2
เดินทางผิด ชีวิตเปลี่ยน
เรมิงตันมองหญิงสาวที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ตรงหน้าเขาด้วยแววตาสำรวจ ดวงตาเรียวเฉี่ยวฉายแววตื่นตระหนกชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฉงนสงสัย ใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อ มีเหงื่อซึมตามกรอบหน้า การหายใจหอบแรงบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงเหนื่อยจากการวิ่งหนีก่อนหน้าไม่น้อยทีเดียว ผมสีเงินพันกันยุ่งเหยิง ทว่ากลับขับให้เธอดูราวกับภูตที่กับหลุดมาจากโลกแฟนตาซี
คนตรงหน้าดูน่ารักมีเสน่ห์ไม่น้อย
น่าเสียดายที่อายุสั้น!
เมื่อเห็นว่าการหายใจของหญิงสาวกลับมาเป็นปกติ เรมิงตันจึงพยักหน้าสั่งให้คนของเขาเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
“ใครส่งเธอมา!”
ไอรีนหันมองหนึ่งในชายชุดดำที่ถามขึ้น น้ำเสียงห้วนจัดกับแววตาแข็งกร้าวที่มองมาทำเอาเธอลอบกลืนน้ำลายเอื๊อก ในขณะที่กำลังคิดหาคำตอบให้รอดไปจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ น้ำเสียงขี้เล่นก็ดังมาจากชายชุดดำอีกหนึ่งคน
“เห็นอะไรบ้างหืม...สาวน้อย”
ใบหน้าหวานๆ ท่าทางยิ้มๆ ของชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงสักนิด เพราะแม้น้ำเสียงจะไม่ดุดันเหมือนคนแรก แต่แววตาเย็นๆ ที่มองมาอย่างคุกคามก็ทำให้เธอใจสั่น
ไอรีนยอมรับว่ากลัว
สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีต่อใจแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็จำต้องวางท่านิ่ง ประสบการณ์ในสายอาชีพทำให้เธอถนัดในการเก็บสีหน้า ทั้งที่ในใจก่นด่าบรรพบุรุษไปร้อยแปด
คิดซะว่านี่เป็นหนึ่งในปัญหาฝ่าวิกฤติก็แล้วกัน
“เห็นอะไรหรือคะ” หญิงสาวตีหน้าซื่อถามกลับ กะพริบตาปริบๆ สบตาอย่างไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่เห็นเต็มตาว่ากลุ่มคนตรงหน้าเพิ่งยิงคนทิ้งหมาดๆ
ไม่น่าเลย...เธอไม่น่าทอดทิ้งพี่วินคนหล่อมาเดินทอดน่องชิลชิลในตรอกซอยมืดๆ แบบนี้เลยให้ตาย
เป็นไงล่ะ...ชิลจนขนหัวลุก!
ชายชุดดำหน้าหวานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนมาเป็นเดินวนรอบเธอแทน ต่างจากชายชุดดำอีกคนที่คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ตาแข็งกร้าวจ้องมองอย่างจับผิด ไอรีนบังคับตัวเองให้สบตากลับด้วยท่าทางราวกับไม่เข้าใจว่าคนทั้งคู่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร
นิ่งไว้ๆ อย่าไปกลัว...
“แล้ววิ่งหนีทำไม”
คราวนี้คำถามถูกส่งมาจากชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ แม้จะเป็นสูทสีเดียวกันกับสองคนข้างๆ ทว่าตาเฉียบคมของพีอาร์อย่างเธอก็บอกได้ว่ามันต่างออกไป แน่นอนว่าออร่าความมีอำนาจที่แผ่ออกมาจากชายหนุ่มคนนี้บอกให้เธอรู้ว่าเขาไม่ธรรมดา
เรมิงตันสืบเท้าขยับเข้าใกล้หญิงสาวอีกเล็กน้อย นัยน์ตาที่ยามปกติมักจะฉายแววขี้เล่นหรี่มองอย่างกดดัน
ไอรีนใจเต้นตุบๆ เมื่อลาสต์บอสออกโรง...
...เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้าเนียนใสอย่างคนดูแลตัวเอง ผิวขาวสุขภาพดีอย่างที่ว่าเป็นนายแบบปกนิตยสารได้สบายๆ
เดี๋ยวนะ...
คำว่านายแบบปกนิตยสารที่วาบขึ้นมาราวกับคีย์เวิร์ดที่ปลดล็อกให้ความจริงกระแทกเข้าใส่หน้าอย่างจัง
เรมิงตัน อคิราห์ สมิทธ์!
เธอก็คิดอยู่ว่าหน้าตาของชายหนุ่มตรงหน้าดูคุ้นๆ แต่ก็ได้แต่ปัดทิ้งไป ใครจะไปคิดว่าความคุ้นนั้นจะเป็นของจริง สิ่งที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ราวกับพลิกโฉมหน้าของอีกฝ่ายชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า!
เขาเป็นเซเลบชื่อดังลูกครึ่งไทย-อเมริกันที่สื่อต่างให้ความสนใจ เจ้าของเครือโรงแรมหรูและธุรกิจอีกหลากหลาย ด้วยความที่ชายหนุ่มทำตัวโลว์โพรไฟล์ ทำให้ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวกลายเป็นแรร์ไอเท็ม กวาดชิงพื้นที่สื่อไปมากมายจนเรื่องอื่นแทบจะตกกระป๋อง
หน้าตายิ้มแย้มสุภาพ แววตาขี้เล่นยามปรากฏอยู่หน้าสื่อ บอกทีสิว่าใช่คนเดียวกันกับที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้?
ความจริงที่รับรู้ไม่ได้ทำให้ไอรีนอุ่นใจแม้แต่น้อย เพราะนั่นหมายความว่าเธอล่วงรู้ความลับของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง และนั่นไม่ใช่เรื่องดีสักนิด
ยามนี้แม้จะรู้จัก ก็ต้องทำเป็นไม่รู้จัก
“ว่ายังไง ถ้าไม่รู้ไม่เห็นแล้วจะวิ่งหนีทำไม”
เสียงทุ้มที่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งดึงสติเธอกลับมา หญิงสาวเผยอริมฝีปากแล้วเบะออกเล็กน้อย กลอกตาไปด้านข้างทำเนียนขมุบขมิบบ่นแบบตั้งใจให้ได้ยิน
“ดึกดื่นขนาดนี้มีคนวิ่งตามมาเป็นฝูง ไม่ให้วิ่งหนีได้ไงล่ะ บ้าบอ!”
ถึงคำว่าฝูงดูจะเกินจริงไปนิดสำหรับคนสามคน ทว่าจุดนี้ไม่มีใครสนใจลักษณนามเรียกขานนั้น ถ้อยคำพึมพำเบาๆ ไม่ได้เบาเกินกว่าจะได้ยินในยามที่สรรพสิ่งรอบด้านเงียบกริบ
หัวคิ้วเรมิงตันกระตุก ในขณะที่เหล่าลูกน้องมองหน้ากันเก้อๆ ตาสองคู่สบกันก่อนหันมองเจ้านายอย่างขอความคิดเห็น
อาการชะงักไปของอีกฝ่ายทำให้ไอรีนรู้ว่าเธอมาถูกทาง คนพวกนี้อาจจะไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด หากเธอยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็น เขาคงจะปล่อยเธอไป...มั้ง
หลังจากเรมิงตันหายอึ้งเพราะคำตอบที่ไม่คาดคิด ชายหนุ่มก็หรี่ตามองอย่างคาดคั้น รู้อยู่เต็มอกว่าหญิงสาวคงเห็นอะไรไม่มากก็น้อย เพราะแววตายามเผลอสบกันนั้นบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวตระหนกแค่ไหน แต่ตอนนี้กลับมาทำหน้าซื่อตาใส
เขาก็อยากรู้นักว่าจะปากแข็งไปอีกนานไหม
“ไม่เห็นอะไรแน่นะ ให้โอกาสพูดความจริง” น้ำเสียงติดจะเกียจคร้านต่างจากการกระทำที่ดุดัน
ลมหายใจไอรีนสะดุดเมื่อมัจจุราชสีดำถูกยกขึ้นจ่อในระยะประชิด ฝ่ามือชื้นเปียกไปด้วยเหงื่อที่ซึมออกมา หัวใจเต้นระรัวราวกับจะเด้งออกจากอก ถึงจะบอกตัวเองให้นิ่งไว้ อย่าไปกลัว แต่ในยามที่ความตายดิลิเวอรีมาแบบไม่ทันตั้งตัว เธอก็รู้สึกหวิวๆ ในช่องท้องเหมือนกัน
คนพวกนี้ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิดหรอก...
...แต่โหดร้ายกว่าที่คิด!
“ฉันพูดความจริง” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นยืนยันคำเดิม ตาไม่ล่อกแล่กแม้จะมีปืนจ่อกลางหน้าผากก็ตาม มันเป็นวินาทีวัดใจที่เธอต้องทำให้ทั้งตัวเองและอีกฝ่ายเชื่อแบบนั้น
เธอแค่เดินผ่านไป ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น!
เรมิงตันกระตุกยิ้มมุมปากอย่างนึกชอบใจกับแววตาแน่วแน่ที่มองมา หากเขาไม่ได้สบตาหญิงสาวตอนนั้นก็คงหลงเชื่อไปแล้ว ถึงจะนึกชอบใจ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมลดปืนลง ในขณะที่กำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรต่อไปดี เสียงใสที่ดังขึ้นก็สร้างความประหลาดใจให้อีกครั้ง
“ถ้าคิดจะเชื่อก็เชื่อ...แล้วปล่อยฉันไป ถ้าไม่เชื่อ ต่อให้พูดยังไงคุณก็อยากเก็บฉันอยู่ดี เอาเป็นว่าจะฆ่าก็รีบฆ่า”
ไอรีนเสี่ยงวัดดวงอีกครั้ง ถามว่าเธออยากตายไหม
ไม่หรอก...
...เธอกำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่อยู่ต่างหาก จากท่าทีที่เขาไม่กำจัดเธอทิ้งทันทีที่จับตัวได้ แถมยังอารมณ์สุนทรีย์พอที่จะมายืนคาดคั้นเอาคำตอบ แววตาแข็งกร้าว แต่ไม่เหี้ยมโหด ทำให้รู้สึกว่าน่าจะพอมีทางรอดอยู่บ้าง
แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิด...
...อย่างมากก็แค่ตาย...กลัวอะไร
“มีอะไรจะสั่งเสียไหม”
เสียงทุ้มที่ถามกลับมาอย่างไม่ยี่หระราวกับน้ำเย็นสาดเข้าที่หน้า เสียง ‘กริ๊ก’ ขึ้นนกของมัจจุราชสีดำดับแสงแห่งความหวังให้มืดสนิท
ไอรีนมองสบตาเทาอมฟ้าคู่นั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างยอมจำนน ริมฝีปากบางสั่นเล็กน้อยยามเอ่ยประโยค
“ไม่ ทำให้ไวก็พอ”
สรรพเสียงรอบด้านราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ไอรีนกลั้นใจรอรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น ความคิดโลดแล่นไปยังคนที่รักเธอราวกับลูกแท้ๆ อย่างคุณหญิงเกศริน พี่ชายอย่างภาสกรที่แม้จะทะเลาะกันบ่อยๆ แต่เธอรู้ว่าชายหนุ่มก็เอ็นดูเธอไม่น้อย แววตาอบอุ่นของคุณวสุ
ขอโทษนะคะที่จากไปโดยที่ไม่ได้ล่ำลา
ทว่ารออยู่นานความรู้สึกนั้นก็ยังไม่มา ที่มากลับกลายเป็นคำถามสั้นๆ จากเสียงที่เริ่มคุ้นเคย
“ทำไม”
เปลือกตาบางที่ปิดอยู่เปิดพึ่บ ดวงตาวาวโรจน์ถลึงจ้องมองตาที่มองถามมาอย่างสงสัย เป็นครั้งแรกที่เธอนึกอยากกระโจนเข้าไปตะกุยหน้าหล่อๆ นั่นโดยไม่สนใจปืนในมือเขาว่าจะลั่นเปรี้ยงปร้างหรือไม่
คนบ้า!
คนเขาอุตส่าห์ทำใจแล้วก็รีบๆ จัดการให้มันจบๆ ไปได้ไหม ถามอยู่นั่นแหละ
จะฆ่าก็ฆ่าสิ ชักช้าอยู่นั่น
ดวงตาเรียวเฉี่ยวมองสบดวงตาสีเทาอมน้ำเงินที่มองมาอย่างฉงน ดูท่าว่าจะสงสัยมากจริงๆ ไอรีนสูดหายใจฟืดฟาด ตอบเสียงห้วนกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
“ฉันกลัวเจ็บ!”
ตอบเสร็จก็ปิดตาฉับกลับไปทำใจอย่างเดิม จึงไม่ทันเห็นประกายขำขันวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่มยามได้ยินคำตอบ เป็นอีกครั้งแล้วที่คำตอบของเธอสร้างความพอใจให้เขา
หญิงสาวพูดถูก เรมิงตันชักอยากจะเก็บเธอ
ไม่ได้หมายถึงฆ่าทิ้ง แต่เก็บเอาไว้ให้อยู่ในสายตา ท่าทางกลัวจนตัวสั่น แต่แววตาดื้อดึงอย่างไม่ยอมแพ้ของหญิงสาวร่างบางตรงหน้าทำให้เขานึกสนใจ
“พาตัวไป” ออกคำสั่งเสียงเข้ม
คำสั่งนี้ไม่ได้ทำให้อีกสองคนที่เหลือแปลกใจแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาทั้งคู่ก็เสียดายเช่นกันหากต้องลงมือเก็บเธอ น้อยครั้งที่จะได้เจอคนใจเด็ดแบบนี้
“อ้อ...และผมจะจำไว้ว่าคุณกลัวเจ็บ”
การรอดจากความตายแบบงงๆ ทำให้ไอรีนถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้จะไม่รู้ว่าเธอกำลังถูกพาตัวไปที่ไหนก็ตาม ทว่าความโล่งใจนั้นก็อยู่เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น เธอไม่ได้มองโลกสวย แปลความหมายของการพาตัวไปว่าคือการปล่อย
ความคิดในแง่ร้ายเรียงคิวเข้ามากันให้วุ่น ฉากหลังของ เรมิงตัน อคิราห์ สมิทธ์ ที่พลิกกลับด้านทำให้เธอคาดเดาไม่ได้ว่าชายหนุ่มต้องการอะไร แม้ตอนนี้เขาจะกลับมามีสีหน้ายิ้มแย้ม แววตาขี้เล่นเหมือนอย่างที่เคยเห็นผ่านตามสื่อ แต่วินาทีของความเป็นความตายที่ผ่านมาหมาดๆ ก็เตือนตลอดเวลาว่าผู้ชายคนนี้ลั่นไกฆ่าคนได้ทั้งที่ยังยิ้มอยู่
คนคนนี้อันตราย!
ไอรีนสัญญากับตัวเองในใจว่าหากเธอรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้ เธอจะอยู่ห่างจากผู้ชายคนนี้ให้มากที่สุด
หญิงสาวปัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ เรียกสติ
ช่างเถอะ...
...อย่างน้อยการที่ยังมีชีวิตอยู่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี
ไม่มีการมัดมือไพล่หลังหรือคาดผ้าดำปิดตาเหยื่ออย่างที่มักจะเกิดขึ้นในซีรีส์สืบสวนที่เคยดู ไอรีนจึงเห็นว่าสถานที่ที่เธอถูกพาตัวมาคือหนึ่งในเครือโรงแรมที่เรมิงตันเป็นเจ้าของ
แน่สิ...ถ้าจะพาเธอมาโรงแรมในเครือตัวเองแบบนี้ ถึงคาดผ้าปิดตาก็รู้อยู่ดีนั่นละ
รถสีดำมันปลาบจอดสนิทยังช่องจอดรถวีไอพี ชายชุดดำสองคนเดินมาเปิดประตูให้เรมิงตัน จากนั้นก็เดินมาคุมด้านหลังอย่างกลัวเธอจะตุกติก แล้วกลุ่มคนทั้งหมดก็ตรงเข้าไปยังลิฟต์เฉพาะที่ไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปใช้
ติ๊ง...
สัญญาณลิฟต์ดังขึ้นเมื่อมาถึงชั้นที่เป็นจุดหมาย และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ไอรีนก็เลิกคิ้วน้อยๆ อย่างนึกทึ่งในความโอ่อ่าของห้องเพนต์เฮาส์ชั้นบนสุดของโรงแรมระดับห้าดาวนี้กินอาณาบริเวณทั้งชั้น และประตูลิฟต์ก็เปรียบเสมือนประตูห้องไปโดยปริยาย
ถ้าเธอไม่ได้อยู่ในสถานะอิหลักอิเหลื่อแบบนี้ ก็อยากจะขอเจ้าของห้องเดินชมรอบๆ อยู่หรอก
“นั่งสิ”
ไอรีนหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่ายเมื่อได้ยินเสียงทุ้มออกคำสั่ง นั่งเสร็จก็เก็บไม้เก็บมือเรียบร้อย ยืดหลังตรง ตามองสบตาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มีชายชุดดำอีกสองยืนแบ็กอัปอยู่ด้านหลังเสริมความน่าเกรงขาม
ท่าทางการนั่งและความสำรวมประหนึ่งมาสัมภาษณ์งานของหญิงสาวทำให้เรมิงตันนึกขำ
“ชื่ออะไร” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างอยากรู้
“ไอรีนค่ะ”
“แสงสว่าง?”
“ค่ะ” ไอรีนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าเขาจะรู้ความหมายของชื่อเธอ
เรมิงตันไม่สนใจท่าทางแปลกใจของหญิงสาว เขาแค่บอกตัวเองในใจว่าชื่อเธอเหมาะดี ก่อนจะถามคำถามต่อไป
“บ้านอยู่ไหน”
“ไม่มีบ้านค่ะ”
คราวนี้เป็นฝ่ายเขาที่แปลกใจ ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นคำถามส่งไป แววตาอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว
“อยู่คอนโดค่ะ”
“...”
คำตอบที่ได้ยินทำให้เขานึกเข่นเขี้ยว และเมื่อเสียงอึกอักกลั้นหัวเราะแว่วมาจากเบื้องหลัง เรมิงตันก็นึกอยากบีบคอหญิงสาวที่ตอบคำถามอย่างหน้าซื่อตาใสขึ้นมาตงิดๆ เสียงที่ถามคำถามถัดไปจึงเข้มขึ้นอย่างข่มกลั้นอารมณ์
“อยู่กับใคร”
“คนเดียวค่ะ”
“ทำงานอะไร”
แม้ไอรีนจะอยากถามคนตรงหน้าว่าถามคำถามพวกนี้ไปทำไม แต่เมื่อคิดว่าเขาถามเพิ่มอีกนิด เธอก็มีชีวิตอยู่นานเพิ่มอีกหน่อย หญิงสาวจึงยินดีตอบไปอย่างไม่คิดอะไรมาก
“พีอาร์ค่ะ”
อ้อ...เรมิงตันได้ยินว่าหญิงสาวทำงานอะไรแล้วก็ร้องอ้อในใจ ดูท่าว่าการนั่งของเธอจะถอดแบบมาโดยอัตโนมัติตามบุคลิกของพีอาร์ที่ต้องดูดี ยังไม่รวมถึงการตอบคำถามที่ตอบไปยิ้มไปของเจ้าหล่อนอีก
น่าสนใจ
“ทำมานานแค่ไหนแล้ว”
“ตั้งแต่เรียนจบค่ะ”
“ทำอะไรบ้าง”
“ก็ดูแลเรื่อง...”
ไอรีนอธิบายขอบเขตงานและสิ่งที่เธอทำให้ชายหนุ่มฟัง นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายดูสนใจและตั้งใจฟังเป็นพิเศษ เห็นแบบนั้นหญิงสาวก็ยิ้มกว้าง สาธยายงานแบบละเอียดยิบอย่างใจดี
ฟังแล้วก็ช่วยลืมๆ เรื่องที่จะเก็บเธอก่อนหน้านี้ไปด้วยจะดีมาก
สาธุ...
“ดี ผมตกลงรับคุณเข้าทำงาน”
“ขอบคุณค่ะ...” ประโยคขอบคุณที่คล้อยตามบรรยากาศดังขึ้นไม่นาน แต่เมื่อสติกลับมา ไอรีนก็ร้องเสียงหลง
“หา!”
งาน...งานอะไร
“ไม่ต้องตกใจ คุณทำพีอาร์เหมือนเดิม แค่เปลี่ยนสินค้านิดหน่อยเท่านั้น”
เขาอธิบายอย่างใจดี ท่าทางชายหนุ่มเปลี่ยนมาเป็นยิ้มแย้มต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น...ประเด็นคือเขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า
เธอไม่ได้มาสัมภาษณ์งาน!
“ไม่ต้องทำท่าดีใจขนาดนั้น”
“มะ..” ไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธว่าไม่ดีใจ และไม่ได้อยากจะร่วมงานกับเขา ประโยคต่อมาก็ทำเอารีบหุบปากฉับกลืนคำปฏิเสธลงท้องไป
“ทำงานหรือทำศพ”
มุมปากไอรีนกระตุกขึ้นเพราะคำถามที่ได้ยิน
แล้วเธอเลือกอะไรได้ไหม
ถ้าจะถามแบบนี้อย่าถามเลยจะดีกว่า หญิงสาวเม้มปากแน่น ในใจนับหนึ่งถึงสิบ ท่องไว้ว่าชีวิตน้อยๆ ของเธออยู่ในกำมือเขา
ใช่...ตอนนี้เธอยกให้ เรมิงตัน อคิราห์ สมิทธ์ คือเจ้าชีวิต!
“ทำงานค่ะ”
“ดี!” เรมิงตันยิ้มอย่างพอใจที่ภูตน้อยตรงหน้าเข้าใจอะไรได้ง่าย ทำตัวไหลไปตามสถานการณ์ได้ดี แม้ว่าหน้าเจ้าหล่อนจะเริ่มซีดจนแทบจะกลืนไปกับสีผมแล้วก็ตาม
ตอนแรกก็แค่จะพามาตกลงให้แน่ใจว่าเธอจะไม่เอาเรื่องที่เห็นไปพูดต่อที่ไหน เสร็จแล้วก็จะปล่อยไป ไม่ได้ใจดีอะไร แต่เขามีวิธีที่จะทำให้เธอไม่กล้าพูดเรื่องที่เห็นต่ออย่างแน่นอน
ฟังที่เจ้าหล่อนเจื้อยแจ้วเรื่องงานตัวเองแล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมา ในเมื่อหญิงสาวรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ไปเรื่องหนึ่งแล้ว จะรู้เพิ่มอีกสักเรื่องสองเรื่องคงไม่ใช่ปัญหา
นิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะอย่างครุ่นคิดถึงอีกหนึ่งธุรกิจที่มักจะมีเรื่องเกิดขึ้น ถึงจะไม่บ่อย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือเช่นกัน การมีพีอาร์เก่งๆ สักคนน่าจะช่วยได้...
หญิงสาวตรงหน้าก็เหมาะ
ที่สำคัญ...ปิดปากโดยการดึงเธอเข้ามามีส่วนร่วมดีที่สุด!
“มีคำถามอะไรไหม” เรมิงตันเปิดโอกาสให้ถาม
ไอรีนเกือบจะส่ายหน้าไปแล้ว แต่ก็นึกได้ว่าเธอยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะส่งไปทำงานที่บริษัทไหน นอกจากเครือโรงแรมแล้วเรมิงตันก็ยังมีธุรกิจอีกหลายอย่าง คนที่อยากร่วมงานด้วยมีเป็นร้อยเป็นพัน
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะจ้างเธอไปทำไม
“ทำงานที่ไหนคะ”
“ถึงเวลาก็รู้เอง...แค่ไปเตรียมเก็บของก็พอ อีกสามวันจะให้คนไปรับ”
ไอรีนชะงักไปอึดใจ นอกจากย้ายที่ทำงานแล้วยังต้องย้ายที่อยู่ด้วย?
“ไม่ย้ายไม่ได้เหรอคะ” เธอถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“ไม่ได้”
คำตอบปฏิเสธทันควันทำให้ไอรีนนึกอยากตวัดค้อนใส่ เพราะอีกฝ่ายช่างใจร้าย ไม่ให้แม้แต่โอกาสในการฝันลมๆ แล้งๆ
อย่างน้อยบอกว่าขอคิดดูก่อนก็ยังดี
ทว่าฮึดฮัดไม่พอใจไปก็เท่านั้น สถานะเจ้าชีวิตที่ค้ำคออยู่ตอนนี้ทำให้เธอพูดได้แค่...ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน
“บริษัทไหนคะ” รู้ดีว่าไม่มีอำนาจเปลี่ยนการตัดสินใจของเรมิงตัน ไอรีนทำได้แค่ถามข้อมูลของบริษัทเพิ่มเติม เธอจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ วางแผนการทำงานถูก
“ก็ไม่เชิงบริษัทหรอก เป็นแค่ธุรกิจสินค้าเฉพาะทางเท่านั้น”
หืม...คนอย่างเรมิงตันทำธุรกิจที่ไม่ใหญ่ขนาดเป็นบริษัท?
ไอรีนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เสียงใสถามขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่ “สินค้าอะไรคะ”
แววตายิ้มๆ กับท่าทางสบายอารมณ์ของคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้เธอวางใจสักนิด กลับกันยิ่งเพิ่มความระแวงมากขึ้นไปอีก “อาวุธสงคราม”
“...” ทันทีที่คำตอบดังออกมาจากริมฝีปากหยัก หญิงสาวก็รู้สึกอยากได้แอมโมเนีย...เธอจะเป็นลม!
ล้อเล่นใช่ไหม
เธอส่งสายตาถามกลับไปอย่างหวังว่าจะได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นว่าล้อเล่น สาบานได้ว่าเธอจะไม่โกรธเขาจริงๆ ที่มาล้อเล่นอะไรที่ชวนขนหัวลุกแบบนี้ ทว่าอาการส่ายหน้าเบาๆ ก็ตอกย้ำความเป็นจริง
รอยยิ้มอัตโนมัติของพีอาร์สาวเริ่มจะสั่นคลอนเล็กน้อย ริมฝีปากบางเผยออ้าแล้วหุบ เสียงที่ลอดไรฟันออกไปเบาหวิว
“ปืน ระเบิด?”
“ทำนองนั้น”
ทำนองนั้นแสดงว่ามีอีก?
ขายอาวุธสงครามแล้วจะเอาพีอาร์ไปทำบ้าอะไร
ไอรีนนึกอยากจะร้องไห้ เธอเพียงแค่คิดว่าอยากจะลองเปลี่ยนบริษัทเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าพระเจ้าจะเล่นตลกประทานพรให้เธอปุ๊บปั๊บรับโชคแบบนี้
สินค้าใหม่มันก็ดังอยู่หรอก...
...ดังบึ้ม! แถมมีแสงสว่างวาบเป็นสกิลติดตัวด้วย
ความคิดเห็น |
---|