3

บทที่ 3


3

งานใหม่

 

เหตุการณ์ในวันนั้นราวกับฝันไปตื่นหนึ่ง หากจะไม่ตื่นมาพบกับความจริงที่ด้านล่างคอนโดในวันรุ่งขึ้นว่า มีชายชุดดำหนึ่งในสองคนที่เคยเจอคราวนั้นสลับกันจับตาเฝ้ามองเธอ ยังดีที่อุตส่าห์เว้นระยะไว้ ไม่ได้ตามติดเป็นเหาฉลาม แต่นั่นก็เป็นสัญญาณว่าเธอต้องจัดการชีวิตให้เรียบร้อยภายในสามวัน

สิ่งที่ทำให้ไอรีนหนักใจมากที่สุดไม่ใช่การย้ายออกจากคอนโด แต่คือการเดินเข้าไปบอกคุณหญิงเกศรินว่าต้องไปทำงานที่อื่น

แน่นอนว่าเธอไม่อาจบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงได้

โชคดีผู้มีพระคุณของเธอไม่ได้ว่าอะไร นอกจากส่งยิ้มอบอุ่นให้เมื่อเธอบอกว่าอยากลองไปสัมผัสบรรยากาศในการทำงานที่อื่นดูว่าเป็นอย่างไร เผื่อจะได้ไอเดียใหม่ๆ เอามาปรับใช้ หญิงสูงวัยพยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อมกับอวยพรให้เธอได้เพื่อนร่วมงานที่ดีเป็นกัลยาณมิตร ตั้งใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากที่อื่นดูบ้างก็เป็นสิ่งที่ดี

สาธุ

ไอรีนแทบจะยกมือขึ้นรับพรทั้งน้ำตา... มิตรกับวงการค้าอาวุธสงครามฟังดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร

เปลี่ยนจากมิตรเป็นมิจฉาชีพน่าจะเข้าข่ายมากกว่า

ภาสกรก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากแค่นเสียงเหอะ บิดปากมองบน พึมพำว่าไม่มีเธอก็อยู่ได้

ถึงจะเป็นอย่างนั้นไอรีนก็รู้ดีว่าชายหนุ่มแสดงออกเพื่อไม่ให้เธอลำบากใจ สายตาขอบคุณจึงถูกส่งให้คนปากแข็งอย่างไม่หวง สุดท้ายพ่อแคซาโนวาขี้เก๊กก็อดใจวางท่าทีไม่สนใจต่อไปไม่ไหว มือหนาวางลงบนหัวทุยๆ ของเธอก่อนจะขยี้เล่นอย่างมันเขี้ยว

ไอรีนยอมอยู่เฉยๆ อย่างว่าง่ายต่างจากทุกทีที่เธอเป็นต้องคว้ามืออีกฝ่ายมากัดหมับ ฝากรอยเขี้ยวเอาไว้

เอาเถอะ...ไม่รู้ว่าเจอกันครั้งหน้าเธอจะยังมีหัวให้พี่ชายนอกสายเลือดคนนี้ยีเล่นอยู่หรือเปล่า!

ตอนนี้ยังเล่นได้อยู่ก็รีบเล่นซะ

 

สถานที่ทำงานและที่อยู่ใหม่ของไอรีนเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายไปมาก หลังจากที่รู้ว่าต้องทำหน้าที่พีอาร์สินค้าพิเศษ เธอก็นึกสภาพตัวเองทำงานอย่างหวาดระแวงในโกดังเก็บสินค้า หรือไม่ก็ห้องทำงานลับใต้ดินที่ไหนสักแห่ง มีชายฉกรรจ์ร่างบึ้กหมุนเวียนกันเดินเข้าเดินออกเคลื่อนย้ายสินค้า

ไม่ใช่มานั่งสวยๆ ตากแอร์เย็นๆ อยู่ที่นี่...

...เพนต์เฮาส์ชั้นบนสุดของโรงแรมห้าดาวไม่ใช่สิ่งที่คาดไว้จริงๆ!

สามวันหลังจากวันที่ตกลงเงื่อนไขกันได้ เรมิงตันก็ให้หนึ่งในสองชายชุดดำที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดีมารับถึงหน้าคอนโด ชายหนุ่มหน้าหวานแนะนำตัวเองว่าชื่อวิน ท่าทางขี้เล่นเป็นกันเองมากกว่าอีกหนึ่งคนที่เจ้าตัวอุตส่าห์เผื่อแผ่แนะนำว่าชื่อเอ็ม นั่นทำให้ไอรีนพออุ่นใจว่ามีคนที่พอคุยด้วยได้อยู่บ้าง

“ห้องทำงานอยู่ด้านนั้น”

วินชี้นิ้วไปยังปีกขวาของเพนต์เฮาส์ ไอรีนมองตามไปก็พบว่าเป็นทางเดินยาวตรงไปสุดทางยังห้องที่เคยต้อนรับเธอเมื่อไม่นานมานี้

“ส่วนห้องพักอยู่ด้านนี้” นิ้วชี้ย้ายมาทางปีกซ้าย จากสายตาพอเห็นประตูห้องสี่บาน หนึ่งในนั้นคงเป็นของเจ้าของโรงแรมอย่างเรมิงตัน

ส่วนอีกสอง...แน่นอนว่าต้องเป็นของผู้ช่วยของเขาอีกสองคน

นี่เธอไม่ได้มาแย่งที่ใครใช่ไหม

ดูท่าเควสชันมาร์กตัวเบ้อเริ่มจะแปะอยู่บนหน้าเธอ อีกฝ่ายถึงได้ยิ้มขำก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม

“สองห้องฝั่งติดระเบียงเป็นของนาย ส่วนอีกสองห้องที่เหลือเลือกได้ตามสะดวก ห้องของพวกผมอยู่ลงไปอีกชั้น”

แล้วทำไมให้เธออยู่ชั้นนี้?

ไอรีนอยากจะถาม...แต่คิดไปคิดมา ไม่ดีกว่า

ถามมากไปเดี๋ยวบอสเปลี่ยนใจจะซวย...ให้เธออยู่ข้างบนนี้แลดูปลอดภัยกับชีวิตมากกว่าลงไปอยู่ชั้นล่างที่มีแต่ชายชุดดำถือปืนเดินไปเดินมาให้อกสั่นขวัญแขวน ถึงจะแอบคิดว่าคนพวกนั้นหน้าตาดีพอเป็นอาหารตาได้ก็เถอะ

ดีต่อตา แต่ไม่ดีต่อใจ!

“ขอบคุณค่ะพี่วิน” ไอรีนเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นเนวิเกเตอร์นำทาง แถมยังช่วยขนของพร้อมอธิบายสถานที่เรียบร้อย

วินอายุมากกว่าเธอสี่ปี ไอรีนจึงเรียกเขาว่าพี่วิน ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้หวงสรรพนามพี่แต่อย่างใด ยอมให้เธอเรียกได้ตามถนัด

แต่ไม่ใช่กับเรมิงตัน...

...ทันทีที่บอสหมาดๆ เดินมาได้ยินเธอเรียกผู้ช่วยเขาว่าพี่วิน ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วถามน้ำเสียงยียวน

“เพิ่งรู้ว่านายมีน้องหน้าตาแบบนี้?”

“ดูคนละสปีชีส์กันไปหน่อยไหม”

สองคำถามที่ดังมาติดๆ อย่างไม่รอให้ใครเปิดปากแย้งทำให้หนึ่งชายหนุ่มที่โดนพาดพิงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนหญิงสาวที่ถูกมองว่าเป็นคนละสปีชีส์กับวินขัดใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากฉีกยิ้มให้...แล้วด่าในใจแทน

เป็นอันรู้กันว่าเธอจะเรียกเขาว่า คุณวิน...เพราะเราคนละสปีชีส์กัน!

 

หลังจากอยู่ด้วยกันมาสองสามวัน ไอรีนถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเรมิงตันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เขาเป็นเจ้านายที่ไม่ได้ถือตัวหรือวางมาดใหญ่โต โชว์บารมีให้ลูกน้องกลัวเกรง

เธอเห็นแววตาที่เหล่าชายชุดดำมองเขา...มันเต็มไปด้วยความเคารพ

หากเธอไม่ได้เห็น ‘เหตุการณ์นั้น’ กับตา เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าเขามีธุรกิจในโลกใต้ดิน

“เตรียมตัวให้พร้อม วันนี้เราจะไปโกดังเก็บของกัน” เรมิงตันเอ่ยบอกลูกน้องคนใหม่ มุมปากยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของหญิงสาว

ไอรีนกึ่งตื่นเต้นกึ่งหวาดหวั่น โลกของธุรกิจใต้ดินไม่ใช่โลกที่ใครนึกอยากเข้าก็เข้าได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่โลกที่หากเหยียบย่างเข้าไปแล้วจะออกมาได้ง่ายๆ เช่นกัน

เธอตื่นเต้นที่จะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น และหวาดหวั่นกับอนาคตข้างหน้าที่มองไม่เห็น

เอสยูวีสีดำถูกเลือกใช้เป็นยานพาหนะในการเดินทางครั้งนี้แทนรถหรูที่เรมิงตันใช้ประจำ อาจจะเป็นเพราะมันไม่สะดุดตาเท่าบรรดาซูเปอร์คาร์ลูกรักที่ชายหนุ่มชอบใช้ แต่ก็ไม่ได้ธรรมดาสามัญจนทำให้บั้นท้ายระคายเคือง

จะว่าไปแล้วชั้นใต้ดินของโรงแรมเรียกได้ว่าเป็นที่จอดรถเฉพาะ และเปิดเป็นโชว์รูมรถได้สบายๆ

ไอรีนกวาดตามองบรรดา ‘ลูกๆ’ ของเรมิงตันที่จอดเรียงไว้ละลานตา ไม่ว่าจะเป็นมาเซราติ ควอทโทรปอร์เต้ เจเนอเรชัน 6 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ลัมโบร์กินี อเวนทาดอร์ แอสตัน มาร์ติน แวนควิช แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอส ซูเปอร์เลจเจราตัวใหม่ แมคลาเรน 600 แอลที คูเป้ ลาเฟอร์รารี่ไฮบริด ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์...

หรือกระทั่ง ไลแคน ไฮเปอร์สปอร์ต ที่ผลิตออกมาแค่เจ็ดคันในโลกก็จอดให้ยลโฉมอยู่ในลานใต้ดินแห่งนี้

อื้อหือ...วิถีคนรวย

พอคิดคำนวณเป็นตัวเงินแล้วก็แทบจะลมจับ นึกสงสัยตงิดๆ ว่านอกจากค้าอาวุธสงครามแล้วเขาผลิตแบงก์ด้วยรึเปล่า

แต่เรื่องนี้ถึงจะสงสัยแค่ไหน เธอก็สาบานในใจว่าจะไม่ถามออกไปเด็ดขาด แค่ที่รู้เห็นอยู่นี่ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว ขืนรู้มากกว่านี้ไม่รู้ว่าต้องมีอีกกี่ชีวิตถึงจะพอใช้

เรื่องบางเรื่องไม่รู้จะปลอดภัยกว่า!

แต่เรื่องเงินก็ส่วนเรื่องเงิน...อีกหนึ่งสิ่งที่สงสัยไม่แพ้กันและคิดว่าน่าจะถามออกไปได้คือ

“เอาไปขับที่ไหนเหรอคะ รถพวกนี้”

การจราจรทุกวันนี้ทำให้แทบจะเหยียบเบรกแทนคันเร่ง รถสมรรถภาพสูง ดีกรีแรง เร่งความเร็วสูงสุดได้ในไม่กี่วินาทีพวกนี้...มันน่าสงสัยจริงๆ นะ

เอาพื้นที่ส่วนไหนบนถนนใช้งาน

“...”

ดูท่าว่านี่คงเป็นอีกหนึ่งคำถามที่ไม่รู้

เอ้อ...ไม่ถามน่าจะปลอดภัยกว่า

 

ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงเอ็มก็ขับเอสยูวีสีดำพาคนทั้งหมดออกต่างจังหวัด ลัดผ่านตามทางลูกรังอีกเล็กน้อยมาจอดหน้าอาคารเก่าๆ แห่งหนึ่ง

อาคารแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก ไม่เชิงจะเรียกว่าโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าเขา แต่ก็ไม่ได้อยู่ในย่านชุมชนขนาดมีเซเว่นหน้าปากซอย

แหม่...ถ้าโกดังอาวุธสงครามจะอยู่ใกล้เซเว่นขนาดนั้น เธอจะลองเสนอให้เรมิงตันหาโพรดักต์สักตัวไปวางบนเชลฟ์...

รับรองจากที่ดังอยู่แล้วต้องดังเปรี้ยงปร้างไปอีก!

กลุ่มคนทั้งหมดคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี เพราะทันทีที่รถจอดเสร็จ ต่างคนต่างก็กระโดดลง ไม่เว้นแม้แต่เรมิงตันที่เปิดประตูลงไปเอง ต่างจากยามปกติที่มักจะรอให้ผู้ช่วยเขาเปิดให้

ไอรีนไม่รอช้าให้ถูกทิ้งไว้ เธอรีบลงจากรถ กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามคนทั้งสามเข้าไปในอาคารเช่นกัน

สภาพที่เห็นด้านนอกเทียบอะไรไม่ได้กับภายในตัวอาคารเลยสักนิด

ภายนอกของอาคารเป็นอิฐปูนเก่าๆ โทรมๆ ดูเหมือนบ้านผีสิง ไม่ชวนให้เข้าใกล้ ข้างในกลับดูประหนึ่งองค์กรลับที่มักจะเห็นในหนังไซ-ไฟบ่อยๆ

ประตูบานเก่าที่เธอค่อนขอดในใจว่าดูจะพังแหล่ไม่พังแหล่กลับล้ำสมัยอย่างน่าเหลือเชื่อด้วยระบบสแกนม่านตา พร้อมบานเลื่อนอัตโนมัติหลังจากระบุตัวตนเสร็จเรียบร้อย

ทันทีที่เดินเข้าไปด้านใน ความเย็นยะเยือกของเครื่องปรับอากาศก็พุ่งปะทะใส่หน้า ทำเอาลืมไปเลยว่าด้านนอกร้อนตับแล่บ

แต่...ต้องเย็นเบอร์นี้?

ไม่รู้ว่าขนแขนที่ลุกชันมาจากความหนาวเย็นของเครื่องปรับอากาศ หรือดวงตาหลายสิบคู่ที่มองมากันแน่

ทั้งที่ก่อนหน้าคนพวกนี้ก็เพียงแค่หันทำความเคารพยามเห็นเรมิงตันและผู้ช่วย ก่อนจะหันกลับไปทำงานที่ค้างอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมพอเหลือบตาเห็นสิ่งแปลกปลอมเดินตามมาเท่านั้น การทำงานถึงกับหยุดชะงัก และพวกเขาหันมามองเธออย่างพิจารณาเต็มรูปแบบ

และเมื่อมีคนที่หนึ่งหันมอง คนที่สอง สาม สี่ ห้าก็ตามมาติดๆ จนตอนนี้ไอรีนได้แต่ยืนตัวลีบ เขยิบเข้าใกล้เรมิงตันอย่างหาความปลอดภัยโดยไม่รู้ตัว

เรมิงตันเหล่มองหญิงสาวที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลัง ใช้ตัวเขาเป็นโล่บังสายตาอย่างขำๆ เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเย้าแหย่

“ไม่คิดจะทำความรู้จักเพื่อนร่วมงานหน่อยเหรอ”

ไอรีนหันขวับตาโต เลิกคิ้วเป็นคำถาม อีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกๆ ผายมือไปทางด้านหน้าที่มีชายหนุ่มนับสิบชีวิตยืนอยู่ ดวงตาสิบกว่าคู่ที่ฉายแววสงสัยในทีแรกเปลี่ยนเป็นแปลกใจ หญิงสาวหันมองอีกสองคนที่เริ่มจะคุ้นเคยอย่างหาตัวช่วย

แต่คนทั้งคู่ก็แค่ไหวไหล่ส่งรอยยิ้มขำขันตอบมา

“ไอรีนค่ะ เพิ่งมาทำงานได้เดือนแรก ยินดีที่ได้รู้จักแล้วก็ฝากตะ...เอ่อ...รบกวนด้วยนะคะ”

เสียงใสแนะนำตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ แทบกัดลิ้นตัวเองเปลี่ยนประโยคไม่ทัน...ถึงมันจะเป็นประโยคแนะนำตัวเบสิกก็เถอะ แต่เธอไม่มีทางพูดให้เป็นลางเด็ดขาด อนาคตดูจะไม่สวยเท่าไรถ้าฝากตัวกับคนพวกนี้

แค่บรรยากาศที่นี่ก็ทำเอาสงสัยแล้วว่าเก็บอาวุธหรือเก็บศพ...

...หรือไม่ก็ทั้งคู่!

“ฮ่าๆๆ”

เรมิงตันขำก๊ากเมื่อเจ้าหล่อนบ้าจี้ทำตามที่เขาบอก และชายหนุ่มก็ไม่เก็บอาการแม้แต่น้อย หญิงสาวคงไม่รู้ว่าท่าทางยามเอ่ยคำว่า ‘ยินดีที่ได้รู้จัก’ นั้นตรงข้ามกับสีหน้าแหยงๆ ราวกับแปะป้ายหราว่า ‘อย่ามายุ่งกับฉัน’ ขนาดไหน

เสียงหัวเราะอย่างชอบใจของบอสใหญ่ดังขึ้นขณะที่ตาเขียวปั้ดของหญิงสาวถลึงมองอย่างดุดัน จนไม่ทันเห็นว่าตาสิบกว่าคู่เหล่านั้นเปลี่ยนเป็นมองเธออย่างเห็นอกเห็นใจ

เจ้านายดูท่าจะได้ของเล่นใหม่

 

ไอรีนเดินไปตามทาง หันซ้ายหันขวามองห้องเก็บสินค้าแต่ละชนิด เท่าที่เธอเห็น อาวุธแต่ละอย่างถูกจัดเก็บในห้องอย่างดี

นี่เป็นอีกอย่างที่นึกทึ่ง...ประตูห้องแต่ละบานนั้นไม่มีอะไรบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นห้องสักนิด มันดูกลมกลืนไปกับผนังราวกับเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน เธอรู้ว่าเป็นบานประตูห้องก็ตอนที่อีกฝ่ายสแกนม่านตา และบานประตูเปิดออกให้เห็นอาวุธเรียงกันเป็นตับด้านใน

ไม่แปลกใจหากมีการบุกจับแล้วตำรวจจะไม่เจออะไร...

...แต่ไอรีนภาวนาอย่าให้ใครบุกมาดีที่สุด เพราะสถานะเธอตอนนี้ก็ผู้สมรู้ร่วมคิดดีๆ นี่เอง!

และสมกับที่เรมิงตันเป็นนักธุรกิจ เขาเอาระบบจัดการโลจิสติกส์มาใช้จัดวางสินค้าเพื่อให้สะดวกและรวดเร็วต่อการขนย้ายได้อย่างน่าชื่นชม

อาวุธตัวไหนขายไวขายดี ห้องก็อยู่ใกล้ประตูทางออกไปยังรถขนส่ง ของลอตไหนมาก่อนมาหลังก็แบ่งแยกไว้ชัดเจน จัดส่งลอตที่เก่ากว่าออกไปก่อน

ไอรีนเดินดูไป ฟังเรมิงตันอธิบายควบคู่ไปกับการฉีกยิ้มทักทายพร้อมจดจำเหล่าคนที่ชายหนุ่มแนะนำให้รู้จักราวกับปฐมนิเทศพนักงานใหม่ เธอพยายามไม่สนใจแววตาประหลาดใจปนสงสัยยามที่ชายหนุ่มบอกว่าเธอทำหน้าที่พีอาร์ จะมาคอยช่วยแก้ปัญหาและกู้หน้าตายามสินค้ามีปัญหา

นั่นละ...ไม่แปลกที่บางคนจะมีท่าทางเหวอๆ หรือมองมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา สีหน้าบางคนก็แปะคำถามว่า สติดีไหม...

...ก็ไม่รู้ว่าอยากจะถามใครมากกว่ากันระหว่างเธอกับเจ้านายตัวเอง

“เป็นยังไงบ้าง พอคุ้นเคยขึ้นมารึยัง”

เรมิงตันมองหญิงสาวที่เดินอยู่ด้านข้าง เขายอมสละเวลาพาเธอเดินทั่วโกดังด้วยตัวเอง แนะนำเธอให้รู้จักคนคุมหลักๆ เพื่อให้ทุกคนรับรู้และรู้จักหญิงสาวกันให้ครบเพื่อความปลอดภัยของเธอ

แม้เขาจะไม่ได้ให้เธอนั่งทำงานที่นี่ แต่การที่ได้รู้จักหน้าค่าตากันไว้ย่อมดีกว่า เผื่ออนาคตข้างหน้ามีอะไรฉุกเฉิน อย่างน้อยพวกนี้ก็จะได้รู้ว่าผู้หญิงที่หน้าตาแบบนี้...เป็นพวกเดียวกัน

ไอรีนฉีกยิ้มแทนการตอบคำถาม เพราะถ้าให้เธอเปิดปากพูดออกไปละก็ คำตอบคงเป็น...

...ไม่คุ้น! เธอไม่มีทางคุ้นเคยกับที่นี่แน่นอน!

“นายครับ มีเรื่องเล็กน้อย”

บุคคลที่เดินมาใหม่ค้อมตัวทำความเคารพก่อนจะเปิดประเด็นขึ้นมา

เรมิงตันไม่ได้ดูเดือดเนื้อร้อนใจอะไรแม้จะได้ยินว่ามีเรื่อง ชายหนุ่มยังคงสีหน้าผ่อนคลาย รอยยิ้มติดมุมปาก พยักหน้าให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อ

ชายหนุ่มที่มาใหม่หันมองหญิงสาวหนึ่งเดียวในนั้นอย่างลังเล แต่เมื่อได้รับสัญญาณจากคนเป็นนาย เขาก็รายงานอย่างไม่ลังเล

“สายของเราส่งข่าวมาว่าสองสามวันนี้ตำรวจกวดขันเข้ม และมีการวางกำลังคนใกล้กับบริเวณที่เรานัดส่งของครับ” รายงานจบก็นิ่งรอฟังผล

ไอรีนฟังเรื่องตรงหน้าอย่างสนใจ เธอนึกอยากรู้เช่นกันว่าเรมิงตันจะรับมืออย่างไร

ทำงานในวงการนี้แน่นอนว่าต้องมีเส้นสาย คนที่เป็นแบ็กอัปให้คนอย่างเรมิงตันคงไม่ได้เป็นแค่เส้นหมี่ เส้นเล็ก เรียกว่าเส้นกวยจั๊บอาจจะเล็กไปด้วยซ้ำ และสายที่ส่งข่าวมานี้คงเป็นหนึ่งในตำรวจที่เป็นคนของเขา

ทว่า...ดูแล้วตำรวจที่วางกำลังกวดขันนี้คงเป็นคนละสายกับเขา มันถึงได้เป็นปัญหา

ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เรมิงตันก็หันมาพูดกับเธอราวกับอีกฝ่ายทุ่มก้อนหินใส่เท้าให้สะดุ้งโหยง

“ได้เวลาทำงานแล้ว”

พูดจบก็เดินนำหน้าไปยังห้องประชุม ทิ้งให้ไอรีนยืนวิญญาณหลุดออกจากร่าง รู้สึกตัวอีกที กลุ่มคนที่ว่าก็เดินนำเธอไปไกลโข

ฮัลโหล...เรื่องพวกนี้รวมอยู่ในขอบเขตงานที่เธอต้องดูด้วยเหรอ

ไอรีนลากเท้าเดินตามเข้าห้องประชุมไปอย่างช้าๆ ที่นั่งเดียวที่เหลือว่างตอนนี้คือด้านขวามือของเรมิงตันที่กำลังส่งประกายตาขำขันมองสภาพล่องลอยของเธออย่างชอบอกชอบใจ

มันน่าควักออกมาดีดเล่นเป็นลูกแก้วนัก!

“นี่ คิลล์ หัวหน้าคุมฝ่ายส่งของ” เมื่อทุกคนเข้านั่งที่เรียบร้อย เรมิงตันก็แนะนำชายหนุ่มที่มาใหม่ให้แก่หญิงสาว

แม้คิลล์จะมีสีหน้าแปลกใจ แต่เขาก็ยิ้มนิดๆ ตอบกลับรอยยิ้มที่ส่งมาจากหญิงสาวที่นั่งตรงข้าม

รอยยิ้มอัตโนมัติยามพบเจอผู้คนของไอรีนบิดเบี้ยวเล็กน้อยยามได้ยินชื่อของชายหนุ่ม

คิลล์...แค่ชื่อก็ทำเอาขนลุก

“นี่ไอรีน พีอาร์ของเรา”

ชายหนุ่มชื่อคิลล์เลิกคิ้ว มองหญิงสาวผมสีเงินตรงหน้าด้วยแววตาประหลาดใจ เขาเพิ่งกลับจากสำรวจสถานที่ด้านนอก มาถึงก็ตรงดิ่งเข้ามารายงานสิ่งที่ได้รับรู้มาทันที เลยทำให้ไม่รู้ว่าเรื่องของหญิงสาวคนนี้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วแล้ว เรียกได้ว่าเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ บิลดิงก็ว่าได้

พีอาร์...หัวคิ้วคิลล์ชนกัน อยากจะยกนิ้วขึ้นแคะขี้หูดูว่าได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า...พีอาร์เนี่ยนะ?

งานใต้ดินขายอาวุธสงครามมาถึงจุดที่ต้องใช้พีอาร์แล้วเหรอ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องก็ยิงทิ้งให้จบเรื่องจบราวไป แบบนั้นไม่ง่ายกว่า?

แววตาขอความยืนยันส่งตรงไปยังหญิงสาวที่รั้งตำแหน่งพีอาร์หนึ่งเดียวในที่แห่งนี้ และเดาว่าเป็นพีอาร์หนึ่งเดียวในวงการใต้ดินเช่นกัน

ก็เผื่อว่าคนเป็นนายจะล้อเล่นอย่างนึกสนุก

ไอรีนพยักหน้าน้อยๆ ยืนยันกลับ ทำให้อีกฝ่ายห่อปากเป็นรูปตัวโอ หันมองไปยังบุคคลที่มีอำนาจหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้

เอาจริง?

“ลองวิธีใหม่ๆ บ้าง” เรมิงตันเห็นแววตาที่มองมาก็รู้ว่าคนของเขาสงสัยอะไร และชายหนุ่มก็ไม่หวงคำอธิบาย

“เอะอะก็ยิงทิ้งมัน...” ท่าทางถอนใจกับการส่ายหัวน้อยๆ ราวกับสงสารเห็นใจคนที่ถูกยิงเกือบจะทำให้ภาพลักษณ์เทพบุตรลงประทับร่าง แล้วแถมมงกุฎให้อีกสองสามมง

“...เปลืองกระสุน”

ซาตาน!

เรมิงตัน อคิราห์ สมิทธ์ คือซาตานชัดๆ

 

เมื่อการแนะนำตัวที่ค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อผ่านไป ปัญหาของการส่งสินค้าจึงถูกนำขึ้นมาปรึกษาอีกครั้ง

“เปลี่ยนที่ส่งใหม่สิ” เสียงใสเสนอขึ้นเมื่อตาสี่คู่จับจ้องอย่างรอคำตอบ และคำตอบที่ได้ยินก็ทำเอาคนสี่คนหันมองกันเองตาปริบๆ

ทางแก้ที่ค่อนข้างละมุนละม่อมอาจทำให้ชายหนุ่มในห้องไม่ชินนัก ซึ่งไอรีนก็เข้าใจ แต่บอกตรงๆ ว่าวิถีคนเถื่อนเธอไม่ถนัด เพราะงั้นถ้าหวังคำตอบแนวฮาร์ดคอร์น่ะ ลืมไปได้เลย!

“เกรงว่าจะไม่ได้ครับ เพราะของเราบางส่วนขนไปเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าเคลื่อนย้ายเดี๋ยวพวกตำรวจไหวตัว” หลังจากปรับตัวได้ คิลล์ก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่หญิงสาว

ทางออกของเธอเป็นอะไรที่ชวนให้คันยุบยิบในใจ รู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นคนในวงการใต้ดินถูกก่อกวน ที่ผ่านมาเคยเลี่ยงแบบนี้ที่ไหน มีแต่เก็บกวาดให้สิ้นซากไปเท่านั้น ตามจริงคราวนี้เขามาหานายก็หวังเพื่อขอคำอนุมัติเท่านั้น ไม่คาดว่าจะเจอทางแก้ปัญหาแบบใหม่

“งั้นของพวกนั้นก็เก็บไว้ที่เดิมก่อน เอาของใหม่ไปส่งแทน” ไอรีนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น เธอเชื่อว่าสถานที่เก็บของคงไม่ใช่ที่ที่ใครจะเจอได้ง่าย ดังนั้นเก็บไว้นานอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร

“อาวุธรอบนี้สั่งทำพิเศษครับ เราผลิตออกมาตามจำนวนที่สั่งเท่านั้น เกินมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากพอจะทดแทน”

คำตอบที่ได้ยินทำเอาพีอาร์คนเก่งกลอกตามองบน ถอนหายใจพรืด

ฮึ่ย...เมดทูออร์เดอร์เข้าไปอีก

เรมิงตันมองท่าทางเข่นเขี้ยวของหญิงสาวอย่างสนุกสนาน ถ้ามีปีกติดอยู่ที่กลางหลัง เธอคงเหมือนภูตตัวน้อยที่สะบัดปีกพึ่บพั่บอย่างขัดอกขัดใจ

ถูกขัดไปสองรอบ ไอรีนก็ดีดตัวเองออกมาจากวงสนทนา นั่งเท้าคางครุ่นคิด ปล่อยให้คิลล์รายงานเรื่องอื่นแทนระหว่างรอ และประสบการณ์ดีลงานกับคนหลายประเภทที่สั่งสมมาก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง เอามาประยุกต์ใช้พอได้อยู่

ไอรีนดีดนิ้วขึ้นเมื่อนึกได้ว่า...

“ถ้าฝั่งเราย้ายไม่ได้ ให้ฝั่งตำรวจย้ายก็หมดเรื่อง”

“น่าสนใจ... วิธีล่ะ?” เรมิงตันถามขึ้นอย่างสนใจ

การพูดมันง่าย แต่การจะล่อตำรวจออกไปมันไม่ง่ายหรอกนะสาวน้อย เขาก็อยากรู้ว่าภูตน้อยตัวนี้จะเจ้าเล่ห์แสนกลได้เหมือนยามที่เจอกันครั้งแรกหรือไม่

ไอรีนบิดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากบางขยับเอ่ยถึงแผนการที่เพิ่งคิดได้หมาดๆ

หากจะทำให้ตำรวจเคลื่อนย้าย แน่นอนว่าเหตุจูงใจต้องมากพอ และเรื่องอะไรจะทำให้ตำรวจสนใจได้ ถ้าไม่ใช่... ยาเสพติด

“คนของเรามีเยอะแยะ ถ้าจะหาพวกที่หน้าตาพอดูเป็นคนดีสักหน่อยคงไม่ใช่ปัญหา ได้มาแล้วก็ให้พวกนั้นซักซ้อมเตรียมตัวเป็นคนส่งยา ส่วนฉันจะหาทางส่งข่าวให้นักข่าว วันนัดส่งเมื่อไหร่นะ”

เรมิงตันกับวินหลุดขำตั้งแต่ต้นประโยค ในขณะที่เอ็มกับคิลล์ทำหน้าพิลึก ถึงเนื้อหาส่วนหลังจะดูเป็นการเป็นงาน แต่พวกเขาก็ถูกประโยคแดกดันรบกวนจนไม่ทันได้ยินคำถามตอนท้าย

แหม...แซะเก่ง!

ว่าแต่...พวกที่หน้าตาดูเป็นคนดีเหรอ?

ไม่น่าจะมีนะ

“นี่! นัดส่งของเมื่อไหร่” ไอรีนแยกเขี้ยวถาม

“อีกสามวันครับ” คิลล์รีบดึงสติกลับมาตอบเมื่อเห็นตาเขียวปั้ดของหญิงสาว

“นั่นละ... ฉันจะส่งข่าวให้นักข่าวว่าอีกสามวันจะมีการขนส่งยา จะได้เบนความสนใจของตำรวจ” ไอรีนเลือกส่งข่าวให้สายข่าวมากกว่าจะเป็นคนส่งให้ทางตำรวจเอง โชคดีที่เธอมีเพื่อนสมัยเรียนที่เลือกไปทำงานในสายนั้นเลยน่าจะพอช่วยได้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยว่าพีอาร์สายบิวตี้ก้ำกึ่งการตลาดอย่างเธอจะไปรู้จักใครในสายอาชญากรรมนั่น และแน่นอนว่าข่าวที่ได้รับจากนักข่าววงในฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่าแหล่งข่าวไม่รู้ที่มา

“ให้ข่าวแบบนั้นจะไม่ยิ่งทำให้ตำรวจเพิ่มกำลังเหรอครับ” คนฟังยกมือเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจ

“มันก็ต้องให้ข่าวว่าจะส่งจุดที่ไม่ใช่จุดนัดหมายของเราสิ ตำรวจจะได้ระดมกำลังไปจุดนั้นแทน ฝั่งเราจะได้ส่งของได้สะดวกขึ้น”

คิลล์อ้าปากงับลมเมื่อเจอแววตาอ่อนอกอ่อนใจของหญิงสาวที่มองมา

ก็บอกแล้วว่าเขาไม่ถนัดวิธีละมุนละม่อม

“เราขายอาวุธอย่างเดียว ไม่ส่งยาเสพติด” เรมิงตันเอ่ยเสียงขรึม ถึงขายอาวุธจะไม่ได้ฟังดูดี แต่ขายยาเสพติด... นั่นเรียกว่าเลว

ความรู้ใหม่ทำให้ไอรีนเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าดีขึ้นมานิดหนึ่ง อย่างน้อยเธอก็รู้สึกว่าอาวุธสงครามไม่ได้น่ารังเกียจขนาดยาเสพติดละนะ

“ใครจะบ้าจี้ส่งยาจริงล่ะ...”

ตาสี่คู่มองหญิงสาวที่กดรอยยิ้มลึกที่มุมปาก ก่อนจะร่ายรายการยาที่อำเอาพวกเขาหน้าเหวอ

“เอาเป็นยาแก้ไอสักสองลัง พาราอีกสองลัง แล้วก็...ยาดมอีกสองลังก็แล้วกัน เผื่อจบงานพวกตำรวจจะได้ใช้”

“...”

“อ้อ...แล้วขอชื่อกลุ่มที่ขายยาด้วย จะได้ดูน่าเชื่อถือ”

ความเงียบปกคลุมห้อง ไม่นานเรมิงตันก็ได้ข้อสรุป “ตกลง เอาตามนี้!”

ไอเดียการแก้ปัญหาของภูตน้อยตรงหน้าดูเข้าท่าแถมแสบไม่เบา อย่างมากตำรวจก็เข้าใจว่าพวกนั้นไหวตัวทัน เลยสับเปลี่ยนไส้ในหวังให้ขายหน้า และสุดท้ายเมื่อไม่มีหลักฐานให้เอาผิดก็จำเป็นต้องปล่อยคน

เจ้าหล่อนยังหวังดีเผื่อพาราแก้ปวดหัวกับยาดมให้คนพวกนั้นยามที่รู้ว่าจับผิด...อะไรจะมีน้ำใจขนาดนั้น

เรมิงตันปิดการประชุมพร้อมลุกเดินนำออกไปเป็นคนแรก ริมฝีปากยกยิ้มอย่างพอใจวิธีการใหม่

คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้เธอมาทำหน้าที่นี้

ที่สำคัญเขาชอบที่เธอใช้คำว่า ‘เรา’

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น