Chapter 03
ยามใกล้สนธยาแสงมืดสลัว เหมาะยิ่ง, สำหรับการรุกรูมเมท
ฝูซิงยืนอย่างกระอักกระอ่วนที่หน้าประตู จังหวะนั้นเขาไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร
ห้องของเขาเองแท้ๆ แต่เขากลับรู้สึกราวกับตัวเองเป็นผู้บุกรุกที่อุกอาจล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของคนอื่น สัญชาตญาณร้องเตือนให้เขาถอยหนี
“อ๋อ ที่แท้รูมเมทนายก็คือเลโอนาร์ดนี่เอง” เมื่อเทียบกับฝูซิงที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่นอกประตู ท่าทางของโรคอร์ตกลับดูสบายๆ และเป็นธรรมชาติกว่ามาก เขาเดินอาดๆ เข้าไปในห้องอย่างไม่เกรงใจ แถมยังหันมากวักมือเรียกอีกสองคนที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วย “พวกนายก็รีบเข้ามาสิ”
“เอ่อ ฉันว่าฉันกลับไปชาร์จมือถือที่ห้องดีกว่า” เอ็มเมอรัลด์ยิ้มอย่างสดใส ก่อนจะตบบ่าฝูซิงเบาๆ แล้วก้มไปกระซิบบอกเขาว่า “ไม่เป็นไรนะ หินวิเศษจะคุ้มครองให้นายปลอดภัย”
“จริงเหรอ” ฝูซิงย้อนถามอย่างไม่อยากเชื่อ
หรือหินหน้าตาธรรมดาๆ ก้อนนี้จะมีพลังอัญเชิญท่านผู้เฒ่าเอลฟ์ออกมาช่วยในยามคับขัน?
“ถ้าเขาโจมตีนาย ก็เอาหินวิเศษขว้างป้องกันตัวเลย...”
“โห! สุดยอดเลยอ้ะ!” นี่มันของวิเศษห่วยแตกอะไรเนี่ย!
เอ็มเมอรัลด์ยักไหล่ สีหน้าเหมือนจะบอกว่า “สงสารนายนะแต่คงช่วยอะไรไม่ได้” แล้วก็หันหลังเดินดุ่มๆ หายไปทันที
เพื่อนประสาอะไรเนี่ย!
ฝูซิงปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“สวัสดีเลโอนาร์ด” เขาหันไปทักทายอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท แต่สายตาของเด็กหนุ่มร่างสูงยังจดจ้องอยู่ที่หน้าหนังสือ ราวกับฝูซิงเป็นเพียงอากาศธาตุ
ฝูซิงแอบโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย เขาไม่ได้มีอคติอะไรกับเลโอนาร์ด เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรเข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างไรดี อีกอย่าง...ก่อนหน้านี้เขาดันไปพูดให้เลโอนาร์ดไม่พอใจ ทำให้เขารู้สึกหวาดอยู่หน่อยๆ เวลาเจอกับเพื่อนร่วมห้องนิสัยเย็นชาคนนี้
สรุปคือ ตอนนี้โอกาสยังไม่เหมาะให้เข้าไปผูกมิตร คงต้องรอให้โรคอร์ตกลับไปก่อนค่อยว่ากัน—
ขณะที่ฝูซิงกำลังคิดแบบนี้อยู่ในหัว ร่างสูงเพรียวของโรคอร์ตก็ย่างเท้าอย่างสบายอารมณ์เข้าไปยืนอยู่ข้างเลโอนาร์ดเสียแล้ว
“เลโอนาร์ด กินข้าวเย็นหรือยัง”
“โรคอร์ต เตียงของฉันอยู่ฝั่งนี้ นายอย่าไปกวนเขาสิ!” ฝูซิงรีบเข้าไปห้าม
เขากังวลเหลือเกินว่านิสัยใสซื่อเกินเหตุของโรคอร์ตจะทำให้เลโอนาร์ดโกรธ จากเล็คเชอร์วิชา “ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษ” เผ่าเลือดสีนิลมีหมายเหตุที่เขียนด้วยตัวหนาสีแดงแถมยังขีดเส้นใต้สองเส้นว่า ‘เผ่าพันธุ์อันตราย’ ถ้าอีกฝ่ายโมโหขึ้นมาละก็ หินวิเศษร้อยก้อนก็เอาไม่อยู่!
“ไม่รบกวนหรอกน่า” โรคอร์ตโค้งตัวลงไปชิดข้างลำคอของเลโอนาร์ด “นายอ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอ”
“โรคอร์ต...” ขอร้องละ อย่าสร้างความกดดันให้เขามากไปกว่านี้เลย!
“อยากกินลูกอมไหม” โรคอร์ตหยิบซูกัสออกมา
“โรคอร์ต!”
กระเป๋าเสื้อของเจ้านี่มีทางเชื่อมกับมิติต่างดาวหรือไงนะ เอาลูกอมมาจากไหนเยอะแยะ—ไม่สิ นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่เขาต้องรีบจับโรคอร์ตโยนออกไปนอกห้องก่อนที่เลโอนาร์ดจะโมโห
“ฝูซิง นายโมโหเหรอ” โรคอร์ตลุกขึ้นแล้วหันมาถามอย่างงุนงง
“ไม่ใช่!” เขากำลังกลัวต่างหาก
โชคยังดีที่สุดท้ายโรคอร์ตก็ผละจากเลโอนาร์ดแล้วเดินเข้ามาหาเขาแทน
“ฝูซิง เลโอนาร์ดนิสัยดีมากเลยนะ เงียบกริบดีมากเลย โชคดีจังที่นายได้เขาเป็นรูมเมท”
“อา...จริงด้วย” ฝูซิงตอบพลางแอบเหลือบมองปฏิกิริยาของเลโอนาร์ด แต่สีหน้าของอีกฝ่ายยังคงเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง ราวกับไม่รู้สึกดีใจแม้แต่น้อยที่ได้รับคำชม
โรคอร์ตเดินไปที่เตียงฝั่งฝูซิง พอพิจารณาสิ่งของต่างๆ โดยรอบแล้วก็พูดขึ้นว่า “แต่ว่า…เลโอนาร์ดเองก็โชคดีมากเลยนะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า โรคอร์ต” ฝูซิงตอบอย่างอายๆ
“ก็มันจริงนี่นา” โรคอร์ตหยิบนาฬิกาปลุกโดราเอม่อนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงของฝูซิงขึ้นมาโยนเล่น แล้วพูดกับเขาว่า “กลิ่นฝูซิงเหมือนมนุษย์เลย เพราะงั้นถ้าเลโอนาร์ดหิวก็จับนายมาดูดเลือดได้ ไม่ต้องรอจนท้องกิ่ว ฮ่าๆๆๆ!” เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่ออีกว่า “อ้อ แล้วอีกอย่างคือฝูซิงก็นิสัยดีเหมือนกัน”
“เอ่อ...แหะๆ...โรคอร์ต เลิกพูดล้อเล่นได้แล้ว!” ฝูซิงเหงื่อแตกซิกๆ แต่ยังแกล้งทำเป็นหัวเราะแห้งๆ เหมือนไม่กังวล จากนั้นก็พยายามเบนความสนใจของโรคอร์ตไปเรื่องอื่น “นาฬิกาปลุกเนี่ย ถ้ากดปุ่มสีแดงจะมีเสียงเพลงออกมาแหละ!”
คุยเรื่องนี้ต่อไปไม่ดีแน่ โรคอร์ตยิ่งปากมากอยู่ ถ้าเลโอนาร์ดทำตามคำแนะนำของโรคอร์ตแล้วใช้เขาเป็นเสบียงสำรองขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงเล่า!
“จริงเหรอเนี่ย” โรคอร์ตกดปุ่ม เสียงเพลงอิเล็กทรอนิกส์แหลมแสบแก้วหูดังก้อง พอนาฬิกาหยุดร้อง ความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนก็เข้ามาแทนที่
“เยี่ยมเลย!” โรคอร์ตติดลมบนและกดเล่นต่ออีกหลายครั้ง คราวนี้ กลายเป็นเสียงเพลงฟรุ้งฟริ้ง
“โอ๊ยโย้ยโหย! หยุดเล่นได้แล้วน่า” ฝูซิงรีบเข้าไปปราม “เลโอนาร์ดกำลังอ่านหนังสือ นายอย่าทำเสียงดังรบกวนเขาสิ...” พูดพลางแอบเหลือบมองสีหน้าของเลโอนาร์ดอย่างระมัดระวัง
กระนั้น ใบหน้าเย็นชาก็ยังไม่ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งยังไม่มีทีท่าจะโมโหเพราะถูกรบกวน ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาจ้องตรงไปที่หน้าหนังสือ ราวกับมีกำแพงล่องหนอีกชั้นกั้นเขาออกจากทุกสิ่ง ทำให้เขาจมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองได้โดยไม่ต้องสนใจใคร
ฝูซิงประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนแรกเขาคิดว่าเลโอนาร์ดจะเหมือนแบรด นิสัยใจร้อนวู่วาม เป็นที่หวาดกลัวของทุกคน แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มผมดำตรงหน้าจะไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าเทียบกับแบรดที่ตั้งท่าจะหาเรื่องเขาตลอดเวลาโดยไม่มีสาเหตุ เลโอนาร์ดนับว่า ‘เชื่อง’ กว่าเยอะ
ไม่แน่เลโอนาร์ดอาจจะแค่หน้าดุ แต่จริงๆ แล้วเป็นผู้ชายลั้ลล้าจิตใจอ่อนโยนที่ชอบสัตว์ตัวเล็กๆ น่ารัก...
โรคอร์ตนั่งเล่นที่เตียงของฝูซิงอยู่พักใหญ่ สองคนหันมาคุยกันเป็นพักๆ ส่วนเลโอนาร์ดก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ และนั่งอ่านหนังสือของตัวเองอย่างเงียบเชียบต่อไป ทำให้ฝูซิงเริ่มมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองขึ้นมาอีกนิดหน่อย และคลายความกลัวที่มีต่อเลโอนาร์ดไปบ้าง
หลังจากนั้นไม่นาน โรคอร์ตเบื่อนั่งเล่นที่เตียงของฝูซิงแล้ว จึงหันไปตะโกนเรียกเลโอนาร์ด “เลโอนาร์ด ฉันขอไปนั่งเล่นที่เตียงฝั่งนายได้ไหม” พูดพลางเดินดุ่มๆ ตรงไปที่เตียงอีกฝั่ง
เลโอนาร์ดเงยหน้าจากหนังสือ ดวงตาเย็นเยียบสื่อความหมายได้เพียงอย่างเดียวว่า “แน่จริงก็ลองดู”
“อย่าเลยน่าโรคอร์ต เลโอนาร์ดยังไม่อนุญาตเลยนะ” ฝูซิงพูดพลางเดินตามหลังโรคอร์ตไปด้วย เขาทำท่าเหมือนพยายามห้ามเพื่อน แต่ที่จริงคือกำลังฉวยโอกาสนี้แอบเข้าไปดูเตียงฝั่งเลโอนาร์ด เพราะเขาเองก็อยากรู้เรื่องของอีกฝ่ายไม่น้อย
“แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามเสียหน่อย”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้แหละมั้ง...” ฝูซิงหันกลับไปมองเลโอนาร์ดอีกรอบ เวลานี้สายตาของอีกฝ่ายกลับไปอยู่ที่หน้าหนังสือแล้ว
ท่าทางของเลโอนาร์ดไม่มีส่วนไหนที่บ่งบอกว่าพร้อมอ้าแขนยินดีต้อนรับ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่แยแสเลยมากกว่า ราวกับว่าฝูซิงกับโรคอร์ตไม่มีค่าพอจะสร้างความรำคาญหรือกระตุ้นให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ กลับมาได้ ประหนึ่งว่าเขากำลังยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนภูเขาสูงและมองลงมาที่คนอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแม้แต่น้อย
เลโอนาร์ดแทบไม่มีข้าวของอะไรเลย เหนือโต๊ะหนังสือมีแค่เอกสารประกอบการเรียนกับเครื่องเขียน ไม่มีของใช้ส่วนตัวอย่างอื่น พอโรคอร์ตสำรวจจนทั่วแล้วก็รู้สึกเบื่อ จึงหันไปเปิดดูตู้เสื้อผ้าแทน
วินาทีที่บานตู้ไม้เปิดออก แสงสว่างวาบก็สะท้อนแยงตาจนทั้งสองต้องหลับตาปี๋ พอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองจึงเห็นว่า—แท้จริงแล้วพื้นที่ว่างสำหรับเก็บเสื้อผ้า เวลานี้กลับเต็มไปด้วยแสงสีเงินเย็นเยียบจากอาวุธมีคมนานาชนิดที่กองอยู่เต็มตู้
โรคอร์ตเปิดตู้ทุกใบที่ตั้งอยู่ตรงนั้น และพบว่าภายในตู้เสื้อผ้าทั้งสี่ใบไม่มีสิ่งอื่นนอกจากอาวุธ
ฝูซิงหลุดอุทานด้วยความประหลาดใจ อลังการงานสร้างอะไรขนาดนี้ ระดับชุดมีดทำครัวซูเปอร์แม่ศรีเรือนของหลินหลินเทียบชั้นไม่ติด มีทุกอย่างตั้งแต่มีดสั้น ดาบโค้ง ดาบยาว ดาบอัศวิน ง้าว...หลากหลายประเภทมาก จะเรียกว่าเป็นนิทรรศการอาวุธขนาดย่อมก็คงไม่ผิด
ไม่รู้ว่าอาวุธพวกนี้ใช้เป็นของสะสม หรือมีวัตถุประสงค์อย่างอื่น...
ตอนแรกเขานึกว่าโรคอร์ตจะรื้ออาวุธออกมาเล่นซนอีก ไม่นึกว่าอีกฝ่ายมองแค่แว่บเดียวแล้วก็ปิดประตูตู้ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย จากนั้นก็เดินกลับไปที่โต๊ะหนังสืออีก
ฟู่ว์! ค่อยยังชั่ว วิกฤตการณ์คลี่คลาย...
“เลโอนาร์ด ของวิบวับที่อยู่บนโต๊ะนายคืออะไรน่ะ” โรคอร์ตหยิบโลหะแผ่นแบนยาวที่วางอยู่ในกล่องเก็บดินสอเหล็กขึ้นมา
ฝูซิงหันไปมองแล้วช่วยตอบแทนว่า “มีดเปิดจดหมายไงล่ะ”
“แต่อันนี้คมมากเลยนะ” โรคอร์ตกำด้ามมีดไว้ในมือแล้วใช้ปลายมีดจิ้มโต๊ะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “เฮ้! เลโอนาร์ด กำแพงตรงหน้าโต๊ะของนายมีรูแหละ”
โรคอร์ตพูดพลางเสียบปลายมีดลงไปในรูแนวนอนบนกำแพงข้างโต๊ะหนังสือ พอปล่อยมือ มีดเปิดจดหมายก็ยังคงปักคาอยู่ข้างกำแพง
“นักเรียนที่เคยอยู่ห้องนี้คงเจาะรูไว้แขวนอะไรข้างกำแพงละมั้ง”
“อื้อ” โรคอร์ตใช้มือกดด้ามมีดคาไว้ครู่หนึ่งแล้วปล่อย ทำให้เกิดแรงดีดจนมีดเด้งขึ้นลงเป็นเสียง ดึ๋งๆๆ! พอโรคอร์ตเห็นดังนั้น ตาก็ฉายประกายตื่นเต้น จากนั้นเล่นกดมีดอยู่แบบนั้นอีกหลายครั้ง
“เฮ้! เล่นแบบนี้อันตรา—”
พูดไม่ทันขาดคำ มีดเปิดจดหมายปลายแหลมที่ปักคาอยู่ในกำแพงรับแรงกดต่อไปไม่ไหว ทันทีที่โรคอร์ตยกนิ้วชี้ออก มีดก็เด้งออกมาอย่างแรง หมุนคว้างแหวกกลางอากาศเป็นเส้นพาราโบลาอันสมบูรณ์แบบ
ฝูซิงกับโรคอร์ตเหมือนนักท่องเที่ยวที่กำลังชื่นชมฝนดาวตกเหนือท้องฟ้า ยืนอ้าปากค้างมองมีดสีเงินเล่มจิ๋วบินคว้างผ่านอากาศไปพร้อมแสงสะท้อนสว่างวาบ จากนั้น—
ก็ร่วงลงตรงตำแหน่งที่เลโอนาร์ดนั่งอยู่
“ฟั่บ!”
มีดเปิดจดหมายปักลงกลางหนังสือที่เลโอนาร์ดถืออยู่อย่างพอดิบพอดี ราวกับหินสลักเหนือหลุมศพ หากเบนไปจากนี้อีกแม้แต่นิดเดียว ปลายมีดต้องปักลงกลางกระหม่อมของเลโอนาร์ดแน่นอน
“อ๊ะๆๆๆ ขอโทษด้วยนะ มันกระเด็นหลุดมือน่ะ” โรคอร์ตรีบวิ่งเข้าไปหาเลโอนาร์ดแล้วดึงมีดที่ปักโด่เด่กลางหน้าหนังสือออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อันตรายจริงเชียว เอาของแบบนี้มาวางทิ้งไว้ข้างนอกได้ยังไง ต้องเก็บให้เรียบร้อยสิ”
พูดจบก็ค่อยๆ ประคองมีดเปิดจดหมายเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า วางมีดนั้นลงอย่างระมัดระวังข้างมีดคู่ภายในตู้ แล้วปิดประตูตู้อย่างแผ่วเบา
“เรียบร้อยแล้ว” สีหน้าของโรคอร์ตราวกับเพิ่งทำงานใหญ่สำเร็จ
ฝูซิงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม สายตามองตรงไปที่เลโอนาร์ดอย่างหวาดหวั่น
เลโอนาร์ดที่แยกตัวเป็นสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาตั้งแต่แรกจนตอนนี้ยังคงปิดปากเงียบ แต่เวลานี้เส้นเอ็นที่ขมับก็ตึงเขม็งจนปูดโปนเป็นสีน้ำเงิน คิ้วขมวดแน่น รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน
“ละ...เลโอนาร์ด นายโอเคไหม” ฝูซิงถามอย่างกังวล
จากนั้น เขาก็ได้รับคำตอบแรกของเย็นวันนี้จากปากเลโอนาร์ด—
“ไปให้พ้น...”
ฝูซิงลากโรคอร์ตออกมาและรอจนมืดถึงจะกลับห้อง ตอนแรกฝูซิงอยากขอโทษเลโอนาร์ดและอธิบายทุกอย่างให้เขาเข้าใจ แต่พอกลับไปถึงก็พบว่าเลโอนาร์ดไม่อยู่ในห้องแล้ว และกว่าเขาจะกลับมานอนอีกทีก็คือเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น นิสัยการใช้ชีวิตในเวลากลางคืนของเผ่าเลือดสีนิลแตกต่างจากฝูซิงโดยสิ้นเชิง ทำให้ทั้งสองแทบไม่มีเวลาได้เจอกัน
บ่ายวันพุธ ฝูซิงได้รับคำสั่งจากกรอทท์ให้ไปที่หอคอยต้องห้ามและนำอุปกรณ์สำหรับใช้ในชั้นเรียนกลับมาให้
การได้รับตำแหน่งหัวหน้าห้องไม่ได้แปลว่าเขามีอำนาจเป็นอันดับสองรองจากอาจารย์ประจำชั้น แต่แปลว่าเขาต้องรับผิดชอบงานราษฎร์งานหลวงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับห้องของเขา สถานะและอำนาจไม่ต่างอะไรจากลูกกระจ๊อกที่ทำทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
ฝูซิงถือกระดาษโน้ตของอาจารย์ไว้ในมือ เดินจากอาคารเรียนฝั่งเหนือ ผ่านพื้นที่เกือบค่อนโรงเรียนกว่าจะลงไปถึงหอคอยต้องห้ามที่อยู่ทางใต้
ชาลอมอะคาเดมี่สร้างขึ้นโดยดัดแปลงจากปราสาทโบราณ ห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นที่รวมพลของนักเรียนใหม่ในวันเปิดเรียนตั้งอยู่ในหอคอยหลักซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของบริเวณปราสาททั้งหมด จากหอคอยหลักจะมีทางเดินหินกรวดหกเส้น เชื่อมต่อไปยังโซนหอพัก ห้องสมุด อาคารเรียน อาคารเรียนทักษะเฉพาะ สนามหญ้า ละหอคอยต้องห้าม
บนยอดสูงสุดของหอคอยหลัก มี ‘อิฐแห่งหอบาเบล’ ฝังอยู่ด้านใน และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีอุปสรรคด้านภาษา
เรื่องราวของหอบาเบลถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ในสมัยโบราณเมื่อนานแสนนานมาแล้ว มนุษย์ทั้งหมดใช้ภาษาเดียวกันและใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนเดียวกัน มนุษย์ในยุคนั้นจึงรวมพลังกันสร้างหอคอยสูง หมายจะขึ้นไปให้ถึงสรวงสวรรค์ การกระทำของมนุษย์ทำให้พระเจ้าพิโรธมาก พระองค์ไม่เพียงทำลายหอคอย แต่ยังทำให้มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจสื่อสารด้วยภาษาเดียวกันได้อีก และกระจายกลุ่มมนุษย์ออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก
ว่ากันว่าอิฐแห่งบาเบลที่เก็บรักษาไว้ในชาลอมอะคาเดมี่เป็นวัตถุโบราณที่หลงเหลือมาจากเหตุการณ์ในยุคนั้น อิฐก้อนนั้นได้สัมผัสกับพลังของพระเป็นเจ้า ทำให้มีพลังวิเศษช่วยให้ทุกคนสื่อสารกันได้ไม่ว่าจะใช้ภาษาใด
วิชาเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังพิเศษ เช่น วิชาเลข ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และอื่นๆ จะเรียนในอาคารเรียนทั่วไป ส่วนวิชาเรียนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษโดยตรง เช่น วิชาพลังพิเศษภาคทฤษฎีและปฏิบัติและวิชาอาคมพื้นฐาน จะเรียนในอาคารเรียนทักษะเฉพาะ เคยอ่านเจอว่าอาคารเรียนทักษะเฉพาะมีอาคมเกราะป้องกันที่ช่วยให้เวทมนตร์ที่มีพลังต้านกันสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแม้จะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน วิชาเรียนกลางแจ้ง เช่น ทักษะกีฬาและความสามารถทางกายภาพต่างๆ จะเรียนที่สนามกีฬาของโรงเรียน ส่วนหอคอยต้องห้ามเป็นหอนาฬิกาทางทิศใต้สุดของโรงเรียน คำอธิบายในหนังสือเขียนไว้แค่บรรทัดเดียวว่า “นักเรียนทั่วไปห้ามเข้า”
คำอธิบายสั้นกระชับแบบนี้ช่างกระตุ้นต่อมอยากรู้ได้ดีเหลือเกิน ถ้าเป็นตัวเอกในหนังสยองขวัญเกรดBคงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจะลักลอบเข้าไปในหอคอยตอนดึกดื่นเที่ยงคืนเพื่อไขความลับ แล้วสุดท้ายก็ถูกสัตว์ประหลาดเขี้ยวยาวที่มีกรงเล็บขนาดยักษ์หรือไม่ก็สิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตสักอย่างจับขย้ำจนร่างแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี
พอเดินไปจนสุดทางเดินหินขนาดยักษ์ หอคอยต้องห้ามก็ปรากฏแก่สายตา หอคอยยอดแหลมสีขาวงาช้างตั้งตระหง่านสูงลับตา ราวกับปลายมีดอันแหลมคมเสียบทะลุท้องฟ้าขึ้นไปเหนือหมู่เมฆ
ฝูซิงเดินเข้าไปในหอคอย แล้วจู่ๆ ความรู้สึกเย็นเยียบวูบหนึ่งก็พุ่งเข้ามาห้อมล้อมร่างของเขาไว้ ราวกับความรู้สึก ‘อึดอัดง ที่อยู่ภายในใจก่อตัวเป็นรูปร่างแล้วเกาะติดอยู่บนผิวหนัง เป็นความรู้สึกที่เลวร้ายมาก...ทำให้เขารู้สึกอยากวิ่งออกจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด
ฝูซิงเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล พลางยื่นกระดาษโน้ตให้อีกฝ่าย
ภูตวัยชราหรี่ตาอ่านกระดาษโน้ตอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “อีกยี่สิบนาทีไปเอาของที่ประตูห้องเก็บของด้านหลัง”
“ได้ครับ!” พอได้รับคำสั่งแล้วฝูซิงก็รีบพุ่งออกนอกประตูใหญ่ไปทันที ไม่อยากอยู่ในหอคอยนั้นนานกว่านี้อีกแม้แต่นาทีเดียว
พอออกมาข้างนอกแล้ว ฝูซิงก็สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด เขาเดินทอดน่องไปตามส่วนดอกไม้ด้านนอกหอคอยอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่ที่อยู่ทางด้านหลัง
การตกแต่งภูมิทัศน์ด้านนอกของหอคอยต้องห้ามไม่ต่างจากที่อื่นๆ ในโรงเรียน มีต้นไม้ดอกไม้บานสะพรั่ง ให้ความรู้สึกสดชื่นและสบายตาน่ามอง ฝูซิงเดินเล่นในสวนที่อยู่ด้านนอก ผ่อนคลายอารมณ์กดดันที่เกิดจากการเข้าไปในหอคอยเมื่อครู่ให้ค่อยๆ สลายหายไป
หอคอยต้องห้ามนี่มีไว้ทำอะไรนะ...สูงลิ่วขนาดนั้น มีอะไรอยู่ในนั้นกันแน่ ทำไมเข้าไปแล้วรู้สึกอึดอัดแบบนั้น—
ปึก!
ปลายเท้าเหยียบโดนวัตถุแข็งบางอย่างที่ไม่ใช่ต้นหญ้า ฝูซิงก้มหน้าลงมอง และเห็นว่ามีคริสตัลทรงกลมขนาดเท่าลูกวอลเลย์บอล ลักษณะเหมือนหินออบซิเดียนฝังอยู่ในพื้นดิน
นี่อะไรน่ะ
ฝูซิงย่อตัวลงพินิจดูหินก้อนนั้นอย่างตั้งใจ รอบก้อนหินมีวงแหวนโลหะสีทองแดงหม่นสองวงครอบไว้ มองแล้วเหมือนดาวเสาร์ที่มีวงแหวนล้อมรอบ แต่ครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้ดิน วงแหวนโลหะมีอักษรอาคมตัวเล็กจิ๋วสลักไว้เป็นลายพร้อย อาคมส่วนหนึ่งถูกดินกลบไว้จนเห็นไม่ชัด
ฝูซิงลองใช้มือตะกุยดินรอบๆ วงแหวนด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาอยากรู้ว่าจะขุดของสิ่งนี้ออกมาจากใต้ดินได้หรือไม่ แต่พยายามอยู่นาน วัตถุลึกลับก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ปลายก้อย
ฝังไว้ลึกมากเลยนะเนี่ย คืออะไรกันน้า~? ของตกแต่งเหรอ แต่ฝังกลบไว้ลวกๆ ในกอหญ้าแบบนี้ คงไม่ใช่ของสลักสำคัญอะไรหรอกมั้ง...
เขาเหมือนถูกมนตร์สะกด มือทั้งสองเหยียดออกไปขุดและดึงวงแหวนโลหะที่ล้อมอยู่รอบคริสตัลทรงกลม หมายจะขุดวัตถุลึกลับนี้ออกมาจากใต้ดินให้ได้
ความจริงแล้ว หากมองลงมาจากท้องฟ้า จะเห็นว่านอกจากจุดที่ฝูซิงยืนอยู่แล้ว อีกสี่มุมโดยรอบหอคอยต้องห้ามก็มีคริสตัลหน้าตาแบบเดียวกันนี้ฝังไว้ คริสตัลทั้งห้าลูกเชื่อมต่อกันกลายเป็นรูปดาวเพนทาเคิลห้าแฉกที่มีหอคอยเป็นจุดศูนย์กลาง
หากถอยออกมาไกลอีกหน่อย ก็จะเห็นว่าระหว่างอาคารใหญ่ทั้งหมดที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหอคอยต้องห้าม มีทางเดินโรยหินกรวดสีขาวที่เชื่อมต่ออาคารทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นรูปดาวเพนทาเคิลห้าแฉกขนาดใหญ่ยักษ์ และทางเดินขนาดใหญ่ที่ทอดยาวจากหอคอยหลักลงสู่ทิศใต้ ก็มีลักษณะเป็นปลายยาวแหลมเหมือนลูกศรที่พุ่งตรงไปยังหอคอยต้องห้าม
“อ๊าก!”
เขากะน้ำหนักผิดทำให้ปลายนิ้วดีดออกจากขอบวงแหวนโลหะอย่างแรง เล็บส่วนหนึ่งฉีกหลุดจากนิ้วมือ
“เจ็บจังเลย!”
เลือดสีแดงสดหยดเป็นทาง ส่วนหนึ่งกระเซ็นไปโดนจุดศูนย์กลางของคริสตัล
วาบ!
คลื่นพลังที่มองไม่เห็นขยายตัวออกไปกลางอากาศในชั่วพริบตา แต่แรงสั่นสะเทือนน้อยมากและเกิดขึ้นเร็วจนแทบไม่รู้สึก
ฝูซิงอมนิ้วไว้ในปากเพื่อให้ความเจ็บคลายลงบ้าง
โคตรเจ็บเลย!
ว่าแต่ว่า เขาไปขุดหินบ้านั่นขึ้นมาทำไมเนี่ย! เขาติดเชื้องกจากเอ็มเมอรัลด์เลยอยากจะขุดของนั่นขึ้นมาขายหรือไงกัน!
“...หัวหน้าห้อง 1C! หายหัวไปไหนเนี่ย! ตกลงจะมาเอาของที่ขอไว้ไหม!” เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลแว่วมาจากประตูหลัง
“ครับๆ! กำลังไปแล้วครับ!” ฝูซิงรีบลุกขึ้นและเดินออกจากที่นั่น
ของที่กรอทท์ต้องการอยู่ในถุงผ้าใบโต หนักพอสมควร ฝูซิงแบกถุงผ้าไว้บนบ่า รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกุลีในไซต์ก่อสร้าง
“หนักจังเลย...” ฝูซิงแบกถุงผ้าขึ้นหลังแล้วเดินไปตามทางด้วยความยากลำบาก จนในที่สุดก็มาถึงหอคอยหลัก เวลานั้นเขารู้สึกเหนื่อยและล้าราวกับขาจะหักเป็นสองท่อน นี่มันใช้แรงงานเด็กชัดๆ! เอ...ไม่สิ อายุเท่าเขาจะเรียกว่าเป็นเด็กคงไม่ได้แล้ว...
“โห! ท่าทางจะหนักมากนะเนี่ย”
จู่ๆ เสียงกระซิบก็แว่วมาเข้าหู ฝูซิงเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของเสียงคือเด็กหนุ่มหน้าตารุ่นราวคราวเดียวกับเขา หนุ่มน้อยนั่งอยู่บนกอหญ้าด้านข้างด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า บนหน้าตักคือหนังสือเล่มหนึ่งที่อ้าค้างอยู่
เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีดำขลับ อากัปกิริยาอันนิ่มนวลให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนเอเชีย แต่เครื่องหน้าคมเข้มทำให้เขาดูมีส่วนผสมของชาวยุโรปอยู่หน่อยๆ ด้วย
“เอ่อ...นายเป็นใครน่ะ”
“นายล่ะเป็นใคร” อีกฝ่ายย้อนถามแทนคำตอบ
“ฉันชื่อเฮ่อฝูซิง เป็นนักเรียนใหม่เพิ่งเข้าชั้นปีที่หนึ่ง เป็นปีศาจค้างคาวน่ะ”
มุมปากของเด็กหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง “ฉันก็คล้ายๆ นายนั่นแหละ” เขาพูดแล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาหาฝูซิง “อยากพักหน่อยไหม เดี๋ยวฉันช่วยนายถือก็ได้” เขายื่นมือมาทางถุงผ้าหนักอึ้งใบนั้น
“อ้อ ได้สิ...” ฝูซิงหายใจหอบ “ขอบใจมากนะ!”
เด็กหนุ่มรูปร่างใกล้เคียงกับฝูซิง แต่แรงเยอะมาก เขาแบกถุงผ้าด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองเมื่อครู่ด้วยท่าทีสบายๆ “มานั่งตรงนี้สิ”
ฝูซิงเดินตามไป แล้วนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างๆ เด็กหนุ่ม “ขอบใจมากนะ นายเองก็เป็นสัตว์ภูตเหมือนกันเหรอ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เด็กหนุ่มยิ้มแล้วย่อตัวลงนั่งข้างฝูซิง “เรียกฉันว่ายูนิก็ได้”
“ยูนิ...” ชื่อประหลาดจัง “นายเรียนอยู่ชั้นไหนเหรอ—”
“ทำไมไม่ใช้พลังยกไปล่ะ” ยูนิพูดขัดจังหวะคำถามของฝูซิง
พลัง? หมายถึงพลังพิเศษน่ะเหรอ
“เอ่อ คือว่า...” ฝูซิงเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน “ฉัน...ยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ตอนนี้ยังฝึกอยู่น่ะ...”
“นายต้องฝึกด้วยเหรอ” ยูนิถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ฉันตามเพื่อนๆ คนอื่นยังไม่ค่อยทันน่ะ ก็เลย...เอ่อ” ฝูซิงไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ จึงเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “แล้วนายล่ะ มาทำอะไรอยู่ที่นี่เหรอ รอใครอยู่หรือเปล่า”
“ใช่สิ” ยูนิยิ้มจนตาหยี “รอนายไง”
“นายรู้จักฉันด้วยเหรอ”
“ใช่แล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างสดใส เหมือนเด็กน้อยเจอของเล่น “นายคือเจ้าชายฟิลิป”
“เจ้าชายฟิลิป?” อะไรของเขา?
“เจ้าชายที่ทำลายคำสาปแล้วจุมพิตปลุกองค์หญิงออโรร่าในเรื่อง ‘เจ้าหญิงนิทรา’ ไง”
เจ้านี่เป็นโรคหลงผิดหรือเปล่าน่ะ หรือว่านี่จะเป็นมุกตลกแบบอเมริกัน!?
“อื้อ ขอบคุณที่ชมนะ แต่ฉันไม่เคยจูบใครนอกจากแม่ของฉันเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ” ฝูซิงหัวเราะแห้งๆ อย่างกระอักกระอ่วน แต่ก็แกล้งทำเป็นขำตามไปด้วย
“ฮะๆๆ...แต่ก็เป็นไปตามคำทำนายของภูตน้อยทุกอย่าง—” เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วจู่ๆ สีหน้าเขาก็ถมึงทึงขึ้นมา ปากพ่นคำสบถภาษาโบราณที่ฝูซิงไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยเสียงเบาราวกระซิบ “นายทำลายคำสาปเฮงซวยนั่น”
แล้วสีหน้าของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แต่รังสีอำมหิตรุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาในชั่ววินาทีนั้น แม้กระทั่งคนความรู้สึกช้าอย่างฝูซิงยังสัมผัสได้ “อะ...เอ่อ นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
“อ้อๆ ไม่เป็นไรหรอก” ริมฝีปากของเด็กหนุ่มเหยียดออกเป็นรอยยิ้มกว้าง ตามด้วยเสียงหัวเราะระรื่น “เก็บกดมานานไปหน่อย ก็เลยคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยอยู่น่ะ”
ฝูซิงจ้องยูนิด้วยสายตาเคลือบแคลง เขาเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นนักเรียนที่เคยเรียนคลาสเดียวกับเขา
“ว่าแต่...นายมาหาฉันมีอะไรเหรอ” คำพูดและพฤติกรรมของยูนิแปลกประหลาดพอๆ กับชื่อเขา แต่สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษก็แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาอยู่แล้ว เขานึกถึงตอนที่เพิ่งรู้จักกับโรคอร์ตใหม่ๆ...จะว่าไปยูนิก็นับว่าปกตินะ
“มาหานายไง” ใบหน้าของยูนิยังยิ้มแย้ม รอยยิ้มของเขามองแล้วรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด “นายพิเศษมาก”
“ฉันไม่พิเศษเลยสักนิด...” คำสารภาพรักต่อหน้าแบบนี้ ทำให้ฝูซิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก “แล้วนาย—”
“พูดถึงพลังพิเศษ” ยูนิพูดขัดจังหวะฝูซิง “คนสอนวิชานั้นคือซามุคาวะที่หน้าเป็นตูดเหี่ยวตลอดเวลาใช่ไหม”
บทสนทนาของยูนิไม่เชื่อมโยงกันเลยสักนิด ตอนแรกฝูซิงจะถามว่าคำพูดเมื่อครู่ของเขาหมายความว่ายังไง แต่พอได้ยินฉายาที่อีกฝ่ายตั้งให้ซามุคาวะ ก็หลุดขำพรืดออกมา
“ซามุคาวะก็โอเคนะ”
“แล้วนายยังเรียนวิชาของใครอีก”
ฝูซิงไล่รายชื่อวิชาเลือกของตัวเองทีละวิชา—ยูนิเหมือนเคยเรียนทุกวิชาในโรงเรียนมาแล้ว เพราะไม่ว่าจะพูดถึงอาจารย์คนไหน เขาก็มีเรื่องเล่าให้ฟังได้หมด
“มินุสที่สอนวิชาเลขเป็นมิโนทอร์ ถ้านายตอบคำถามในคลาสไม่ได้ละก็ เธอจะโกรธมาก”
“เหรอๆ แล้วเกรย์ล่ะ”
“เขาเป็นเอลฟ์ อ้อ แล้วเขาเคยเป็นบาทหลวงมาก่อนด้วยนะ”
“จริงเหรอเนี่ย!”
ยูนิรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก ฝูซิงจึงเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นรุ่นพี่ แต่จนแล้วจนรอดยูนิก็ไม่พูดออกมาเสียทีว่าเขาอยู่ชั้นไหน
“คุยกับนายสนุกมากเลย” คาบเรียนช่วงบ่ายใกล้จะเริ่มแล้ว ฝูซิงจึงจำต้องบอกลายูนิอย่างไม่เต็มใจนัก
“ขอโทษด้วยนะ ฉันมีธุระ คงช่วยแบกของไปส่งนายไม่ได้” ยูนิพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอก” ฝูซิงยิ้ม “นายอยู่หอพักห้องไหนล่ะ ถ้าฉันอยากไปหา จะไปเจอนายได้ที่ไหน”
“ฉันออกมานานไม่ได้น่ะ...” ใบหน้าที่ระบายด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอของยูนิ เวลานี้มีแววแห่งความทุกข์ใจแฝงอยู่จางๆ “แต่ถ้ามีโอกาส ฉันจะแวะไปหานายนะ”
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไวเหมือนโกหก คลาสเรียนวิชาพลังพิเศษเวียนมาถึงอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาเคยพูดจาลามปามซามุคาวะในคลาสที่แล้ว วันนี้ฝูซิงจึงสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตของอาจารย์วัยกลางคนที่พุ่งตรงมาที่พวกเขาตลอดคาบเรียน
โชคยังดีที่กรอทท์ก็อยู่ด้วย ดังนั้นต่อให้ซามุคาวะจะไม่พอใจขนาดไหน ก็ไม่สามารถล้างแค้นพวกเขาอย่างเปิดเผยได้ กระนั้นก็ตาม ความรู้สึกเสียวสันหลังตลอดคาบเรียนก็ทำให้อึดอัดพอตัว ทันทีที่กริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ฝูซิงกับคนอื่นๆ ก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องเรียนไปอย่างรวดเร็วดังลมกรด
ทว่า ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากห้องเรียน พวกเขาก็ถูกรุ่นพี่ผู้หญิงสี่ห้าคนเข้ามาขวางทางไว้
“นายคือฝูซิงใช่ไหม” หญิงสาวดวงตาสีน้ำตาลเข้มไว้ผมทรงหางม้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันนิดๆ มือข้างหนึ่งเท้าเอว ยืดโชว์หน้าอกคัพใหญ่อย่างภาคภูมิ
“ชะ...ใช่ครับ” ฝูซิงเอ่ยตอบเสียงสั่น
“ฉันชื่อ โนเอลีน อยู่ปีสอง เผ่าพันธุ์สัตว์ภูต สปีชี่ส์นกไนติงเกล” โนเอลีนสะบัดผมม้ายาวสลวยไปไว้ด้านหลัง ทำให้คอเสื้อที่ลึกอยู่แล้วเผยอกว้างขึ้นกว่าเดิม
ฝูซิงกลืนน้ำลาย พยายามเลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าของโนเอลีนอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก เขาพยายามไม่สนใจพื้นที่ส่วนที่ทำให้เขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่ทราบว่ารุ่นพี่มีอะไรกับผมเหรอครับ”
มารอเขานอกห้องเรียนหลังเลิกเรียนแบบนี้ อย่าบอกนะว่านี่คือการสารภาพรักที่ทุกคนเล่าลือกัน?! โอ้วววววว! โอ้พระเจ้า! ตื่นเต้นจังเลย! ทำยังไงดี! ถ้านัดเดทครั้งแรกที่สวนสาธารณะจะเชยไปไหมเนี่ย!
“นายอยู่ห้อง 305 ใช่ไหม”
“อื้อ ใช่แล้วครับ!” อะไรกันเนี่ย ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ถามเรื่องห้องนอนเลยเหรอ! โอพระเจ้า! เขายังไม่ได้เตรียมตัวเลย! ทั้งกายทั้งใจไม่พร้อมสักอย่าง! ดูเหมือนสไตล์ของฝรั่งจะร้อนแรงเกินไปสำหรับหนุ่มโอตาคุชาวไต้หวันแบบเขา หรือว่าเขาจะดาวน์โหลดวิดีโอรักร้อนแรงสไตล์อเมริกันสักสองสามเรื่องจากชไนเดอร์มาดูเตรียมตัวก่อนดี! อ๋ายยยยย! ฝูซิง! คิดอะไรก็ไม่รู้ ลามก!
“นายเป็นรูมเมทกับเลโอนาร์ด ชวาร์ซใช่ไหม”
“อื้อ ใช่แล้วครับ!” นะ...นะ...นี่มัน! ไม่ละเว้นแม้กระทั่งรูมเมท! บ้าเอ๊ย! เขารู้สึกว่าเลือดทั้งหมดในร่างกายกำลังพุ่งอย่างบ้าคลั่งไปรวมกันที่จุดเดียว—ที่หน้าของเขานั่นเอง ตอนนี้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าวเหมือนท่อไอเสียของมอเตอร์ไซค์เลย!
“ถ้างั้นก็รับภารกิจจากฉันไปซะ”
พูดจบ หญิงสาวผมสั้นที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็ยื่นม้วนกระดาษหนังวัวมาให้ โนเอลีนดึงริบบิ้นสีน้ำเงินที่ผูกไว้ออก แล้วกางกระดาษมาตรงหน้าของฝูซิง กระดาษพิมพ์ลายน้ำสีฟ้าอ่อนเป็นภาพเส้นโค้งสามเส้นประกอบกันเป็นสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมโค้งทั้งสามอันหันไปทางเดียวกัน ดูแล้วคล้ายๆ กับใบพัดที่หมุนเป็นวงก้นหอย เหนือกระดาษคือข้อความยาวเหยียดที่เขียนด้วยตัวอักษรอ่อนช้อยดูสวยหรู ข้างล่างสุดเป็นลายเซ็นของโนเอลีน
“นี่คือ?”
เอ็มเมอรัลด์ถอนใจออกมาเบาๆ “ใบอนุญาตมอบภารกิจให้นักเรียนใหม่น่ะสิ”
“หา!?” ไม่ใช่มาสารภาพรักหรอกเหรอ!
มุมปากของโนเอลีนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เสียงกังวานใสประกาศก้อง “โนเอลีนห้อง 2D ขอออกคำสั่งให้เฮ่อฝูซิงห้อง 1C ไปถ่ายรูปเลโอนาร์ด ชวาร์ซตอนหลับมาอย่างน้อยสามรูปขึ้นไป กำหนดเสร็จสิ้นภารกิจภายในห้าวันหลังจากนี้ จงรับภารกิจนี้ไปซะ”
“ฮะ!?” ภารกิจบ้าบออะไรกันเนี่ย! เลโอนาร์ดไม่มีทางยอมให้เขาทำอะไรเพี้ยนๆ แบบนี้แน่นอน!
“ไม่รับงั้นเหรอ” โนเอลีนหรี่ตาพลางจ้องหน้าฝูซิงเขม็ง
“ฉันว่านายอย่าปฏิเสธจะดีกว่า บทลงโทษจากการหลีกเลี่ยงภารกิจน่ะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ” เอ็มเมอรัลด์กระซิบเตือนเสียงแผ่ว “ที่ชาลอม การต่อต้านรุ่นพี่เป็นเรื่องร้ายแรงมากนะ”
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เดี๋ยวฉันจะช่วยฝูซิงเอง!” โรคอร์ตเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส
ฝูซิงมองเอ็มเมอรัลด์กับโรคอร์ต แล้วหันไปมองกลุ่มรุ่นพี่สาวที่ยืดผงาดอย่างเปี่ยมอำนาจตรงหน้า สุดท้ายก็จำต้องถอนใจยาวอย่างจนปัญหา
ไม่มีทางเลือก เขาคงต้องแอบถ่ายทีเผลอ...ตราบใดที่เลโอนาร์ดไม่รู้ เขาก็คงอยู่รอดปลอดภัย
ฝูซิงรู้สึกสันหลังเย็นวาบเมื่อนึกถึงอาวุธที่อีกฝ่ายสะสมไว้เต็มตู้
เขายื่นมือออกไปรับกระดาษภารกิจ ทันทีโนเอลีนปล่อยมือ จุดแสงสีฟ้าเรืองก็ส่องสว่างทั่วแผ่นกระดาษหนังวัว แล้วกระดาษก็หายวับไปในพริบตา มือของฝูซิงค้างอยู่กลางอากาศ ตาจ้องความเปลี่ยนแปลงตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เขาพบว่าเวลานี้กลางฝ่ามือของเขามีลวดลายจางๆ ประทับอยู่ เป็นลายแบบเดียวกับลายน้ำบนกระดาษ
“โอเค มอบหมายภารกิจเสร็จสิ้น” โนเอลีนหัวเราะ “ขอให้โชคดีนะ” พูดจบก็หันตัวเชิดหน้าเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องโขยงใหญ่
“ฝูซิงมีกล้องถ่ายรูปไหม”
“มี...” มือถือเขามีฟังก์ชันกล้องความละเอียดหกร้อยพิกเซล แต่ว่าโทรศัพท์ญี่ปุ่นเวลาถ่ายรูปจะมีเสียงชัตเตอร์ดังสนั่น
เอ็มเมอรัลด์ยิ้มพลางพูดอีกว่า “รู้สึกว่าภารกิจนี้ต้องอาศัยโชคช่วยเป็นหลักนะ”
“ท่าทางนายยิ้มเหมือนมีความสุขมากเลยนะ”
“หญ้านิทราตากแห้ง พอเอาไปเผาแล้วจะส่งกลิ่นหอมทำให้หลับสนิท” เอ็มเมอรัลด์เลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ห้ายูโรเท่านั้น สำหรับเพื่อนฉันลดให้พิเศษสี่สิบเปอร์เซ็นต์ คิดนายสามยูโรก็พอ นายได้เงินจากทุนของโรงเรียนแล้วนี่”
“พ่อค้าใจทราม!” ฝูซิงเหลือกตาใส่เอ็มเมอรัลด์ “โอเค! ฉันซื้อ!”
“ขอบคุณที่อุดหนุนนะครับ”
“ถ้าไม่ได้ผล นายโดนดีแน่”
“ถ้าไม่ได้ผล นายน่าจะโดนดีก่อนฉันนะ เอ…แต่คำว่า ‘ตายอนาถ’ น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ของนายมากกว่านะ” เอ็มเมอรัลด์หัวเราะน้อยๆ “วางใจเถอะน่า สินค้าของฉันรับประกันคุณภาพนะ”
ขอให้จริงอย่างที่พูดเถอะ
หลังจากได้รับภารกิจ ฝูซิงรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ตลอด พอกินข้าวเย็นโดยไม่รู้รสชาติอะไรเลยเสร็จแล้ว เขาก็กลับไปที่ห้องแล้วเริ่มวางแผนลงมือ แต่คิดจนสมองแทบระเบิดก็ยังหาวิธีที่ได้ผลชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ออกเสียที
จริงๆ แล้วนี่เป็นภารกิจที่ตรงไปตรงมามากๆ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีซับซ้อนอะไรเลย โชคเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง
คืนนั้น เลโอนาร์ดไม่กลับมาที่ห้องอีกตามเคย ทำให้ฝูซิงเหลือเวลาเตรียมตัวได้เต็มที่ เขาเอาหญ้าสมุนไพรที่เอ็มเมอรัลด์ให้มาใส่ในชามเหล็ก จากนั้นใช้ปลอกหมอนแทนหน้ากากปิดจมูกเวอร์ชั่นหนาสุดยอด พอสวมเสร็จก็นอนลงบนเตียง รอคอยให้ ‘เหยื่อ’ กลับมาที่ห้องอย่างเงียบเชียบ
ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะเนี่ย เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักล่าผีดูดเลือดเลย! เพียงแต่อาวุธของเขาไม่ใช่ไม้กางเขนกับลิ่มไม้ แต่เป็นโทรศัพท์มือถือที่ใช้มาแล้วปีครึ่งกับหญ้าแห้งราคาสามยูโรสี่ช่อ
พอถึงเวลาราวตีสี่ ประตูห้องก็เปิดออก เลโอนาร์ดกลับมาแล้ว ฝูซิงขดตัวอยู่บนเตียงพลางเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ
พอเลโอนาร์ดเข้ามาในห้องแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากนั้นไม่นาน เสียงน้ำไหลก็แว่วออกมา หลังจากนั้นราวสามสิบนาที เลโอนาร์ดซึ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่เตียงของตัวเอง
ฝูซิงดักรออยู่อย่างเงียบเชียบ ไม่กล้ากระดิกกระเดี้ย จนกระทั่งแสงอาทิตย์เจิดจ้าบาดตาส่องสว่างไปทั่วห้อง เขาถึงก้าวลงจากเตียงพร้อมอุปกรณ์ครบครัน แล้วย่องไปที่ห้องรับแขกอย่างไร้สุ้มเสียง
ฝูซิงจับหน้ากากปิดจมูกให้เข้าที่แล้วเริ่มจุดไฟเผาหญ้านิทรา เขาวางชามเหล็กไว้หน้าปากทางเดินติดกับเตียงของเลโอนาร์ด แล้วปล่อยให้ควันมีเวลากระจายตัวจนทั่วห้อง พอหญ้าไหม้จนเหลือแต่เถ้าและควันจางหายไปแล้ว เขาถึงถอดผ้าคลุม เปิดไฟในห้องรับแขก ปล่อยให้แสงไฟลอดเข้าไปตรงเตียงของเลโอนาร์ดเพื่อให้ถ่ายภาพได้โดยสะดวก
แม้ว่าเอ็มเมอรัลด์จะรับประกันหนักแน่นว่าหญ้านิทราจะทำให้เลโอนาร์ดหลับสนิทถึงขั้นที่ว่างิ้วมาเล่นในห้องก็ไม่ตื่น แต่เขาก็ไม่อยากเอาชีวิตของตัวเองไปเป็นหนูทดลองประสิทธิภาพของสินค้าชิ้นนี้
เหนือเตียงคือร่างที่ขดอยู่ใต้ผ้าห่ม เลโอนาร์ด เหยื่อของเขานั่นเอง
“เลโอนาร์ด?” ฝูซิงเดินไปที่ข้างเตียงแล้วเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ แต่เลโอนาร์ดยังคงหลับอย่างสงบเสงี่ยม
เยี่ยมมาก เดี๋ยวต้องรีบถ่ายให้เสร็จ จากนั้นก็เผ่นได้เลย!
แต่ตอนนี้มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ท่านอนของเลโอนาร์ดหันหน้าเข้าหากำแพง จากตำแหน่งที่ฝูซิงยืนอยู่ เขาไม่สามารถยืนที่ข้างเตียงแล้วถ่ายให้เห็นหน้าเลโอนาร์ดชัดๆ ได้ ฝูซิงเดินวนจนรอบเตียงเพื่อหามุมถ่ายรูป แต่ก็ไม่เจอมุมที่เหมาะเจาะเสียที
ไม่มีทางเลือกละ เขาถอนใจแล้วขยับเข้าไปใกล้ๆ ไหล่ของเลโอนาร์ด ขาข้างหนึ่งยกขึ้นวางบนขอบเตียงแล้วโน้มตัวเข้าไปข้างหน้า มือข้างหนึ่งยันกำแพงไว้
ยะ...เยี่ยมมาก แบบนี้แหละ มืออันสั่นเทาของฝูซิงยื่นมือถือไปตรงหน้าเลโอนาร์ด
ใบหน้าที่เย็นเยียบน่ากลัวอยู่เสมอของอีกฝ่าย พอหลับแล้วกลับดูอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย แม้ว่าหน้าตาเขาจะหล่อสะดุดตากว่านักเรียนคนอื่น แต่ด้วยความที่ทำหน้าบูดบึ้งอยู่ตลอด จึงไม่มีใครกล้ามองเขาตรงๆ นานเกินไป
ฝูซิงกดปุ่มถ่ายรูป เสียงชัตเตอร์ใสแจ๋วดังกังวานไปทั่ว
ทันใดนั้นเอง ดวงตาที่ปิดสนิทก็เบิกกว้าง ประสานเข้ากับตาของฝูซิงพอดิบพอดี
ฝูซิงสูดหายใจเฮือกด้วยความหวาดหวั่น ความตกใจทำให้เผลอปล่อยมือถือหลุดมือ ตกไปอยู่ข้างหมอนของเลโอนาร์ด
ซวยแล้ว! ตายแน่งานนี้!
ขณะเตรียมจะวิ่งหนี กำลังวูบหนึ่งก็พุ่งเข้ามาคว้าข้อมือของเขาไว้แล้วดึงเขาลงไป เขารู้สึกหัวหมุนเหมือนโลกกลับหัวกลับหาง แต่พอได้สติก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ใต้ผ้าห่มของเลโอนาร์ด
นะ...นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!
“ละ...เลโอนาร์ด?”
“ฮ่าๆๆ...มาแกล้งพี่อีกแล้วเหรอ เธอนี่ซนจริงๆ เลยเชียว...” เลโอนาร์ดหลุบตาลงแล้วพึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
อีกแล้ว?
“เอ่อ ไม่ใช่นะ ฉันเพิ่งทำแบบนี้ครั้งแรก...” ไม่ว่าจะพูดถึงอะไรก็เป็นครั้งแรกของเขาทั้งนั้น! และถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากมีประสบการณ์ครั้งแรกแบบนั้นตอนนี้ด้วย!
เลโอนาร์ดหลับตา มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของฝูซิงแล้วดึงเขาเข้ามากอดแนบอก “รอให้เย็นกว่านี้อีกหน่อย แล้วค่อยออกไปพร้อมกันนะ”
“หา!?” ว่าไงนะ! ไม่ใช่แค่ตอนนี้ ตอนเย็นก็จะเอาด้วยเหรอ
ฝูซิงขยับตัวยุกยิกด้วยความอึดอัด แม้ว่าเขาจะอยากรู้จักเลโอนาร์ดให้ลึกซึ้งกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้อยาก ‘ลึกซึ้ง’ ถึงขั้นนี้นะ!
เลโอนาร์ดขมวดคิ้วเล็กน้อย “เลอาห์ นอนต่ออีกหน่อยเดียวก็ได้ อย่าดิ้นสิ...”
ฝูซิงชะงักไปเล็กน้อย “ละ...เลโอนาร์ด?”
“เลอาห์ ต้องเป็นเด็กดีนะ...เดี๋ยวเย็นนี้จะพาเธอไปห้องสมุด...” เสียงพูดของเลโอนาร์ดขาดเป็นห้วงๆ “ขอพี่นอนอีกหน่อยเดียวก็ยังดี...”
คราวนี้ฝูซิงเข้าใจกระจ่างแล้ว เลโอนาร์ดไม่ได้ตื่น เพียงแต่หลับสนิทจนละเมอ
ว่าแต่...เลอาห์นี่เป็นใครกันนะ แฟนของเลโอนาร์ดเหรอ หรือจะเป็นคนในครอบครัว? ไม่นึกว่าเลโอนาร์ดเองก็จะมีด้านที่อ่อนโยนแบบนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน...
ฝูซิงนอนตัวแข็งทื่อไม่กล้ากระดุกกระดิก เขารอจนเลโอนาร์ดหลับสนิทไปอีกรอบ แล้วค่อยคว้ามือถือจากข้างหมอนมาถ่ายรูปเขาจากระยะประชิดอีกครั้ง
“แชะ!”
คราวนี้เลโอนาร์ดไม่ตื่น ยังคงหลับใหลอยู่ในแดนนิทราอย่างสงบ
ฝูซิงถ่ายต่ออีกหลายรูป ก่อนจะค่อยๆ ขยับกระดึ๊บๆ ลงไปข้างล่างทีละนิดเหมือนตัวหนอน จนสุดท้ายหลุดจากอ้อมกอดของเลโอนาร์ดออกมาอยู่ที่ปลายเตียง
ภารกิจสำเร็จอย่างสวยงาม!
หัวค่ำวันนั้น ฝูซิงกับโรคอร์ต เอ็มเมอรัลด์ และจูเยว่ที่มาเป็นเพื่อน นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมของหอพักหญิง รอเจอรุ่นพี่โนเอลีน
“นี่ครับ รูปภาพที่รุ่นพี่อยากได้!” ฝูซิงส่งภาพถ่ายที่พรินต์ออกมาแล้วให้โนเอลีน
“ว้าว! เร็วดีจังเลย!” โนเอลีนรับรูปภาพมาไว้ในมือ ก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนในกลุ่มอย่างสนุกสนาน “ใช้ได้เลยนะเนี่ย! แถมถ่ายช็อตแบบโคลสอัพมาด้วย! ฮิๆๆๆ ทำดีมาก! ฉันนึกว่านายจะทำไม่ได้เสียแล้ว”
“ฉันขออัดรูปต่อจากเธอได้ไหม!” นักเรียนหญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
“ฉันด้วยๆๆ! เอารูปสามนิ้วกับห้านิ้วอย่างละสามใบนะ!”
พอเห็นรุ่นพี่สาวสี่ห้าคนยืนกรี๊ดตื่นเต้นกับรูปเลโอนาร์ดตอนหลับ ฝูซิงก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งถามออกไปว่า “เอ่อ ไม่ทราบว่าวัตถุประสงค์ที่พวกพี่ขอให้ผมไปถ่ายรูป เป็นเพราะอยากทดสอบความสามารถในการเป็นสายลับของผมหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่หรอก” โนเอลีนมองรูปในมือ “แค่อยากได้รูปภาพของรุ่นน้องสุดหล่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง”
คำตอบนั้นทำให้ฝูซิงทั้งประหลาดใจและโมโห! “นี่มันอะไรกัน! ไหนอาจารย์กรอทท์บอกว่าการทดสอบนักเรียนใหม่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเกมล่านักเรียนใหม่ไงล่ะ ผมก็นึกว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่ซีเรียสกว่านี้ซะอีก!”
ไม่นึกว่าจะเป็นแค่กิจกรรมให้รุ่นพี่สาวสนองกิเลสของตัวเองด้วยการใช้งานรุ่นน้องผู้น่าสงสารแบบนี้!
“อาจารย์แค่ขู่พวกเธอเล่นเท่านั้นแหละ ไม่มีใครเขาใช้คำนั้นกันหรอก ชื่อเรียกอีกอย่างของการทดสอบนักเรียนใหม่คือเกมปั่นหัวเด็กใหม่ต่างหาก!” พอเด็กสาวผมสั้นสีเทาพูดจบ คนที่เหลือก็หัวเราะกันเกรียวกราว
“แต่ไม่ใช่ว่าภารกิจทุกชิ้นจะง่ายเหมือนครั้งนี้หรอกนะ” โนเอลีนพูดต่อ “รุ่นเรามีคนถูกสั่งให้ใช้มนตร์เรียกอสูรปีศาจออกมาให้ได้ภายในสัปดาห์เดียวด้วยละ”
“อ้อใช่ เพราะคนนั้นไปต่อปากต่อคำกับอาจารย์ซามุคาวะไง” นักเรียนหญิงอีกคนเสริม หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มรุ่นพี่ก็เริ่มเข้าสู่โหมดนกกระจอกแตกรังอีกครั้ง
“พวกเราไปได้แล้วใช่ไหม” ฝูซิงซึ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกรุ่นพี่ปั่นหัวพูดอย่างเซ็งๆ
“อ้อ ไปได้แล้วละ” โนเอลีนวางรูปถ่ายในมือลงบนโต๊ะ แล้วกระแอมให้คอโล่ง “ภารกิจเสร็จสิ้น”
ทันทีที่สิ้นเสียง ฝูซิงรู้สึกถึงสัมผัสเย็นสบายที่ฝ่ามือของเขาเอง พอหงายฝ่ามือขึ้นดู ก็เห็นว่าลายสีฟ้าที่มีอยู่ตอนแรกอันตรธานไปแล้ว
ระหว่างทางไปโรงอาหาร ฝูซิงซึ่งกำลังหงุดหงิดอย่างที่สุดบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุด
“ภารกิจประเภทนี้ทำไปจะมีประโยชน์อาไร้! ตอนแรกฉันนึกว่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ให้มากขึ้น กลายเป็นว่าถูกหลอกใช้งานซะงั้น...” เกมปั่นหัวเด็กใหม่บ้าบออะไรกัน! เห็นคนอื่นเป็นไอ้บื้อหรือไง!
“ถ้านายอยากได้ภารกิจที่มีประโยชน์ก็ได้นะ” เอ็มเมอรัลด์เอ่ยเสียเรียบ น้ำเสียงเจือด้วยความท้อแท้ “นายได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้เลย”
“หมายความว่ายังไงน่ะ”
เอ็มเมอรัลด์หงายฝ่ามือ เผยให้เห็นลายรูปก้นหอยสีฟ้าจางที่ประทับอยู่บนนั้น
“เอ๋? เอ็มเมอรัลด์ก็ได้ภารกิจมาเหมือนกันเหรอ” โรคอร์ตพูดด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้ต้องถ่ายรูปใครล่ะ หรือต้องจูบหรือกอดใครนานสามสิบวิอีกไหม”
“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยากได้รูป—เดี๋ยวนะโรคอร์ต ที่นายบอกว่าจูบนานสามสิบวินี่มันอะไรกัน!” ฝูซิงเค้นถาม
“ก็ภารกิจของฉันไง”
“ที่หอหญิง โรคอร์ตป๊อปปูลาร์มากๆ เลยนะ” จูเยว่อธิบายด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า “มีรุ่นพี่ผู้หญิงตั้งหลายคนที่ใช้สิทธิ์มอบภารกิจสั่งให้โรคอร์ตกอดหรือไม่ก็จูบนานสามสิบวิ ได้ยินว่าคนขอภารกิจแบบนี้เยอะมาก จนตอนหลังโรงเรียนต้องยกเลิกการอนุญาตภารกิจลักษณะนี้ไปเลย”
“ว่าไงนะ!” ร้ายนักนะโรคอร์ต นี่มันใช้หน้าตาทำมาหากินชัดๆ! โลกนี้จะไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!
“แล้วภารกิจของเอ็มเมอรัลด์คืออะไรเหรอ” จูเยว่ดึงบทสนทนากลับมาที่เรื่องเดิม
“ต้องหาขนหางของจิ้งจอกหิมะสามเส้น โดยที่อีกฝ่ายต้องเป็นนักเรียนใหม่เท่านั้น ระยะเวลาปฏิบัติภารกิจสามวัน” เอ็มเมอรัลด์ยิ้มบาง “ในเวลาปกติสัตว์ภูตจะไม่ค่อยคืนร่างเป็นสัตว์อยู่แล้ว อีกอย่าง...ขนหางเป็นแหล่งพลังเวทมนตร์ของปีศาจจิ้งจอก จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาหวงแหนมาก เป็นภารกิจที่ยากมากเลยใช่ไหมล่ะ”
“วางใจเถอะ พวกเราจะช่วยนายเอง” ฝูซิงพูด ก่อนจะเสริมอีกประโยคว่า “ฟรีด้วยนะ”
“ขอบใจนะ” เอ็มเมอรัลด์ยิ้มบางอย่างอ่อนแรง
“ฉันจำได้ว่าห้องเรามีเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นปีศาจจิ้งจอก ชื่อ โมมิจิ” จูเยว่เอียงหัวอย่างครุ่นคิด “เวลาเขาอาบน้ำจะคืนร่างส่วนที่เป็นหางออกมาเพื่อทำความสะอาดและหวีให้เรียบร้อยน่ะ”
พูดจบก็ยิ้มเหมือนพยายามให้กำลังใจ “พวกเธอโชคดีมากเลยนะ เพราะที่หอหญิงมีห้องน้ำรวม แล้วโมมิจิก็ชอบไปอาบน้ำที่นั่นมากเลย ฉันเจอเขาตอนอาบน้ำประจำแหละ”
เอ็มเมอรัลด์เลิกคิ้ว “โชคดีตรงไหนเนี่ย”
“ก็ตรงที่เธอแอบเข้าไปในห้องอาบน้ำหญิงเพื่อขโมยขนด้านหลังของเขาออกมาได้น่ะสิ...”
“ฟังดูลามกยังไงก็ไม่รู้ ฉันว่าเราควรจะเปลี่ยนวิธีพูดให้ฟังดูดีกว่านี้หน่อยไหม”
จูเยว่หัวเราะอย่างไม่ยี่หระแล้วพูดต่ออีกว่า “การแอบเข้าไปในห้องอาบน้ำหญิงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเข้าไปได้แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรยาก ถ้าอยากให้ฉันช่วยให้ข้อมูลหรือช่วยทำอะไรก็บอกได้เลย ฉันยินดีช่วยเต็มที่”
“ขอบใจนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” จูเยว่ยิ้มบาง จากนั้นก็เดินเข้าไปชิดด้านหลังฝูซิงพลางกระซิบเสียงแผ่วเบา “คราวนี้ฉันช่วยพวกเธอแอบเข้าไปในห้องน้ำหญิง คราวหน้าถ้าฉันอยากแอบเข้าห้องน้ำชาย ก็ฝากพวกเธอช่วยฉันด้วยแล้วกันนะ...”
“จูเยว่ เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ” ทำไมเมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนได้ยินอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาตกใจมาก
จูเยว่ไม่ตอบ มีเพียงมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เหมือนรอยยิ้มอันอ่อนโยนของแม่พระก็มิปาน
ความคิดเห็น |
---|