5

Chapter 05


Chapter 05

ความอ่อนหัดไม่ใช่โรค รักษาไม่หาย, คงต้องตายสถานเดียว

อาจารย์สวมสูททักซิโด้สุดเนี้ยบราวกับสุภาพบุรุษชาวอังกฤษ แถมยังพูดสำเนียงบริติชอีก

ฝูซิงอยากเลือกวิชาให้ต่อเนื่องกับหลักสูตรมัธยมปลายของไต้หวัน จึงลงวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาเลือก

แม้จะจัดอยู่ในประเภทวิชาทั่วไป แต่วิชาภาษาอังกฤษต้องเรียนในอาคารเรียนทักษะเฉพาะเหมือนวิชาพลังพิเศษ โรงเรียนของพวกเขาได้รับพลังจากอิฐหอคอยบาบิโลน ทำให้นักเรียนทุกคนสามารถสื่อสารกันได้ไม่ว่าจะใช้ภาษาอะไร ด้วยเหตุนี้วิชาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับภาษาจึงต้องเปิดคลาสเรียนใต้ค่ายอาคมแบบพิเศษ เพื่อให้สามารถสอนภาษาอื่นได้โดยราบรื่น

ฝูซิงนั่งเท้าคางอย่างเหม่อลอย เขามองลายก้นหอยบนฝ่ามือของตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย ความหวาดวิตกผุดขึ้นมาในใจเป็นระยะ “เฮ้อ...”

“เป็นอะไรไปน่ะ” เอ็มเมอรัลด์ที่นั่งอยู่ข้างฝูซิงถามเป็นภาษาฟินนิชด้วยความเป็นห่วง

ฝูซิงส่ายหน้า “เอ็มเมอรัลด์ ฉันฟังไม่รู้เรื่องน่ะ” เขาชี้ที่ฝ่ามือ สีหน้าหดหู่และสิ้นหวังสุดขีด

เอ็มเมอรัลด์เข้าใจทันที และส่งสายตาเห็นใจแทนคำพูดถึงอีกฝ่าย

ช่วงพัก ฝูซิงเดินออกจากห้องเรียน เขาตัดสินใจโดดคาบเรียนครึ่งหลัง แล้วไปเดินเล่นสูดอากาศที่สวนหลังอาคารเรียนแทน

เขาเดินไปที่มุมหนึ่งของสวนซึ่งอยู่ใกล้หอคอยหลักด้วยความเคยชิน ไม่นึกว่าจะเจอยูนิกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นพอดี ทำให้เขาดีใจมาก ฝูซิงรีบเดินเข้าไปแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างยูนิ จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาให้อีกฝ่ายฟัง

“...ฉันไปช่วยเอ็มเมอรัลด์ ก็เลยร่วงลงไปในอ่างน้ำของห้องอาบน้ำหญิง แล้วก็ถูกส่งตัวเข้าไปในห้องน้ำของซามุคาวะ!”

“ฟังดูตื่นเต้นดีนะ” ยูนิพลิกหน้าหนังสือพลางตอบ

“ใช่ๆ ฉันมีความลับจะเล่าด้วย! นายรู้ไหม ตัวตนจริงๆ ซามุคาวะไม่ใช่ลุงแก่หน้าบูดที่เราเห็นๆ กันนะ”

“อ้อเหรอ”

“นายรู้อยู่แล้วเหรอเนี่ย” ฝูซิงรู้สึกเซ็งเล็กน้อย

“อืม”

ฝูซิงนอนลงเหนือพื้นหญ้า ตาเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีน้ำเงินกระจ่าง “ไม่รู้ว่าทำไมซามุคาวะถึงกลายเป็นแบบนั้นเนอะ”

“เพราะเขาไปทำให้เทพอสูรโบราณตนหนึ่งโกรธ ก็เลยถูกคำสาป” ยูนิตอบเสียงเรียบ

“เหรอ” เทพอสูร? ฟังแล้วอย่างกับนิยายแฟนตาซี “แต่คำสาปที่ว่านี่ก็ไม่ได้ดูรุนแรงอะไรนะ ปกติถ้าโดนคำสาปก็น่าจะมือเท้าขาด หรือไม่งั้นก็ต้องตายอย่างทรมานไม่ใช่เหรอ”

“เพราะเทพอสูรตัวนั้นไม่เห็นซามุคาวะอยู่ในสายตาเลยสักนิดน่ะสิ อสูรเห็นซามุคาวะเป็นเด็กน้อยน่ารำคาญเหมือนหมาชิวาว่าตัวหนึ่งเท่านั้นละ” มุมปากของยูนิยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “อีกอย่าง...พอรูปลักษณ์ภายนอกถูกจำกัด ทักษะและพลังเวทของเขาก็ถูกจำกัดไปด้วย สำหรับปีศาจหมาดำอย่างซามุคาวะแล้ว การถูกจับมาสอนหนังสือทำให้เขารู้สึกเสื่อมเกียรติมาก”

“เหรอ” เขาไม่ค่อยเข้าใจการแบ่งประเภทและระดับพลังของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษสักเท่าไหร่ “อ้อใช่ ถ้างั้นนายรู้ไหมว่าเวลาซามุคาวะอาบน้ำ เขาชอบเล่นกับเป็ดยางตัวเล็กๆ น่ะ”

ยูนิชะงักไปเล็กน้อย แล้วรอยยิ้มบางก็ปรากฏบนใบหน้า “เรื่องนี้ฉันไม่รู้มาก่อนแฮะ”

ฝูซิงได้ยินดังนั้นก็ภูมิใจมาก แล้วรีบเล่าต่อ “แล้วเขาก็ทำบับเบิ้ลกลิ่นแอพริค็อตในอ่างน้ำด้วยนะ”

“โอ ไม่อยากเชื่อเลยแฮะ” ยูนิปิดหนังสือแล้วหันมามองฝูซิง “คราวนี้เจอปัญหาอะไรมาอีกล่ะ”

“หือ?”

“ลายก้นหอยที่ฝ่ามือนายไง”

“อ๋อ ฉันได้รับภารกิจอีกแล้วน่ะ” ฝูซิงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน “แถมคราวนี้ ภารกิจของฉันคือการหารอยประทับอุ้งเท้าหมาป่าของแบรด...”

“หืม? ถ้างั้นก็ยากอยู่นะ ปกติมนุษย์หมาป่าจะแปลงร่างเป็นอสูรก็ต่อเมื่อโกรธมากหรืออ่อนแอสุดขีดเท่านั้น” ยูนิเอียงหัวอย่างครุ่นคิด

“ถ้าเป็นกรณีของนาย ทำให้เขาโกรธน่าจะง่ายกว่า”

“เสร็จแล้วเขาจะได้ใช้กรงเล็บอสูรควักหัวใจฉันออกมาโยนเล่นน่ะเหรอ” ฝูซิงบ่นอุบอิบอย่างไม่ชอบใจ “ทำไมมนุษย์หมาป่าถึงนิสัยแย่แบบนี้นะ! เหมือนสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติในหนังไม่มีผิด! ทั้งโหดเหี้ยมแล้วก็เข้าใจยากด้วย!”

ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว เลโอนาร์ดก็เหมือนกัน! อันที่จริงเขารู้สึกว่าคนอื่นในห้องก็แปลกๆ ไม่เหมือนคนปกติ—ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนปกติจริงๆ ก็เถอะ แต่ฝูซิงรู้สึกว่าการพูดคุยกับ ‘คน’ พวกนี้เป็นเรื่องยากและซับซ้อน เขาไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

“ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษต่างหาก” ยูนิแก้คำพูดให้เขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ฉันรู้น่ะ ขอโทษที ฉันลืมตัวเลยเผลอใช้คำที่คุ้นปากน่ะ” ฝูซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อ้อ แล้วทำไมถึงไม่เรียกว่าสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติล่ะ”

“เพราะพวกเราก็เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือเกิดขึ้นจากธรรมชาติเหมือนกัน คำว่าเหนือธรรมชาติเป็นคำที่มนุษย์คิดขึ้นมาเพื่อใช้เรียกพวกเรา” สายตาของยูนิเหม่อมองไปไกล “สำหรับพวกเราแล้ว มนุษย์ต่างหากที่เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ แถมการมีอยู่ของมนุษย์ยังสร้างผลกระทบในแง่ลบด้วย...”

“ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง ก็น่าจะมีด้านที่ดีอยู่บ้างนะ” เขารู้ว่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษจำนวนไม่น้อยมีความรู้สึกในแง่ลบกับมนุษย์ เหมือนคนที่อยู่พรรคการเมืองคนละฝักฝ่าย ยากจะตัดสินได้ว่าใครถูกใครผิด

“สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษจิตใจดี ตรงไปตรงมาและจริงใจกว่ามนุษย์เยอะ นายอยู่ในสังคมมนุษย์มานานเกินไป เลยอาจจะยังไม่ชิน แต่ผ่านไปไม่นานนายจะเข้าใจเองแหละ”

“น่าจะแบบนั้นละมั้ง...”

ยูนิยิ้มน้อยๆ แล้วจู่ๆ คิ้วก็ขมวดเข้าหากัน

“เป็นอะไรไปเหรอ”

“ฉันต้องไปแล้ว” ยูนิลุกขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าดูฝืดเฝื่อนเล็กน้อย “คราวนี้ไว้มีโอกาสเราค่อยคุยกันใหม่นะ!”

“อื้อ โอเค”

“อีกอย่าง...นายมีพลังไร้ขีดจำกัดซ่อนอยู่ เพราะงั้นต้องมั่นใจในตัวเองนะ” ยูนิมองเขาด้วยแววตามีเลศนัย

 

การประชุมห้อง 1C ในวันศุกร์จะตกลงกันเรื่องกิจกรรมวันฮัลโลวีน ฝูซิงในฐานะหัวหน้าห้องต้องไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดแต่เช้าตรู่ ห้องสมุดของชาลอมอะคาเดมี่ใหญ่มาก ทั้งยังเก่าแก่พอสมควร หนังสือจำนวนกว่าครึ่งมีอายุมากกว่าสองศตวรรษ

แม้จะเก่าแก่แต่ก็เห็นได้ว่ามีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ หน้าทางเข้ามีคอมพิวเตอร์สำหรับค้นหาหนังสือ ทำให้การค้นข้อมูลสะดวกขึ้นมาก

ฝูซิงเข้าไปที่โซนประวัติศาสตร์โรงเรียนเพื่อค้นดูเอกสารเกี่ยวกับงานฮัลโลวีนในอดีต กิจกรรมวันฮัลโลวีนมีมายาวนานตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน แต่เพิ่งวิวัฒนาการกลายเป็นกิจกรรมทดสอบความกล้าเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี่เอง

หลังจากเข้าเรียนที่ชาลอมได้เดือนกว่า เขาเริ่มชินกับชีวิตที่นี่ และชินกับโลกของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์พิเศษ แม้มีหลายเรื่องที่เขายังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ตื่นตระหนกตกใจกับทุกเรื่องเหมือนตอนแรกๆ อีกแล้ว วิชาเรียนส่วนใหญ่เขาก็เรียนตามเพื่อนๆ ทัน แม้ว่าทักษะการควบคุมพลังอาคมจะยังเลวร้ายไม่เปลี่ยน แต่อย่างน้อยก็เริ่มร่ายอาคมง่ายๆ ได้บ้าง

ปัญหาเดียวที่ทำให้เขาปวดหัวคือ พลังพิเศษของตัวเขาเอง

จนตอนนี้เขาก็ยังแปลงร่างไม่ได้ และไม่รู้ว่าควรแปลงร่างอย่างไร สถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้เป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับงานวันฮัลโลวีนที่กำลังจะมาถึง

ช่วงบ่าย ฝูซิงหอบหนังสือเรียนมุ่งหน้าไปยังสวนใกล้หอคอยหลักเพื่อไปเจอยูนิ หวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยบอกเคล็ดลับอะไรให้เขาได้บ้าง

“ขอให้โรคอร์ตช่วยสิ” ยูนิพูดยิ้มๆ เขาทิ้งคำแนะนำที่ฟังดูเชื่อไม่ได้สักนิดเอาไว้ แล้วเจ้าตัวก็เดินจากไปอย่างสบายอารมณ์

ฝูซิงเดินกลับหอด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่พอเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ก็เจอเข้ากับโรคอร์ตพอดี อีกฝ่ายถือตะกร้าสานไว้ในมือ ท่าทางเหมือนกำลังจะไปที่ไหนสักแห่ง

“นายจะออกไปข้างนอกเหรอ” ฝูซิงถาม

“ใช่แล้วละ จะไปที่สนามหญ้าตรงโซนใต้”

“ไปทำอะไรเหรอ”

“ปิกนิก” โรคอร์ตชูตะกร้าสานในมือแล้วแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าฝูซิง “อากาศแบบนี้ กินข้าวเที่ยงเสร็จก็นอนอาบแดดอ่อนๆ ข้างนอกสบายมากเลยละ ฝูซิงอยากไปด้วยกันไหม”

“เอาสิ” เขาไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว

ฝูซิงเดินทอดน่องตามโรคอร์ตไปอย่างไม่รีบร้อน หลังจากนั้นไม่นาน สวนโซนใต้ที่มีดอกไม้เล็กๆ สีขาวบานสะพรั่งอยู่ทั่วก็ปรากฏต่อสายตา ทั้งสองหาที่นั่งใต้ร่มไม้แล้วปูเสื่อนั่ง

“ฝูซิงเอาหนังสือเรียนมาด้วยทำไมน่ะ มีคลาสเรียนเหรอ” โรคอร์ตกินแซนด์วิชที่ขอมาจากโรงอาหารพลางเอ่ยถาม

“ไม่ใช่หรอก ฉันกำลังฝึกเพิ่มเติมด้วยตัวเองอยู่น่ะ”

“ทำไมต้องฝึกเพิ่มด้วยล่ะ ฝูซิงโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

ถ้าไม่ใช่เพราะรู้นิสัยโรคอร์ตดี เขาคงนึกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถากถางเขาอยู่

“ฉันไม่ฉลาดเหมือนนายน่ะ” คำตอบของฝูซิงแฝงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย แล้วเขาก็นึกถึงคำแนะนำของยูนิขึ้นมา

ให้โรคอร์ตช่วยงั้นเหรอ จะไหวเร้อออ! แต่จะว่าไป...โรคอร์ตลงเรียนตั้งหลายวิชาแถมไม่เคยติดขัดหรือเรียนตามไม่ทันเลย คิดว่าเขาก็น่าจะมีวิชาติดตัวอยู่พอดู

คนจะจมน้ำ เห็นฟางเส้นเดียวก็คงต้องคว้าไว้แหละ!

“โรคอร์ต นายช่วยอะไรฉันหน่อยสิ!”

“หืม?”

“ช่วยสอนฉันแปลงร่างหน่อย!”

“หืม?”

“ฉันอ่านเนื้อหาในหนังสือเข้าใจ แล้วก็เข้าใจขั้นตอนที่อาจารย์สอนด้วย แต่พอลงมือจริงฉันล้มเหลวทุกทีเลย ขอร้องละ ช่วยสอนฉันหน่อยนะ!”

“อ้อ” โรคอร์ตพยักหน้า เขาหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ฝูซิงจัดอยู่ในประเภทสัตว์ภูต การแปลงร่างของสัตว์ภูตคือการกลับคืนสู่สภาพที่แท้จริงถูกไหม”

“ใช่”

“แสดงว่าถ้าฝูซิงเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวได้ ก็เท่ากับทำสำเร็จแล้ว ถูกไหม”

“ใช่แล้วละ” พูดง่าย แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำให้สำเร็จได้ยังไง

โรคอร์ตยันตัวลุกขึ้นนั่ง “โอเค ฉันจะสอนนายเอง” เขาจับมือของฝูซิงขึ้นมา “ง่ายมาก แค่ทำแบบนี้...”

อะไรกันเนี่ย! “เฮ้ยๆๆๆๆ รอเดี๋ยวก่อน—”

ฝูซิงห้ามอีกฝ่ายไม่ทัน โรคอร์ตหลับตาลงแล้วสูดหายใจลึก ชั่วขณะนั้น เขาสัมผัสได้ว่ามีพลังวูบหนึ่งไหลมาจากฝ่ามือของอีกฝ่าย เข้าสู่ร่างกายของเขาเอง

ฝูซิงเบิกตากว้าง นี่มันเรื่องอะไรกัน!

ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างนวลตาพุ่งผ่านหน้าเขาไป แสงระยับจับตาแว่บผ่านไปในเวลาเพียงชั่ววินาที จนไม่อาจบอกได้ว่าเขาแค่ตาลายหรือเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริง เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของตัวเองเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยจนแทบสัมผัสไม่ได้ว่ามีอยู่ ราวกับบานประตูที่มีฝุ่นเกาะเขรอะถูกผลักเปิด ชั่วขณะนั้น เขารู้สึกล่องลอยราวกับหลุดออกจากมิติเวลาไปชั่วขณะ

“จินตนาการรูปร่างหน้าตาของค้างคาวเอาไว้นะ”

เสียงของโรคอร์ตแว่วอยู่ข้างหู ฝูซิงทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างงุนงง เขารวบรวมสมาธิของตัวเองด้วยความรู้สึกล่องลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ภาพค้างคาวที่เขาเห็นในอินเทอร์เน็ตลอยขึ้นมาในสมอง

“โอเค” เสียงของโรคอร์ตแว่วเข้าหูมาอีกครั้ง

ฝูซิงตื่นจากภวังค์ เขาหันไปมองแต่พบว่าโรคอร์ตหายตัวไปแล้ว อีกอย่าง...ดูเหมือนว่าสิ่งที่ตาเขามองเห็นจะอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก ต้นหญ้าสีเขียวอ่อนบนพื้นอยู่ห่างจากใบหน้าเพียงคืบ

“สำเร็จแล้วละ ฝูซิง”

ฝูซิงหันไปมอง จึงเห็นว่ามีค้างคาวตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างเขา และกำลังพูดกับเขาด้วยเสียงของโรคอร์ต

“โรคอร์ต?” เขาร้องลั่นด้วยความตกใจ “นายกลายเป็นค้างคาวไปแล้วเหรอ!”

เขานึกว่าการแปลงร่างของภูตจะจำกัดอยู่แค่เปลี่ยนสีผิวและความสูงเท่านั้น หรือว่านี่จะเป็นเวทพรางตา? เอ็มเมอรัลด์เคยบอกว่าแฟรี่เชี่ยวชาญด้านการใช้เวทพรางตา—

“ฝูซิงอยากลองบินดูไหม”

“บินงั้นเหรอ” ฝูซิงก้มหน้า ตอนนี้เองเขาถึงตระหนักว่ารูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

ด้านล่างหน้าท้องกลมๆ ที่มีขนปุกปุยมีขาสั้นๆ ผอมๆ สีดำสองข้าง แขนทั้งสองข้างมีพังผืดยึดติดกับปีกหนังสีดำ พอเอื้อมมือไปจับเหนือศีรษะ ก็เจอหูแหลมๆ ขนาดใหญ่สองข้างอยู่เหนือกระหม่อม

เขาเองก็แปลงร่างเป็นค้างคาวด้วยเหมือนกัน!

“ขอบใจมากนะโรคอร์ต” ฝูซิงมองร่างใหม่ของตัวเองด้วยความตื่นเต้น เขายกปีกทั้งสองขึ้นอย่างเริงร่า ตอนแรกตั้งใจจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ดูเหมือนแสงอาทิตย์ในเวลานี้จะจ้าบาดตาเกินไปสำหรับเขา “จะเปลี่ยนกลับร่างเดิมยังไงน่ะ”

“ก็ทำเหมือนเดิมแหละ แค่คิดถึงความรู้สึกเมื่อกี้ แล้วก็คิดถึงร่างตัวเองตอนเป็นคนก็พอแล้ว” ระหว่างที่พูดอยู่นั้นโรคอร์ตก็เปลี่ยนร่างกลับเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาด้วยความง่ายดาย

“อื้อ โอเค!”

ฝูซิงหลับตาแล้วหวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่ เขาพยายามมองหาพลังที่วนเวียนอยู่ในร่างเมื่อครู่ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจคว้าพลังนั้นไว้ได้ เขารู้สึกราวกับกำลังวิ่งวนอยู่ในน้ำ ไม่อาจรวบรวมพลังไว้ด้วยกันได้

“ฝูซิงชอบร่างค้างคาวของตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ” โรคอร์ตกินวอฟเฟิลพลางหันมาถาม “แต่ตอนนี้แสงอาทิตย์สว่างมากเลยนะ คงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ถ้าเป็นตอนกลางคืนน่าจะสบายกว่านี้”

“มะ...ไม่ใช่นะ!” เขายังไม่ทันจะอิ่มเอิบกับความสำเร็จ ความกลัวสุดขีดก็ผุดขึ้นมาแทนที่เสียก่อน

“โรคอร์ต ฉันคิดว่า...ฉัน...เปลี่ยนร่างกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้...”

“เป็นไปได้ยังไงกัน” โรคอร์ตขมวดคิ้ว “เปลี่ยนร่างกลับน่าจะง่ายกว่านี่นา? ฝูซิงต้องคิดถึงความรู้สึกเมื่อกี้ แล้วรวบรวมสมาธิ...”

ฝูซิงหลับตาลงอีกครั้ง เขาพยายามทบทวนขั้นตอนที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียด

...ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ดวงอาทิตย์ยามสนธยาสาดแสงสีส้มจัดไปทั่วท้องฟ้า แล้วค่อยๆ คล้อยต่ำลงหลังเนินเขา เงาของร่างสองร่างกลางสวนในโซนใต้เหยียดยาวออกไปตามทิศของแสง

เงาหนึ่งคือคน อีกเงาคือค้างคาว

“ทำยังไงดี!” ฝูซิงถามอย่างร้อนรน “หรือฉันจะเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว!”

“ใจเย็นๆ นะ ฝูซิงเป็นแบบนี้ก็น่ารักมากเหมือนกัน!” โรคอร์ตรีบปลอบ “ฉะ...ฉันจะรีบเรียกเอ็มเมอรัลด์มาช่วยนะ”

 

เอ็มเมอรัลด์นั่งอยู่บนโซฟาภายในห้อง ตาจ้องค้างคาวที่นั่งยองๆ อยู่บนโต๊ะน้ำชาเขม็ง ก่อนจะยื่นนิ้วออกมาจิ้มท้องกลมๆ ของเจ้าค้างคาว

“ทำอะไรของนายน่ะ!” ฝูซิงใช้ปีกปัดป้องมือของอีกฝ่ายอย่างอารมณ์เสีย

“เปลี่ยนร่างกลับไม่ได้...ฉันเพิ่งเคยเจอกรณีแบบนี้ครั้งแรกเลย ถึงแม้จะดูไม่มีมารยาทที่พูดแบบนี้—” เอ็มเมอรัลด์หลุดหัวเราะพรืด “แต่ฉันขำมากเลย ฮ่าๆๆ”

“เอ็มเมอรัลด์!” นี่ไม่ใช่เวลาจะมาพูดล้อเล่นนะ!

“ให้ฉันเรียกกรอทท์มาช่วยไหม” เอ็มเมอรัลด์ถาม

“ไม่เอา! ขายขี้หน้าจะตาย!”

“กรณีแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย ไม่แน่พวกเขาอาจจะอยากจับนายมาผ่าวิจัย” ตันจ้วนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคือปีศาจแมงมุมจากยูนนานและเป็นรูมเมทของเอ็มเมอรัลด์ด้วย

ตอนแรกฝูซิงไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ แต่เอ็มเมอรัลด์ยืนยันหนักแน่นว่าตันจ้วนเชื่อใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฝูซิงจึงจำต้องสมยอมแม้จะไม่เต็มใจนัก

“เอ็มเมอรัลด์ นายมีหญ้าประหลาดๆ กับเนื้ออะไรก็ไม่รู้ตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ ลองเอามาให้ฝูซิงกินสิ” ตันจ้วนแนะนำ

“สมุนไพรพวกนั้นแพงมากนะ” เอ็มเมอรัลด์เลิกคิ้ว

ฝูซิงรีบชิงตอบอย่างตื่นตระหนก “เดี๋ยวฉันจะจ่ายเงินให้นายเอง! นายไม่ต้องกลัวเลยว่าจะขาดทุน!”

“ไม่เห็นต้องใจร้อนขนาดนี้เลย” เอ็มเมอรัลด์เกาข้างแก้มอย่างกระอักกระอ่วน “ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ” พูดจบก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปที่เตียงของตัวเอง จากนั้นก็กลับมาพร้อมกล่องไม้ใบมหึมาในอ้อมแขน

เอ็มเมอรัลด์วางกล่องไม้ลงกับพื้นแล้วเปิดออก ด้านในมีทั้งหมดสามชั้น ทุกชั้นใช้แผ่นไม้เล็กๆ วางกั้นเป็นช่องเล็กๆ หลายสิบช่อง แต่ละช่องมีหญ้าสมุนไพรและวัตถุดิบสำหรับร่ายมนตร์นานาชนิดยัดไว้จนเต็ม

“ไหนดูซิ...” เอ็มเมอรัลด์ก้มลงพินิจมองของในกล่อง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบหญ้าแห้งก้านยาวสีน้ำตาลเข้มกำหนึ่งออกมา เด็ดใบออกมาใบหนึ่งยื่นให้ฝูซิง “ลองนี่ หญ้าเปลี่ยนร่าง”

กรงเล็บเล็กจิ๋วของฝูซิงยื่นออกมารับใบไม้ แต่พอกัดเข้าปากสีหน้าก็เหยเกจนดูไม่ได้ “ขมจังเลย...”

“อันนี้ต้องบดเป็นผงแล้วต้มในน้ำสามนาทีก่อน”

“งั้นนายยื่นให้ฉันทำไมเล่า!”

“ฉันแค่จะให้นายถือไว้เฉยๆ นายน่ะใจร้อนเอง”

เอ็มเมอรัลด์โยนใบหญ้าแห้งลงในน้ำร้อนที่ต้มเตรียมไว้แล้ว หลังจากนั้นสามนาที ฝูซิงก็ดื่มยาจนหมด

“อืม ไม่ค่อยขมเท่าไหร่แล้ว” แถมยังมีรสหวานติดที่ปลายลิ้นหน่อยๆ ด้วย “แต่นอกจากรสชาติที่อร่อยขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีผลอย่างอื่น...” เขาเอียงหน้ามองปีกสีดำขลับของตัวเองแล้วถอนใจยาว

“ลองอันนี้” เอ็มเมอรัลด์หยิบยาเม็ดสีดำเม็ดกลมๆ สองเม็ดออกมาโยนเข้าปากฝูซิง

“แคก! ทำไมเผ็ดแบบนี้ล่ะ!” ฝูซิงฝืนกลืนลงคอไปอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะๆๆ!” โรคอร์ตหลุดอุทานด้วยความประหลาดใจ

“เกิดอะไรขึ้น! ได้ผลแล้วเหรอ!”

“จมูกของนายกลายเป็นสีชมพูน่ะ” ตันจ้วนดันแก้วน้ำมาตรงหน้าฝูซิง ให้ฝูซิงดูเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ “แล้วก็มีหูกระต่ายเพิ่มขึ้นมาอีกคู่”

“นี่มันยาบ้าอะไร!” ตอนนี้เขาดูเหมือนสัตว์ประหลาดเลย!

“ไม่หรอก จะว่าไปก็โหงวเฮ้งดีเหมือนกันนะ...”

“งั้น...ลองอันนี้” เอ็มเมอรัลด์เทของเหลวสีฟ้าลงบนช้อนชาแล้วยื่นให้ฝูซิงดื่ม

“โอ๊ยเหม็น!”

“เอาน่า อย่างน้อยหูกระต่ายก็หายไปแล้ว ตอนนี้นายเป็นแค่ค้างคาวจมูกสีชมพูละ”

“มันมีประโยชน์อะไรไหมเนี่ย!”

“ลองอันนี้ดู”

“โอ๊ยเย็น!”

“มีอันนี้ด้วย”

“โอ๊ยหวาน!” ฮือออ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความยากลำบากของเทพเสินหนงที่ต้องลองชิมใบไม้นับหมื่นชนิดเพื่อมวลมนุษย์แล้ว...

“แล้วอันนี้ล่ะ” โรคอร์ตใช้ช้อนควักครีมเหนียวๆ ในขวดสีชมพูลูกท้อออกมายื่นให้ฝูซิง

ฝูซิงมองครีมข้นสีขาวที่มีกลิ่นหอมของผลไม้พลางสูดจมูกฟุดฟิด ก่อนจะลองชิมเข้าไปคำหนึ่ง “อะไรเนี่ย! กลิ่นหอมแต่ว่าขมมากเลย! แถมฉันยังรู้สึกแสบๆ ที่ลิ้นด้วย!”

“ขอโทษนะ” ตันจ้วนกระแอมเบาๆ “นั่นครีมนวดผมของฉันน่ะ...”

“ว่าไงนะ!” ฝูซิงรีบคายครีมนวดผมที่เหลืออยู่ในปากออกมาทันที “แคกๆๆ! โรคอร์ต นายแกล้งฉันนี่!”

“ฉันเห็นมันวางอยู่ตรงนี้ก็เลยนึกว่าเป็นสมุนไพรน่ะ ขอโทษด้วยนะฝูซิง!”

“ยังดีที่นายไม่หยิบอีกขวด” ตันจ้วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพราะขวดนั้นคือน้ำยาล้างห้องน้ำแบบเพิ่มพลังกัดเซาะสิบเท่า”

ฝูซิงเบิกตากว้างจ้องโรคอร์ต ก่อนจะเอ่ยอย่างสิ้นหวังว่า “เอ็มเมอรัลด์ นายยังมียาอย่างอื่นอีกไหม”

“ทั้งยาที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้ก็ให้นายกินไปหมดแล้ว ดูท่าจะไม่ได้ผล”

“ทำยังไงดี...”

“ลองไปถามจูเยว่ดีไหม เขาเป็นสัตว์ภูตเหมือนกัน อาจจะรู้ดีกว่าพวกเรานะ” ตันจ้วนเสนอ

หา!? จูเยว่งั้นเหรอ! แต่เขาไม่อยากขายขี้หน้าต่อหน้าผู้หญิงแบบนี้! “เอ่อ ฉันว่า—”

แต่คำท้วงยังไม่ทันหลุดจากปาก เพื่อนที่เหลืออีกสามคนก็ตกลงใจทำตามข้อเสนอแนะนี้เรียบร้อย

“งั้นฉันจะไปตามเขามาให้” เอ็มเมอรัลด์ลุกขึ้น “พวกนายไปรอที่สวนดอกไม้หลังอาคารเรียนทั่วไป ตรงนั้นไม่ค่อยมีคน”

“โอเค” โรคอร์ตหิ้วฝูซิงขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวเหมือนกำลังอุ้มตุ๊กตา “ปะ พวกเราไปกันเถอะฝูซิง”

“ฉันเดิน...เอ๊ย!...บินเองได้น่า”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฝูซิงป่วยอยู่ ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ” โรคอร์ตพูดพลางใช้มือลูบขนตามตัวฝูซิงเบาๆ แถมยังเกาหูกับท้องเขาเป็นระยะๆ ด้วย

แบบนี้มันสัตว์เลี้ยงชัดๆ คนป่วยเปื่อยอะไรกัน!

 

เอ็มเมอรัลด์มุ่งหน้าไปขอกำลังเสริมที่หอหญิง สิบนาทีหลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมลูกมืออีกสองคน

จูเยว่กับทาเอะฮารุนั่นเอง

“ขอโทษทีนะ พอดีทาเอะฮารุก็อยู่ที่นั่นด้วยน่ะ” เอ็มเมอรัลด์พยายามอธิบาย “อีกอย่าง...ปีศาจทานุกิมีความรู้เรื่องยาดีมาก เขาอาจจะช่วยนายได้”

“วางใจได้เลย!” ทาเอะฮารุเป็นสาวน้อยไว้ผมม้า หน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่น ในมือเธอถือกระปุกยาสมุนไพร และประกาศก้องอย่างมั่นใจว่า “นี่เป็นยาวิเศษสูตรลับของบรรพบุรุษตระกูลฉัน รักษาได้สารพัดโรค!”

กระนั้นก็รักษาอาการผิดปกติในการเปลี่ยนร่างของฝูซิงไม่ได้

“ฉันจะกลับไปหายาอย่างอื่นมาเพิ่มนะ!” ใบหน้าของทาเอะฮารุเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พอพูดจบเธอก็อุ้มขวดยาเดินกลับหอไป

พอกลับมาอีกรอบ ทาเอะฮารุไม่ได้มีแค่ขวดยาในมือ แต่มีกำลังเสริมอีกสองคนตามมาด้วย

“ทาเอะฮารุบอกฉันว่าที่นี่มีเรื่องสนุกๆ น่ะ” ปีศาจจิ้งจอกโมมิจิสวมชุดยูกาตะแบบญี่ปุ่นเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มพราย บรรยากาศรอบตัวเธอราวกับมีกลิ่นอายแห่งความเย้ายวนโอบล้อมอยู่ตลอด

“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะโมมิจิ” ตันจ้วนตอบเสียงเย็น

“ทำตัวเย็นชาแบบนี้สาวๆ จะไม่ชอบนะ” โมมิจิหรี่ตาแล้วหันไปส่งตาหวานให้ตันจ้วน เสร็จแล้วหันกลับมาหาฝูซิง “ลองเวทรักษาของปีศาจจิ้งจอกดูไหม”

โมมิจิทาบมือลงเหนือร่างของฝูซิง แล้วแสงสว่างเรืองรองก็ปรากฏขึ้นจากฝ่ามือของเธอ

ฝูซิงรู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาสบายขึ้นมาก อาการปวดเอวปวดหลังอะไรทั้งหลายหายไปในพริบตา

กระนั้น รูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็ยังคงเดิม

“ไม่ได้ผลเหรอเนี่ย” โมมิจิลูบหัวของฝูซิงเบาๆ ด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น “ดูเหมือนจะแก้ยากเหมือนกันนะเนี่ย งั้นฉันจะลองกลับไปดูว่ามีวิธีอื่นอีกไหม”

หลังจากโมมิจิกลับไปแล้ว ก็กลับมาพร้อมกระเป๋าผ้า และเพื่อนอีกหนึ่งคน

“โอ๊ยโย้ยโหย! ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย” เรเชลล์ สาวน้อยผมลอนยาวสีน้ำตาลแดง เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า เธอคือสาวน้อยเผ่าเลือดสีนิลที่เรียกแบรดว่า “ไอ้หมาโง่” ในตอนแรกที่พวกเขาเจอกันในห้องเรียน

“ฉันบอกแล้ว” โมมิจิเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ที่นี่ไม่ใช่โชว์สัตว์ประหลาดนะ” ตันจ้วนตะคอก

“ฉันไม่ได้มาดูโชว์เสียหน่อย” ตอบด้วยรอยยิ้ม พร้อมกันนั้นก็หยิบขวดแก้วออกมาส่งให้ฝูซิง “ไม่รู้ว่ายาวิเศษของเผ่าเลือดสีนิลจะใช้ได้ผลหรือเปล่า”

ฝูซิงประคองขวดนั้นไว้ในมือแล้วจิบดื่มของเหลวในขวดนิดหน่อยอย่างระมัดระวัง รสเผ็ดร้อนทำให้ลิ้นเขาชาจนแทบไร้ความรู้สึก

“รสชาติแย่มากเลย...” เขารู้สึกราวกับลำคอถูกไฟเผา

“ฉันก็คิดว่างั้นเหมือนกัน” เรเชลล์ยิ้ม “เพราะมันเป็นยาใช้ภายนอกน่ะ”

“ว่าไงนะ!” ทำไมไม่รีบบอก “งั้นต้องทาที่ไหนล่ะ”

“ที่ไหนมีปัญหาก็ทาตรงนั้นแหละ” เรเชลล์หยิบขวดขึ้นมา “ถ้ามีปัญหาทั้งตัวก็ต้อง...” เธอเอียงขวด ของเหลวลื่นๆ เหมือนน้ำมันไหลลงราดหัวของฝูซิงจนเปียกชุ่ม

“อี๋!” สัมผัสลื่นเหนียวทำให้เขารู้สึกขยะแขยงมาก

“ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแฮะ”

ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบไปพักใหญ่ จนสามนาทีหลังจากนั้น ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวว่า—

“ฉันจะกลับไปหาวิธีอื่นดูนะ!”

“หา!?”

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันออกไป เหลือเพียงโรคอร์ตอยู่เป็นเพื่อนฝูซิง

สิบนาทีหลังจากนั้น ทุกคนที่แยกย้ายไปกลับมาพร้อม ‘วิธีแก้’ ของตัวเอง

“นี่ดวงตาของผีเสื้อราตรี ช่วยรักษาบาดแผลที่เกิดจากพลังพิเศษได้ผลดีมาก” เจเดน จอร์ท สัตว์ภูตที่อยู่ห้องเดียวกับพวกเขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มร่าเริง

“นี่น้ำมันคางคก ใช้ได้ผลดีสุดๆ” คุโรนุมะ ยาโยอิ กัปปะที่ชอบแต่งตัวเป็นสาวฮอตจากฮาราจุกุ ใช้เล็บมือที่ประดับด้วยคริสตัลระยิบระยับยื่นขวดมาตรงหน้าฝูซิงแล้วเขย่าขวดไปมา

“คริสตัลของภูตหิมะ” ภูตสาวแคทรีน่าเอ่ยแนะนำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อยากลองใช้เขาของซาลาแมนเดอร์ไหม” ไอแซก เนฟสกี้ เด็กหนุ่มเผ่าเลือดสีนิลที่ปกติเงียบและเก็บตัวจนไม่มีใครดูออกว่าเขากำลังคิดอะไร ครั้งนี้ก็เข้ามาร่วมวงด้วย

“นี่คือน้ำศักดิ์สิทธิ์จากตำหนักหลิงลู่” ม่อหลิง ปีศาจไก่ฟ้าถือแก้วมาใบหนึ่ง ในแก้วใบนั้นคือของเหลวที่มีผงตะกอนสีขาวเทา “ต้องช่วยรักษาคำสาปของนายได้แน่!”

“อันนี้สิได้ผล—”

“ลองอันนี้ก่อน—”

“มีอันนี้ด้วยนะ—”

ดูเหมือนทุกคนในห้อง 1C จะอยู่ที่นี่กันเกือบครบ แต่ละคนนำสูตรลับจากเผ่าหรือบ้านเกิดของตัวเองติดมือมาด้วย ราวกับเป็นทูตสันถวไมตรีจากแดนไกลที่เดินทางมาเยี่ยมเยียน ฝูซิงถูกรายล้อมจากรอบด้าน ถูกจับกรอกและถูกจับทายาสมุนไพรแปลกประหลาดไม่รู้กี่ร้อยกี่พันสูตรจนวิงเวียนไปหมด สองตาพร่าลายจนเห็นดาว

โอพระเจ้า! จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากจะเป็นแค่ค้างคาวธรรมดาๆ ตัวหนึ่งที่ไม่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้...ใครก็ได้ช่วยเขาที!

ณ มุมหนึ่งของสวนดอกไม้ คือความวุ่นวายและเสียงโหวกเหวกไม่สิ้นสุด

ข้างต้นไวต์เบิร์ชสูงใหญ่คือร่างสูงผอมของใครคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางแมกไม้อย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาที่แฝงประกายแย้มยิ้มเฝ้ามองความคึกคักตรงหน้าอย่างนึกสนุก

หืม? ไม่เลวเลย คนเยอะขนาดนี้เข้ามาช่วย...น่าจะพอแล้วละ เขาควรรีบลงมือก่อนเด็กคนนั้นจะถูกรุมทึ้งจนตาย

เขายื่นมือออกไปดีดนิ้วกลางอากาศอย่างแผ่วเบา พลังที่มองไม่เห็นกระจายออกไปโดยรอบราวกับวงน้ำ เมื่อสัมผัสกับร่างกายของฝูซิง พลังก็เข้าไปโอบล้อมตัวเขาไว้

“หืม?” แม้จะถูกจับกรอกยาพิสดารเป็นร้อยสูตร แต่ชั่ววินาทีนั้นฝูซิงรู้สึกถึงสัมผัสประหลาดอย่างหนึ่งจากภายนอกที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขา

ทันใดนั้น ร่างกลมๆ ของค้างคาวก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง แขนขายืดยาวออก ลำตัวก็ยืดสูงขึ้น หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาทีก็กลายเป็นร่างมนุษย์

ฝูซิงกะพริบตาปริบๆ ขณะก้มลงมองร่างของตัวเอง เขากลับเป็นปกติแล้ว!

“เฮ้ย! ทำสำเร็จแล้ว!” เสียงร้องด้วยความยินดีดังมาจากทุกทิศ

“ขอบใจมากนะ!” แม้เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองกลับสู่สภาพปกติได้อย่างไร แต่ฝูซิงก็ยังมองทุกคนในที่นั้นด้วยความซาบซึ้ง และเอ่ยขอบคุณพวกเขาจากใจจริงว่า “ถ้าพวกนายไม่มาช่วยละก็ ฉันต้องแย่แน่ๆ! ขอบใจมากๆ นะ!”

“ฉันบอกแล้วว่ายาฉันใช้ได้ผล” เอ็มเมอรัลด์เอ่ยอย่างภาคภูมิ “ต้องเป็นเพราะยาฉันเพิ่งออกฤทธิ์ตอนนี้แน่ๆ”

“ไม่ใช่ เป็นเพราะหญ้าของฉันต่างหาก”

“เพราะน้ำมันของฉันต่างหากเล่า!”

“ไร้สาระ เพราะน้ำมนต์ของฉันหรอก!”

เงียบได้ไม่ถึงสองวินาที ทุกอย่างก็กลับสู่ความอลหม่านอีกครั้ง

“เอาละ ทุกคนไม่ต้องทะเลาะกันนะ” ฝูซิงพยายามประนีประนอม “ไม่ว่าจะเป็นยาของใคร ฉันก็รู้สึกขอบคุณมากๆ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ...”

“ไม่ได้หรอก!” ม่อหลิงถลึงตาจ้องเอ็มเมอรัลด์อย่างกราดเกรี้ยว “ฉันจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะพิสูจน์ว่ายาของฉันใช้ได้ผล!”

“ฉันต่างหากที่ควรพูดประโยคนี้!”

“ฝูซิง! มานี่เลย! พวกเราต้องลองใหม่อีกรอบ!”

“ลองกินน้ำมันของฉันก่อน!”

“น้ำมนต์ของฉันด้วย!”

“ยาน้ำนี่ด้วยนะ!”

พอเห็นขวดยาสารพัดสารพันที่ยื่นมาตรงหน้า ฝูซิงรู้สึกสันหลังเย็นวาบ

“ไว้ชีวิตฉันเถอะนะ!”

 

หลังจากวันนั้น ฝูซิงอุทิศเวลาว่างนอกชั่วโมงเรียนแทบทั้งหมดไปกับการเตรียมงานวันฮัลโลวีน

ต้องขอบคุณความวุ่นวายจากการที่เขาคืนร่างไม่ได้ เวลานี้ฝูซิงสนิทกับเพื่อนๆ ในห้องมากขึ้นเยอะ หลายคนยินดียื่นมือเข้าช่วยเขา ทำให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นพอสมควร

พอถึงเวลาประชุมวันศุกร์ ทุกคนในห้องไปรวมตัวกันที่ห้องเรียนเพื่อตกลงกันว่าจะทำอะไรบ้างในวันฮัลโลวีน

ฝูซิงยืนอยู่หน้ากระดานดำ เขาอธิบายข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมา พร้อมทั้งแบ่งงานให้เพื่อนในห้อง

“...ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่เราต้องรู้ก่อนจัดกิจกรรม ใครมีความเห็นอะไรเกี่ยวกับการทำด่านทดสอบความกล้า ก็เสนอมาได้เลยนะ”

“อะแฮ่ม!”

เสียงกระแอมเบาๆ จากคนที่นั่งอยู่ด้านล่างเป็นสัญญาณเตือนให้ฝูซิงเสริมต่อว่า “อ้อใช่ อีกอย่างคือ เอ็มเมอรัลด์แอบไปสืบแผนการของห้องอื่นๆ มาด้วย ฉันคิดว่าข้อมูลนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับห้องเรา เดี๋ยวฉันจะให้เอ็มเมอรัลด์ขึ้นมาพูดต่อนะ—”

เอ็มเมอรัลด์ลุกขึ้นอย่างสง่างามแล้วเดินไปที่เวทีหน้าห้อง “ตอนนี้การเตรียมการของห้องอื่นคืบหน้าไปมากกว่าห้องของพวกเรานิดหน่อย แต่ฉันคิดว่าพวกเขาไม่ได้เตรียมการหรือวางแผนให้ถี่ถ้วนก็ลงมือไปก่อน อย่างห้อง A กับ D ก็ใช้วิธีแบบดั้งเดิมที่สุดคือแปลงร่างเป็นวิญญาณ ผีดิบ หรือไม่ก็ปีศาจออกมาหลอกคนให้ตกใจกลัว โดยเฉพาะห้อง D ช่วงนี้พวกเขารวมตัวกันไปดูหนังผีที่ห้องแทบทุกวันเลย ระยะนี้พวกเราเลยได้ยินเสียงหัวเราะแบบบ้าคลั่งจากแถวชั้นสี่บ่อยๆ”

เอ็มเมอรัลด์กระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ห้องที่ควรระวังคือห้อง B กับห้อง E เท่าที่ฉันรู้ ห้อง B ตัดสินใจทิ้งคะแนนในส่วน ‘แสดงอาการตกใจให้สมจริง’ ไปเลย และวางแผนจะใช้กำลังทะลวงด่านต่างๆ ไปจนถึงเส้นชัยโดยไม่เสียเวลาเล่นละครว่าตกใจกลัว”

พอพูดมาถึงตรงนี้ เอ็มเมอรัลด์ก็ลดเสียงลงจนเหลือเพียงเสียงกระซิบ แล้วหันไปหาฝูซิง “ได้ยินว่าหัวหน้าห้อง B มาจากไต้หวันเหมือนนายละ ดูสิ นายน่ะคอยแต่จะหาเรื่องเดือดร้อนให้คนอื่นอยู่เรื่อย”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยฟะ” เขาไม่ได้เป็นคนบอกให้อีกฝ่ายทำแบบนั้นสักหน่อย! แต่คำพูดของเอ็มเมอรัลด์ก็ทำให้ฝูซิงรู้สึกสนใจไม่น้อย เขาไม่รู้มาก่อนว่าในกลุ่มนักเรียนใหม่มีคนที่มาจากที่เดียวกับเขาด้วย อยากรู้จังว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าพันธุ์อะไร

“โอเค ต่อมาคือห้อง E” เอ็มเมอรัลด์พูดต่อ “ข้อควรระวังสำหรับห้อง E คือ นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องนี้อายุเยอะกว่านักเรียนใหม่คนอื่นๆ พอสมควร ทำให้มีพลังมากกว่า ฉันรู้มาว่าในห้อง E มีนักเรียนสี่หรือห้าคนที่ตอนนี้คะแนนสะสมทะลุสองร้อยคะแนนไปแล้ว” เขาเงยหน้าแล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ฉันคิดว่าพวกเขาคงมีเวลาว่างเยอะมั้ง”

ฝูซิงเลิกคิ้ว คะแนนสะสมมากกว่าสองร้อยงั้นเหรอ วันก่อนเขาลองเอาแหวนไปสแกน มีคะแนนอยู่สี่สิบคะแนนเอง อีกอย่างคะแนนส่วนใหญ่ก็ได้มาจากวิชาการเข้าสังคมมนุษย์ด้วย แสดงว่านักเรียนห้อง E ต้อง...ไม่ธรรมดาแน่ๆ!

พอเอ็มเมอรัลด์ลงจากเวทีแล้ว ทุกคนก็เริ่มหันไปพูดคุยกัน ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นและข้อเสนอเกี่ยวกับคู่แข่งห้องอื่น

“ทุกคนไม่ต้องกังวล ตอนนี้เรายังเหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ นับว่าเวลาเยอะพอสมควร” ฝูซิงประกาศเสียงดังเพื่อดึงความสนใจของทุกคนกลับมา

“ห้องที่ได้แชมเปี้ยนเมื่อแปดปีก่อน ใช้เวลาเตรียมด่านทดสอบความกล้าแค่สองวันเท่านั้นเอง”

อีกอย่างที่เขาไม่ได้พูดก็คือ หัวหน้าห้องของห้องที่ว่าคือพี่สาวของเขาเอง พี่สาวของเขามีเวลาอยู่ที่โรงเรียนนี้แค่ครึ่งเดียว แต่กลับสามารถวางแผนและนำนักเรียนทุกคนในห้องให้เข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างราบรื่น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาจารย์หลายคนถึงจำพี่สาวของเขาได้แม่นขนาดนั้น

การประชุมยังดำเนินต่อไป จนเวลาผ่านไปเกือบครบชั่วโมง

หลังจากแยกย้าย บางคนไปเรียนคลาสอื่นต่อ บางคนกลับหอพัก ฝูซิง เอ็มเมอรัลด์ และจูเยว่เดินคุยกันไปเรื่อยๆ ส่วนโรคอร์ตที่เดินตามมาข้างๆ หิ้วคุกกี้ที่ห่อออกมาจากโรงอาหารติดมือมาด้วย แถมยังตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเอาจริงเอาจัง

“ไม่รู้ว่าห้องอื่นเตรียมการไปถึงไหนแล้ว ฉันอยากเห็นจังเลยว่าพวกเขาออกแบบด่านต่างๆ ยังไง” ฝูซิงเอื้อมไปหยิบคุกกี้สอดไส้ครีมคัสตาร์ดจากถุงของโรคอร์ตมากิน

“วางใจเถอะ พวกเราคงทำได้ไม่แย่ไปกว่าพวกนั้นเท่าไหร่” เอ็มเมอรัลด์หยุดคิดแว่บหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อย่างน้อยเราก็ยังมีห้อง D รอรั้งท้ายเป็นที่โหล่”

“งั้นเหรอ...” คำให้กำลังใจจากเพื่อนไม่ช่วยเรียกพลังให้เขาฮึกเหิมแม้แต่น้อย “อ้อ แล้วหัวหน้าห้อง B คือใครเหรอ เขามาจากเผ่าพันธุ์ไหน มาจากเมืองไหนในไต้หวันน่ะ” เขาอยากรู้จักเพื่อนบ้านเดียวกันคนนี้ให้มากยิ่งขึ้น

เอ็มเมอรัลด์เหลือบมองฝูซิงด้วยหางตา “อะไรกัน นายจะจีบเขาเหรอ ยาเสน่ห์ขนาดสิบมิลลิลิตร ราคามิตรภาพห้ายูโรเท่านั้น”

“คิดอะไรของนาย! ฉันแค่—เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน เขาเป็นผู้หญิงเหรอ”

“ใช่สิ เขาเป็นปีศาจแมว ชื่อฟลอรัลน่ะ”

“ฟลอรัล?” เป็นชื่อที่ไม่เหมือนใครดีแฮะ!

“ห้องนอนฉันอยู่ติดกับห้องเขาละ เห็นว่าเขาเป็นสัตว์ภูตรุ่นแรก และชื่อนี้ก็ได้มาจากชื่อตอนที่เขายังเป็นแมว เพราะสปีชี่ส์พิเศษรุ่นแรกส่วนใหญ่แม้จะมีพลังพิเศษแล้ว ก็มักจะใช้ชื่อเดิมของตัวเองต่อไปน่ะ” จูเยว่อธิบายเสริม

‘รุ่นแรก’ หมายถึงสัตว์ภูตที่ฝึกฝนตนเองจนมีพลังพิเศษ และกลายร่างจากสัตว์เป็นสัตว์ที่มีพลังพิเศษ ไม่ได้รับการถ่ายทอดพลังจากพ่อแม่ที่เป็นสัตว์ภูต ต่างจากฝูซิงที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นสัตว์ภูตหรือเลือดผสม และมีชื่อเรียกว่า ‘รุ่นทายาท’

“เขาเป็นคนยังไงเหรอ”

“พูดยังไงดีละ...” จูเยว่เอียงหัวอย่างครุ่นคิด “อืม เขาเหมือนฝูซิงตรงที่ท่าทางเหมือนมนุษย์มากๆ แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ค่อยเหมือนกับฝูซิงด้วย อา...ฉันหมายถึงว่า...คำพูดกับท่าทางของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่ฉันเองก็ไม่สนิทกับเขาเท่าไหร่ เลยไม่ได้รู้ละเอียดน่ะ”

“งั้นเหรอ...” ได้ยินแบบนี้ยิ่งทำให้เขาอยากรู้เข้าไปใหญ่ “งั้นตอนเข้าเรียนรวมรอบหน้า ช่วยชี้ให้ฉันดูหน่อยสิว่าเขาคือคนไหน”

พอมาถึงโซนหอพัก หอพักชายและหญิงตั้งอยู่คนละมุม ฝูซิงกับคนอื่นๆ โบกมือลาจูเยว่ที่ลานกว้างหน้าหอชาย

“พรุ่งนี้เจอกันนะ”

“ฝูซิง รอก่อน” จูเยว่เรียกฝูซิงไว้แล้วเอื้อมมือมาแตะใบหน้าของเขา นิ้วโป้งปาดผ่านข้างมุมปากของฝูซิงอย่างอ่อนโยน

“มีเศษคุกกี้ติดน่ะ” จูเยว่ยื่นมือมาตรงหน้าฝูซิงแล้วดีดเศษคุกกี้ออกไปอย่างแผ่วเบา

ฝูซิงรู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวน้อยๆ ด้วยความเขิน เขาก้มหน้างุดแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ อยู่ในลำคอ ใบหน้าของจูเยว่อยู่ใกล้เขามาก สายลมอ่อนๆ ในยามเย็นพัดเอากลิ่นทะเลอันสดชื่นจากตัวเธอมาแตะที่จมูก ทำให้ในใจรู้สึกสั่นไหวอยู่หน่อยๆ

“เอ่อ ขอบใจนะ...”

จูเยว่เหมือนพี่สาวผู้อ่อนโยนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนและดูแลเขา เขาชอบเธอ แต่ไม่ได้ชอบแบบผู้ชายชอบผู้หญิง เป็นเพียงมิตรภาพที่บริสุทธิ์และจริงใจ หวังจากใจจริงว่าเธอจะมีความสุข หากพี่สาวที่บ้านเขาอ่อนโยนได้สักหนึ่งในสิบของจูเยว่ก็คงจะดี!

พอจูเยว่เดินลับไปจากสายตาแล้ว ฝูซิงกับเอ็มเมอรัลด์และโรคอร์ตก็เดินกลับหอชาย แต่ยังไม่ทันเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน ก็เจอร่างบึกบึนที่กำลังโกรธจัดยืนขวางอยู่ด้านหน้า

แบรดยืนอยู่หน้าประตู พอเห็นฝูซิงเดินมา เขาก็ย่างสามขุมเข้ามาขวางทางไม่ให้เขาเดินต่อ

เอาอีกแล้ว...

พอเห็นใบหน้ากราดเกรี้ยวของแบรด ฝูซิงก็พยายามรวบรวมความกล้าพูดออกไปว่า “สะ...สวัสดีแบรด เป็นยังไงบ้าง” คราวนี้มีเอ็มเมอรัลด์กับโรคอร์ตอยู่ด้วย ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาหน่อย “มีอะไรหรือเปล่า”

เขาพอเข้าใจได้เวลาที่ใครสักคนรู้สึกไม่ถูกชะตาอีกฝ่ายโดยไม่มีเหตุผล แต่ความเกลียดชังที่แบรดมีให้เขา ดูเหมือนจะเกินขอบเขตของคำว่า ‘ไม่ถูกชะตา’ ไปไกลแล้ว

แบรดไม่ตอบ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มลุกโพลงด้วยความโกรธ เขาถลึงตาจ้องฝูซิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เอ่อ...หรือว่านายมีข้อเสนอแนะอะไรเกี่ยวกับกิจกรรมวันฮัลโลวีนที่อยากบอกฉัน?” ฝูซิงพยายามฝืนยิ้มขณะถามต่อ

แล้วจู่ๆ แบรดก็พุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อแล้วกระชากตัวเขาเข้ามาจนชิด

“เฮ้ย! นาย—” โรคอร์ตตั้งท่าจะเข้าไปห้าม แต่ฝูซิงกลัวว่าเอ็มเมอรัลด์จะเดือดร้อนไปด้วย จึงส่งสายตาเตือนให้เขานิ่งไว้ก่อน

“อย่าให้มันมากนัก...” แบรดคำรามลอดไรฟันอย่างกราดเกรี้ยว

แม้เขาจะอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ แต่ดูเหมือนคำพูดของแบรดจะกระตุ้นให้เขาโกรธขึ้นมาบ้าง “หมายความว่าไง”

“อย่านึกว่าทุกคนจะหลงเชื่อความจอมปลอมของนายเหมือนกันหมด...” แบรดส่งเสียงในลำคออย่างไม่ยี่หระและเหวี่ยงฝูซิงออกไปให้พ้นทาง จากนั้นก็หันตัวเดินหายไปทันที

“นายไปทำอะไรเขาไว้กันแน่เนี่ย” เอ็มเมอรัลด์ถามพลางเข้าไปช่วยพยุงฝูซิงให้ลุกขึ้น

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน!”

“ฝูซิงแอบขโมยของกินที่แบรดชอบหรือเปล่า หรือฝูซิงแย่งคีบกับข้าวที่เขาชอบกินไปจนหมด?”

“ฉันไม่ได้ชอบกินเนื้อสดสักหน่อย!”

“จริงด้วย แปลกจริงเชียว”

“แหงสิ!”

“แบบนี้นายจะเอารอยประทับอุ้งเท้าเขามาจากไหนเนี่ย”

“อืม เป็นคำถามที่ดีนะ” ทันใดนั้น ความคิดอันเฉียบแหลมอย่างหนึ่งก็ปราดเข้ามาในหัว “จริงด้วย เอ็มเมอรัลด์ ถ้าแบรดกินยาเสน่ห์ที่นายบอก เขาจะเชื่อฟังคำสั่งของฉันใช่ไหม”

“อืม เป็นความคิดที่ดีนะ แต่ถ้านายทำแบบนั้นจริงๆ ละก็ นายจะเจ็บหนักนะ”

“ทำไมล่ะ”

“ลองคิดดูแล้วกันว่ามนุษย์หมาป่าที่ตกอยู่ในห้วงรักจะบ้าคลั่งขนาดไหน...”

ฝูซิงหยุดคิดอยู่พักใหญ่กว่าจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นสันหลังวาบเมื่อนึกถึงวิธีโง่ๆ ที่ตัวเองคิดขึ้นมา ช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้

พอกินข้าวเย็นเสร็จ ฝูซิงก็กลับไปที่ห้องเพื่อจัดแจงการบ้านและเล็คเชอร์ของวิชาเรียนต่างๆ ให้เรียบร้อยด้วยความเบื่อหน่าย

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงเปิดประตูก็แว่วมาเข้าหู เลโอนาร์ดกลับมาแล้ว

“อ๊ะ สวัสดีเลโอนาร์ด!” โอกาสแบบนี้หายากนะเนี่ย! ไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้เขาจะได้เจอเลโอนาร์ด! “จริงด้วย นายยังไม่ได้กรอกแบบสอบถามแบ่งกลุ่มทำงานเลย—”

แต่เลโอนาร์ดมองข้ามการมีอยู่ของเขาและพุ่งตัวเข้าไปที่เตียงของตัวเองโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง

“...นายนี่อยู่ด้วยยากจริงๆ นะ!” ฝูซิงกลับไปที่เตียงของตัวเองพลางบ่นอุบอิบ

“นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ”

แต่คำพูดของเลโอนาร์ดกลับทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก

“ฉันอยู่ด้วยยากตรงไหน! อุตส่าห์พยายามคุยดีๆ กับนายไม่รู้กี่ครั้ง นายก็ไม่เคยสนใจจะฟัง” จะว่าไป…นิสัยของเขาทำให้ฝูซิงนึกถึงใครคนหนึ่ง “นายนิสัยเหมือนพี่สาวฉันเลย แล้วนายล่ะ มีพี่น้องหรือเปล่า”

เลโอนาร์ดเงียบไปอีกครั้ง ไม่มีคำตอบใดๆ จากเตียงนอนอีกฝั่ง

“อยากรู้จริงว่าคนในครอบครัวนายใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยังไง...กับพี่น้องนายก็ทำตัวแบบนี้เหมือนกันเหรอ” ฝูซิงบ่นอุบอิบพลางจัดการเล็คเชอร์ที่ได้มาวันนี้ให้เรียบร้อยไปด้วย

“ไม่” ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา

“หืม?” อะไรกัน! ไม่นึกว่าพอคุยเรื่องครอบครัวแล้วเลโอนาร์ดจะยอมปริปาก! “อืม แสดงว่านายมีพี่น้องสินะ”

เลโอนาร์ดเงียบไปอีกครั้ง

เจ้าบ้า เอาใจยากจริงเชียว มองไม่ออกเลยว่าคำถามแบบไหนที่เขายินดีจะตอบ

“พี่น้องนายชื่ออะไรน่ะ”

“เลอาห์”

“เหรอ...” นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้คุยกับเลโอนาร์ด! ถ้าคุยด้วยกันแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ ละก็ ไม่แน่สุดท้ายพวกเขาอาจจะเป็นเพื่อนกันได้! “งั้น...ทำไมเลอาห์ไม่มาเรียนที่ชาลอมด้วยกันกับนายล่ะ”

“เพราะเขาตายแล้ว”

บรรยากาศการพูดคุยแบบสบายๆ ที่เขาลำบากแทบตายกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ ถูกทำลายเหลือเพียงความเงียบอันน่าอึดอัดในพริบตา

“ขอโทษนะ...” ฝูซิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาไม่เคยคุยหัวข้อหนักๆ แบบนี้กับใครมาก่อน

เลโอนาร์ดไม่ตอบ ห้องกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

เขาเดาว่าเลโอนาร์ดน่าจะสนิทกับเลอาห์มาก เพราะเลโอนาร์ดซึ่งไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา ครั้งนี้กลับยอมตอบคำถามของเขาเป็นปกติ

เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาเองกับฝูชิง แม้ว่าทั้งคู่จะทะเลาะกันตลอดเวลา แต่ถ้าฝูชิงตายเขาก็คงเสียใจมาก พอนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจท่าทางเย็นชาไร้มารยาทของเลโอนาร์ดขึ้นมาบ้าง

เลอาห์จะเป็นคนแบบไหนกันนะ

แล้วการตายของเลอาห์ เกี่ยวข้องกับนิสัยสันโดษไม่เข้าสังคมของเลโอนาร์ดหรือเปล่านะ...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น