Chapter 02
ฝนตกขี้หมูไหล ปีศาจอะไรมาพบกัน
“ครืด!”
ขณะที่สถานการณ์กำลังเคร่งเครียดถึงขีดสุด บานประตูของห้องเรียนก็เปิดออก เสียงฝีเท้าดังกังวานก้องเข้ามาในห้อง ตามด้วยเสียงตะคอกแหลมลั่นแสบแก้วหู
“อย่าสร้างปัญหาในรัศมีที่ตาฉันกวาดไปเห็นได้นะ! ฉันไม่มีเวลาว่างมาเก็บกวาดให้พวกเธอ”
ทุกคนหันตามต้นเสียง ร่างสูงใหญ่สีแดงบาดตาปรากฏขึ้นที่ข้างประตู
เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงที่แต่งตัวโอเว่อร์มากเสียด้วย
ร่างสูงใหญ่นั้นสวมเสื้อกั๊กสีแดงไวน์ กางเกงขาสั้นรัดติ้วเผยให้เห็นขาเรียวยาวที่สวมถุงน่องตาข่ายแบบตาใหญ่กับรองเท้าบู๊ตหุ้มแข้งส้นสูงปรี๊ดสีดำสนิท เฟอร์ขนนกสีม่วงดำพันอยู่รอบไหล่และลำคอ ผมย้อมไล่ระดับห้าสีผูกเป็นหางม้าสูงอยู่ด้านหลังศีรษะ เครื่องสำอางสีเข้มจัดแต่งแต้มแน่นทุกอณูบนใบหน้า แผ่ออร่าความเย้ายวนแบบดิบเถื่อน
หญิงสาวเหลือบมองมาทางฝูซิงด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะเหลี่ยมตัวใหญ่ด้านหลังห้อง เด็กหนุ่มผมดำส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ อย่างไม่ชอบใจ บรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมทั่วห้องอยู่เมื่อครู่สลายไปในพริบตา
ขอบคุณฟ้าดินที่ช่วยให้เขารอดตายมาได้อย่างฉิวเฉียด ฝูซิงลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มผมดำแว่บหนึ่ง แม้ว่าเขาอยากจะเข้าไปอธิบายให้อีกฝ่ายฟังใจจะขาด แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวย เขาทำได้แค่หันไปพยักหน้าให้อีกฝ่ายน้อยๆ เป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะวิ่งเข้าไปนั่งข้างจูเยว่
“ฉันคือครูประจำชั้นของพวกเธอ ชื่อของฉันคือ กรอทท์ อับรามส์ เผ่าพันธุ์หมอผี” หญิงสาวเหวี่ยงกระเป๋าสะพายประดับเฟอร์สุดอลังการไปบนโต๊ะอย่างลวกๆ แล้วหย่อนตัวลงนั่งเหนือขอบโต๊ะ “ฉันมีหน้าที่ต้องดูแลพวกเธอตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่เธอเรียนจบ ทางที่ดีช่วยให้ความร่วมมือ อย่าสร้างความเดือดร้อน และอย่าสร้างเรื่องปวดหัวให้ฉัน”
“ถ้าทำแล้วจะทำไม” แบรดเอ่ยถามอย่างอวดดี
หญิงสาวตวัดสายตาไปทางแบรดแล้วจ้องหน้าเขานิ่ง “แบรด อัลเบิร์ตจากเผ่ามนุษย์หมาป่าใช่ไหม”
แบรดพยักหน้า
ริมฝีปากสีแดงสดของกรอทท์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะยื่นมือไปตบถุงที่วางอยู่บนโต๊ะ “เธออยากกลายเป็นกระเป๋าใบใหม่ของฉันไหม”
แบรดชะงักไปชั่วครู่ คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน แต่ไม่กล้าปะทะกับอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยอีก
กรอทท์ล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มใบหนึ่งออกมา “ชาลอมอะคาเดมี่รับนักเรียนจากทุกสปีชี่ส์ ทุกเผ่าพันธุ์ แม้กระทั่งเผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูกันด้วย ดังนั้นจึงมีกฎระเบียบที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเมื่อเข้ามาอยู่ที่นี่”
เธอรูดเปิดปากถุงแล้วพึมพำท่องคาถา วงแหวนสีทองจำนวนมากลอยออกมาจากในถุง พอเธอดีดนิ้วเรียวยาว วงแหวนสีทองขนาดเล็กจิ๋วก็ร่อนเข้าไปหานักเรียนทุกคนในห้อง
“นี่คือแหวนพันธะ ในแหวนมีอาคมสกัดพลังและระบุตัวตนร่ายเอาไว้ ตราบใดที่ยังอยู่ในเขตโรงเรียน นักเรียนทุกคนต้องสวมแหวนวงนี้ จะเลือกเอาแหวนวงไหนก็ได้ตามใจ พอเลือกแล้วแหวนจะปรับขนาดเล็กใหญ่ให้เข้ากับนิ้วของเธอโดยอัตโนมัติ”
พอทุกคนได้รับคำสั่งก็ทยอยกันเข้าไปรับแหวนมาสวม เหนือวงแหวนเล็กบางสีทองนั้นไม่มีลวดลายหรือสิ่งประดับใดๆ มีเพียงด้านนอกที่มีรอยสลักเป็นขีดๆ ขนาดยาวสั้นไม่เท่ากันเรียงเป็นแถบ
ฝูซิงเอาแหวนมาสวมที่นิ้วก้อยซ้ายของตัวเอง ในใจแอบหวังว่าแหวนวงนี้จะมีประโยชน์ในการป้องกันพวกคนนิสัยไม่ดีได้บ้าง
อาคมงั้นเหรอ...สุดยอดเลย หวังว่าเขาจะได้เรียนอาคมเจ๋งๆ อะไรแบบนี้บ้าง จะได้ไม่ต้องเป็นลูกไล่ของคนอื่นแบบนี้ไปตลอด
“จะอย่างไรชาลอมอะคาเดมี่ก็เป็นโรงเรียน แน่นอนว่าเราต้องให้ความสำคัญกับทักษะและความสามารถของนักเรียน โรงเรียนของเราจึงมีการสร้างระบบสะสมคะแนนตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน หากนักเรียนแสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยมในด้านต่างๆ ก็จะนำไปแลกเป็นคะแนนสะสมได้ และเมื่อละเมิดกฎก็จะถูกหักคะแนน เมื่อจบแต่ละเทอมจะมีการมอบรางวัลหรือลงโทษตามแต่ระดับคะแนนสะสมของแต่ละคน สำหรับคนที่อยากรู้ว่าตัวเองสะสมคะแนนได้มากน้อยเท่าไหร่แล้ว สามารถดูข้อมูลได้ที่จุดค้นข้อมูลภายในโรงเรียนและหอพักทั้งหมด แค่เอาส่วนรอยสลักของแหวนไปทาบก็ดูคะแนนได้แล้ว”
สะดวกดีจัง! “อันนี้ก็เป็นอาคมด้วยเหรอครับ” ฝูซิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“ไม่ใช่ แค่ระบบอ่านบาร์โค้ดธรรมดา เป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ที่ศิษย์เก่าที่โดดเด่นมากคนหนึ่งของโรงเรียนเรานำเข้ามาใช้ตั้งแต่ตอนที่เขายังเรียนอยู่ที่นี่ ใช้ดีมากเลย” กรอทท์มองฝูซิง แล้วมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย “ศิษย์เก่าคนนั้นชื่อเฮ่อฝูชิง เธอน่าจะรู้จักเขาดีใช่ไหมล่ะ เฮ่อฝูซิง”
ว่าไงนะ! พี่สาวของเขางั้นเหรอ! “ครับ ผมรู้จักครับ”
ชั่วขณะนั้นความสนใจของทุกคนพุ่งตรงมาที่เขา ฝูซิงเกาหัวแกรกๆ พลางยิ้มบื้อแทนคำตอบ
“สาเหตุที่มีการก่อตั้งชาลอมอะคาเดมี่ขึ้นมา ก็เพื่อให้สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษสามารถใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์ได้อย่างกลมกลืน แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ...” กรอทท์เว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เราต้องช่วยให้สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษที่เหลือจำนวนน้อยจนใกล้สูญพันธุ์รอดพ้นจากการไล่ล่าของผู้ชำระล้าง—หรือที่เราเรียกกันว่า ไวต์ไทรแองเกิล”
ฝูซิงตะลึงงันไปชั่วขณะ ถึงแม้เขาจะไม่เคยได้ยินคำว่าไวต์ไทรแองเกิลหรือผู้ชำระล้างมาก่อน แต่ฟังจากที่กรอทท์เล่า เขาพอเดาได้ว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษแน่นอน
ไล่ล่างั้นเหรอ แสดงว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมากใช่ไหม แต่เท่าที่เขาจำได้คนในครอบครัวเขาก็ดูสุขสบายดี เขาไม่เคยรู้สึกถึงความตื่นตระหนกหรือหวาดหวั่นของ ‘ผู้ที่ถูกล่า’ เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นกระแสในแถบยุโรปกับอเมริกามากกว่าหรือเปล่า เพราะในประวัติศาสตร์การล่าแม่มดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในยุโรป
“ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการฝึกฝนนักเรียนใหม่ ตั้งแต่วันจันทร์หน้าไปจนถึงวันที่ 31 เดือนตุลาคมซึ่งเป็นวันฮัลโลวีน จะมีการทดสอบความสามารถนักเรียนใหม่โดยไม่กำหนดเวลาหรือจำนวนครั้งที่แน่นอน” กรอทท์พูดอย่างสบายๆ แล้วมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “กิจกรรมนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘เกมล่านักเรียนใหม่’ ”
นักเรียนในชั้นชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นเสียงกระซิบกระซาบด้วยความกังวลก็กระจายไปทั่วห้อง
“จากนี้อีกเดือนครึ่ง อาจารย์และนักเรียนทุกคนที่ได้รับอนุญาตจากทางโรงเรียน จะสามารถออกคำสั่งให้นักเรียนใหม่ปฏิบัติภารกิจอะไรก็ได้ และนักเรียนใหม่ต้องปฏิบัติภารกิจนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะได้รับบทลงโทษตามความเหมาะสม แต่ไม่ต้องกลัวนะ ภารกิจไม่ยากเท่าไหร่หรอก คิดเสียว่าเป็นกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ช่วยทำธุระเล็กๆ น้อยๆ ให้รุ่นพี่กับอาจารย์ก็แล้วกัน”
“แสดงว่ากิจกรรมนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันฮัลโลวีนเลยเหรอครับ” นักเรียนคนหนึ่งถามขึ้น
“อาฮะ ประมาณนั้นแหละ เพราะวันฮัลโลวีนจะมี ‘เกม’ ที่สนุกยิ่งกว่าเกมนี้รอทุกคนอยู่”
“เกม?”
มุมปากของกรอทท์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง “วันฮัลโลวีนทั้งที แน่นอนว่าเราต้องจัดกิจกรรมทดสอบความกล้า จะได้เข้ากับบรรยากาศไงล่ะ”
“กิจกรรมทดสอบความกล้าเหรอครับ” การทดสอบความกล้าที่มีมนุษย์หมาป่า เผ่าเลือดสีนิล แล้วก็แฟรี่เข้าร่วมด้วยเนี่ยนะ? “เราจะไปหลอกคนหรือให้คนมาหลอกเราเหรอครับ”
“ทั้งสองอย่าง แต่กิจกรรมทดสอบความกล้าของชาลอมจะ ‘น่าสนใจ’ กว่าที่อื่นนิดหน่อย”
กรอทท์ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่กระดานดำ
“แต่ละห้องจะแบ่งเป็นสองทีม ได้แก่ทีมรักษาการณ์กับทีมปฏิบัติการ ในวันงาน ทีมรักษาการณ์ต้องอยู่ดูแลด่านทดสอบความกล้าของห้องของตัวเอง ส่วนทีมปฏิบัติการต้องออกไปตะลุยด่าน แต่ละห้องต้องสร้างด่านของตัวเอง ซึ่งนอกจากต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจแล้ว ยังต้องถ่วงเวลาที่อีกฝ่ายจะตะลุยผ่านด่านของเราให้ได้มากที่สุดด้วย ซึ่งในการนี้เราอนุญาตให้ใช้กำลังได้ในระดับที่เหมาะสม กิจกรรมครั้งนี้เหมือนเป็นการสอบวัดระดับในภาพรวม ว่าหลังจากเข้ามาเรียนได้หนึ่งเดือนครึ่งนักเรียนมีพัฒนาการแต่ละด้านเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นพลังอาคม พลังพิเศษ รวมทั้งทักษะการเข้าสังคมมนุษย์ด้วย โดยนักเรียนต้องนำเนื้อหาทั้งหมดในชั้นเรียนมาประยุกต์ใช้กับด่านทดสอบความกล้า และจะมีการประเมินคะแนนในส่วนนี้ด้วย”
พอกรอทท์เขียนคีย์เวิร์ดสองสามคำบนกระดานดำแล้ว ก็หันมาอธิบายต่อ “นักเรียนทุกคนในคลาสจะเป็นผู้ร่วมออกแบบด่านทดสอบความกล้าด้วยกัน ยิ่งมีความคิดสร้างสรรค์เท่าไหร่ ยิ่งได้คะแนนเยอะ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านธีมและรูปแบบ”
กรอทท์เขียนประเด็นสำคัญลงบนกระดานดำ “ส่วนทีมปฏิบัติการที่ต้องตะลุยด่านของคลาสอื่น ไม่จำเป็นต้องแสดงความกล้าของตัวเองออกมา ประเด็นสำคัญอยู่ที่ การแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อ ‘สิ่งน่ากลัว’ ที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ ให้เหมือนที่มนุษย์ธรรมดาพึงจะทำ”
“ให้เหมือนที่มนุษย์ธรรมดาพึงจะทำงั้นเหรอครับ”
“หัวใจสำคัญของกิจกรรมทดสอบความกล้าไม่ได้อยู่ที่การทดสอบความกล้า แต่เป็นการทดสอบว่าปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเธอเหมือนมนุษย์ธรรมดาหรือไม่ พวกเธอต้อง ‘ตกใจ’ ให้ดีที่สุด โดยตลอดทางจะมีกล้องวงจรปิดคอยจับภาพ ปฏิกิริยาตอบสนองของฝ่ายปฏิบัติการจะเป็นหนึ่งในรายการประเมิน ยิ่งแสดงได้สมจริงมากเท่าไหร่ คะแนนยิ่งสูง และคลาสที่ได้คะแนนสูงที่สุดจะได้รับรางวัล”
“ในเมื่ออาจารย์บอกว่าเป็นเกม ทำไมต้องประเมินคะแนนด้วยล่ะครับ” สาวน้อยผมทองคนหนึ่งบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจ
“คำว่าเกมใช้เป็นคำอุปมาเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบ”
เฮ่อฝูซิงพยักหน้า สีหน้าฉายชัดว่าเข้าใจทุกอย่างโดยกระจ่าง เขารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ สมัยก่อนตอนอยู่ไต้หวัน อาจารย์ก็ชอบใช้ไม้นี้เหมือนกัน บอกว่าเป็นการเรียนอย่างมีความสุขบ้างละ สร้างการเรียนรู้แบบสมดุลและหลากหลายบ้างละ สุดท้ายก็ให้จัดกิจกรรมแสดง
ละครหรือแบ่งกลุ่มแข่งขันอะไรวุ่นวายไปหมด สอดไส้การประเมินคะแนนอันโหดร้ายในห่อลูกกวาดสีสันสดใส เพราะนึกว่าการทำเช่นนี้จะช่วยลดความกดดันให้นักเรียนได้
ได้ยินว่ากระแสนิยมการจัดกิจกรรมเช่นนี้เผยแพร่เข้ามาที่ชาลอมเมื่อหลายปีก่อน แต่การตอบรับจากฝั่งนักเรียนไม่คึกคักเท่าใดนัก กลับเป็นเหล่าอาจารย์ที่สบช่องได้ระบายอารมณ์อันเดือดพล่านในใจหลังจากทนทุกข์มานาน ช่วงเวลานี้ของทุกปีเปรียบได้กับงานเฉลิมฉลองสำหรับเหล่าอาจารย์ของชาลอม เพราะทุกวันจะมีเรื่องตลกให้เล่นไม่รู้จักจบจักสิ้น
แน่นอนว่านักเรียนทั้งหลายไม่เคยรู้เรื่องนี้
“เส้นทางการจัดกิจกรรมจะเริ่มต้นจากโซนห้องสมุดซึ่งอยู่ทิศเหนือสุดของเขตโรงเรียน วิ่งไปตามถนนสายหลัก ไปจนถึงหอคอยต้องห้ามซึ่งอยู่ทิศใต้สุดของโรงเรียน ส่วนพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละคลาสจะประกาศหนึ่งสัปดาห์ก่อนเริ่มงาน” กรอทท์เขวี้ยงชอล์กลงถังเก็บชอล์กแล้วหันหน้ากลับมาทางนักเรียน “เท่านี้แหละ มีคำถามอะไรไหม”
ห้องเรียนเงียบกริบราวกับป่าช้า ไม่ใช่เพราะไม่มีคำถาม แต่เพราะคำถามมากมายจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน
“โอเค งั้นเรามาเลือกหัวหน้าห้องกันเลย มีคนอยากอาสาไหม หรือใครอยากเสนอชื่อเพื่อน? หรือเราจะใช้วิธีโหวต?” คำตอบที่เธอได้รับ คือความเงียบ
“ไม่มีเลยเหรอ โอเค งั้นก็ดี เพราะฉันก็ไม่ชอบทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าประชาธิปไตยที่ทุกคนพูดกัน ก็แค่ทุกคนรวมหัวกันลอบทำร้ายคนดวงซวยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นละ”
อืมๆ ที่อาจารย์พูดมาก็ถูกนะ ฝูซิงพยักหน้าอีกครั้ง พลางนึกเห็นด้วยในใจ
กรอทท์ยิ้มบาง ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบห้อง มองหาคนดวงซวยที่กำลังจะต้องมาแบกรับภาระที่ว่า
ฝูซิงเห็นดวงตาของเธอกวาดผ่านแบรดกับเด็กหนุ่มผมดำคนเมื่อครู่ ทำให้เขาแอบสะใจอยู่เงียบๆ
หึๆ ดูเหมือนงานนี้จะได้เห็นเด็กดื้อโดนลงโทษกับเขาบ้าง หวังว่าบทเรียนครั้งนี้จะช่วยให้พวกเขาเป็นเด็กดี ไม่ก่อเรื่องอีกในอนาคต—
“คนที่ก่อเรื่องในคลาสอาจารย์ชไนเดอร์เมื่อคาบเรียนที่แล้ว คือ . ใคร . กัน . จ๊ะ” กรอทท์พูดเสียงสูงสลับต่ำเหมือนกำลังร้องเพลง ย้ำแต่ละคำที่ออกจากปากแบบเน้นๆ
จู่ๆ ฝูซิงก็รู้สึกแข็งทื่อไปทั้งร่าง
สายตาของทุกคนในชั้นจ้องตรงมาที่เขา
“อ๋า! ที่แท้ก็เธอนี่เอง” กรอทท์ค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาหาฝูซิงอย่างช้าๆ มือข้างหนึ่งยื่นออกมาตบข้างแก้มเขาเบา
“โอ๊ยโย้ยโหย! หน้าตาไร้เดียงสาไร้พิษภัยแบบนี้ ไม่นึกเลยว่าจะรสนิยมฮาร์ดคอร์แบบนั้น กระทั่งตาเฒ่าชไนเดอร์ก็ยังไม่เว้น”
“นั่นเป็นอุบัติเหตุนะครับ...” เขาไม่พิศวาสชายแก่วัยกลางคนหรอกนะ!
“ต่อให้เป็นอุบัติเหตุ แต่เธอสร้างเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นได้ก็นับว่าไม่ธรรมดาเลยนะ” กรอทท์หัวเราะร่วนขณะพูดต่อ “สรุปคือ เธอมาเป็นหัวหน้าห้องก็แล้วกันนะ”
“แต่ผมไม่—”
ดวงตากลมโตของกรอทท์หรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงกระซิบออกคำสั่งที่เฉียบขาดเหมือนราชินีฟังแล้วชวนขนลุก “คิดจะขัดคำสั่งฉันเหรอ”
เฮ่อฝูซิงสูดหายใจลึกอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะรีบตอบรับปลกๆ อย่างหวาดหวั่น “ไม่กล้าครับๆ...”
ประกาศิตจากราชินี ใครขัดขืน ตายสถานเดียว
แล้วทุกสิ่งก็เป็นไปตามพระบัญชาด้วยประการฉะนี้
วันศุกร์หลังวิชาโฮมรูม เฮ่อฝูซิงกลับไปที่หอพัก
หลังจากรับหน้าที่หัวหน้าห้องมาอย่างไม่เต็มใจ เขารู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดความรับผิดชอบที่ใหญ่เกินตัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอยู่หน่อยๆ
เฮ่อฝูซิงผลักเปิดบานประตูที่มีตัวเลข 305 สลักไว้
หลังประตูบานนั้นคือห้องรับแขกที่กว้างขวางพอสมควร กลางห้องคือชุดโต๊ะไม้กับเก้าอี้บุนวมสไตล์ยุโรปสี่ตัว มุมหนึ่งของห้องรับแขกมีทางเชื่อมออกไปที่ห้องน้ำ ลึกเข้าไปด้านในห้องคือกำแพงที่กั้นกลางระหว่างพื้นที่สองฝั่ง แต่ละฝั่งมีชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ประกอบด้วยเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว กับตู้เก็บของบิวต์อินติดกำแพง
กำแพงที่กั้นอยู่กลางห้องทำให้พื้นที่ด้านในกลายเป็นสองห้องนอนเล็กในห้องเดียวกัน หากมองจากห้องรับแขกจะเห็นทุกอย่างในห้องได้อย่างชัดเจน แต่กำแพงตรงกลางก็ยังช่วยสร้างความรู้สึกของพื้นที่ส่วนตัวได้บ้าง
ตอนแรกที่เขามา ภายในห้องนอนมีเขาเพียงคนเดียว เขาชอบความรู้สึกที่แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องมากระทบใบหน้า ดังนั้นเขาจึงเลือกเตียงฝั่งริมหน้าต่าง
ไม่เหมือนปีศาจค้างคาวเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหมล่ะ
แต่วันนี้ฝูซิงสังเกตว่าในห้องมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป เตียงอีกหลังที่อยู่ด้านในมีกระเป๋าสัมภาระสามสี่ใบวางอยู่ บนโต๊ะเขียนหนังสือมีหนังสือกับเอกสารต่างๆ กองระเกะระกะ
รูมเมทของเขาย้ายเข้ามาแล้วเหรอ
ฝูซิงยืนอยู่ริมนอกของห้องนอนแล้วชะโงกหัวเข้าไปอย่างกระตือรือร้น
ไม่มีใครอยู่แฮะ...สงสัยไปกินข้าวเย็นแล้วละมั้ง
เยสสส! อยากรู้จังเลยว่ารูมเมทของเขาเป็นคนแบบไหน! เขาไม่เคยอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมาก่อนเลย!
ฝูซิงนอนพังพาบอยู่บนเตียงของตัวเองอย่างสบายใจ เขาจินตนาการเรื่องรูมเมทของตัวเองไปต่างๆ นานา พลางหยิบหนังสือเรียนใหม่มาพลิกอ่าน รอคอยให้อีกฝ่ายกลับมาที่ห้อง
ทว่า คืนนั้นก็ผ่านไปโดยมีเขาอยู่เพียงคนเดียว ตลอดสองวันช่วงสุดสัปดาห์นั้น เขาก็อยู่ในห้องเพียงคนเดียวเช่นเดิม
รูมเมทลึกลับของเขาหายไปไหนเนี่ย เขาทำอะไรของเขาอยู่นะ?
ฝูซิงนอนอยู่บนเตียงพลางครุ่นคิด แต่คิดอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ
รีบกลับมาได้แล้วน่า เขาเบื่อจะแย่แล้วเนี่ย...
นักเรียนของชาลอมเลือกวิชาเรียนได้โดยอิสระ มีเพียงวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษเท่านั้นที่เป็นวิชาบังคับ นอกนั้นเป็นวิชาเลือกทั้งหมด
คลาสแรกของฝูซิงคือเช้าวันจันทร์ตอนสิบโมง วิชาเรียนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังพิเศษ จะมีคนเลือกเรียนน้อยมาก อย่างไรก็ไม่เกินสามสิบคน และเนื่องจากลักษณะพิเศษของแต่ละเผ่าพันธุ์ เวลากลางวันจำนวนนักเรียนในโรงเรียนจะน้อยเป็นพิเศษ แลดูค่อนข้างเงียบเหงา แต่พอช่วงพลบค่ำซึ่งเป็นเวลาเรียนของวิชาบังคับ บรรยากาศในโรงเรียนจะคึกคักขึ้นมาทันตา
ห้องเรียนวิชา ‘พลังพิเศษภาคทฤษฎีและปฏิบัติ’ กว้างขวางพอสมควร ขนาดเท่าสนามบาสเกตบอลสองสนาม พื้นที่ว่างด้านในไม่มีอุปกรณ์ใดๆ มีเพียงเก้าอี้ตัวยาวที่วางเรียงชิดผนัง และกระดานดำแบบมีล้อเลื่อนสองชุด
ตอนที่ฝูซิงมาถึง นักเรียนคนอื่นๆ มากันเยอะพอสมควรแล้ว ล้วนเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยจากวิชาเรียน ‘อาคมพื้นฐาน’
“ได้ยินมาว่าอาจารย์วิชานี้ดุมากเลยนะ” เด็กหนุ่มผมทองที่มีดวงตาสีเขียวมรกต หูแหลมเรียว หันมาพูดกับเฮ่อฝูซิง
“จริงเหรอ” ฝูซิงกระซิบตอบ
เด็กหนุ่มผมทองเป็นเอลฟ์ที่อยู่ห้องเดียวกับเขาชื่อ เอ็มเมอรัลด์ เขาเลือกเรียนวิชาคณิตศาสตร์ระดับกลางเหมือนฝูซิง ตอนนั้นเอ็มเมอรัลด์เดินเข้ามาในคลาสพร้อมถุงหนักอึ้งใบหนึ่ง พอเข้ามาในห้องก็รูดเปิดปากถุงแล้วเริ่มเร่ขายสินค้าให้ทุกคน
“อยากได้หินวิเศษจากแดนศักดิ์สิทธิ์ของเอลฟ์ไหม” เอ็มเมอรัลด์หยิบหินสีดำเมี่ยมก้อนหนึ่งออกมา แล้วพูดกับฝูซิงด้วยน้ำเสียงพะเน้าพะนอ “หรืออยากได้ขนหมูป่า? ฟันหน้าของกระรอก? เขากวาง? วางใจเถอะ ของทั้งหมดนี้เก็บมาหลังจากสัตว์พวกนี้ตายตามธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีวิญญาณร้ายอะไรสิงสู่อยู่ในนั้น”
ฝูซิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงง
เครื่องหน้าของเอ็มเมอรัลด์งดงามเหมือนรูปปั้น แลดูสูงส่งสง่างามเป็นที่สุด แต่พฤติกรรมการพูดจาของเขากลับเหมือนลุงวัยกลางคนที่ยืนขายหนอนไหมกับหนูขาวย้อมสีให้เด็กประถมที่หน้าประตูโรงเรียนไม่ผิดเพี้ยน
“หินวิเศษนี่ทำอะไรได้บ้างเหรอ” ฝูซิงถามพลางมองหินก้อนนั้น
“หินวิเศษได้รับพลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ช่วยรักษาสุขภาพของเจ้าของหินน่ะ”
“จริงเหรอ”
“เซนส์ฉันมันบอกว่าเป็นแบบนั้นน่ะ” เอ็มเมอรัลด์ตอบอย่างมั่นใจ
อาศัยเซนส์ของตัวเองเป็นเครื่องการันตีแบบนี้ได้ด้วยเรอะ! “ฉันรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นะ...”
“แต่นี่ไม่ใช่หินธรรมดาจริงๆ นะ ผู้เฒ่าของเผ่าเราเคยบอกว่า ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเราล้วนได้รับพลังพิเศษ พกติดตัวไว้ยังไงต้องดีแน่ๆ”
“งั้นเหรอ” เหมือนคริสตัลนำโชคหรือโคมอธิษฐานอะไรแบบนั้นสินะ ไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีพลังวิเศษอะไรหรือไม่ แค่พกไว้แล้วอุ่นใจกว่าเท่านั้นเอง
“เท่าไหร่เหรอ”
“หนึ่งยูโร”
“เอ๋? แต่ฉันยังไม่ได้รับเงินจากทุนของโรงเรียนเลย ตอนนี้ฉันมีแต่เงินไต้หวัน”
“ไม่เป็นไร” มุมปากของเอ็มเมอรัลด์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะควักไอโฟนออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างคล่องแคล่ว นิ้วจิ้มเครื่องคิดเลขอย่างชำนิชำนาญ “ค่าเงินยูโรแลกเป็นดอลลาร์ไต้หวันตอนนี้ เท่ากับ หนึ่งยูโรต่อสี่สิบสองจุดแปดสี่ดอลลาร์ไต้หวัน ถ้านายซื้อ ฉันคิดนายสี่สิบสองถ้วนก็พอ”
“โห! มืออาชีพจัง!” ฝูซิงเอ่ยอย่างชื่นชมพลางมือโทรศัพท์ไอโฟนในมือเอ็มเมอรัลด์ “เครื่องนี้แพงมากไม่ใช่เหรอ”
เอ็มเมอรัลด์เลิกคิ้วเล็กน้อย “หนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าดอลลาร์สหรัฐ ใช้มาเจ็ดเดือนแล้ว ถ้านายอยากซื้อฉันลดให้จากราคาช็อปยี่สิบเปอร์เซ็นต์” เขาหยุดนิดหนึ่งก่อนจะเสริมอีกว่า “แถมหินวิเศษให้ก้อนนึงด้วย”
“เอ่อ...ไม่ละ” ของแถมไม่ลงทุนเลยสักนิด เหมือนซื้อรถยนต์แล้วแถมน้ำหอมติดรถอะไรแบบนี้ งกอะไรขนาดนั้น “ฉันซื้อหินวิเศษอย่างเดียวก็พอแล้วละ”
แม้ว่าหินก้อนนี้จะหน้าตาธรรมดา แต่ในเมื่อท่านผู้เฒ่าแห่งเผ่าเอลฟ์ออกปากรับประกันความศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ ซื้อไว้สักก้อนคงไม่เสียหาย
เฮ่อฝูซิงหยิบกระเป๋าสตางค์ลายแม่เหล็กหน้าตาประหลาดออกมา (หมายเหตุ นี่คือ ‘กระเป๋าสตางค์พลังงานอินฟราเรดอัศจรรย์เพื่อสุขภาพ’ ที่ซื้อมาจากรายการไดเร็กเซลส์ทางทีวี) แล้วควักเงินสี่สิบสองดอลลาร์ไต้หวันออกมายื่นให้เอ็มเมอรัลด์
“ขอบคุณที่อุดหนุนนะคร้าบ” เอ็มเมอรัลด์ยิ้มขณะรับเงินมาไว้ในมือ แล้วยื่นหินมาตรงหน้าฝูซิงด้วยสีหน้าแช่มชื่น “อ้ะนี่ หินของนาย”
ฝูซิงอึ้งไปเล็กน้อย “ขายแบบนี้เลยเหรอ” ชุ่ยเกินไปแล้วมั้ง!
“ใช่สิ ไม่งั้นจะขายยังไงล่ะ”
“ไม่คิดจะห่อหรืออย่างน้อยก็ผูกริบบิ้นสักเส้นให้ดูสวยน่าเก็บสักหน่อยเลยเหรอ”
“ทำไมต้องยุ่งยากด้วยล่ะ”
ฝูซิงมองหน้าเอ็มเมอรัลด์ ก่อนจะเอ่ยอย่างเคลือบแคลงเล็กน้อย “ตอนนี้นายขายของไปได้กี่ชิ้นแล้ว”
“อืม...ความจริงนายคือลูกค้าคนแรกของฉันน่ะ นักเรียนที่ชาลอมนี่ขี้เหนียวมากเลย คนที่ซื้อของบนเว็บออนไลน์ตัดสินใจจ่ายเงินเร็วกว่าเยอะ แต่ก็มีพวกนิสัยไม่ดีบางคนมาขอคืนสินค้าตอนหลังด้วยเหมือนกัน...” เอ็มเมอรัลด์สบถอะไรออกมาเบาๆ สองสามคำ น่าจะเป็นคำหยาบในภาษาเอลฟ์ละมั้ง
“ว่าแล้วเชียว...”
เอ็มเมอรัลด์เลิกคิ้ว “ทำไมเหรอ”
“ฉันคิดว่านายควรจะทำแพ็กเกจสินค้าให้สวยๆ หน่อยนะ จะได้ดึงดูดลูกค้าให้รู้สึกอยากซื้อ” ฝูซิงย้อนนึกถึงตอนที่เขาดูรายการไดเร็กเซลส์ทางทีวีและช็อปปิ้งอย่างเมามันที่ห้าง “อย่างน้อยก็ต้องมีของแถมหรือส่วนลดพิเศษอะไรให้บ้าง แล้วก็ต้องมีสโลแกนหรือคำโฆษณาอะไรที่จำง่ายๆ ด้วย เช่นว่า ซื้อหินวิเศษได้ของแถมพิเศษ อะไรแบบนี้...” ฝูซิงเกาหัวแกรกๆ “ฉันว่าน่าจะช่วยให้ขายง่ายขึ้นนะ”
“ท่าทางเหมือนนายรู้เรื่องพวกนี้ดีมากเลย” เอ็มเมอรัลด์เก็บหินกลับไปใส่ในกระเป๋าแล้วนั่งลงข้างฝูซิง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ดูเหมือนนายจะคุ้นเคยกับวิธีการขายของพวกมนุษย์ดีใช่ไหม”
“สิบแปดปีที่ผ่านมา ฉันอยู่ในสังคมมนุษย์มาตลอดเลย” ถ้าเทียบกับเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่าลึกกลางภูเขา เขาก็น่าจะคุ้นเคยกับมนุษย์มากกว่านะ
“งั้นเหรอ...”
แม้จะทำหน้าเหมือนไม่ยี่หระ แต่เอ็มเมอรัลด์ก็ถามเรื่องนู้นเรื่องนี้ตลอดไม่มีหยุด พยายามขอความเห็นจากฝูซิง ทำเหมือนเขาเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดของร้านตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นาน เอ็มเมอรัลด์ก็แกล้งทำเป็นหน้านิ่งเหมือนใช้ความคิดอย่างหนัก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “โอเค หลังจากนี้ถ้าฉันเปิดบริษัท ฉันอาจจะเรียกนายให้มาร่วมทำธุรกิจกับฉันด้วย” ทำท่าประหนึ่งว่าข้อเสนอของเขาเป็นความเมตตาอันสูงสุดจากพระเจ้า
“ขอบใจมากนะ...” แม้ว่าฝูซิงจะไม่สนใจธุรกิจของเอ็มเมอรัลด์เลยแม้แต่น้อย แต่พฤติกรรมและคำพูดของอีกฝ่ายกระตุ้นต่อมความอยากรู้ในตัวเขา เขานึกว่าเอลฟ์ต้องสูงส่งสง่างาม บริสุทธิ์ไร้กิเลสทั้งหลายของมนุษย์ แต่พอเอ็มเมอรัลด์ตรงข้ามกับทุกอย่างที่คิดไว้ เพราะเขานิสัยเหมือนมนุษย์ปุถุชนไม่มีผิด แต่ก็เพราะแบบนี้เอง ทำให้รู้สึกว่าเข้ากับเขาได้ดี
ตัดกลับมาที่คลาสเรียนในเวลานี้
กริ่งบอกเวลาเข้าเรียนดังขึ้น คณะอาจารย์ประจำวิชา ‘พลังพิเศษภาคทฤษฎีและปฏิบัติ’ ทยอยกันเดินเข้ามาในห้อง ทั้งหมดหกคน กรอทท์และอาจารย์วิชาเลขที่ฝูซิงเพิ่งเจอเมื่อเช้าก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ชายชาวเอเชียในชุดสีดำสนิทเดินเข้ามายืนอยู่ตรงกลาง ใบหน้าเรียบเฉย ผมหวีเสยไปข้างหลังและจัดทรงจนเรียบแปล้เหมือนเทเจลลงไปทั้งกระปุก เหนือสันจมูกคือแว่นสายตาไร้กรอบ ดวงตาชั้นเดียวหลังแว่นให้ความรู้สึกเฉียบคมราวใบมีด เขายืนอยู่ตรงกลาง ใช้สายตาอันแหลมคมกวาดมองนักเรียนภายในห้อง ชั่ววินาทีนั้น เสียงพูดคุยจอแจก็เงียบกริบไปทันควัน
“ฉันคือครูผู้สอนหลักของคลาสนี้ ชื่อ ซามุคาวะ อาจารย์ที่เหลืออีกห้าท่านเป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอน ไม่สาธยายอะไรให้มากความแล้วกันนะ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากให้ชีวิตลำบากน้อยลงหน่อย ก็พยายามเอาชนะความไร้ความสามารถของตัวเองไปให้ได้แล้วกัน”
หลังจากจบคำกล่าวเปิดคลาสอันดุดันแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่บทเรียนทันที
“บทเรียนหลักของวันนี้คือการแปลงร่าง แม้ว่าทุกคนในที่นี้จะสามารถคงรูปลักษณ์ที่เป็นมนุษย์ไว้ได้ แต่ก็ยังต้องฝึกตัวเองให้สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างชำนาญและรวดเร็ว แบบนี้”
พอพูดจบ เงาดำสองเงาก็ผุดขึ้นจากด้านหลังของซามุคาวะ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่กลายเป็นปีกอีกาคู่หนึ่ง
“ว้าว!” นักเรียนจำนวนไม่น้อยอุทานด้วยความตื่นเต้น
ซามุคาวะกางปีกออก ก่อนจะหุบปีกลง แล้วเงาดำทั้งสองเงาก็หดกลับไปด้านหลัง และอันตรธานไปในพริบตา
“การแปลงร่างเฉพาะส่วนแบบที่สาธิตให้ดูเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ถ้าฝึกทักษะแปลงร่างจนชำนาญ จะมีประโยชน์มากในยามคับขัน ไม่ว่าจะใช้หนีหรือโจมตีศัตรูก็ได้ทั้งสองอย่าง อีกประการหนึ่งคือ เป็นวิธีฝึกควบคุมพลังของตัวเองที่ดีที่สุด”
ซามุคาวะบอกว่า มนุษย์กึ่งสัตว์มีพลังในการแปลงร่างเป็นอสูร เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นผลิตผลของพันธสัญญาระหว่างเผ่าพ่อมดแม่มดกับเทพเจ้าผู้สร้างตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์หมาป่า มนุษย์แมวป่า และมนุษย์กึ่งสัตว์อื่นๆ จากทวีปอเมริกาส่วนมากจะจัดอยู่ในประเภทนี้
สัตว์ภูตคือสัตว์ป่าที่มีพลังวิญญาณกล้าแกร่ง เมื่อผ่านการฝึกฝนและบำเพ็ญตนแล้ว ก็จะบรรลุความสามารถในการแปลงร่างเป็นมนุษย์
ภูตคือเผ่าพันธุ์แฟรี่และเอลฟ์
นาคคือมังกรที่บำเพ็ญตนจนมีพลังวิญญาณแข็งแกร่ง ต่างจากนางเงือกซึ่งมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลาแต่กำเนิด นาคหรือนาคีจัดอยู่ในประเภทสัตว์ภูต
ดีม่อนเป็นสปีชี่ส์ที่ไม่ได้เกิดจากเงื่อนไขของพันธสัญญาโบราณหรือการฝึกฝนตนจนเกิดพลัง แต่มีพลังเวทมนตร์เฉพาะตัวอยู่แล้วนับตั้งแต่ยุคสร้างโลก เผ่าเลือดสีนิลและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ดังที่ปรากฏในตำนานเทพปกรณัมและเทพนิยายโบราณทั้งหลายจัดอยู่ในประเภทนี้ การกำเนิดของดีม่อนและภูตไม่ต่างกัน แต่คุณสมบัติเฉพาะและพลังทักษะแตกต่างกันอย่างมาก จึงต้องแยกเป็นคนละประเภท
ซามุคาวะสอนเร็วมากจนฝูซิงจดตามไม่ทัน เขาจึงใช้มือถืออัดเสียงแล้วนั่งฟังอาจารย์สอนไปอย่างเงียบๆ แทน
นวัตกรรมทั้งหลายล้วนเกิดจากความเกียจคร้านไงล่ะ หึๆ หึๆ
พอซามุคาวะอธิบายหลักการพื้นฐานทั้งหมดจบแล้ว ก็สอนเรื่องแหล่งที่มาของพลังและวิธีการใช้พลังของแต่ละเผ่าพันธุ์ แล้วให้นักเรียนในห้องเริ่มฝึกด้วยตัวเอง
“สามารถจับคู่ฝึกกับเพื่อนที่อยู่คนละเผ่าพันธุ์กับเราได้ ถ้าพวกเธอมองออกว่าอีกฝ่ายมีพลังพิเศษอะไร ก็เท่ากับว่าเธอถือไพ่เหนือกว่า เพิ่มโอกาสการมีชีวิตรอดในสงครามต่างเผ่าได้อีกนิดหน่อย” ซามุคาวะออกคำสั่งพลางจ้องนักเรียนในห้องด้วยดวงตาเย็นเยียบ
น้ำเสียงของซามุคาวะแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ใช่อาจารย์ประเภทที่จะฟูมฟักนักเรียนด้วยความรัก
ฝูซิงเดินไปที่มุมหนึ่งของห้องแล้วเริ่มจับคู่ฝึกกับเอ็มเมอรัลด์ เขาลองรวบรวมสมาธิตามวิธีที่ซามุคาวะสอนในคลาสเรียนเมื่อครู่ พยายามคิดถึงรูปร่างที่แท้จริงของตัวเองก่อนจะกลายร่างเป็นมนุษย์
ทว่า แม้เวลาจะผ่านไปจนเอ็มเมอรัลด์เรียกปีกออกมาเป็นรอบที่สาม และเปลี่ยนสีผมจากบลอนด์อ่อนเป็นน้ำตาลเข้มสำเร็จ ฝูซิงก็ยังไม่มีพัฒนาการใดๆ
“เฮ้! นายโอเคไหมน่ะ” เอ็มเมอรัลด์มองฝูซิงด้วยสีหน้าเคลือบแคลง “นายเป็นสัตว์ภูตแน่เหรอ”
“ฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นปีศาจค้างคาวเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ก่อนหน้านี้ฉันนึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ธรรมดามาตลอด ไม่เคยแปลงร่างมาก่อนเลย”
“นายล้อฉันเล่นหรือเปล่าเนี่ย”
ฝูซิงถอนใจแล้วหลับตาลง ขณะที่เขาพยายามรวบรวมสมาธิอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็เข้ามาดึงแขนเสื้อเขา
พอหันไปมองก็เจอเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง—ไม่สิ ต้องบอกว่า เด็กหนุ่มที่ ‘หล่อมาก’ ยืนอยู่ข้างหลังเขา ชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้นคือโรคอร์ต เป็นเพื่อนห้องเดียวกับเขา
ใบหน้าของโรคอร์ตระบายด้วยรอยยิ้ม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ใต้เปลือกตานั้นคือนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวมหาสมุทรลึกไร้ที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกเหมือนแบ๊ดบอยที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบเกณฑ์
ฝูซิงไม่เคยไปผับมาก่อน แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อโรคอร์ตให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ไปผับทุกคืน และเขาต้องเป็นตัวท็อปที่ผู้หญิงทั้งร้านแย่งกันเลี้ยงเหล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฉันชื่อโรคอร์ต” อีกฝ่ายยิ้มพลางแนะนำตัว น้ำเสียงเปี่ยมด้วยแรงดึงดูดฟังแล้วชวนให้อยากฟังต่อไปเรื่อยๆ
“อื้อ ฉันชื่อเฮ่อฝูซิง นายมีอะไรเหรอ”
โรคอร์ตชี้ไปที่กระเป๋าซึ่งวางอยู่ข้างเท้าของฝูซิงแล้วถามว่า “ในกระเป๋าใบนั้นมีคุกกี้อยู่บ้างไหม”
เฮ่อฝูซิงชะงักไปชั่วครู่ “หืม?”
ชาวยุโรปเขาชอบชวนคุยด้วยวิธีนี้กันเหรอ แบบว่า...คุณคนสวย ในกระเป๋าใบนั้นของคุณมีคุกกี้อยู่ใช่ไหมครับ เรามาแบ่งกันกินดีไหม อะไรแบบนี้เหรอ
“ลูกอมอย่างอื่นก็ได้นะ” ประกายแห่งความหวังฉายชัดจากดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น
แม้จะรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่ฝูซิงก็ตอบไปตามจริงว่า “ฉันจำได้ว่ายังมีถั่วถุงที่แจกบนเครื่องบินเก็บไว้ในกระเป๋าอยู่นะ...” เขาย่อตัวลงแล้วหยิบถุงสุญญากาศขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากก้นกระเป๋า “อันนี้ได้ไหม”
“ขอบใจมากนะ!”
“ช้าก่อน!” เอ็มเมอรัลด์พุ่งเข้ามาขวางระหว่างคนทั้งสอง แล้วหันไปกระซิบกับฝูซิงว่า “นายจะคิดเงินเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรหรอก อันนี้ฉันได้มาฟรีน่ะ”
“มีโอกาสก็ต้องกอบโกยสิ”
“ฉันไม่ได้จนขนาดนั้นสักหน่อย!” ฝูซิงเหล่มองเอ็มเมอรัลด์อย่างไม่ชอบใจ แล้วหันไปส่งของในมือให้โรคอร์ต
โรคอร์ตรีบยื่นมือออกมารับด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วฉีกเปิดถุงหยิบถั่วออกมากินทันที
เพื่อนนักเรียนหญิงที่ยืนอยู่รอบๆ แอบมองมาที่พวกเขาไม่หยุด ดวงตาฉายประกายหิวกระหายอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่พวกเธอจ้องตาเป็นมันนั้นไม่ใช่ถั่วลิสง
เฮ่อฝูซิงมองโรคอร์ตด้วยแววตาแปลกใจ ถั่วลิสงที่แม้กระทั่งพ่อของเขายังเมิน โรคอร์ตกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย
คงหิวมากละมั้ง...เขาอาจจะมาจากครอบครัวยากจนในพื้นที่ห่างไกลความเจริญก็ได้ พอรู้ว่าลูกชายจะมาเรียนที่ชาลอมอะคาเดมี่ ครอบครัวจึงกัดฟันใช้เงินที่สะสมได้จากการขายข้าวสาลีตลอดทั้งปีเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินให้เขา ไม่แน่ว่าคนในครอบครัวนั้นอาจจะกำลังอยู่อย่างอดอยากปากแห้ง ตาละห้อยรอให้โรคอร์ตส่งเงินทุนของโรงเรียนกลับไปจุนเจือ...
“เอ่อ นายมาจากประเทศไหนเหรอ” ฝูซิงพยายามชวนเขาคุยด้วยความสงสาร ส่วนเอ็มเมอรัลด์ก็ยืนบ่นมุบมิบอยู่ข้างๆ ด้วยความไม่พอใจที่ฝูซิงยอมให้ของโรคอร์ตกินฟรีๆ โดยไม่เก็บเงิน
“ไอร์แลนด์น่ะ”
“อ้อ ฉันมาจากไต้หวันนะ นายเคยไปไต้หวันมาก่อนหรือเปล่า”
โรคอร์ตส่ายหน้าพลางเทถั่วเม็ดสุดท้ายลงบนฝ่ามือ เขามองถั่วเม็ดนั้นด้วยแววตาอาลัยครู่หนึ่งก่อนจะโยนถั่วเข้าปาก
พอฝูซิงเห็นดังนั้นก็รีบถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อยากกินอีกไหม ฉันยังมีอาหารอีกนะ” พูดจบก็หยิบปลาเส้นจากกระเป๋าเป้ออกมายื่นให้เขาด้วยความเต็มใจ
“อันนี้ก็ของฟรีเหมือนกันเหรอ” เอ็มเมอรัลด์ถามพลางจ้องหน้าฝูซิงเขม็ง
“ไม่ใช่หรอก คิดอะไรมาก ของเล็กน้อยเอง”
“ฉันเริ่มเสียใจที่คิดจะร่วมทำธุรกิจกับนายแล้วละ ถ้านายเป็นหุ้นส่วน นายต้องแจกของฟรีจนบริษัทเราเจ๊งแน่นอน”
“เอาเถอะน่า ตอนนี้บริษัทของนายก็ดำเนินธุรกิจอยู่แค่ในสมองนายเท่านั้นไม่ใช่หรือไง”
โรคอร์ตรับซองปลาเส้นมาแล้วพิจารณาห่อพลาสติกด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อันนี้คือเส้นหมี่เหรอ”
“ไม่ใช่หรอก แต่น่าจะมีแป้งผสมอยู่ด้วยนะ” เขาช่วยโรคอร์ตฉีกถุง กลิ่นหอมจางๆ ของปลาโชยออกมา
โรคอร์ตหยิบออกมาสองเส้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วลองเอาส่วนปลายแตะที่ลิ้นเพื่อชิมรส แววแห่งความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้า แล้วเขาก็หยิบปลาเส้นกำใหญ่ยัดเข้าปากอย่างตะกละตะกลาม
เจ้าของริมฝีปากสุดเซ็กซี่ไม่รู้ตัวเลยว่าสาวๆ ทั่วห้องกำลังมองมาที่เขาด้วยความหิวกระหาย โรคอร์ตในเวลานี้มีปลาเส้นสีเหลืองครีมพวงใหญ่ห้อยออกมาเต็มปาก ราวกับเครื่องย่อยที่กำลังคายกระดาษออกมา
“อร่อยจัง! ขอบใจมากนะ เฮ่อฝูซิง” โรคอร์ตเอ่ยขอบคุณจากใจจริง รอยยิ้มนั้นไร้เดียงสา ไม่เหมาะกับใบหน้าหล่อคมของเขาแม้แต่น้อย
“แล้ว...นายมาจากเผ่าพันธุ์ไหนเหรอโรคอร์ต”
“แฟรี่น่ะ”
“หา!?” ภาพของเด็กสาวหน้าตาสะสวยที่เจอในห้องเรียนวิชาอาคมพื้นฐานผุดขึ้นมาในสมอง “นายซ่อนปีกโปร่งแสงของนายไว้เหรอ”
“เอ่อ...ฉัน...ไม่มีน่ะ” โรคอร์ตตอบอย่างคลุมเครือ ก่อนจะกลืนอาหารในปากลงท้องไปอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ใช่เผ่าพันธุ์นั้นน่ะ”
“งั้นเหรอ”
โรคอร์ตเปิดปากถุงแล้วเงยหน้า เทเศษที่เหลือก้นถุงลงปากจนหมด เสร็จแล้วใช้หลังฝ่ามือเช็ดปาก ก่อนจะหันมายิ้มให้ฝูซิงอย่างเบิกบาน
“อร่อยมากเลย ขอบใจนะ อ้อใช่!” เหมือนโรคอร์ตจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วควักซูกัสสองเม็ดออกมายื่นให้ฝูซิง “ฉันเอามาจากโรงอาหารน่ะ แบ่งให้นายอันหนึ่ง”
ฝูซิงอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็รับไว้ “ขอบใจนะ”
หลังจากคุยกับโรคอร์ตได้เพียงไม่กี่นาที เขาก็ตระหนักว่ารูปลักษณ์ภายนอกกับนิสัยของอีกฝ่ายแตกต่างกันสุดขั้ว
ถ้าเขาไปออกรายการวาไรตี้แล้วสวมคาแร็กเตอร์ ‘ชายหนุ่มผู้ไร้เดียงสา’ หรือ ‘หนุ่มใสซื่อร้อยเปอร์เซ็นต์’ ละก็ รับรองหลอกทุกคนได้สนิทใจ
โรคอร์ตหันไปหาเอ็มเมอรัลด์แล้วถามว่า “แบ่งให้นายด้วยอันหนึ่ง เอาสีเขียวไหม”
เอ็มเมอรัลด์ตกใจเล็กน้อย “แต่ฉันยังไม่ได้ให้อะไรนายเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
เอ็มเมอรัลด์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ขณะที่กำลังจะยื่นมือไปรับลูกอม เสียงเย็นเยียบชวนเสียวสันหลังก็แว่วมาจากด้านหลัง
“พวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่”
พอหันไป ทั้งสามก็ประจันหน้ากับร่างสีดำที่แผ่รังสีอำมหิตไปทั่ว ซามุคาวะยืนผงาดอย่างน่ากลัวอยู่ข้างหลัง
“เอ่อ...อาจารย์ซามุคาวะ...”
คิ้วของซามุคาวะขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากเม้มแน่น กล้ามเนื้อบนใบหน้าเกร็งจนเส้นเอ็นปูดโปน “ฉันละประหลาดใจจริงๆ ดูเหมือนพวกเธอจะคิดว่าคลาสนี้สบายมากสินะ”
“เอ่อ ไม่ใช่หรอกครับ—” ฝูซิงกับเอ็มเมอรัลด์พยายามอธิบายเป็นพัลวัน
“ใช่แล้วละ แต่นายเสียงดังไปหน่อยนะ ถ้าเงียบกว่านี้สักหน่อยจะดีมากเลย” โรคอร์ตตอบอย่างตรงไปตรงมา ถ้าคนนอกเห็นภาพนี้เข้า ต้องคิดว่าเป็นนักเรียนเกเรกำลังท้าทายอำนาจอาจารย์อย่างแน่นอน
แต่โรคอร์ตแค่พูดความรู้สึกของตัวเองออกไปโดยไม่ได้คิดเท่านั้นเอง
“โรคอร์ต!” อ๊ากกก! เจ้าบ้านี่ทำอะไรของมันเนี่ย! นึกว่าเป็นเด็กเรียบร้อย ที่ไหนได้ จอมขบถดีๆ นี่เอง!
แต่ดูเหมือนโรคอร์ตจะไม่รู้สึกรู้สา เขายื่นใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วจ้องใบหน้าที่โกรธจนกลายเป็นสีเทาของซามุคาวะเขม็ง “ซามุคาวะ สีหน้านายดูแย่มากเลย นายกำลังโมโหอยู่เหรอ”
“กรุณาเติมคำว่าอาจารย์หน้าชื่อฉันด้วย!”
“อย่าโมโหสิ โมโหแล้วไม่น่ารักนะ” โรคอร์ตยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของอีกฝ่าย “ยิ้มหน่อยสิ ซามุคาวะ”
ฝูซิงแอบพึมพำอยู่ในใจ หน้าของซามุคาวะ ต่อให้ไม่โมโหก็ไม่มีส่วนไหนเลยที่เรียกได้ว่าน่ารัก
เด็กเกเรมาดแบ๊ดบอยกำลังหยอกล้อกับลุงแก่ๆ หน้าบึ้ง
ในสายตาของคนอื่นที่มองมา ภาพตรงหน้าช่างประหลาดและชวนให้คิดลึกอย่างยิ่ง เห็นแล้วชวนให้ขนลุกชัน เหงื่อเย็นเยียบผุดทั่วร่าง ท้องไส้ปั่นป่วน
“โรคอร์ต นายอย่าทำแบบนี้เลย...” เอ็มเมอรัลด์พูดเสียงแผ่ว ราวกับกลืนหินวิเศษเข้าไปทั้งถุง “ฉันทนดูไม่ได้จริงๆ...”
เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนไหวกับสุนทรียศาสตร์และความสวยงามรอบตัวอย่างมาก และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ขัดกับมาตรฐานของคำว่า ‘ความงาม’ ของเอ็มเมอรัลด์โดยสิ้นเชิง
ซามุคาวะเบิกตากว้าง ผิวขาวซีดบนใบหน้ากลายเป็นสีแดงจัด แน่นอนว่าสาเหตุไม่ใช่เพราะเหนียมอาย ไม่เคยมีนักเรียนคนไหนกล้าพูดแบบนี้กับเขามาก่อนเลย
“ไอ้เด็กไร้มารยาท—”
“อ้อ อยากกินลูกอมไหม” โรคอร์ตหยิบซูกัสอีกเม็ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วแกะห่อ “กินเสร็จน่าจะอารมณ์ดีขึ้นนะ!”
ซามุคาวะไม่ตอบแต่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา พลังอาคมสีเขียวเรืองแสงเริ่มก่อตัวบนฝ่ามือแล้วขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจะซัดเข้าโจมตีโรคอร์ตได้ทุกเมื่อ
“กริ๊งงงงงง!” เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนกังวานไปทั่ว พร้อมกันนั้นร่างสูงเพรียวสีม่วงแดงก็ปราดเข้ามายืนแทรกกลางคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“หมดคาบเรียนแล้วนะ อาจารย์ซามุคาวะ” กรอทท์เอ่ยด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เล็บสีแดงสดที่ปลายนิ้วมือไล้ไปตามแขนของอีกฝ่าย กดพลังโจมตีที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่โรคอร์ตเอาไว้
“นักเรียนพวกนี้มันเสียมารยาทกับฉัน” ซามุคาวะคำรามด้วยความโกรธ “ต้องลงโทษ!”
กรอทท์เลิกคิ้วเล็กน้อย “เสียมารยาทกับท่านอาจารย์ซามุคาวะหรือนี่!” ริมฝีปากแดงสดยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “อา...นักเรียนที่กล้าหาญแบบนี้ ฉันคิดว่าต้องชมเชยเสียหน่อย”
“ว่ายังไงนะ!”
“พวกเขาเป็นนักเรียนของฉัน คาบเรียนต่อไปก็เป็นวิชาที่ฉันสอน ฉันต้องสอนนักเรียนตามตารางสอน เพราะงั้นถ้ามีปัญหาอะไรเอาไว้คุยกันวันหลังแล้วกันนะ”
กรอทท์หันไปส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ฝูซิงกับอีกสองคนที่เหลือ ฝูซิงกับเอ็มเมอรัลด์รีบลากโรคอร์ตซึ่งยังคงยืนบื้อไม่รู้เรื่องรู้ราวออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น เสียงตะคอกอย่างดุเดือดก็แว่วออกมาจากห้องพักอาจารย์
“ใจแคบอะไรขนาดนี้ มีส่วนไหนในร่างกายนายที่ใหญ่บ้างฮะ!?” เสียงระดับแปดริกเตอร์ของกรอทท์ดังลอดออกมา
“หุบปากนะนังกะเทยควาย!” ตามด้วยเสียงตะคอกอย่างโกรธจัดของซามุคาวะ
กะเทย?
ฝูซิงหันไปมองเอ็มเมอรัลด์อย่างอึ้งๆ อีกฝ่ายยักไหล่แทนคำตอบ สีหน้าเหนื่อยหน่ายเหมือนจะบอกว่า “ก็เป็นแบบนี้ละ”
ช่าง...เหลือเชื่ออะไรอย่างนี้...
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร การได้รู้ว่าอาจารย์ประจำชั้นของเขาเป็นผู้ชาย ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าตอนรู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นไม่ใช่คนเสียอีก
อา...ดูท่าสมองเขาจะมีปัญหาเสียแล้ว
“โรคอร์ต เมื่อกี้นายทำเกินไปแล้วนะ” ระหว่างทางกลับหอพัก ฝูซิงเอ่ยขึ้นอย่างหวาดๆ “เมื่อกี้ฉันนึกว่าจะถูกฆ่าหมกศพซะแล้ว”
“นายอยากตายก็ตายไปคนเดียวสิ ไม่เห็นต้องลากคนอื่นมาตายกับนายด้วยเลย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ฉันจะฟ้องร้องเรียกค่ารักษาจากนายแน่” เอ็มเมอรัลด์ประกาศกร้าว “แต่เอาเงินมาให้ฉันก็พอนะ เพราะฉันรักษาแผลเองได้”
โรคอร์ตซึ่งถูกหนีบอยู่ระหว่างเพื่อนสองคนที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อน “ฉันทำอะไรผิดเหรอ”
ฝูซิงกับเอ็มเมอรัลด์มองหน้ากัน “ที่นายพูดกับอาจารย์ซามุคาวะเมื่อกี้ไงเล่า ผิดเต็มๆ เลย!”
“ผิดตรงไหนเหรอ”
“นายไม่ควรบอกว่าเขาเสียงดัง”
“นายไม่ควรเรียกชื่อเขาโดยไม่มีคำว่าอาจารย์”
“ที่สำคัญที่สุดคือ—” ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน “นายไม่ควรบอกว่าเขาน่ารัก!”
โรคอร์ตเกาหัวอย่างงุนงง “ปัญหาอยู่ที่คำว่าน่ารักเนี่ยเหรอ”
“ใช่น่ะสิ”
“เข้าใจแล้วละ” โรคอร์ตพยักหน้า “ครั้งหน้าฉันจะปรับปรุงนะ”
“อีกอย่าง...คราวหน้านายควรจะระวังท่าทีมากกว่านี้นะ” เอ็มเมอรัลด์ยังบ่นไม่จบ “ฉันไม่อยากเห็นภาพลุงวัยกลางคนถูกหยอกกระเซ้าแบบนั้นอีก ไม่ว่าจะเป็นความชอบป่วยๆ ส่วนตัวของนายหรือเพราะนายอยากท้าทายอาจารย์ แต่ฉันขอเถอะ อย่าทำอะไรแบบนั้นอีกนะ”
“ซามุคาวะไม่ใช่ลุงวัยกลางคนสักหน่อย” โรคอร์ตเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “เขาน่ารักมากเลยนะ”
ฝูซิงชะงักไปเล็กน้อยแล้วหันไปมองหน้าเอ็มเมอรัลด์ ทั้งสองถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายแทบจะพร้อมกัน
คงเพราะมาตรฐานความสวยงามของแต่ละคนต่างกันสินะ...แล้วพวกเขาก็เริ่มจินตนาการว่าคนที่โรคอร์ตแต่งงานด้วยจะหน้าตาเป็นอย่างไร...
ภาพในจินตนาการค่อยๆ ก่อตัวในสมอง โรคอร์ตในชุดสูทสีขาวสะอาดตาช่างหล่อเหลาราวรูปวาด เจ้าสาวในชุดสีขาวหิมะกำลังควงแขนร่างสูงสง่าอย่างเหนียมอาย และเมื่อผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเปิดออก ก็เผยให้เห็นใบหน้าบูดบึ้งไม่มีวันเปลี่ยนของซามุคาวะ...
ฝูซิงขนลุกซู่ พยายามสลัดภาพอันไม่เป็นมงคลออกจากสมองในทันที
“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าถ้าคราวหน้าเจอซามุคาวะอีกก็ช่วยสำรวมหน่อย” เอ็มเมอรัลด์สรุปด้วยสีหน้าอารมณ์เสีย
พอเดินเข้าสู่หอพักแล้ว ทั้งสามก็ขึ้นไปชั้นบน
“ฝูซิง ยืมใช้คอมพิวเตอร์ในห้องนายหน่อยสิ ไอโฟนฉันแบตหมดแล้วน่ะ” เอ็มเมอรัลด์เดินพลางพูดไปด้วย “ฉันจะขอให้ท่านผู้เฒ่าส่งผ้าแถบมาให้”
“ฉันไปด้วยสิ!” โรคอร์ตร้องรับเป็นลูกคู่
“โอเค มาสิ” จะอย่างไรห้องเขาก็ว่างเปล่าอยู่แล้ว มีคนอื่นมาเยี่ยมสักหน่อยน่าจะช่วยให้อบอุ่นขึ้นบ้าง “ว่าแต่นายจะเอาผ้าแถบไปทำอะไรเหรอ”
มุมปากของเอ็มเมอรัลด์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “แพ็กเกจจิ้งไง ใช้ผ้าที่ผ่านการลงอาคมของท่านผู้เฒ่าเผ่าเอลฟ์มาเป็นแพ็กเกจห่อหินวิเศษ ต้องช่วยให้สินค้าดูน่าเชื่อถือขึ้นแน่ๆ!”
“ผ้าที่ผ่านการลงอาคมของท่านผู้เฒ่างั้นเหรอ เป็นของล้ำค่ามากเลยสินะ”
“ไม่หรอก แค่ผ้าที่ผู้เฒ่าเคยใช้ขัดหลังน่ะ ผู้เฒ่าประหยัดมากๆ ของเก่าใช้แล้วก็ไม่กล้าทิ้ง สะสมมาสามพันกว่าปี ตอนนี้มีเป็นหลายร้อยชิ้นแล้วเนี่ย”
“นายนี่มันพ่อค้าใจทรามชัดๆ!”
พอเดินมาถึงประตูห้อง ฝูซิงก็วางกระเป๋าเป้ในมือลงแล้วรื้อหากุญแจ
“ทำไมไม่เรียกรูมเมทนายให้ช่วยเปิดประตูล่ะ”
“รูมเมทฉันหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ จนตอนนี้ยังไม่เจอตัวเขาเลย” ฝูซิงพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “อยู่คนเดียวเบื่อมากเลย”
“รูมเมทของฝูซิงคือใครเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน” เขาสอดลูกกุญแจแล้วบิดเปิดประตู ผลักเข้าไปด้านใน “หวังว่าเขาจะนิสัยดีนะ—เฮ้ย!”
วินาทีที่ประตูห้องเปิดออก ฝูซิงถึงกับอ้าปากค้าง
ไฟภายในห้องเปิดสว่าง กลางห้องรับแขกอันหรูหรา ใครคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยท่าทางอันสง่างาม พอประตูห้องเปิดออก คนคนนั้นก็หันมามองฝูซิงกับคนอื่นๆ
โรคอร์ตจำอีกฝ่ายได้ในทันทีและยิ้มออกมา “อ้าว! เลโอนาร์ดน่ะเอง เป็นไงบ้างสบายดีไหม”
เลโอนาร์ดไม่ตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น เขามองคนทั้งสามที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยแววตาเย็นเยียบ สีหน้าเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกในห้องเรียนไม่มีผิดเพี้ยน—
เลโอนาร์ด ชวาร์ซ เผ่าเลือดสีนิล เด็กหนุ่มผมดำที่ทะเลาะกับฝูซิงนั่นเอง
ความคิดเห็น |
---|