา
ฮึ่ย!
‘เอ็มม่า’
ไม่นานหลังจากที่วางสายไป ชื่อของคนที่โทร. เข้ามาใหม่ก็ทำให้เธอต้องรีบกดปุ่มรับ น้ำเสียงสุภาพของปลายสายที่บอกว่าอีกสิบห้านาทีจะมาถึงทำให้เธอตัดสินใจไปรอยังจุดรับส่งแทน
สงสัยว่าคุณเอ็มจะไม่ได้อยู่กับเรมิงตัน ถึงได้มารับเร็วแบบนี้
จริงอย่างที่คาดเพราะทันทีที่เอสยูวีคันสีดำจอดตรงจุดรับส่งชั่วคราวที่ชั้นล่าง บานประตูอัตโนมัติด้านหลังก็เลื่อนเปิดออกทำให้เห็นว่าไม่มีใครอยู่บนรถ นอกจากคนที่ขับอยู่ตอนนี้อย่างเอ็ม
“เอ่อ...ไอนั่งด้านหน้าได้นะคะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ แม้ปกติจะนั่งด้านหลังกับเรมิงตัน แต่นั่นก็เพราะมีวินนั่งหน้า แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ จะให้นั่งเป็นคุณนายข้างหลังก็ชวนให้เก้อกระดาก
“ไม่เป็นไรครับ ขึ้นมาเถอะ” ชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยดูไม่คิดอะไรมาก จึงแค่บอกมายิ้มๆ แล้วพยักหน้าให้หญิงสาวขึ้นรถ
เห็นแบบนั้นไอรีนก็รีบกระโดดขึ้นทันทีเพราะที่ตรงนี้จอดได้ไม่นาน “ขอบคุณค่ะ”
บรรยากาศค่อนข้างเงียบในรถทำให้คนเป็นพีอาร์ที่มักจะชอบพูดคุยอึดอัด จะหวังให้คนขับเริ่มชวนคุยก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะตั้งแต่ได้รู้จักสองหนุ่มมา เธอพบว่าชายหนุ่มผิวสีแทนคนนี้ดูนิ่งๆ ต่างจากหนุ่มหน้าหวานอีกคนที่พูดคุยยิ้มแย้มมากกว่า ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มที่ให้อารมณ์ชวนสยองจากการยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาก็ตาม ไอรีนจึงเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาแทนก่อนที่จะน้ำลายบูด
“คุณเอ็มผ่านมาแถวนี้พอดีเหรอคะ” ความจริงแล้วเธออยากจะถามว่าไปไหนมา...แต่ก็กลัวใจกับคำตอบ
ใจยังไม่แกร่งพอจริงๆ พูดเลย
“ไม่หรอกครับ คุณเรย์สั่งให้ผมมารับ”
“อ้อ...ที่จริงแล้วให้ไอไปหาเลยก็ได้ เลยต้องลำบากคุณเอ็มมารับเลย” ได้ยินแบบนี้เธอก็บอกอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ
“ผมมาน่ะดีแล้วครับ เพราะที่ที่เราจะไปกันคงไม่สะดวกให้รถสาธารณะไปส่ง”
แหงะ...ถ้าจะพูดแบบนี้แล้วละก็ ตาขวาชักเริ่มกระตุกเบาๆ
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ” ไอรีนถามเสียงแหย
คงไม่มีร้านอาหารไหนจะลึกลับขนาดที่ไม่สะดวกให้รถสาธารณะไปส่งหรอก กลัวแต่ว่าจะเป็นที่ที่ไม่ต้อนรับรถแปลกปลอมมากกว่า
“บ้านคุณเรย์ครับ”
บ้าน?
การที่เรมิงตันมีบ้านไม่แปลก แม้ทุกวันนี้เธอจะไม่เห็นเขากลับบ้านก็เถอะ แต่แปลกที่ชายหนุ่มเลือกที่จะเลี้ยงฉลองที่บ้าน
“นึกว่าจะเป็นร้านอาหารที่ไหนซะอีก” ไอรีนพึมพำเบาๆ แต่คนข้างหน้าก็ยังได้ยิน ทำให้เธอได้รับคำตอบให้คลายสงสัย
“นายไม่ชอบสถานที่พลุกพล่าน จัดที่บ้านจะสะดวกกว่าครับ”
ไอรีนพยักหน้ารับรู้ แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเห็น เธอจึงตอบรับสั้นๆ “อ๋อค่ะ”
ถ้าจะเก็บตัวมิดชิดขนาดนี้...ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมเรมิงตันถึงได้เป็นแรร์ไอเท็ม
ไม่นานนักเอสยูวีก็เคลื่อนผ่านประตูเหล็กสีดำเข้าสู่ภายในบริเวณบ้าน ประตูบานเหล็กสีดำที่เปิดอ้าออกเผยให้เห็นสวนอยู่ตรงกลาง ไม้พุ่มสีเขียวสูงไม่มากนักมีไม้ดอกคลุมดินสีสดสลับเพื่อให้เป็นสีสัน สวนถูกดีไซน์ออกมาในรูปแบบเหมือนเขาวงกต และใจกลางสวนวงกตนั้นเป็นน้ำพุสามชั้น ล้อมรอบด้วยรูปปั้นเทพธิดา
ไอรีนอุทานในใจเพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้า เธอคิดว่าอาจจะได้เห็นโชว์รูมรถหรูอีกหนึ่งแห่งของเขา ซึ่งนั่นจะไม่ทำให้แปลกใจเลย
ไม่คิดว่าพ่อค้าอาวุธสงครามอย่างเรมิงตันจะมีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดมีสวนสไตล์อังกฤษไว้หน้าบ้าน
เกิดคาด...เกินคาดจริงๆ
แต่ดอกไม้สวยสดงดงามขนาดนี้...เอาอะไรเป็นปุ๋ยเหรอ
ความคิดหนึ่งที่แล่นวาบเข้ามาทำให้คนช่างจินตนาการรีบสะบัดหัวเรียกสติ พร้อมกับที่เสียงเรียกของเอ็มดังขึ้น
“เชิญทางนี้ครับ”
ชายหนุ่มเรียกเธอก่อนจะก้าวนำเข้าไปในตัวบ้าน ไอรีนจึงรีบเดินตามเข้าไป
บนโต๊ะยาวขนาดกว่าสิบที่นั่งเรียงรายไปด้วยอาหารหน้าตาน่ากิน ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ไม่มีท่าทีแปลกใจ แล้วตรงไปนั่งประจำที่เรียบร้อย ต่างกับหญิงสาวอีกคนที่ชะงักเท้า ยืนมองภาพเบื้องหน้าที่ราวกับหลุดออกมาจากละครไฮโซหลังข่าวตาปริบๆ
โต๊ะขนาดกว่าสิบที่นั่ง อาหารอย่างกับกินกันทั้งหมู่บ้าน นั่งกันอยู่สามคน อ้อ รวมเธออีกหนึ่งเป็นสี่
อื้อหือ...วิถีคนรวย!
ไอรีนกลืนน้ำลายเอื๊อก เดินไปนั่งที่ว่างทางขวามือของเรมิงตัน เพราะฝั่งตรงข้ามถูกจับจองโดยผู้ช่วยสองคนของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้คิลล์โทร. มารายงานว่าแผนของเธอใช้ได้ดี”
เรมิงตันนึกถึงคำรายงานแล้วก็ยิ้มชอบใจ นอกจากการส่งของจะราบรื่นเพราะตำรวจแห่กันไปจับพวก ‘ขนยา’ แล้ว ฝั่งพวกที่ขนยายังกลับมาคุยฟุ้งอย่างชอบอกชอบใจสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเจ้าหน้าที่ที่มากันแน่น จนเกรงว่ายาดมจะใช้กันไม่พอ
ไอรีนยิ้มรับอย่างดีใจที่แผนของเธอไปรอด
“เอาดีทางนี้ก็ได้อยู่เหมือนกันนี่นา”
แต่รอยยิ้มแต้มริมฝีปากเริ่มบิดเบี้ยวยามได้ยินประโยคถัดมา น้ำเสียงเจือแววขำขันกับท่าทางยิ้มยักคิ้วส่งมาให้ทำให้ไอรีนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างค้นหา
หมายความว่าไง
เขาไม่ได้กำลังหลอกด่าเธอใช่ไหม ตอบ!
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ผมกำลังชมอยู่นะ” เรมิงตันยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของหญิงสาว
ว่าไม่ได้ละนะ...ประโยคชมเชยจากการกระทำที่ไม่เข้าข่ายคนดีมันก็จะชวนทะแม่งๆ อยู่สักหน่อย
“ขอบคุณค่ะ” แม้จะไม่รู้สึกเช่นนั้น แต่เธอก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียง
ในเมื่อเขาบอกว่าชม...ชมก็ชมวะ!
พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ เรมิงตันก็ตักอาหารเป็นสัญญาณว่าเริ่มกินได้
ไอรีนมองจานอาหารด้านหน้าก็ตาลาย เลือกไม่ถูกว่าจะเริ่มจากอะไร จึงตัดสินใจตักอะไรที่อยู่ด้านหน้าในระยะที่แขนสั้นๆ จะเอื้อมถึงแทน
“ทำไมกินแต่ที่อยู่ตรงหน้าล่ะ ลองอันนี้บ้างสิ”
เรมิงตันตักเป็ดย่างที่วางอยู่ไม่ไกลนักใส่จานให้ คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อพบว่าหญิงสาวไม่ค่อยกินอะไรมากนัก มีเพียงแค่สองสามจานด้านหน้าเท่านั้นที่เธอเลือกตัก
ไอรีนยิ้มตอบความมีน้ำใจที่ชวนหนังตากระตุก อยากจะตอบไปว่าเธอก็ไม่ได้อยากจะกินแต่ไอ้ที่มันวางอยู่ตรงหน้าหรอก แต่มันเอื้อมสุดได้เท่านี้
แล้วถ้าอยากกินไอ้จานที่อยู่ท้ายโต๊ะนั่น...ต้องอัญเชิญแม่นาคมาสิงร่างไหม
“ที่นี่ดูผิดจากที่คาดไว้นะคะ” ไอรีนเปิดบทสนทนาเมื่อคิดว่าบรรยากาศชักจะเงียบ บรรยากาศที่มีแต่เสียงช้อนส้อมกระทบกันในบ้านหลังใหญ่แบบนี้ทำให้ดูวังเวงชอบกล
“หืม?” เรมิงตันและสองหนุ่มที่เหลือเงยหน้าขึ้นมา ส่งเสียงในลำคอถามอย่างสนใจ
“ก็...ดูคนไม่เยอะอย่างที่คิดไว้ เห็นแต่แม่บ้าน ยาม แล้วก็คนสวนไม่กี่คน ไอนึกว่าจะมีคนของบอสมากกว่านี้ซะอีก”
แน่นอนว่า ‘คนของบอส’ ที่เธอหมายถึงคือพวกบอดีการ์ดหรืออะไรเทือกๆ นั้น ขนาดที่โรงแรมยังมีห้องพักให้เลย แล้วที่บ้านจะไม่มีสักคนเชียวหรือ
“อ้อ...” เรมิงตันเลิกคิ้วอย่างรับรู้ก่อนจะหันมองตามสายตาของหญิงสาว แล้วจึงอธิบายเพิ่ม
“ผมอยู่ที่ไหน คนของผมก็อยู่ที่นั่นสิ ตอนนี้ไม่ได้อยู่บ้าน จะให้พวกนั้นมานั่งๆ นอนๆ เล่นที่บ้านเดี๋ยวจะสบายเกิน” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ ก่อนจะจิ้มเห็ดอบเนยตรงหน้าเข้าปากเคี้ยวหมับๆ
“แล้วทำไมไม่อยู่บ้านล่ะคะ” ไอรีนรอจนอีกฝ่ายเคี้ยวหมดจึงถามต่อ
รู้หรอกว่าโรงแรมมันสบายกว่า แต่คนปกติไม่มีใครอยู่โรงแรมได้ตลอดหรอกน่า ถึงจะเป็นเจ้าของโรงแรมก็เถอะ ที่สำคัญบ้านของเขาก็ไม่ได้ไกลจากในเมืองมากนัก เธอจึงสงสัย เพราะตั้งแต่อยู่มาเธอไม่เคยเห็นเรมิงตันกลับมานอนบ้านเลยสักครั้ง
“พอดีช่วงนี้มีพวกระเบิดเก็บไว้รอส่งอยู่น่ะ ผมเลยไม่มาพักที่นี่”
“แค็กๆๆ” ไอรีนสะดุ้งโหยง สำลักเป็ดปักกิ่งที่เพิ่งเอาเข้าปากไปเมื่อครู่ ดูท่าว่ากิ่งจะปักลงคออย่างจัง ทำพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่นั่งส่งสายตาที่มีน้ำตาคลอจากการสำลักเป็นคำถามไป
ล้อเล่น?
“จริงครับ นัดส่งของอาทิตย์หน้า ตอนนี้โกดังเริ่มแน่น เราจึงแบ่งมาเก็บไว้ที่นี่บ้าง มันไม่ไกลจากจุดนัดเท่าไหร่” คนที่ตอบไม่ใช่เรมิงตัน แต่เป็นวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
แง...แล้วจะพามาเลี้ยงฉลองที่นี่ทำม้ายย
ไอรีนชักอยากจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตา
ข้อมูลที่ได้ยินทำเอาอิ่มตื้อขึ้นมากะทันหัน มือเรียวควานหาของในกระเป๋าเจอก็ควักขึ้นมายื่นให้ชายหนุ่มสามคนตรงหน้า ท่ามกลางแววตาสงสัยสามคู่ที่มองมา เธอจึงถลึงตาตอบกลับไป
รับๆ ไปเถอะน่า!
ทั้งหมดรับกระดาษแผ่นไม่เล็กไม่ใหญ่ไป และเมื่อก้มลงกวาดตามองตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษนั้น ความเงียบสนิทก็เข้าปกคลุม
‘ใบอนุโมทนาบัตร...’
คุณพระคุณเจ้า เห็นแก่ที่เธอทำความดีมาเมื่อเช้า อย่าให้บังเอิญเกิดเหตุอะไรเลย ถึงจะตาย เธอก็ยังอยากมีศพ สวยๆ ไม่ใช่สภาพรุ่งริ่งหาชิ้นส่วนไม่เจอ
เป็นครั้งแรกที่เรมิงตันอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา เจ้าหล่อนไปทำบุญคนเดียวไม่พอ ยังมีแก่ใจเขียนชื่อเผื่อพวกเขาสามคนลงไปด้วย
เห็นตาใสๆ สีหน้าจริงใจยามที่ยื่นกระดาษมาให้แล้ว เรมิงตันก็หันสบตาผู้ช่วยสองคนที่มองมาอย่างทำตัวไม่ถูกเป็นครั้งแรก พวกเขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้สักเท่าไร แต่ความหวังดีของหญิงสาวก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรละเลย
ทั้งสามคนเลยมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พร้อมใจกันยกใบอนุโมทนาบัตรขึ้นจดหน้าผาก และเอ่ยออกมาพร้อมกันว่า
“สาธุ”
หลังจากกินอาหารเสร็จไอรีนก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเรมิงตันไม่คิดจะกลับโรงแรม แต่กลับชวนเดินเล่นชมสวนเสียอย่างนั้น
หากเป็นก่อนหน้าเธอก็คงเดินทอดน่องรับลมชมสวนไปกับเขาได้อยู่หรอก แต่พอรู้ว่าที่บ้านนี้สต๊อกสินค้าอะไรไว้ ต่อให้สวนสวยแค่ไหนก็ไม่นึกอยากดู
เสียดาย...คนตัดสินใจไม่ใช่เธอ!
ไอรีนมองเรมิงตันที่เดินลัดเลาะไปตามสวนวงกตที่อยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มเดินสบายๆ สองมือไขว้หลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้า ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ลมอ่อนๆ ที่พัดมาปะทะร่างกายทำให้ไอรีนผ่อนคลายตาม ด้านหลังเป็นสองหนุ่มเอ็มกับวินที่เดินตามมาเอื่อยๆ เช่นเดียวกัน
เอาน่า อย่างน้อยก็ไม่ได้ตายคนเดียว
“ไม่คิดว่าบ้านของพ่อค้าอาวุธสงครามอย่างบอสจะมีสวนสวยๆ แบบนี้นะคะ” ไอรีนชวนคุย ท่าทีปลอดโปร่งของเรมิงตันทำให้เธอรู้สึกว่าชายหนุ่มไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คนอื่นเข้าใจ...
“หึๆ มันก็ต้องมีของสวยๆ งามๆ ไว้ตกแต่งบ้างสิ จะให้เอารถถังมาตั้งแทนสวนหรือไง”
...แต่เป็นผู้ชายที่กวนประสาทคนหนึ่ง
“ทั้งสวนทั้งน้ำพุนั่นผมเป็นคนออกแบบสั่งทำเองเลยนะ” เรมิงตันชี้ไปยังน้ำพุที่อยู่ใจกลางวงกต บอกอย่างโอ่แกมอวด และเมื่อเห็นตาเรียวเบิกกว้างอย่างอึ้งๆ เขาก็ยืดอกอย่างภูมิใจ
ท่าทางราวกับเด็กชายอวดของเล่นทำไอรีนหลุดขำ
“ไอชอบน้ำพุเทพธิดานะ” ไอรีนมองไปยังน้ำพุกลางสวนที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ดีใจที่คุณชอบ ผมจะพาไปดูใกล้ๆ แล้วกัน” เรมิงตันเร่งฝีเท้าเดินนำออกไป จึงทำให้หญิงสาวที่เดินตามหลังไม่เห็นรอยยิ้มปริศนาที่แต้มมุมปากของชายหนุ่ม
ไอรีนหัวเราะในลำคอ สองขาก้าวตามเด็กขี้อวดไป
“นี่เป็นความภูมิใจของผมเลยนะ”
มาถึงเรมิงตันก็ผายมืออวดน้ำพุที่รายล้อมไปด้วยเทพธิดาทั้งสาม ทำให้ไอรีนอดที่จะยิ้มกว้าง เงยหน้ามองประติมากรรมที่ตั้งตระหง่านอย่างสวยงามเบื้องหน้าไม่ได้
ทว่ายิ้มกว้างเปลี่ยนเป็นยิ้มค้างเมื่อสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง...
รูปปั้นเทพธิดาสามองค์ที่มองไกลๆ เห็นถึงความงดงามของใบหน้าและท่าทางอ่อนช้อย ทำให้คนมองรู้สึกราวกับล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์
หากไม่ใช่ว่าในมือแต่ละองค์จะถือไรเฟิล ระเบิดมือ และปืนสั้น!
ฮือ ไม่ต้องบอกยี่ห้อขนาดนี้ก็ได้ไหม
“เป็นเอกลักษณ์ดีไหม?” ถามเสียงทุ้มเจือกระแสขำขันเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของหญิงสาวร่างบาง
“ความยูนีคนี้คงมีแค่ในคฤหาสน์เรมิงตันที่เดียวละค่ะ”
ไอรีนเบะปากตอบเสียงสะบัด เรียกเสียงหัวเราะฮ่าๆ ของเจ้าบ้านให้ดังก้องในยามราตรี หญิงสาวนึกหมั่นไส้คนเป็นเจ้านาย จึงเดินหนีนำลิ่วไปยังเอสยูวีสีดำที่นั่งมาอย่างไม่เหลียวหลัง
เรมิงตันมองอาการเจ้าหล่อนแล้วก็อดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ ดูท่าว่าเขาจะโดนภูตตัวน้อย ‘งอน’ เข้าให้ซะแล้ว
ทว่าเป็นการงอนที่เขาไม่นึกเคืองอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“กลับกันเถอะ” เรมิงตันหันไปบอกสองคนที่ส่งสายตาอ่อนอกอ่อนใจมาให้
การมาบ้านวันนี้ถึงแม้จะชวนระทึกไปสักเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่ดีมากจริงๆ
อาหารรสดีนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ทำให้มันดีมากไปกว่านั้นคือการที่ทุกคนพูดคุยกันเหมือนเป็นครอบครัว
จากการพูดคุยกันทำให้เธอรู้ว่า เอ็มกับวินอยู่กับเรมิงตันมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อของชายหนุ่มรับทั้งคู่มาจากแถวเส้นแบ่งเขตแดนที่มักจะเกิดการสู้รบกันบ่อยๆ หลังจากส่งมอบอาวุธเสร็จ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเด็กชายวินและเด็กชายเอ็มในวัยนั้นก็รู้ความพอที่จะแยกแยะได้ว่าถึงไม่มีการส่งอาวุธ ทั้งสองฝ่ายก็ยังหาทางรบพุ่งใส่กันอยู่ดี เขาไม่ได้เป็นเหยื่อของสงคราม แต่เป็นเหยื่อของการแสวงหาอำนาจของคนที่ไม่รู้จักพอ
การที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กทำให้ทั้งสามค่อนข้างสนิทกัน แม้เอ็มกับวินจะเป็นผู้ช่วยของเรมิงตัน แต่ในขณะเดียวกันทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทและองครักษ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองเขา
ทั้งสามมีบุคลิกต่างกันไปคนละแบบ วินให้ความรู้สึกปลอดโปร่งสบายเหมือนอยู่กับสายลมตามชื่อ เอ็มดูเผินๆ เหมือนจะดุดัน แต่ค่อนข้างสุภาพกับเธอไม่น้อย
“คุณวินดูผ่อนคลายล่องลอยเหมือนสายลม สมชื่อดีนะคะ”
ไอรีนชวนคุยขณะที่นั่งรถกลับ วันนี้เธอรู้สึกว่าคุ้นเคยกับชายหนุ่มสองคนมากขึ้น รวมถึงคนที่นั่งข้างๆ นี้ด้วย
วินหันมายิ้มให้เธอด้วยแววตาขำขัน พร้อมกับที่ไอรีนรู้สึกว่าตัวรถส่ายไปเล็กน้อย เธอหันไปมองคนนั่งข้างๆ อย่างเลิ่กลั่ก นึกสงสัยว่าพูดอะไรผิดไป
“วินย่อมาจากชื่อเต็มๆ ว่าวินเชสเตอร์ครับ” และเมื่อยังเห็นสีหน้างุนงงสงสัย วินเชสเตอร์จึงเอ่ยต่อให้อย่างใจดี
“มาจากชื่อปืนครับ”
เพล้ง!...อาการหน้าแตกเป็นอย่างไร ซึ้งใจก็วันนี้
“ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าบอสขำก๊ากออกมาอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์น่าเกรงขามเลยสักนิด
ไอรีนได้แต่กัดฟันกรอด ก้มเก็บเศษหน้าที่แตกละเอียดขึ้นมาประกอบช้าๆ ในใจ
เธอดูเบาคนพวกนี้ไปจริงๆ อยู่ในวงการใต้ดิน ขายอาวุธสงคราม ชื่อเจ้านายก็แปะยี่ห้อเรมิงตันเสียขนาดนั้น มือขวาจะมาชื่อวินหรือวินนี่ก็ดูดิสนีย์เกินไป
ว่าแต่...ตาเรียวยาวเหลือบมองอีกหนึ่งหนุ่มที่ขับรถนิ่งๆ แต่ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย ตาที่เหลือบมองมายังกระจกส่องหลังเจือประกายขำขัน
เอ็ม...ไม่ได้ย่อมาจาก เอ็ม 16 ใช่ไหม
“ก๊ากกกๆ”
เสียงหัวเราะที่อัปเลเวลจากเมื่อครู่ดังขึ้นอย่างไม่ให้เกียรติลูกน้องสักนิด และก็เป็นอีกครั้งที่ไอรีนรู้สึกว่าตัวรถขับแฉลบออกนอกเลน ไอรีนยิ้มแห้งให้ตอบแววตาดุๆ หลังของหนุ่มผิวสีแทนที่มองผ่านกระจก
ดูท่าเธอจะ ‘คิดดัง’ ไปหน่อย
“แม็กซิมครับ...เอ็ม เป็นอักษรตัวแรกของชื่อ” ถ้าไม่ติดว่าต้องใช้มือบังคับพวงมาลัยไม่ให้รถเป๋ออกข้างทาง เอ็มคิดว่าเขาอยากจะยกมือกุมหัวเพราะความช่างคิดของเพื่อนร่วมงานคนนี้
ครั้งนี้เป็นการขับรถที่เขาต้องใช้สมาธิมากทีเดียว
ไอรีนยิ้มแหย ส่งสายตาขอโทษขอโพยให้เจ้าของชื่อผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะหันไปส่งสายตาดุๆ มองคนข้างตัวที่ยังหัวเราะไม่เลิก
อ้อ...แล้วก็คนที่นั่งข้างหน้าเหมือนกัน ถึงวินเชสเตอร์จะไม่ได้หัวเราะฮ่าๆ ออกมาเหมือนคนเป็นนาย แต่อาการสั่นกึกๆ เหมือนผีเข้าก็ทำเอาเธออยากยื่นมือไปฟาดไล่ผีสักทีสองที
แต่เอาเถอะ จะย่อมาจากอะไร ตอนนี้เธอไม่สนทั้งนั้น เพราะเธอมีชื่อให้คนเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว
เรไร เอ็มม่า วินนี่
สามชื่อนี้ดีที่สุด!
ความคิดเห็น |
---|