1

บทที่ 1


1

จุดเริ่มต้น

 

เปลือกตาบางปรือขึ้นรับแสงยามเช้าของวันใหม่ หญิงสาวร่างบางงัวเงียลุกขึ้นนั่งเมาขี้ตาพักหนึ่ง สองแขนยกบิดซ้ายขวากำจัดตัวขี้เกียจออกไป ตาเรียวมองนาฬิกาที่หัวเตียง

เจ็ดโมงเช้า...

เห็นเวลาแล้วร่างบางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกอยากทิ้งตัวลงไปเกลือกกลิ้งกับที่นอนนุ่มๆ อีกครั้ง นี่ไม่ใช่เวลาตื่นปกติของเธอ และถ้าไม่ติดว่าวันนี้มีหลายสิ่งให้ต้องไปจัดการ ไม่มีทางเสียหรอกที่จะขุดเธอออกจากที่นอนตอนเจ็ดโมงเช้าวันเสาร์ได้

เจอกันบ่ายๆ โน่น!

ทว่าสิ่งที่คิดก็คือสิ่งที่คิด เพราะความเป็นจริงคือร่างบางรีบกระโดดลุกจากที่นอน เดินตรงดิ่งไปยังตู้เสื้อผ้า คว้าเดรสลายดอกเดซี่และสูทสีครีมที่เข้าชุดกันออกมาวางแหมะไว้บนเตียง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัว

ไม่นานหญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำมีหยดน้ำเกาะพราวที่ใบหน้าก็เดินออกมาหน้าตาแจ่มใส หยิบชุดที่วางเตรียมไว้แล้วหายเข้าไปอีกครั้งในห้องแต่งตัว ก่อนจะเดินออกมาหยุดอยู่หน้ากระจกบานยาว

ภาพในกระจกเผยให้เห็นหญิงสาวในเดรสสีขาว ดอกเดซี่เล็กๆ กระจายเป็นลายบนชุดขับให้เจ้าของร่างดูอ่อนหวาน สูทสีครีมที่สวมทับลงมาเป็นขั้นตอนสุดท้ายเพิ่มความเป็นทางการดูน่าเชื่อถือ

ไอรีนหมุนซ้ายหมุนขวาเช็กความเรียบร้อยเป็นรอบสุดท้าย รอยยิ้มมืออาชีพแต่งแต้มเรียวปากฉ่ำวาวในมุมองศาที่จะทำให้เจ้าของใบหน้าดูดีที่สุด ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ อย่างพอใจ

ร่างบางเดินไปยังตู้รองเท้า คว้าส้นสูงสามนิ้วครึ่งมาใส่ก่อนเดินออกจากห้องไป เป็นอันว่าพร้อมสำหรับการไปทำงาน

 

การจราจรที่คับคั่งไม่ใช่ปัญหา เพราะการทำงานในจุดที่มีรถไฟฟ้าเข้าถึงช่วยตัดปัญหาน่าเบื่อหน่ายให้หมดไป หากวันไหนเปิดแอปพลิเคชันดูการจราจรแล้วรถไม่ติด เธอก็จะขับรถไป แต่หากวันไหนเปิดมาแล้วเส้นทางแดงเถือก แม้จะเลือกทางด่วนก็มีโอกาสจะได้เหยียบเบรกแทนคันเร่ง วันนั้นก็โบกมือลารถส่วนตัวไปได้เลย

แดงเถือก...

ไอรีนถอนหายใจฉุนๆ มองหน้าจอที่ขึ้นเส้นทางเป็นสีแดงเข้ม ไม่ว่าจะเลื่อนนิ้วหาเส้นทางเลี่ยงไปทางไหน ก็มีแต่แดง แดง แดง

วันเสาร์ก็ยังติดเหรอ

ไปรถไฟฟ้าก็แล้วกัน

แม้ว่าคอนโดที่พักอาศัยจะไม่ได้ใกล้สถานีรถไฟฟ้าขนาดเดินสามก้าวถึง แต่ก็ไม่ได้ไกลมากขนาดเดินไม่ได้ หากเป็นช่วงเช้าไอรีนจะเลือกใช้บริการพี่วินยี่สิบบาทแทนการเดินให้เหงื่อซึมรักแร้เปียก แต่หากเป็นช่วงเย็นละก็...เธอเดินชิลชิล รับลมเย็นๆ จากสถานีบีทีเอสกลับมาคอนโดได้สบาย

“ไปบีทีเอสค่ะ”

เอ่ยบอกปลายทางเสียงใสเมื่อโบกมือเรียกพี่วินเสื้อส้มให้มาจอดรับ ใช้เวลาไม่นานพี่วินก็วิ่งซอกแซกพาเธอมายังจุดหมาย

ขึ้นมาบนชานชาลาได้เธอก็ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือ

แปดโมงครึ่ง

รอยยิ้มแต้มริมฝีปากบางอย่างพอใจ เธอจะใช้เวลาเดินทางอีกสามสิบนาทีเพื่อเข้าบริษัท หลังจากนั้นจะมีเวลาให้พอหาอะไรรองท้องอีกสักสิบยี่สิบนาที ก่อนจะเริ่มไปบรีฟครั้งสุดท้ายให้เหล่าผู้บริหาร เพื่อที่จะได้ให้ข้อมูลและตอบคำถามสื่อไปในทิศทางเดียวกันสำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ในวันนี้

ทว่ารอยยิ้มที่มีชักเริ่มจะฝืดเฝื่อนเมื่อผ่านไปห้านาที ขบวนรถก็ยังไม่วิ่งมาสักที ไม่รอให้เกิดข้อสงสัยนานนัก เสียงประกาศตามสายก็ดังมาให้รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยว

“รถไฟฟ้าขัดข้องที่สถานี...กำลังทำการแก้ไข ขบวนรถจะล่าช้า 15 นาที ผู้โดยสารโปรดเผื่อเวลาการเดินทาง ขออภัยในความไม่สะดวก”

ช่างสมคำกับกล่าว...กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว

ดีจังไร!

เอ๊ยย...

...ดีจังเลย!

 

โชคดีที่แม้จะช้าไปสิบห้านาทีก็ไม่ทำให้ล่าช้าแต่อย่างใด เพียงแค่ไม่ได้ซดกาแฟกับกินมื้อเช้าเท่านั้น

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา...

“คุณภาสไปไหน” ตาเรียวเฉี่ยวมองเลขาฯ เจ้าของชื่อ เสียงที่ถามห้วนสั้นอย่างที่คนได้ยินรู้ว่าอารมณ์คนถามไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา

ไอรีนมองท่าทางอ้ำอึ้งของอีกฝ่ายกับอาการเลี่ยงไม่สบตาก็นึกรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ มือเรียวเสยผมสีเงินขึ้น ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่รู้จะทำอย่างไร

คุณภาส หรือภาสกร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงเกศริน ภรรยาของคุณวสุ ผู้บริหารสูงสุดของ KR Group กลุ่มธุรกิจสกินแคร์ชั้นนำที่ครอบครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งของตลาด และอันดับหนึ่งในดวงใจของใครหลายๆ คน

เชื่อเถอะว่าบนโต๊ะเครื่องแป้งของสาวๆ อย่างน้อยต้องมีสินค้าของ KR Group สักชิ้น

ภาสกรเป็นผู้บริหารที่ไม่ถือตัวและดูเฟรนด์ลีเข้าถึงง่าย เธอไม่มีปัญหากับรอยยิ้มหว่านเสน่ห์ที่เขาโปรยแจก เพราะมันไม่ได้ถูกแจกให้เธอคนเดียว แต่เป็นสาวๆ ทั้งบริษัท เธอไม่มีปัญหากับการควงสาวสวยมากหน้าหลายตาและการมาทำงานผลุบๆ โผล่ๆ ของเขา

เธอจะไม่มีปัญหาเลยถ้ามันไม่ใช่วันนี้!

วันที่เป็นวันเปิดตัวแบรนด์สกินแคร์สำหรับผู้ชายที่มีเขาเป็นผู้บริหารหลักและแบรนด์แอมบาสซาเดอร์!

ความจริงไอรีนไม่ใช่พีอาร์ที่ดูแลรับผิดชอบแบรนด์นี้ ทว่าคุณหญิงเกศรินกลับเจาะจงส่งมอบโพรเจกต์งานเปิดตัวมาให้ช่วยดูในฐานะพีอาร์มือหนึ่งของบริษัท และเธอจะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ชื่อเสียงที่สะสมมานานพินาศแน่นอน

“เข้ามาแล้วแต่ไม่รู้ไปไหน หรือยังไม่เข้า”

ไอรีนเปลี่ยนคำถามใหม่เมื่อดูจะไม่ได้คำตอบอะไรจากคำถามก่อนหน้า รอยยิ้มแหยๆ กับท่าทางส่ายหัวที่ตอบกลับมาของเลขาฯ ทำให้หญิงสาวอยากจะพ่นลมหายใจพรืดอย่างหมดความอดทน

มันใช่เวลามาเล่นใบ้คำตอนนี้ไหม

“ยังไม่เข้า?”

“ยังไม่ได้ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ”

มือเรียวยกขึ้นมายีหัวตัวเองอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์ ก่อนจะรีบจัดทรงเมื่อนึกได้ว่ายังมีตาอีกหลายคู่จ้องมอง

ไอ้บ้านี่...

ตาเรียวเฉี่ยวตวัดมองขึ้นไปยังด้านบนของอาคาร ริมฝีปากพึมพำแช่งชักหักกระดูกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้านายในใจ รู้นิสัยและกิตติศัพท์แคซาโนวาตัวพ่อของอีกฝ่ายดี การอยู่ยาวบนห้องทำงานตั้งแต่เมื่อคืนของภาสกรคงเป็นการทำงานที่หนักหน่วงน่าดูเชียวละ

ก็ถือว่ายังดี ดีกว่าไม่รู้จะไปตามตัวที่ไหน

หลังจากแช่งชักอีกฝ่ายจนพอใจ สองมือที่ถือเอกสารอยู่ก็โยนให้ผู้ช่วยข้างตัว ฝากฝังงานส่วนที่ต้องเตรียมก่อนเริ่มเปิดตัวเรียบร้อยก็ตวัดสายตามองเลขาฯ ของชายหนุ่มที่ยืนหน้าเจื่อนส่งยิ้มแหยมาให้

“นำไปเดี๋ยวนี้เลย!”

เจ้านายก็เจ้านายเถอะ...ถ้ามีงานที่ต้องรับผิดชอบ เธอก็ต้องไปลากมารับผิดชอบให้ได้ ไม่ว่าชายหนุ่มจะกำลังกกใครอยู่ก็ตาม!

โชคดีที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ เพราะเมื่อข้อมือเรียวกระชากประตูห้องเปิดออกหลังจากเคาะห้องสองสามครั้งพอเป็นพิธี เธอก็พบตัวคนที่ต้องการยืนกระดิกขาจิบกาแฟชิลชิล ตาทอดมองผ่านกระจกใสออกไปด้านนอก ดื่มด่ำกับวิวยามเช้า ก่อนที่จะค่อยๆ หันมาเอ่ยทักทายผู้บุกรุก

“อรุณสวัสดิ์”

ไอรีนถลึงตาใส่ตาพราวระยับแกมขบขันที่มองมา กัดฟันบอกให้รีบตามลงไปข้างล่างโดยเร็วทั้งๆ ที่อยากจะตรงเข้าไปบิดหูอีกฝ่ายสักทีสองที

มันใช่เวลามาเอ้อระเหยไหม!

เป็นที่แน่นอนว่าไอ้บ้านี่ตั้งใจกวนโทสะเธอตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว

 

กว่าจะจบงานเปิดตัวสินค้าก็เรียกได้ว่าพลังงานของหญิงสาวถูกสูบออกไปแทบจะหมดร่าง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ริมฝีปากบางก็ยังคงยิ้มแย้มพูดคุย หยอดคำหวานเล็กน้อยพร้อมส่งมอบของที่ระลึกและเซตทดลองใช้ให้เหล่าสื่อมวลชนติดไม้ติดมือก่อนออกจากงาน

ทันทีที่แขกคนสุดท้ายเดินลับสายตาไป ร่างบางก็นั่งแปะลงกับพื้นอย่างหมดแรง

“ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยนะ”

น้ำเสียงอบอุ่นเจือแววเอ็นดูดังขึ้นเรียกให้คนที่นั่งอยู่หันมอง ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร ร่างบางก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นมายืนยิ้มหวานรับคำชมอย่างหน้าชื่นตาบาน เรียกแววตาเอ็นดูจากหญิงสาวสูงวัย และแววตาหมั่นไส้จากชายหนุ่มที่ยืนไม่ห่างกันนัก

“ก็งั้นๆ แหละ”

เสียงทุ้มมาพร้อมกับอาการเบะปากจากชายหนุ่มหน้าใส แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของสินค้าที่เพิ่งเสร็จสิ้นการเปิดตัวไปเมื่อครู่ ทำให้คนเป็นแม่ส่ายหน้าอย่างระอา

“คงจะดีกว่านี้ค่ะถ้าไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้นตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม” ไอรีนไม่ถือสาท่าทางยียวนของชายหนุ่มตรงหน้า เสียงใสพร้อมใบหน้าเชิดๆ ตอบกลับอย่างจิกกัดเล็กน้อย เรียกให้ชายหนุ่มถลึงตาเขียวปั้ดใส่ ร่ำร่ำจะตรงเข้ามาขย้ำคอเธอ

ใช่สิ...เพราะคุณหญิงเกศรินไม่รู้วีรกรรมของลูกชายเมื่อเช้าสักนิด

“พอๆ ทะเลาะอะไรกันเป็นเด็กไปเรื่อย” หญิงสูงวัยปรายตามองลูกชายอย่างปรามๆ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับหญิงสาวที่เธอเอ็นดูเหมือนลูกสาว

ไอรีนเป็นลูกของเพื่อนรักที่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน ยามนั้นเด็กสาวเหลือตัวคนเดียวแถมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เธอจึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ รับมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน เอ็นดูประหนึ่งลูกสาวอีกหนึ่งคน การมีเด็กสาวมาอยู่ด้วยทำให้บ้านมีสีสันขึ้นเยอะ

ไม่ใช่อะไร...ลูกชายเธอดูท่าจะไม่กินเส้นกับลูกสาวคนใหม่สักเท่าไร เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องมีเรื่องให้ปะทะกันอยู่เรื่อย แรกๆ ไอรีนก็ยอมให้ภาสกรอยู่หรอก แต่พอโดนข่มมากๆ เข้า หญิงสาวก็กางกรงเล็บตวัดข่วนลูกชายเธอเข้าให้ พ่อตัวดีถึงได้สำนึก ยอมทำตัวดีเป็นพี่ชายที่คอยดูแลน้องสาว แต่ก็ใช่ว่าจะดีได้นานนัก สองพี่น้องขยันหาเรื่องกันจนกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเริ่มจะชินไป

กระทั่งหลังจากเรียนจบ ไอรีนขอแยกออกไปอยู่ข้างนอกด้วยความเกรงใจ หญิงสาวขอไปอยู่คอนโดของตัวเอง ซึ่งเธอก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่ขอให้มาช่วยทำงานที่บริษัทในตำแหน่งที่เจ้าตัวจะได้ใช้ความรู้ที่เรียนมา และไอรีนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเธอเป็นคนมีไหวพริบ ตั้งใจทำงานจนกลายเป็นมือหนึ่งของบริษัท

“วันนี้กลับไปทานข้าวที่บ้านนะ ฉลองให้พี่เขาหน่อย” คุณหญิงเกศรินเอ่ยชวนแกมบังคับ แม้ไอรีนจะทำงานที่บริษัท แต่ก็ใช่ว่าจะได้เจอตัวบ่อย ยิ่งพักหลังๆ มานี้เจ้าตัวไม่ค่อยได้ไปหาที่บ้านทำให้เธอชักเหงา พ่อลูกชายตัวดีก็คงนึกเหงาอยู่หรอก วันนี้ถึงได้แผลงฤทธิ์ใส่แต่เช้า

เหอะ...อย่าคิดว่าเธอไม่รู้!

“ค่า”

ไอรีนตอบรับหญิงสูงวัยเสียงใส เดินเข้าไปกอดแขนอย่างออดอ้อน ไม่นึกกลัวว่าจะเป็นเป้าสายตาของใคร คนที่นี่ต่างรู้ดีทั้งนั้นว่าเธอมีความสัมพันธ์เช่นไรกับผู้บริหาร KR Group แต่ในเมื่อเธอไม่เคยวางก้าม แถมความสามารถก็เป็นของจริง จึงไม่ค่อยมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเท่าไร

“มากินข้าวฟรีละสิ”

เสียงบ่นพึมพำที่ลอยมาอย่างตั้งใจให้ได้ยินทำให้หญิงสาวผมสีเงินเลิกคิ้วมอง เสียงสองที่เจ้าตัวใช้กับหญิงสูงวัยถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นน้ำเสียงปกติที่ติดจะหาเรื่องเล็กน้อย

“ก็ใช่น่ะสิ รู้แล้วยังจะถาม”

 

วันเวลาของไอรีนผ่านไปอย่างที่เรียกว่าวนลูปเดิมก็ไม่ผิดนัก

เปล่า...ไม่ใช่การวิ่งหน้าตั้งเข้างานเก้าโมงเช้าเพื่อตอกบัตร แล้วฝ่าฟันฝูงชนกลับบ้านยามหกโมงเย็น

ทว่าเป็นการที่มีเรื่องวิ่งเข้ามา หัวหมุนแก้ปัญหา จบเรื่องหนึ่งไป เรื่องใหม่ก็เข้ามา วนลูปแบบนี้มาเกือบจะหนึ่งเดือนได้แล้ว

เรือนผมสีเงินพันกันยุ่งเหยิงเพราะเจ้าของยกมือเสยไปมาอย่างหงุดหงิดกับปัญหาใหม่ที่เข้ามาในวันนี้...

พ่อยอดชายนายภาสกรพาคู่ควงไปเลือกซื้อของ มันจะไม่เกิดเรื่องเลยถ้าแม่คู่ควงนั่นจะไม่ได้ไปเลือกสกินแคร์ในเครืออื่น แถมแบรนด์นั้นยังเป็นแบรนด์คู่แข่งที่ต่อสู้แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดกับ KR Group อย่างดุเดือด

มันจะไม่เป็นเรื่องเลยถ้าแม่นั่นไม่ได้กำลังควงแขนอยู่กับภาสกร

มันจะไม่เป็นเรื่องเลยถ้าไม่มีนักข่าวตาไวไปเก็บภาพไว้ได้ แล้วเอามาเล่นข่าวแซวกันสนุกสนานแบบนี้

นึกถึงต้นเหตุแล้วไอรีนก็ร่ำร่ำอยากจะวิ่งไปซัดพี่ชายตัวดีสักทีสองที เห็นเธองานน้อยหรืออย่างไรถึงได้ขยันสร้างเรื่องได้ตลอด ถ้าไม่ติดว่าเรื่องนี้กระทบมาถึงแบรนด์ที่เธอดูแลแล้วละก็ ไม่มีทางซะหรอกที่จะมานั่งเช็ดล้างให้แบบนี้

หรือว่าจะลองไปทำพีอาร์บริษัทอื่นเปลี่ยนบรรยากาศดู?

“ไม่คิดแล้ว!”

ไอรีนปิดฝาโน้ตบุ๊กฉับ ตั้งใจพักเรื่องนี้ไว้ก่อน คิดไปคิดมาว่าหากปล่อยให้เรื่องเงียบไปเองท่าจะดีกว่าออกไปแก้ข่าวให้คนยิ่งฟุ้งกันไปใหญ่ หลักฐานคารูปขนาดนั้น ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่าไม่ได้ซื้อ แต่ถึงซื้อก็ไม่แปลกอะไร เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่พรีเซนเตอร์ของแบรนด์ KR Group ที่ต้องเตรียมมีแค่บทพูดดีๆ ให้ภาสกรยามที่มีสื่อถามเท่านั้น

หากเธอหาประโยคตอบกลับดีๆ ได้ นอกจากจะเปลี่ยนกระแสแล้ว ยังทำให้คนพูดถึงเพิ่มขึ้นได้อีก เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!

ทางแก้ที่วาบเข้ามาทำให้สีหน้าคนคิดไม่ตกเริ่มดีขึ้น ถึงขั้นฮัมเพลงออกจากบริษัทไปท่ามกลางสีหน้าพิกลของเพื่อนร่วมงาน ทว่าเจ้าตัวไม่สนใจนัก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก และเธอเดาว่าคนอื่นน่าจะชินแล้ว

ไอรีนอารมณ์ดีมากพอที่แม้จะเริ่มมืดแล้ว เธอก็ยังเดินชิลชิลจากบีทีเอสกลับไปยังคอนโด

ตึก ตึก ตึก

เสียงรองเท้าดังสะท้อนตรอกซอยแคบๆ ตามจังหวะการก้าวเดินที่ไม่รีบมากนัก เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ใช้เป็นประจำ เจ้าของร่างเพรียวบางบนส้นสูงสามนิ้วครึ่งจึงทอดน่องเดินอย่างสบายใจ ผมยาวเป็นลอนคลื่นกัดสีซิลเวอร์ปล่อยสยายปลิวไปตามแรงลมอย่างที่เจ้าตัวไม่สนใจจะรวบเก็บ

ดวงตาเรียวเฉี่ยวราวกับตาแมวฉายแววเกียจคร้านยามก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ในมือ แถบเตือนข้อความจากหัวหน้าแผนกที่เด้งขึ้นมาบอกให้รู้ว่ากำลังจะมีงานเข้าอีกครั้ง ทำให้เธอกลอกตามองบนอย่างเซ็งๆ มือบางหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าอย่างไม่ใส่ใจจะกดเข้าไปดู

ว่างทั้งวันไม่สั่งงาน พอกลับบ้านบอกงานเร่ง

รอพรุ่งนี้ก็แล้วกัน!

งานของเธอเรียกได้ว่าเป็นด่านหน้าของบริษัท ที่นอกจากต้องสื่อสารภาพลักษณ์ด้านบวกให้คนภายนอกรับรู้แล้ว ยังจำเป็นต้องมีความสามารถในการรับมือกับเรื่องยุ่งยากและแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดีไม่ให้กระทบกับชื่อเสียงที่สะสมมาอย่างยากลำบากของบริษัท หรือให้กระทบกับภาพลักษณ์น้อยที่สุด ซึ่งตามจริงแล้วมันคงไม่ยุ่งยากเท่าไรหากไม่ใช่งานที่พัวพันกับคน...

แต่น่าเสียดายที่ดันใช่...

...และคงไม่ต้องให้บอกว่ามนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่รับมือได้ยากที่สุด

ในฐานะพีอาร์ เธอต้องใส่หน้ากากยิ้มแย้มรับมือกับคนแต่ละประเภท ใช้เสียงสองสามสี่ตามแต่สถานการณ์จะพาไป หลังจบงานแต่ละวันจึงอยากจะเททุกสิ่งอย่างกลับมาเป็นร่างเดิมของตัวเอง แม้ว่ามันจะยากเพราะบางงานไม่อนุญาตให้เธอช้าแม้เพียงเสี้ยววิ แต่บางงานก็จำเป็นต้องรอช่วงจังหวะดีๆ จะรีบไม่ได้

และงานที่เด้งขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์เมื่อครู่ดูจะเป็นอย่างหลัง

ไอรีนปิดเปลือกตาแหงนหน้าขึ้นรับสายลมที่พัดมา ปล่อยสมองให้ว่างเปล่า สองขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่กลัวว่าจะชนใครเข้าเพราะยามนี้ตรอกซอยที่เธอเดินอยู่ปราศจากผู้คน เธอใช้เส้นทางนี้เป็นทางลัดในการเดินกลับคอนโดเป็นประจำ แทนที่จะเดินถนนสายหลักที่คนเยอะ และมลพิษเยอะกว่า

เสียงพูดคุยกันเบาๆ และเสียงร้อยโอดโอยดังขึ้นในซอยข้างๆ ทำให้เปลือกตาที่ปิดอยู่เมื่อครู่เปิดฉับ สองขาที่กำลังจะก้าวต่อหยุดชะงัก สัญชาตญาณในการระวังภัยทำให้ดวงตาเรียวกวาดมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง

รอบด้านเธอตอนนี้ไม่มีใคร แต่เสียงที่ได้ยินก็ดังไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ดูท่าว่าจะออกมาจากด้านหน้าที่มีซอยแยกออกไปอย่างแน่นอน เพราะทางที่เธอเดินผ่านมานั้นร้างผู้คน

แม้สัญญาณเตือนภัยจะร้องเตือนในใจ ทว่าก็ไม่อาจห้ามความอยากรู้และสงสัยได้

ไอรีนย่างเท้าเบาที่สุดเข้าไปใกล้จุดเกิดเสียง เพราะเธอได้ยินเสียงร้องโอดโอยเหมือนมีคนเจ็บจึงอยากไปดูให้สบายใจสักนิด สัญญากับตัวเองในใจว่าถ้าเจอคนบาดเจ็บรอความช่วยเหลือจะเรียกรถพยาบาลให้ แต่ถ้าเป็นคนมีเรื่องกัน เธอจะทำตัวให้เงียบที่สุด

ไม่ได้ใจร้ายอะไร... แต่ขอปลอดภัยไว้ก่อน

เธอไม่ได้เป็นคนดี ไม่ได้เป็นวีรสตรีที่จะยอมเสี่ยงชีวิตน้อยๆ ของตัวเองเข้าไปช่วยเหลือคนแปลกหน้า

ยิ่งเข้าใกล้ซอยด้านหน้าเท่าไร เสียงที่ได้ยินก็เริ่มชัดขึ้นตามลำดับ เสียงที่ลอยมาไม่ใช่เสียงการทะเลาะวิวาทต่อยตีกัน ทำให้ไอรีนใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้พาตัวเองเข้าไปกลางดงสหบาทาที่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะต้องเสนอหน้าพรวดพราดเข้าไปให้พวกเขาตกใจ

ร่างบางย่องมาหยุดอยู่มุมซอย ใช้กำแพงบังตัวเอง โผล่แต่ใบหน้าเรียวเล็กออกไปสังเกตการณ์

ภายในซอยนั้นค่อนข้างมืดทำให้เธอเห็นใบหน้าแต่ละคนไม่ชัดเจน ทว่ารูปการณ์ตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก พยายามทำตัวให้กลืนไปกับอากาศรอบด้านมากที่สุด

ให้ได้ยินเสียงคนต่อสู้กันยังน่าดีใจกว่านี้!

กลุ่มชายสามคนยืนเบื้องหน้าชายร่างเล็กที่นอนส่งเสียงครางอยู่บนพื้น ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำหนึ่งคนยืนนิ่ง เธอไม่เห็นว่าหน้าตาหรือสายตาของเขาเป็นอย่างไรเพราะเขายืนอยู่ในความมืด แต่จากออร่าที่แผ่ออกมา ท่าทีนบนอบของชายชุดดำอีกสองคน และท่าทางลนลานร้องขอชีวิตด้วยเสียงแหบเครือของชายที่อยู่บนพื้น ก็พอทำให้เดาได้ว่าคนคนนี้คงไม่พ้นเป็นเจ้านาย

ชายชุดดำสองคนยืนห่างจากคนเป็นนายมาเล็กน้อยอยู่ตรงที่ไฟตกพอดี ทำให้เธอเห็นว่าทั้งคู่ถือปืนเล็งไปยังชายบนพื้นที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นคุกเข่า สองมือยกขึ้นท่วมหัววอนขอชีวิต ใบหน้าของคนที่คุกเข่าอยู่ฟกช้ำ มีรอยเลือดที่มุมปาก และจากท่านั่งที่ไม่ปกติ มือกุมท้อง หน้าตาซีดเซียว ก็ไม่รู้ว่าภายในบอบช้ำขนาดไหน

ไอรีนกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิดกับสถานการณ์ตรงหน้า

อ่า...

ถึงเธอจะอยากมีน้ำใจพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล แต่สถานการณ์ช่างไม่เอื้ออำนวย นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีต่อสวัสดิภาพความปลอดภัยแม้แต่น้อย

ไม่ดีๆ...รีบไปให้พ้นจากที่นี่ก่อนงานเข้าดีที่สุด!

ขอโทษนะพี่ชาย...แล้วไอรีนคนนี้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แน่นอน

หญิงสาวขอโทษขอโพยชายหนุ่มโชคร้ายในใจ เตรียมจะหมุนตัวกลับ ทว่าความคิดกับการกระทำช้าไปเสี้ยววินาที

ไม่ทันให้ใครได้เตรียมตัวเตรียมใจ ทันทีที่ชายหนุ่มชุดสูทพยักหน้าน้อยๆ มัจจุราชสีดำก็ลั่นขึ้น กระสุนวิ่งตรงเข้าใส่ชายร่างเล็ก ส่งผลให้เขาล้มฟุบลงทันที เลือดซึมออกมาเป็นวงกว้าง กลิ่นคาวเลือดโชยอ่อนๆ มาตามลม

เฮือก...

ไอรีนที่กำลังจะชักเท้ากลับไปยังทางเดิมแล้วสะกดจิตตัวเองทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าสะดุ้งเฮือก สองตาก็เบิกกว้าง รีบยกมือตะครุบปากตัวเองกลั้นเสียงร้องเอาไว้ เหงื่อเย็นๆ ซึมตามกรอบหน้า

ภาพที่เกิดตรงหน้าทำเอาแข้งขาเธอจะหมดแรง

“นั่นใคร!”

หายนะ!

ไอรีนไม่คิดแนะนำตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้ ทันทีที่เสียงตะโกนถามดังขึ้น หัวใจเธอก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม และยิ่งเมื่อเผลอสบตาเข้ากับตาคมกริบที่ตวัดมอง แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ แต่ทำเอาก็ขนท้ายทอยลุกพึ่บพั่บ กริ่งเตือนภัยในสมองดังวิ้งๆ

ยังไม่ทันจะได้รู้ตัวว่าทำอะไรพลาดไป สมองก็สั่งให้หันหลังสับขาวิ่งออกไปจากตรงนี้อย่างเร็วจี๋

“ไปตามจับมา!”

เสียงเข้มส่อแววอันตรายที่ดังไล่หลังมาทำให้ร่างบางเพิ่มสปีดความเร็วมากขึ้น ส้นสูงสามนิ้วครึ่งถูกมือเรียวกระชากออกอย่างไม่ไยดี ขาสองข้างสับอย่างรวดเร็วราวกับนักกีฬาทีมชาติลงแข่งโอลิมปิก

วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเป็นอย่างไร เพิ่งเข้าใจถ่องแท้ก็วันนี้!

 

แฮกๆๆ

วิ่งมาได้ระยะหนึ่งหญิงสาวก็เริ่มหอบแฮก ความที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายทำให้ความอึดมีไม่มาก เท่าที่วิ่งจนพอสลัดชายชุดดำหลุดมาได้นี่ก็แทบอยากจุดพลุฉลองแล้ว ไอรีนหยุดพักชั่วครู่ตรงซอยร้างในซอกที่เป็นมุมอับสายตา มือบางกดชายซี่โครงหายใจหอบถี่

ความเงียบที่รายล้อมทำให้เธออุ่นใจว่าไม่มีใครตามมา แต่ก็อุ่นใจได้ไม่นานนักเพราะเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังก้องไปทั่วตรอกซอยในความมืด และเสียงนั้นกำลังตรงมาทางที่เธอซ่อนตัวอยู่

จมูกไวอะไรขนาดนี้!

สาวร่างบางนึกค่อนขอดเหล่าชายชุดดำในใจ ก่อนจะอาศัยความชำนาญเส้นทางวิ่งเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ พยายามลัดเลาะหาทางออกไปให้ถึงถนนใหญ่แทนที่จะเป็นคอนโดที่อยู่ลึกเข้าไปอีก

ไปถึงนั่นเธอจะปลอดภัย

เธอย้ำประโยคนี้เพื่อเป็นแรงฮึดให้ตัวเอง รองเท้าที่ถอดถือไว้ในมือตอนแรกถูกโยนทิ้งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ด้วยความเกะกะ สองเท้าเปลือยเปล่าที่วิ่งมาก็เริ่มจะระบม เธอไม่มีเวลาสำรวจความบอบช้ำของเท้าน้อยๆ จำต้องวิ่งต่อไปแม้จะอ่อนแรงมากก็ตาม

ทว่าไอรีนคงจะลืมไปว่า...ไม่ได้มีเธอคนเดียวที่ชำนาญเส้นทาง

“กรี๊ดดด!”

เสียงหวีดร้องดังขึ้นทันทีที่วิ่งเลี้ยวหักมุม ไอรีนรีบเบรกเอี๊ยดก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าใส่ด้ามปืนมันวับ

“จับได้แล้ว”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น