1

Chapter 01


Chapter 01

ดวงดาวแห่งโชคลาภจากบูรพาทิศ เหยียบย่างสู่ที่ราบสูงแดนตะวันตก

เฮ่อฝูซิง นั่งอยู่บนที่นั่งแบบขั้นบันไดกลางห้องเรียนทรงครึ่งวงกลม กลืนไปกับฝูงชนจำนวนมหาศาล ดวงตาของเขามองตรงไปด้านหน้าด้วยความงุนงง

อาจารย์ประจำวิชานี้เป็นชายร่างท้วมวัยกลางคนชื่อ ชไนเดอร์ เวลานี้เขากำลังยืนอยู่บนเวทีขนาดใหญ่หน้าห้อง มือหนึ่งถือขวดแก้ว อีกมือบิดเปิดฝาขวดอย่างทะนุถนอมราวกับนักชิมมือฉมังที่กำลังจะลิ้มลองไวน์รสเลิศ กลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์จางๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง

ตาลุงนี่ทำอะไรของเขาเนี่ย ฝูซิงขมวดคิ้ว ตาจ้องทุกความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายด้วยความเคลือบแคลง แม้เขาจะเข้าเรียนที่นี่ได้สองวันแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจทำใจเชื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทั้งยังนึกสงสัยด้วยซ้ำว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงละครตบตา

...ละครตบตาที่ครอบครัวเขาจัดฉากขึ้นมา เพื่อลงโทษที่คะแนนสอบวัดระดับเข้าม.ปลายของเขาต่ำยิ่งกว่าดัชนีมวลไขมันในร่างกาย

ชไนเดอร์เขย่าขวดเล็กน้อยแล้วเทของเหลวใสๆ ภายในขวดลงเหนือพื้นหินอ่อน เขาปล่อยให้วงน้ำมันรูปทรงขยุกขยักนองไหลไปตามพื้น แล้วหยิบไม้ขีดไฟออกมาถูกับกลักให้เกิดเปลวไฟ จากนั้นก็โยนไม้ขีดที่มีไฟลุกโชนลงบนกองน้ำมันด้วยท่วงท่าอันสง่างาม กองไฟสว่างวาบลุกพึ่บขึ้นมาในพริบตา

“เชี่ย!” เขาหลุดอุทานด้วยความตกใจ เล่นใหญ่ไปแล้วมั้ง! คนสวิสเขาสอนหนังสือกันแบบนี้เหรอ สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติอยู่ที่นี่นะเว้ย ทำไมอาจารย์ทำตัวอย่างกับผู้ก่อการร้ายเลย!

กระนั้น ร่างอ้วนเตี้ยกลับไม่ถูกเปลวเพลิงโหมเข้ากลืนกิน เปลวไฟแหวกออกไปรอบด้านราวกับต้นหญ้าที่ถูกลมพัด ประหนึ่งว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นคั่นกลางระหว่างร่างของอาจารย์กับเปลวเพลิง ฝูซิงจ้องตาค้างอย่างตื่นเต้นตกตะลึง

“นี่เป็นค่ายอาคมขั้นพื้นฐาน เมื่อครู่นี้ครูกำหนดเงื่อนไขให้ค่ายอาคมนี้สกัดธาตุไฟ เปลวเพลิงจึงไม่สามารถลุกลามเข้ามาในรัศมีห้าสิบเซนติเมตรรอบบริเวณที่ครูยืนอยู่ เมื่อพลังอาคมแข็งแกร่งมากขึ้น ประเภทและอาณาเขตของค่ายอาคมก็จะขยายเพิ่มตามไปด้วย ทำให้สามารถสกัดกั้นสิ่งใดก็ตามจากพื้นที่ที่กำหนด”

ชไนเดอร์อธิบายอย่างเนิบช้าด้วยท่วงท่าสง่างาม จากนั้นจึงควักขวดเพรียวบางใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหน้าอก พรมผงแป้งในขวดลงบนกองเพลิง แล้วเปลวไฟก็ดับหายไปในพริบตา เหลือเพียงควันดำหนาคลุ้งกระจายไปทั่ว นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดพากันไอค็อกแค็ก หลายคนรีบหยิบสมุดโน้ตออกมาบังควันไม่ให้เข้าจมูก

ฝูซิงกลืนน้ำลาย ตายังจ้องตรงไปที่หน้าห้องเรียน

ชไนเดอร์ดีดนิ้ว แฟรี่ตัวจิ๋วปรากฏออกมาพร้อมผ้าขี้ริ้วและถังน้ำในมือ เหล่าแฟรี่จัดการเก็บกวาดเศษขี้เถ้าบนพื้นจนสะอาดเอี่ยมในอึดใจ

แสดงว่า...นี่เป็นเรื่องจริง พ่อกับแม่ไม่ได้หลอกเขา โรงเรียนของเขาไม่ใช่โรงเรียนของมนุษย์ธรรมดา...

 

งั้นขอย้อนกลับไปเริ่มเล่าตั้งแต่ต้นแล้วกัน

เขาชื่อ เฮ่อฝูซิง เป็นนักเรียนอายุสิบแปดปีธรรมดาๆ คนหนึ่ง เพิ่งสอบวัดระดับเข้าม.ปลายไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา—ใช่ สอบเข้าม.ปลายตอนอายุสิบแปดนี่ละ เพราะร่างกายอันอ่อนแอที่สวรรค์มอบให้แต่กำเนิด ทำให้เขาต้องพักการเรียนไปถึงสองปี วันประกาศผลสอบ ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินข้าวเย็น พ่อแม่และพี่สาวก็เล่าความลับสุดยอดของตระกูลที่พวกเขาเก็บงำไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“พวกเรากลัวแสงอาทิตย์ ทำให้ออกไปข้างนอกได้เฉพาะตอนกลางคืน แต่ร่างกายของพวกเราแข็งแรงและอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ธรรมดา อีกอย่างคือ พวกเราชอบกลิ่นเลือดสด...”

“สรุปสั้นๆ คือ พวกเราไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา” คุณพ่อเฮ่อประกาศก้อง

คำประกาศอันเลื่อนลั่นฟ้าดินทำให้เฮ่อฝูซิงตะลึงงัน เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ความเศร้าก็ถั่งโถมเข้ามาแทนที่

ไม่นึกเลยว่าคะแนนของเขาจะเลวร้ายถึงขั้นทำให้พ่อเสียใจจนเสียสติ...

“ฝูซิง นี่เป็นเรื่องจริงนะจ๊ะ” หลินหลินพูดด้วยรอยยิ้ม หลินหลิน คือแม่ของเขา ชื่อจริงว่า ฝูหลิน ส่วนหลินหลินเป็นชื่อเล่น เธอชอบให้คนในบ้านเรียกเธอด้วยชื่อเล่น เพราะฟังดูอ่อนเยาว์กว่า

ฝูซิงหัวเราะแห้งๆ “เอ่อ งั้นเหรอครับ...” เอายังไงดีล่ะเนี่ย กระทั่งแม่ก็สติเลอะเลือนตามพ่อไปด้วย เขาควรทำยังไงดี เรียกรถพยาบาลดีไหม

“ไม่ต้องทำหน้าเอ๋อหรอกน่า” พี่สาวคนโตแห่งบ้านตระกูลเฮ่อ—เฮ่อฝูชิง กินบะหมี่ในชามของตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เรื่องนี้อาจจะเกินขอบเขตการประมวลผลของสมองนายไปหน่อย แต่เป็นเรื่องจริงแน่นอน”

“พี่ต่างหากที่หน้าเอ๋อ!”

ขนาดพี่สาวของเขายังพูดแบบนี้ งั้นก็อาจจะพอเชื่อได้นิดหน่อยละมั้ง ฝูชิงเป็นคนที่ใจเย็นและฉลาดที่สุดในบ้าน ไม่น่าเสียสติตามคนอื่นไปด้วยแน่

สงสัยพ่อผู้มีอาชีพเป็นนักเขียนจะอาการกำเริบเพราะทำงานหนักเกินไปอีกแล้ว พ่อถึงใช้คำพูดเหนือจริงมาอธิบายเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิตแบบนี้ แต่ก็ยังดีกว่าครั้งก่อนตอนที่พ่อคร่ำครวญด้วยสีหน้าเศร้าสลดว่า “เป็นอีกคราที่จิตวิญญาณแห่งอิสรชนต้องยอมจำนนต่อความเป็นจริงอันโหดร้ายที่เกิดจากด้านมืดอันอัปลักษณ์ของมวลมนุษย์”

คนในบ้านไม่มีใครเข้าใจว่าพ่อพูดถึงอะไร สุดท้ายถึงได้รู้ว่าพ่อกำลังบ่นเรื่องร้านบะหมี่หอยนางรมเจ้าประจำที่พ่อต้องซื้อกินทุกวันพุธ เพราะจู่ๆ ร้านก็หยุดโดยไม่มีสาเหตุ

“เอ่อ...แล้วยังไงต่อครับ” ในเมื่อไม่ใช่มนุษย์ งั้นพวกเขาเป็นอะไรล่ะ ผีดูดเลือด? ปีศาจ? หรือมนุษย์ต่างดาว? เอ...แต่ไม่ว่าจะเป็นอันไหน ก็น่าจะเป็นแค่คำเปรียบเปรยเฉยๆ แหละนะ

“ตัวตนที่แท้จริงของพวกเราทุกคนในตระกูลเฮ่อก็คือ—” เฮ่อเสวียนอี้สูดหายใจลึก “ปีศาจค้างคาว พ่อเป็นปีศาจค้างคาวเลือดบริสุทธิ์ ส่วนหลินหลินเป็นเลือดผสมระหว่างมนุษย์กับปีศาจค้างคาว ดังนั้นพวกลูกจึงเป็นปีศาจค้างคาวเลือดผสมสามในสี่”

“หา!?” ทำไมคำตอบย้อนไปถึงเรื่องสายเลือดบรรพบุรุษของเขาล่ะเนี่ย โอเค เขายอมแพ้แล้ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าปีศาจค้างคาวที่พ่อพูดถึงเป็นคำอุปมาอุปไมยอะไร หมายถึงมีความสุขจนอยากเต้นเพลงค้างคาวกินกล้วย? หรือหมายถึงอย่างอื่น? “แล้วยังไงต่อครับ”

“ดังนั้น ลูกต้องไปเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้” หลินหลินหยิบซองเอกสารสีครีมออกมายื่นให้ฝูซิง

“หา!?” เขาไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างสองเรื่องนี้เลย คำพูดละเมอเพ้อพกของพ่อเกี่ยวอะไรกับเรื่องโรงเรียน หรือตอนนี้รัฐบาลมีโครงการให้ทุนการศึกษาสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์ปีศาจค้างคาว?

ฝูซิงดึงเอกสารออกมาจากซองแล้วอ่านข้อความที่หัวกระดาษ “ชาลอมอะคาเดมี่ โรงเรียนสำหรับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษ...?” สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษแปลว่าอะไรน่ะ หรือจะเป็นชื่อหลักสูตรแนวใหม่ของโรงเรียนติวสอบ?

“ใช่แล้วละ ที่นี่เป็นโรงเรียนที่รับสอนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์โดยเฉพาะ”

“นายสอบติดโรงเรียนเอกชนที่ทั้งแพงทั้งห่วย ถ้าไปเรียนที่นั่นไม่ต่างอะไรจากการเอาเงินโยนทิ้งแม่น้ำ แถมเรียนไปก็ไม่ได้ความรู้อะไรที่เป็นประโยชน์กลับมาสักอย่าง ครอบครัวเราไม่มีเงินส่งเสียนายเรียนที่แบบนั้นหรอก”

ฝูซิงพยายามแก้ต่างให้ตัวเองด้วยความไม่พอใจ “ผมสอบได้ที่นั่นเพราะมีเหตุผลของผมหรอก—”

“ใช่ๆ พี่รู้หรอกน่า วิชาสังคมอ่านเลขข้อผิดทำให้ฝนคำตอบผิดทั้งแผ่น วิชาเลขไม่ทันเห็นว่าหน้าสุดท้ายยังมีคำถามอีกข้อ วิชาภาษาจีนเธอก็เขียนชื่อตัวเองกับชื่อโรงเรียนลงไปในกระดาษสำหรับเขียนเรียงความ แถมยังอวดดีแต่งกลอนของตัวเองใส่ลงไปอีก ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์เธอห่วยอยู่แล้ว ต่อให้ไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไรก็คะแนนแย่อยู่ดี” เฮ่อฝูชิงแคะหูอย่างเกียจคร้าน “สอบแค่ครั้งเดียวแต่ทำพลาดได้เยอะขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ พี่ว่าเธอต้องเป็นมือวางอันดับหนึ่งในจักรวาลของคนซื่อบื้อแน่นอน”

แม้ว่าคำพูดของเฮ่อฝูชิงจะระคายหูอยู่ไม่น้อย แต่สิ่งที่เธอพูดมาก็เป็นเรื่องจริง

ฝูซิงเถียงไม่ออก ได้แต่ถอนใจอย่างหนักหน่วงเพราะเถียงไม่ชนะ เขาพลิกเปิดเอกสารดูผ่านๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าโรงเรียนแห่งนี้อยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ “ชาลอมอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์เหรอเนี่ย”

“ใช่สิ”

“จะพูดให้ถูกกว่านั้นคือตั้งอยู่ในซอกหลืบหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ เพราะโรงเรียนประเภทนี้สร้างในที่สะดุดตาเกินไปไม่ได้อยู่แล้ว” เฮ่อเสวียนอี้อธิบายอย่างใจเย็น สีหน้าเคร่งขรึมและเอาจริงเหมือนผู้ผ่านประสบการณ์มาก่อน

“งั้นก็น่าจะสร้างบนเทือกเขาหิมาลัยไปเลยนะครับ ผมจะได้ขี่จามรีไปเรียน ว่าแต่...เรียนโรงเรียนแบบนี้น่าจะแพงกว่าโรงเรียนเอกชนอีกนะครับ”

ใบหน้าของเฮ่อเสวียนอี้ปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็นที่ยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดอะไร “ค่าเล่าเรียนฟรีทั้งหมด แถมยังมีทุนการศึกษาให้ด้วย”

“จริงเหรอเนี่ย”

สวัสดิการดีอะไรขนาดนี้ รู้สึกเหมือนเป็นขบวนการต้มตุ๋นอะไรแบบนั้นเลย...ทำเอาเขาอดไม่ได้ที่จะนึกนับถือความตั้งใจของแก๊งต้มตุ๋นที่อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลจากสวิตเซอร์แลนด์มาหลอกต้มกันถึงที่นี่ สมัยนี้หาคนที่ทุ่มเททำงานขนาดนี้ได้ไม่เยอะแล้วนะเนี่ย

ฝูซิงพลิกอ่านเอกสารต่อไปเรื่อยๆ นอกจากข้อมูลทั่วไปที่ควรรู้ก่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้แล้ว ยังมีศัพท์แสงแปลกๆ อีกมากมายปนอยู่ในเนื้อความด้วย เช่นว่า คำสาป สังคมมนุษย์ ยุคแรกแห่งการกำเนิดปีศาจ สปีชีส์ทุติยภูมิ สปีชีส์เลือดผสม ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความเข้าใจของเขาไปหลายขุม

อา...เขาเข้าใจแล้ว

รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของฝูซิง เขาแกล้งทำเป็นพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจแล้วหันไปหาเฮ่อเสวียนอี้ “พ่อครับ นี่คือต้นฉบับนิยายเรื่องใหม่ของพ่อใช่ไหม อืม ผมว่าพล็อตน่าสนใจดีนะครับ สำนักพิมพ์น่าจะรับพิจารณาแหละ เพราะช่วงนี้นิยายแฟนตาซีกำลังฮิต”

“พ่อไม่เขียนนิยายหลอกเด็กอะไรแบบนั้นหรอกนะ!” เฮ่อเสวียนอี้ถลึงตาจ้องลูกชายเขม็ง “ลูกยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดที่พ่อพูดมาเป็นเรื่องจริงนะ ลูกเป็นปีศาจค้างคาว และตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป ลูกต้องเข้าเรียนที่นี่ ที่โรงเรียนสำหรับเผ่าพันธุ์พิเศษอย่างพวกเราโดยเฉพาะ!”

“โอเคครับ เรื่องจริงก็เรื่องจริง” เฮ่อฝูซิงเกาหัวแกรกๆ “แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอกผมเอาตอนนี้ล่ะครับ”

ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดา อันที่จริงออกจะธรรมดาจนเขารู้สึกเหนื่อยหน่ายหน่อยๆ ด้วยซ้ำ ทำไมไม่บอก ‘ความจริง’ ที่ว่าให้เขารู้เร็วกว่านี้อีกสักหน่อย ชีวิตเขาจะได้น่าสนใจขึ้นอีกนิด

“ตอนแรกพวกเราคิดว่าลูกมีพันธุกรรมมนุษย์อยู่ในตัวมากกว่าน่ะสิ เพราะลูกไม่มีพลังพิเศษอะไรเลย แถมลูกก็ไม่มีจุดอ่อนเหมือนที่ปีศาจค้างคาวทั่วไปควรมีด้วย ลูกตากแดดสว่างจ้าข้างนอกได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งคนอื่นในครอบครัวไม่มีใครทำได้เลย” เฮ่อเสวียนอี้ถอนใจยาว “ตอนแรกพวกเราคิดอยู่นานมาก ถึงแม้พวกเราจะอยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไปเรื่อยๆ แต่จะยังไงในร่างกายของลูกก็มีเลือดของปีศาจ

ไหลเวียนอยู่ ทำให้ลูกไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป เราจึงตัดสินใจส่งลูกไปเรียนในชาลอม ที่นั่นลูกจะมีโอกาสได้เจอคนอื่นๆ ที่เหมือนลูก อีกอย่าง...คลาสเรียนพิเศษของที่นั่นก็น่าจะช่วยให้ลูกนำพลังของตัวเองออกมาใช้ได้มากขึ้นด้วย”

“ที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเราไม่อยากเสียเงินไปกับเรื่องไม่มีประโยชน์” ฝูชิงเสริม

ฝูซิงถลึงตาจ้องพี่สาว “พี่อย่าพูดมากน่า!” เดี๋ยวก่อนนะ พี่ฝูชิงก็เคยไปเรียนที่ต่างประเทศเหมือนกันนี่นา อย่าบอกนะว่า—

“พี่ก็เรียนชั้นมัธยมที่นั่นเหมือนกันเหรอ”

“ใช่แล้วละ แต่พี่เขาเรียนโรงเรียนมัธยมของมนุษย์ธรรมดาที่สวิตเซอร์แลนด์ แล้วก็เรียนที่ชาลอมไปพร้อมๆ กัน” เฮ่อเสวียนอี้อธิบายด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แต่สถานการณ์ของลูกสองคนไม่เหมือนกัน พ่อคิดว่าลูกตั้งใจเรียนที่ชาลอมแค่อย่างเดียวก็พอแล้ว เพราะชาลอมมีช่องทางที่จะมอบประกาศนียบัตรจบชั้นม.ปลายของโรงเรียนมนุษย์ธรรมดาที่สวิตเซอร์แลนด์ให้ลูกได้ แล้วที่นั่นก็ไม่ได้มีแค่คลาสเรียนสำหรับเผ่าพันธุ์พิเศษอย่างเดียว แต่ยังมีวิชาการแขนงต่างๆ เหมือนโรงเรียนทั่วไปด้วย ถ้าเรียนจบแล้ว ลูกอยากกลับมาสอบมหาวิทยาลัยที่นี่ หรือจะยื่นเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศเหมือนพี่ฝูชิงก็ได้นะ”

ช่างเป็นโรงเรียนที่สะดวกสบายและตัวเลือกหลากหลายอะไรอย่างนี้!

“ถ้าฝูชิงยังไม่อยากไปเรียนก็ไม่เป็นไรนะ เพราะปีศาจค้างคาวอายุยืนมากๆ ลูกจะสอบใหม่อีกสักร้อยรอบก็ไม่มีปัญหา” หลินหลินพูดอย่างอ่อนโยน

“แม่ครับ ผมไม่ได้หัวขี้เลื่อยขนาดนั้นนะครับ...” เขาไม่อยากเป็นเด็กเรียนซ้ำชั้นอีกแล้ว

เฮ่อฝูซิงมองเอกสารในมือ หูก็ฟังคำพูดพร่ำไม่หยุดหย่อนของคนในบ้านไปด้วย ถึงแม้ทุกคนจะพูดเป็นจริงเป็นจัง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงละครตบตาเพื่อหลอกให้เขาตกใจเล่น เป้าหมายที่แท้จริงก็แค่ต้องการให้เขายอมไปเรียนที่ต่างประเทศแต่โดยดี ยายเป็นคนฝรั่งเศส เขาจึงเดาว่าแปดในสิบต้องเป็นคุณยายอาศัยเส้นสายสักทางให้เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนั้นแน่ๆ

แต่เอาจริงๆ นะ พูดกันตรงๆ ก็ได้หรอก ไม่เห็นต้องเล่นใหญ่รัชดาลัยขนาดนี้เลย นึกว่ากำลังหลอกเด็กไปหาหมอฟันกันหรือยังไง...

“ดูเหมือนลูกจะยังไม่ค่อยเชื่อใช่ไหม” เฮ่อเสวียนอี้หรี่ตามองลูกชายที่กำลังเหม่อลอยด้วยความเคลือบแคลง

“อ้อ เชื่อสิครับ ทำไมจะไม่เชื่อ” เชื่อก็บ้าแล้ว

“แต่ปฏิกิริยาของลูกดูสงบนิ่งแปลกๆ นะ เหมือนลูกไม่ตกใจเลย”

“ผมตกใจอยู่ในใจน่ะ”

“อยากให้พวกเราแสดงพลังพิเศษของปีศาจให้ลูกดูเพื่อพิสูจน์ไหม” หลินหลินพูดยิ้มๆ “ให้คุณพ่อโชว์โดดลงมาจากดาดฟ้าก็ได้ พ่อไม่เป็นไรแน่นอนเพราะเขาบินได้”

“หา!? ไม่ต้องหรอกครับ!” ฝูซิงรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน เพราะกลัวว่าพ่อจะบ้าจี้ตามแม่ไปด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นจริง สงสัยเขายังไม่ทันได้ร่วมพิธีเปิดภาคเรียน คงได้ไปร่วมพิธีเผากงเต๊กของพ่อก่อน

แม้จะฟังดูเหลือเชื่ออย่างที่สุด แต่ลึกๆ เขาก็รู้สึกเชื่ออยู่บ้าง เพราะประสบการณ์สิบแปดปีในครอบครัวนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกันว่าครอบครัวเขาแตกต่างจากครอบครัวทั่วไป แต่เขาก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี

ปีศาจค้างคาวเนี่ยนะ จะเป็นไปได้ยังไงกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพ่อแม่กับพี่สาวเขาสวมหน้ากากกับชุดหนังรัดรูป ขับรถแต่งสีดำระดับพระกาฬออกไปปราบผู้ร้ายในตัวเมืองเป็นประจำทุกคืน?

เอ่อ...ไม่น่าเป็นไปได้นะ เอาเป็นว่าช่างเถอะ ยังไงเรื่องทั้งหมดก็คงเป็นแค่เรื่องแต่ง ไม่ว่าจะใช้คำอธิบายแบบไหนก็ไม่ต่างกันหรอก

เรื่องเดียวที่เขามั่นใจคือ หลังจากปิดเทอมฤดูร้อนสิ้นสุด เขาต้องไปเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์

เอ...ไม่รู้ว่าที่สวิตเซอร์แลนด์จะมีร้านเช่าการ์ตูนไหม

 

แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมความเคลือบแคลงในใจเขา

ต้นเดือนกันยายน เฮ่อฝูซิงพร้อมพ่อของเขานั่งเครื่องบินสิบแปดชั่วโมง ต่อด้วยรถยนต์อีกสี่ชั่วโมง บวกกับเดินเท้าอีกครึ่งชั่วโมง จนมาถึงหน้าประตูโรงเรียนชาลอมอะคาเดมี่

คลาสเรียนของสองวันแรกปกติดีทุกอย่าง เขาไม่รู้สึกถึงอะไรที่แปลกไปจากธรรมดา แม้เขาจะประหลาดใจเล็กน้อยที่นักเรียนทุกคนพูดภาษาจีนได้ แต่เขาก็หาเหตุผลมาอ้างให้ตัวเองเชื่อว่าที่นี่คงเป็น ‘โรงเรียนที่สอนด้วยภาษาจีน’

การใช้ชีวิตในต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ชีวิตสองวันแรกในโรงเรียนผ่านไปอย่างมึนงงด้วยอาการท้องเสียและวิงเวียน ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะปฏิสัมพันธ์กับใครที่ไหนทั้งสิ้น แม้ว่าห้องนอนในหอพักจะเป็นห้องคู่ แต่รูมเมทของเขายังไม่ย้ายเข้ามา เขาจึงไม่มีใครให้คุยด้วย

เขายังคิดอยู่เหมือนเดิมว่าชาลอมเป็นโรงเรียนมัธยมธรรมดาๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร กระทั่งวิชา ‘อาคมพื้นฐาน’ เขายังเข้าใจว่าชื่อวิชาจริงๆ คงเป็น ‘ภาษาศาสตร์และไวยากรณ์’ แต่คงมีการแปลผิดพลาดเลยกลายเป็นชื่อนี้

จนกระทั่งวินาทีนี้ที่เขาได้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตา สมองถึงประมวลผลจนเขาเชื่ออย่างถึงแก่นว่าตัวเองได้ย่างกรายเข้ามาสู่สถานที่ที่ไม่ธรรมดาอย่างที่สุดเสียแล้ว

สมองช้าจริงนะ เฮ่อฝูซิง

“ค่ายอาคมใช้สำหรับป้องกันเป็นหลัก แต่หากใช้งานอย่างเหมาะสมก็อาจกลายเป็นกับดักโจมตีศัตรูได้เช่นเดียวกัน” อาจารย์ชไนเดอร์บรรยายต่อ “เช่นว่า เธออาจจะดูดอากาศในค่ายอาคมออกไปทั้งหมด”

อาจารย์ร่างอ้วนใช้นิ้วมือวาดเป็นวงกลมเหนือโต๊ะหน้าห้องพลางพึมพำท่องคาถา จากนั้นหยิบขวดแก้วที่มีแมลงสาบอยู่ข้างในออกมาจากใต้โต๊ะแล้วโยนแมลงสาบลงเหนือบริเวณที่วาดนิ้วไว้เมื่อครู่ ทันทีที่แมลงสาบร่อนลงแตะผิวโต๊ะ มันก็เริ่มดิ้นพราดๆ และวิ่งพล่านอย่างตื่นตระหนก แต่ไม่ว่าวิ่งอย่างไรก็ไม่อาจออกไปจากพื้นที่รอบรัศมีของวงกลม เพียงชั่ววินาทีมันก็นอนแอ้งแม้งขาชี้ฟ้า กลับบ้านเก่าไปอย่างไร้สุ้มเสียง

เฮ่อฝูซิงเบิกตากว้าง มองแมลงสาบที่หงายท้องแน่นิ่งด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

เจ๋งเป้ง! ถ้าเขาเรียนทักษะนี้สำเร็จ อีกหน่อยก็ไม่ต้องลำบากล้างพื้นรองเท้าที่เลอะเศษซากน้องปีเตอร์ตัวน้อยๆ อีกต่อไป—เดี๋ยวก่อน นั่นไม่ใช่ประเด็น!

นะ...นี่ก็แปลว่า พลังอาคมกับเวทมนตร์อะไรทั้งหลายนั่นมีอยู่จริงๆ บนโลกนี้เหรอเนี่ย!

ถ้าอย่างนั้นนักเรียนที่นั่งอยู่รอบๆ เขาตอนนี้ รวมทั้งอาจารย์ตัวอ้วนปุ๊กลุกท่าทางใจดีเหมือนผู้พันเคเอฟซีที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาน่ะสิ? เหมือนที่พ่อบอกเขาว่าทุกคนเป็นปีศาจ มนุษย์หมาป่า แวมไพร์ หรือไม่ก็สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติรูปแบบอื่นอย่างนั้นหรือ

เฮ่อฝูซิงกลืนน้ำลายแล้วหันไปมองคนที่นั่งอยู่รอบห้องอย่างอดไม่ได้ พูดตามตรงว่าเขาไม่รู้จะรับมือกับเหล่าสิ่งเหนือธรรมชาติและภูตผีวิญญาณทั้งหลายอย่างไร หรือจะพูดให้ถูกกว่านั้นคือ...ตอนนี้เขารู้สึกกลัวขึ้นสมอง

ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งตื่นตระหนก เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องกลัวเลย นี่มันสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์แล้ว ทุกคนไม่ว่ามาจากมุมไหนของโลกก็เป็นเพื่อนกันได้ทั้งนั้นละ...

เฮ่อฝูซิงพยายามปลอบตัวเองอยู่ในใจ พลางแอบลอบสำรวจเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้อง ด้วยหวังว่าจะมีเงื่อนงำอะไรที่ช่วยให้เขารับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้บ้าง

สีหน้าของทุกคนเรียบเฉย ไม่มีวี่แววประหลาดใจกับทักษะพิเศษเมื่อครู่ของอาจารย์ รูปลักษณ์ภายนอกของทุกคนเหมือนมนุษย์ธรรมดา—เอ๋? จะว่าไปก็ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ นักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่หน้าตาดีผิดมนุษย์มนาทั้งนั้นเลย! ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ว่าจะผิวสีไหนหรือมาจากชาติพันธุ์ไหน ล้วนมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยหล่อสะดุดตา เรียกได้ว่าไปออกกล้องในรายการ ‘อเมริกาส์เน็กซ์ท็อปโมเดล’ ได้สบายๆ

ท่ามกลางเหล่านักเรียนนานาชาติที่สวยหล่อราวกับเดินออกมาจากแฟชั่นแม็กกาซีน มีเจ๊กหน้าเต้าหู้ธรรมดาๆ อย่างเขาปนมาด้วยคนหนึ่ง เหมือนในกล่องมาการ็องอันเลิศหรูจากร้านดังของปารีสมีไข่ใบชาวางปนอยู่ด้วย คุณสมบัติภายในแปลกแยกจากทุกคนก็แย่พออยู่แล้ว นี่รูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็หลุดตีมไม่เหมือนคนอื่นอีก!

ที่นี่เป็นโรงเรียนเฉพาะสำหรับ ‘สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษ’ จริงๆ น่ะเหรอ เขายอมรับว่าที่นี่แตกต่างจากที่อื่น แต่ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องกับเขาตอนนี้ก็ดูเหมือนคนธรรมดากันทั้งนั้นเลยนะ

“...ต่อไป เราจะให้นักเรียนคนหนึ่งออกมาสาธิตหน้าห้อง นักเรียนผมดำคนที่สามนับจากฝั่งขวาของแถวที่ห้า ลงมาตรงนี้” ชไนเดอร์มองมาที่ฝูซิงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“หา!?” ฝูซิงเรียกสติกลับมาในทันควัน “ผมเหรอครับ”

“ใช่ เธอนั่นแหละ” ใบหน้าของชไนเดอร์ระบายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะกวักมือเรียกฝูซิงลงมา “ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก”

ฝูซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำใจสู้แล้วลุกขึ้นเดินลงไปที่โพเดี้ยม

“เอ่อ...อาจารย์ครับ ผมกลัวว่าผมจะทำตามที่อาจารย์บอกไม่ได้...” เขาพูดไปตามจริง แต่ก็พยายามอ้อมค้อมที่สุดเท่าที่ทำได้

“ไม่เป็นไรหรอก เธอถ่อมตัวเกินไป”

นี่ไม่ใช่การถ่อมตัวสักนิดเลยครับอาจารย์ “อันที่จริง ผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยครับ” ด้วยความสามารถระดับเขาแล้ว ไม่เคยมีความจำเป็นต้องถ่อมตัวมาก่อน

“จริงเหรอเนี่ย ถ้างั้นครูจะเป็นครูคนแรกให้เธอเอง! การได้สอนคนที่เพิ่งเริ่มต้นจากก้าวแรกเป็นงานที่มีความสุขมากเลยนะ” ชไนเดอร์ยิ้มกว้างด้วยความประหลาดใจระคนยินดี ใบหน้าฉายแววตื่นเต้น “ไม่ต้องกังวลหรอก ทุกเรื่องย่อมมีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น เธอจำขั้นตอนที่ครูอธิบายเมื่อครู่ได้ใช่ไหม”

เฮ่อฝูซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เขาเพิ่งเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างถ่องแท้เมื่อห้านาทีที่ผ่านมานี่เอง ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้อะไรสักนิด และเขาไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองรู้จริงๆ หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร

“ถ้างั้นก็ทำตามขั้นตอนที่ครูสอนได้เลย! เดี๋ยวครูจะคอยยืนดูอยู่ข้างๆ นี่ละ อันดับแรกให้เธอสร้างค่ายอาคมแบบพื้นฐานก่อน แล้วจุดกองไฟเล็กๆ ไว้ตรงนี้ จากนั้นค่อยใช้ค่ายอาคมกำจัดเปลวเพลิงออกไป” ชไนเดอร์ตบบ่าฝูซิงเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ จากนั้นหยิบไม้ขีดก้านหนึ่งมาจุดไฟส่งให้เขา “ครูจะคอยช่วยดูอยู่ข้างๆ เอง อย่าเพิ่งดูถูกตัวเอง ลองดูก่อน มือใหม่ส่วนใหญ่จะมีพลังอันเยี่ยมยอดซ่อนอยู่นะ!”

ฝูซิงจ้องหน้าชไนเดอร์ เขามั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องไม่ยอมให้เขากลับไปนั่งแน่นอน ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามแต่โดยดี

เอาก็เอาวะ ตายเป็นตาย ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องขายขี้หน้า

ฝูซิงสูดหายใจลึก ฟันขบกันแน่น ตาทั้งสองหลับลง พยายามคิดถึงสิ่งที่อาจารย์สอนเมื่อครู่

อืม...อันดับแรกคือต้องรวบรวมสมาธิ—สมาธิ! สมาธิ! โอเค เยี่ยมมาก ดูเหมือนตอนนี้จะมีสมาธิแล้ว หลังจากนั้นก็กำหนดขอบเขตที่ต้องการไว้ในใจ—เอ๋? ขอบเขตเหรอ ต้องใหญ่เท่าไหร่ล่ะ หนึ่งเมตรประมาณนี้ไหม ช่างเถอะ เอาอะไรก็ได้ไปก่อนแล้วกัน ยังไงก็คงทำไม่สำเร็จอยู่แล้ว...

ขั้นตอนสุดท้าย กำหนดเงื่อนไขของค่ายอาคม คือการกำจัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไป หรือไม่ก็สกัดกั้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเอาไว้—เมื่อครู่อาจารย์บอกให้เขากำจัดเปลวเพลิง งั้นตั้งเงื่อนไขเป็นกำจัดแล้วกัน

ฝูซิงทบทวนขั้นตอนเหล่านี้อยู่ในใจ แต่ตัวเขาเองกลับไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ แถมเสียงหัวเราะเย้ยหยันของคนในห้องยังก่อกวนเขาตลอดเวลา เหมือนแมลงวันที่บินมาตอมให้เสียสมาธิ

“สู้ๆ นะ ใกล้ทำสำเร็จแล้วละ!” เสียงอาจารย์ชไนเดอร์แว่วมาจากด้านข้าง “ฉันสัมผัสได้ถึงพลังอาคมที่กำลังทำงาน! ถ้าเธอเพ่งสมาธิมากกว่านี้อีกนิด ต้องดับไฟได้แน่!”

จริงเหรอเนี่ย เขาจะทำสำเร็จเหรอ คำพูดของชไนเดอร์เป็นแรงผลักดันให้ฝูซิง เขาเพ่งสมาธิจดจ่อไปที่ค่ายอาคม คิ้วขมวดเข้าหากันจนหน้าผากยู่ยี่ ความคิดเพียงหนึ่งเดียววนเวียนอยู่ในสมอง

กำจัด...กำจัด...กำจัด...

กำจัด กำจัดทุกสิ่งทุกอย่างนอกเหนือจากคนที่อยู่รอบตัวเขาออกไปให้หมด!

เปรี้ยง! แควก! ฟืด!

เสียงระเบิดดังลั่น เสียงฉีกแหลมแสบแก้วหู และเสียงไม้ที่สลายเป็นผุยผงถั่งโถมเข้ามาในหูเขาอย่างพร้อมเพรียง

เขาทำสำเร็จแล้วเหรอเนี่ย!

พอได้ยินเสียง ฝูซิงก็ลืมตาแล้วมองตรงไปที่ชไนเดอร์

อาจารย์ชไนเดอร์ยืนอยู่ที่เดิม ไม้ขีดไฟในมือสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว—นอกจากนั้น ชุดสูทที่สวมอยู่บนร่างอวบอ้วนก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและปลิวว่อนไปทั่ว ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาดึงให้ขาดออกจากกัน!

เฮ้ย! นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!

ดวงตาของเฮ่อฝูซิงกวาดผ่านเศษผ้าที่ลอยว่อนกลางอากาศ และผ่านเส้นรอบวงรัศมีหนึ่งเมตรออกไปที่พื้น แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าท่ามกลางเศษผ้าสีขาวนวลบนพื้น มีกระจุกเส้นขยุกขยุยสีน้ำตาลเข้มร่วงอยู่บนเวทีด้วย

นะ…นั่นคือ...?

เขาสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์อันเลวร้ายขณะค่อยๆ หันกลับไปมองอาจารย์ชไนเดอร์

ผู้พันเคเอฟซีหน้าตาใจดีที่ยืนอยู่หน้าห้องตอนแรก กลายเป็นผู้เฒ่าเต่าหัวใสนิ้งเวอร์ชั่นอวบอิ่ม แถมเปลือยล่อนจ้อนอีกต่างหาก!

เสียงจ้อกแจ้กกระหึ่มจากทุกมุมของห้องเรียนในชั่วพริบตา

“นะ...นี่ เธอกล้าดียังไง!” ชไนเดอร์ทั้งโกรธทั้งอาย ตาถลึงจ้องฝูซิงด้วยความโมโห

ฝูซิงรีบขอโทษเป็นพัลวัน “ขอโทษครับ! ผมขอโทษด้วยจริงๆ ครับ!”

เขาจะทำยังไงดีล่ะทีนี้! ใช่แล้ว เขาจะปล่อยให้อาจารย์ยืนขายหน้าอยู่อย่างนี้ไม่ได้

เพื่อแสดงความรู้สึกผิดอย่างจริงใจของเขา ฝูซิงรีบย่อตัวลงไปแล้วยื่นมือออกมา ตั้งท่าจะใช้ฝ่ามือบังของลับของชไนเดอร์จากสายตาเพื่อนร่วมห้อง

“ทำอะไรของเธอ ไอ้เด็กโรคจิต!” ชไนเดอร์ปัดมือฝูซิงทันควัน เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเสียบมือเข้ามาที่หว่างขา

“ผมแค่จะช่วยบังให้อาจารย์เท่านั้นเองครับ” เขาพูดด้วยแววตาจริงใจ

“ไม่ต้อง!”

ชไนเดอร์ดีดนิ้ว แฟรี่ตัวจิ๋วเมื่อครู่ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง พอเห็นสภาพของชไนเดอร์ พวกมันก็อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น แต่พอหันไปเห็นดวงตาที่ลุกโชนด้วยความโกรธของอีกฝ่าย พวกแฟรี่ก็รีบเสกแถบผ้าออกมา ตัวหนึ่งจับมุมซ้าย อีกตัวจับมุมขวา ช่วยกันกางผ้าออกแล้วขึงบังตัวชไนเดอร์ไว้

เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ฝูซิงนึกถึงภาพ ‘กำเนิดวีนัส’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แต่นี่อาจจะเป็นเวอร์ชั่นเซอร์เรียล...

“มองอะไร!” ชไนเดอร์ตะคอกฝูซิงอย่างกราดเกรี้ยว “เธอจงใจใช่ไหม!”

“ไม่ใช่นะครับ!” ฝูซิงตกใจจนเผลอก้าวถอยหลังและสะดุดล้มหงายหลังใส่ที่นั่งแถวแรกของห้อง

แควก!

เสียงผ้าฉีกขาดดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่น

“ว้าย!” เสื้อผ้าของนักเรียนที่นั่งแถวแรกปลิวหลุดจากตัวราวกับลูกดอกที่พุ่งตามแรงเหวี่ยง แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ก็ถูกทำลายกลายเป็นผุยผงตามไปด้วย

“โอ...ไม่นะ ขอโทษๆๆๆ! ขอโทษด้วยจริงๆ!” ฝูซิงพยายามพยุงตัวลุกขึ้นแล้วขยับออกไปข้างๆ

แควก! แควก! แควก!

ทุกตารางนิ้วที่ฝูซิงเดินผ่าน เศษผ้าจะถูกฉีกกระจายปลิวว่อนไปทั่ว ตามด้วยเสียงกรีดร้องและโวยวายที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งสับสนอลหม่าน

“เธอยังไม่ได้สลายค่ายอาคม หยุดยืนอยู่กับที่ ห้ามขยับไปไหนทั้งนั้น!” ชไนเดอร์ที่มีแถบผ้าพันเต็มตัวเหมือนมัมมี่ตะคอกเสียงดังลั่นพลางพึมพำท่องคาถา สลายค่ายอาคมของฝูซิง

ฝูซิงยืนตะลึงอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน จนกระทั่งชไนเดอร์เดินเข้ามาหาเขาได้โดยที่เสื้อผ้าไม่ถูกฉีกปลิว ฝูซิงถึงมั่นใจว่าค่ายอาคมสลายไปเรียบร้อย

ความอลหม่านจึงถูกควบคุมให้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น แต่ ‘อุบัติภัย’ ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่อาจฟื้นฟูให้เป็นดังเดิมได้ทันที

นักเรียนหลายคนตัดสินใจคืนร่างเป็นภูตหรือปีศาจเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง ที่นั่งแถวหน้าที่มีนักเรียนนั่งอยู่ในตอนแรก เวลานี้มีหมาป่าตัวหนึ่ง จิ้งจอกสองตัว และไก่ฟ้าอีกตัวเข้าไปนั่งอยู่แทน

นักเรียนอีกกลุ่มที่ไม่สามารถคืนร่างได้ ไม่มีทางเลือกนอกจากใช้มือปิดป้องเรือนร่างอันงดงามสมบูรณ์แบบของตัวเอง แล้วนั่งอยู่บนพื้นอย่างสง่างามราวกับรูปปั้นเลอค่า นักเรียนที่เป็นเผ่าเอลฟ์และแฟรี่กางปีกที่ซ่อนไว้ออกมา ใช้ปีกกึ่งโปร่งแสงของตัวเองปกป้องร่างอันเปลือยเปล่าจากสายตาของคนอื่น แม้จะไม่ค่อยได้ผลนักก็ตาม

ภาพตรงหน้าทำให้ฝูซิงตกตะลึง

คนกลายร่างเป็นสัตว์! แถมยังมีปีกอีก! นะ...นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว...

ดวงตาของฝูซิงเบิกกว้างเป็นไข่ห่าน จ้องตรงไปที่สาวน้อยผมสีเงินที่นั่งเฉียงเขาไปทางด้านหน้า ใบหูของเธอในเวลานี้เปลี่ยนรูปร่างจนเรียวและแหลม ผมลื่นสลวยราวผ้าแพรยาวคลุมเลยหน้าอกลงไปถึงเอวอันเพรียวบาง อำพรางทรวดทรงอันอรชรจากสายตารอบข้าง

เขากลืนน้ำลายเอื๊อก

นะ...นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้างดงามจนเขาไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง—งดงามเหลือเชื่อจนเขาไม่อาจละสายตา

ถ้าหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปตอนนี้ เธอจะนึกว่าเขาเป็นพวกวิตถารหรือเปล่านะ

สาวน้อยเห็นฝูซิงตะลึงจนตาค้าง มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

ฝูซิงใจเต้นน้อยๆ แล้วยิ้มตอบกลับไปเหมือนไอ้บื้อ ฮี่ๆๆ...สวยจังเลย...

“เธอ!”

ฝ่ามือหนาหนักตบลงที่บ่าของฝูซิงเต็มแรง พอหันกลับไปก็เจอชไนเดอร์ที่มีแถบผ้าพันเต็มตัว ตาลุกโชนถลึงจ้องอย่างโกรธจัด รูปร่างอันอุดมสมบูรณ์เหมือนตุ่มดองผักของอีกฝ่าย ดึงเขาออกจากความฝันสีชมพูกลับสู่โลกความเป็นจริงในพริบตา

“อาจารย์ครับ ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ผมไม่รู้จริงๆ ครับว่าจะกลายเป็นแบบนี้—”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” ชไนเดอร์เชิดหน้าแล้วหันไปทางเวที “ไม่ว่าสาเหตุคืออะไร แต่นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำของเธอ จบคาบเรียนแล้วเธอกับบราวนี่ต้องอยู่เก็บกวาดจนกว่าจะเรียบร้อย!”

“บราวนี่?” ไม่ใช่ขนมหรอกเหรอ

พอนักเรียนคนอื่นแยกย้ายไปแล้ว เขาจึงได้รู้ว่าบราวนี่ที่ชไนเดอร์พูดถึง คือแฟรี่ตัวน้อยที่บินไปบินมาพวกนั้นนั่นเอง

แฟรี่บินร่อนทั่วห้องพลางเก็บกวาดเศษซากแห่งภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว ส่วนฝูซิงรับผิดชอบเอาขยะชิ้นใหญ่ๆ ออกไปทิ้งในตำแหน่งที่แฟรี่บอก ระหว่างที่บินไปบินมา เหล่าแฟรี่ก็คุยกันด้วยภาษาอะไรสักอย่างที่ฝูซิงฟังไม่เข้าใจ แต่เดาจากสีหน้า พวกเขาคงกำลังบ่นด้วยความไม่พอใจ แถมบางครั้งยังตะคอกใส่ฝูซิงด้วยเสียงแหลมแสบแก้วหูอีกต่างหาก

ไหนๆ ก็ชื่อเหมือนขนมแสนอร่อยแบบนั้นแล้ว น่าจะทำตัวให้อ่อนโยนกว่านี้สักหน่อยนะ...ฝูซิงเก็บกวาดพลางบ่นอุบอิบอยู่ในใจ

มาคิดดูอีกที เขาเองก็ไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะสร้างความวุ่นวายใหญ่โตขนาดนั้น เขามีพลังทำลายล้างมหาศาลขนาดนั้นเชียวหรือ

ฝูซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้มหน้าลงมองมือทั้งสองของตัวเอง พยายามหวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่

แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วยังไงล่ะ

ทักษะการฉีกเสื้อผ้าระดับล้ำเลิศ ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไรเท่าไหร่ ถ้าพูดออกไปรังแต่จะทำให้คนอื่นนึกว่าเขาเป็นพวกวิตถารเสียเปล่าๆ

 

หลังจากเก็บกวาดที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วแล้ว ระฆังบอกเวลาเข้าเรียนคลาสต่อมาก็ดังขึ้น ฝูซิงลุกจากที่นั่งแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนถัดไปอย่างรวดเร็ว

คาบสุดท้ายในตารางเรียนวันนี้เขียนไว้ว่าเป็นชั่วโมงโฮมรูม เขาต้องกลับไปที่ห้องเรียนประจำของเขา

ห้องเรียนของเฮ่อฝูซิงคือห้อง C เขาอ่านคำชี้แจงในตารางเรียนแล้วมุ่งหน้าไปยังที่หมาย

ชั่วโมงโฮมรูมจะเป็นยังไงนะ อาจารย์ประจำชั้นของเขาจะเป็นคนยังไง แล้วเขาจะอยู่ห้องเดียวกับใครบ้าง แต่ยังไงก็คงไม่มีใครเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ดีแหละ

เขาเดินขึ้นชั้นบนแล้วเลี้ยวตรงหัวมุม สุดทางเดินคือประตูไม้ซีดาร์ที่มีตัวอักษร C สีทองประทับไว้

ฝูซิงเดินไปที่ประตูแล้วเลื่อนเปิดอย่างแผ่วเบา เสียงโหวกเหวกดังลอดช่องประตูออกมาจากด้านใน

ภายในห้องอันกว้างขวางปูด้วยพรมสีน้ำเงินและม่วงแดง ข้างผนังมีเตาผิง เหนือกำแพงมีรูปวาดและรูปสลักแขวนประดับเต็มไปหมด ภายในห้องมีโซฟาวางไว้สองสามชุด เป็นสีน้ำเงินและม่วงแดงเช่นเดียวกับพรมห้อง

นอกจากโซฟาขนาดยักษ์แล้ว ยังมีเก้าอี้นั่งบุนวมหนาและเก้าอี้โซฟาแบบเดี่ยวทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ตั้งกระจายอยู่ทั่วห้อง กำแพงทั้งสองด้านบิวด์อินด้วยตู้ยาวสไตล์คลาสสิก ด้านล่างของตู้มีตู้เตี้ยๆ ที่บุด้วยนวมหนานุ่มยื่นออกมา สามารถใช้เป็นที่นั่งได้เช่นเดียวกัน ด้านในสุดของห้องมีโต๊ะไม้แท้ขนาดยักษ์ตั้งตระหง่าน ข้างโต๊ะคือกระดานดำแบบเลื่อนได้ เหนือเพดานมีโคมระย้าประดับคริสตัลสวยงามแขวนประดับ

อาจารย์ประจำชั้นห้อง C ยังไม่มา ภายในห้องมีนักเรียนอยู่ประมาณยี่สิบคน ส่วนใหญ่เริ่มจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ สองหรือสามคน นั่งกระจายกันอยู่ทั่วห้อง

ฝูซิงกวาดตาสำรวจทั่วห้องแล้วเดินไปที่มุมว่างมุมหนึ่ง เขาสังเกตว่าผู้หญิงคนหนึ่งหันมามองตอนที่เขาเดินเข้ามา แล้วเขาก็จำได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่แปลงร่างเป็นจิ้งจอกในคลาสเรียนเมื่อครู่

เพื่อนร่วมห้องของเขาเป็นปีศาจจิ้งจอกเหรอเนี่ย ไม่รู้เธอจะชอบกินเต้าหู้ทอดไหม เพราะปีศาจจิ้งจอกในมังงะญี่ปุ่นทุกเล่มที่เขาเคยอ่านก็ชอบกินเต้าหู้ทอด พอฝูซิงหย่อนตัวลงนั่งก็รู้สึกว่ามีมือของใครคนหนึ่งแตะที่บ่าเขา พอหันไปก็เห็นเด็กสาวหน้าตาสวยหมดจดแบบชาวเอเชียคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายมีเรือนผมสีดำขลับ แต่ดวงตาเป็นสีน้ำเงินกระจ่างเหมือนทะเลสาบน้ำลึก เครื่องหน้าของเธอหวานละมุนชวนมอง ชุดผ้าชีฟองสีฟ้าอ่อนสวมทับบนผิวขาวผ่อง พลิ้วไหวน้อยๆ ราวกับคลื่นน้ำตามจังหวะการเคลื่อนไหวอันงามสง่า

“สวัสดี” ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอยกขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้ม

“สวัสดี” ฝูซิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตื่นๆ เล็กน้อย สมัยอยู่ไต้หวัน การจะเจอผู้หญิงแปลกหน้าเข้ามาชวนคุยก่อนเกิดขึ้นกับเขาน้อยครั้งมากถึงมากที่สุด และส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ยืนแจกแบบสอบถามที่หน้าสถานีรถไฟไทเป

“เมื่อกี้ฝีมือเธอเยี่ยมไปเลย ฉันเพิ่งเห็นคนใช้ค่ายอาคมแบบนี้เป็นครั้งแรกนะเนี่ย”

“นั่นเป็นอุบัติเหตุนะ” ฝูซิงเกาหัวแกรกๆ อย่างกระอักกระอ่วน

เด็กสาวหัวเราะน้อยๆ “แต่เธอทำเสื้อฉันขาด ฉันเลยต้องกลับห้องไปเปลี่ยนเป็นชุดลำลองก่อน”

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะ! ขอโทษมากๆ! ฉันจะชดใช้ให้เธอเอง”

“ไม่เป็นไรหรอก เครื่องแบบได้ฟรีอยู่แล้ว เดี๋ยวโรงเรียนก็จะส่งชุดใหม่มาให้” เธอยิ้มอย่างเบิกบาน “อีกอย่าง...ฉันต้องขอบคุณเธอที่ทำให้ได้เห็นอะไรดีๆ หลายอย่างเลย”

“หา!? อะไรนะ” เมื่อครู่เขาฟังผิดหรือเปล่านะ

สาวน้อยหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “ฉันชื่อ จูเยว่ เธอล่ะชื่ออะไร”

“เฮ่อฝูซิง” เขาตอบ ในใจรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย “เรียกฉันว่าฝูซิงก็ได้นะ ฉันมาจากไต้หวัน เธอล่ะมาจากที่ไหน”

พอได้เห็นใบหน้าสวยละมุนและอ่อนหวานของจูเยว่ ต่อให้ต้องกรีดเลือดมาเขียนแบบสอบถามร้อยชุดเขาก็ยอม!

“ส่วนใหญ่ฉันจะอยู่แถวๆ ทะเลจีนตะวันออกกับทะเลเหลืองน่ะ แต่บางครั้งก็จะว่ายทวนแม่น้ำแยงซีขึ้นไปแถวทะเลสาบต้งถิงด้วย”

ทะเลเหลือง? แม่น้ำแยงซี? “แสดงว่า เธอคือ...?”

“ฉันเป็นนาคี” เธอตอบด้วยรอยยิ้มบาง

“นางเงือกเหรอ” ว้าว! เหมือนภาพฝันเลยนะเนี่ย!

“นางเงือกอยู่ทางแถบยุโรป ส่วนฝั่งเอเชียตะวันออกเป็นนาคหรือนาคี สายพันธุ์ของนางเงือกคือครึ่งคนครึ่งปลา ส่วนพวกเรานาคีเป็นครึ่งคนครึ่งงู”

“งั้นเหรอ” มิน่า...ดวงตาของเธอถึงเป็นสีเหมือนมหาสมุทร “เธอมาคนเดียวเหรอ”

“ใช่ ฉันชอบสิ่งของของมนุษย์ คนในเผ่าก็เลยส่งฉันมาเรียนที่นี่ ฝูซิงล่ะเป็นเผ่าพันธุ์ไหน”

“ฉันเป็นปีศาจค้างคาวน่ะ—”

ไม่ทันพูดจบ เขาก็รู้สึกถึงแรงดึงที่ส่วนคอ จากนั้นภาพที่เห็นตรงหน้าก็เริ่มเคลื่อนที่ออกห่างจากพื้นดินไปเรื่อยๆ

“นี่มันไอ้วิตถารในคลาสเรียนเมื่อกี้นี่” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลัง

ฝูซิงหันไปมอง เด็กหนุ่มร่างบึกเหมือนนักอเมริกันฟุตบอลยืนอยู่ด้านหลัง ดวงตาสีมรกตของอีกฝ่ายจ่ออยู่ตรงหน้า—ว่าแต่...จู่ๆ เขาตัวสูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเหลือบตามองลงไปข้างล่างถึงเข้าใจ ที่แท้เขาไม่ได้ยืดตัวสูงขึ้น แต่ถูกอีกฝ่ายกระชากคอเสื้อจากด้านหลังแล้วหิ้วตัวขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียวต่างหาก

เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย

อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ลำคอของฝูซิง ชั่วขณะนั้นเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะงับคอแล้วฝากรอยคิสมาร์กพร้อมโลหิตแดงฉาน ปรากฏว่าอีกฝ่ายแค่สูดจมูกฟุดฟิดแล้วพูดอย่างเหยียดหยามว่า “กลิ่นเหมือนมนุษย์เลย ฉันจำได้ว่าชาลอมไม่รับมนุษย์เข้าเรียนไม่ใช่เหรอ” เขาส่งเสียงหึในลำคออย่างดูแคลน “คงไม่ใช่ลูกกระจ๊อกที่พวกไวต์ไทรแองเกิลส่งมาหรอกนะ?”

ไวต์ไทรแองเกิล? คืออะไรน่ะ ยี่ห้อช็อกโกแลตหรือเปล่า

“เข้าใจผิดแล้วนะ ฉันไม่ใช่มนุษย์หรอก” เขาอยู่ของเขาดีๆ ทำไมมีคนเข้ามาหาเรื่อง อ๋อ! เขารู้แล้ว นี่ต้องเป็นเด็กนักเลงที่ชอบรังแกเพื่อนเหมือนที่เขาเห็นในข่าวแน่ๆ! “เอ่อ ถ้านายอยากได้เงินละก็ ฉันมีเงินแค่สามร้อยดอลลาร์ไต้หวันนะ...”

“พูดอะไรของนาย?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว รู้สึกงุนงงกับคำพูดของฝูซิง

ฝูซิงพยายามสื่อสารกับอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็นที่สุด นี่เป็นสิ่งที่หลินหลินเคยสอนเขาตั้งแต่สมัยเด็ก ยิ่งสถานการณ์ตรงหน้าคับขันเท่าไร เขายิ่งต้องใจเย็น

คนที่ร้ายกาจล้วนมีเรื่องเศร้าซ่อนอยู่ในใจด้วยกันทั้งนั้น ไม่แน่พี่บึกหน้าเหี้ยมตรงหน้าอาจจะเกิดในครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น หรือเขาอาจจะแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างเท่านั้นก็ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น ความรู้สึกเห็นใจก็เอ่อท้นขึ้นมา

“อย่าทำแบบนี้เลย” ฝูซิงพยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนนักบุญ “นายเป็นเด็กดี อย่าทำเรื่องแบบนี้เลย ทุกคนก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้นละ แหะๆๆ”

สีหน้าของอีกฝ่ายเหยเกเหมือนคนที่ยื่นมือออกไปเพื่อดูว่าฝนตกหรือไม่ แต่กลับมีขี้นกตกลงมาใส่มือแทน

“แบรด ฉันมั่นใจว่าหมอนี่ไม่ใช่คนของไวต์ไทรแองเกิลแน่นอน” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “นอกเสียจากว่าไวต์ไทรแองเกิลเป็นโรงพยาบาลบ้า”

“ฝูซิงเป็นปีศาจค้างคาว” จูเยว่ผู้มีจิตใจงดงามมองฝูซิงที่ถูกจับห้อยต่องแต่งอยู่เหนือพื้นด้วยแววตากังวล พลางพยายามช่วยอธิบาย “ได้โปรดปล่อยเขาลงมาเถอะนะ”

เด็กหนุ่มที่ชื่อแบรดหันไปมองจูเยว่

แม้ว่าฝูซิงจะขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ แต่เขาก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะรังแกจูเยว่ แต่แบรดแค่เหลือบมองจูเยว่แว่บหนึ่ง จากนั้นก็ยอมปล่อยฝูซิงลงกับพื้นแต่โดยดี—ไม่สิ ต้องบอกว่าจับเขาเหวี่ยงไปที่นั่งข้างเตาผิงจะถูกกว่า

“ค้างคาวงั้นเหรอ” แบรดส่งเสียงหึในลำคออย่างไม่ยี่หระแล้วหันไปทางเตาผิงด้วยสีหน้าเหยียดหยัน “ที่แท้ก็พวกแมลงดูดเลือด มิน่า...ถึงอ่อนแอแบบนี้”

แมลงดูดเลือด? เขาหมายถึงผีดูดเลือดเหรอ ฝูซิงใช้มือนวดไหล่ที่ปวดแปลบแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

คนที่รวมกลุ่มกันอยู่ข้างเตาผิง ตอนแรกไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของแบรด ทุกคนก็เงียบกริบ สายตาเย็นชาพุ่งตรงมาทางแบรดทันที

“นายกำลังพูดถึงพวกเราอยู่เหรอ ไอ้หมาสมองนิ่ม?” สาวสวยผมสีน้ำตาลแดงเอ่ยค่อนแคะแล้วหัวเราะเสียงเย็น “กินขี้ตัวเองเข้าไปหรือไงถึงได้พูดจาหมาๆ แบบนี้”

“ช่วยดูแลคนในเผ่าของตัวเองด้วยนะ” แบรดส่งเสียงหึในลำคออย่างดูถูกแล้วหันไปจ้องหน้าฝูซิง “ทำตัวลับๆ ล่อๆ อย่างกับโจร เห็นแล้วมันขวางหูขวางตา!” พูดจบก็หันหลังเดินตึงๆ ออกไปทันที

ฝูซิงรีบอธิบาย “เข้าใจผิดแล้วละ ฉันไม่ใช่ผีดูดเลือดหรอกนะ” ที่แท้แบรดนึกว่าเขาเป็นผีดูดเลือด เลยทำกับเขาแบบนี้อย่างนั้นเหรอ

แบรดชะงักก่อนจะหันกลับมาอย่างเฉื่อยชา “ว่าไงนะ?”

“ฉันเป็นปีศาจค้างคาว ไม่ใช่ผีดูดเลือด”

แบรดมองฝูซิงอย่างไม่ชอบใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสยะ “อ้อเหรอ”

“ใช่”

“อืม ฉันเชื่อ”

“อื้อ” ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ แบบนี้ “ทำไมล่ะ”

“เพราะคนเผ่าเลือดสีนิลไม่มีทางเรียกตัวเองว่าผีดูดเลือด” เสียงเย็นเยือกแว่วมาจากด้านหลังของฝูซิง

ฝูซิงหันไปมอง ชายผมดำใบหน้าเย็นชาคนหนึ่งนั่งอยู่กลางโซฟา ดวงตาเย็นยะเยียบจ้องตรงมาที่เขาด้วยความโกรธ

“ผีดูดเลือด เป็นชื่อที่ดูหมิ่นเผ่าพันธุ์ของเรา” เสียงทุ้มลึกพ่นคำพูดแต่ละคำออกมาช้าๆ

แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันที่ก่อตัวขึ้นรอบตัว เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวยิ่งกว่า

เวรกรรม เขาแค่พยายามอธิบายให้แบรดเข้าใจ กลับกลายเป็นว่าไปพูดล่วงเกินคนกลุ่มนี้เข้าทั้งกลุ่ม

“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉันไม่มีเจตนาจะดูถูกพวกนายเลย ฉันแค่กลัวเขาจะเข้าใจผิดว่าฉันเป็นคนเผ่าเลือดสีนิล ก็เลย—”

“ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเผ่าเลือดสีนิล นายเลยรู้สึกอับอายหรือไง”

“ไม่ใช่นะ!”

ซวยแล้ว ยิ่งพูดสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ พอหันกลับไปมองก็เห็นว่าแบรดกลับไปนั่งตรงกับกลุ่มของตัวเองแล้ว สีหน้าของอีกฝ่ายสะใจเหมือนกำลังดูละครเรื่องสนุก

จูเยว่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทำอะไรไม่ถูก ส่วนคนอื่นๆ ถ้าไม่หันกลับไปทำเรื่องของตัวเองต่อ ก็ทำเหมือนแบรดคือนั่งรอดูละครเรื่องสนุกอยู่ขอบสนามอย่างใจจดใจจ่อ

เฮ้อ! ดูเหมือนเขาจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอีก ทำไมไม่ว่าเขาหยิบจับอะไรก็ต้องพังพินาศไปหมดแบบนี้...

แล้วจู่ๆ ความคิดอย่างหนึ่งก็แว่บเข้ามาในสมองของฝูซิง เขานึกถึงนิทานที่เคยฟังตอนเด็กๆ เรื่องค้างคาวที่ถูกขับไล่และกีดกันจากกลุ่มของเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลาย เพราะมันไม่ใช่ทั้งนก และไม่ใช่ทั้งสัตว์เดินดิน สุดท้ายมันจึงต้องโบยบินอย่างโดดเดี่ยวในยามค่ำคืนไปตลอดชีวิต—

ฝูซิงหันกลับไปเผชิญหน้ากับเผ่าเลือดสีนิลที่กำลังกราดเกรี้ยว ดวงตาประสานกับชายหนุ่มผมดำเข้าพอดี แล้วเขาก็พบว่า ลึกลงไปในนัยน์ตาสีเข้มของอีกฝ่าย มีแสงสีแดงฉานฉายวาบอยู่จางๆ

ดูท่าชะตาเขาอาจถึงฆาต ก่อนที่เขาจะได้โบยบินอย่างโดดเดี่ยวเสียอีก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น