7
…ไม่ เธอขอถอนคำพูด
การทำงานร่วมกันระหว่างเธอกับเขาในวันถัดมาเป็นไปได้ด้วยดีไม่ถึงชั่วโมง ก็มีเรื่องให้ต้องเถียงกันใหม่อีกแล้ว
“เบาลงหน่อย คุณเกือบจะโดนเขาแล้ว” เซบาสเตียนเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ เมื่อมองภาพบนจอมอนิเตอร์แล้วเห็นว่ารถแข่งของอเล็กซิสเกือบจะชนกับรถแข่งทีมอื่นที่อยู่ด้านหน้า
“เขาไม่ยอมหลบฉันเอง จะให้ทำยังไง” เธอตอบวิทยุกลับมาเสียงห้วน
“รอจังหวะก่อนสิครับ ช่วงสนามตรงนี้มันแคบเกินกว่าจะแซงได้ รถคุณจะโดนเบียดออกนอกสนามซะเปล่าๆ”
“หุบปากแล้วปล่อยให้ฉันทำหน้าที่ของฉันเถอะ นายรบกวนสมาธิของฉันมาก”
เซบาสเตียนเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างไม่ชอบใจนัก มองดูอเล็กซิสดึงดันที่จะแซงคันหน้าให้ได้จนทำให้รถเธอหลุดออกจากขอบสนามไป ทว่าเขาไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่นั่งเงียบรอจนเธอวิ่งครบจำนวนรอบที่ยางสามารถวิ่งได้แล้วค่อยวิทยุเรียกเธอกลับเข้าพิต
ชายหนุ่มผละออกจากโต๊ะทำงานไปยืนรอเธอด้านหน้า และเมื่อเห็นนักแข่งสาวลงจากรถมา ก็เอ่ยทันที “ผมเตือนคุณแล้วใช่มั้ย”
“หุบปากน่ะ”
“ความใจร้อนจะทำให้คุณพลาด”
“บอกให้หุบปากไง”
“หัดใช้สมองบ้างสิครับ”
อเล็กซิสถอดหมวกกันน็อกออกตามด้วยอุปกรณ์ป้องกันอีกสองชิ้น เธอต้องห้ามใจตัวเองอย่างมากไม่ให้เขวี้ยงมันใส่วิศวกรหนุ่มที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ โจนส์เองก็เหมือนจะรู้ใจเธอดี ถึงได้รีบเข้ามารับของไปถือไว้ให้แทน
หญิงสาวสะบัดหน้าหนีอย่างหงุดหงิดแล้วเดินออกจากพิต โดยมีดวงตาขุ่นมัวของเซบาสเตียนมองตามหลังไป ก่อนเขาจะหันกลับมาหาทีมช่างที่ยกรถลอยขึ้นจากพื้นเพื่อตรวจช่วงล่างรถว่า ยังถูกต้องตามที่ตั้งไว้ในตอนแรกหรือเปล่า เนื่องจากการหลุดออกนอกสนามเมื่อครู่ อาจจะทำให้ค่าช่วงล่างผิดเพี้ยนได้
หลังจากที่ทีมช่างตรวจเช็กรถเรียบร้อยแล้ว อเล็กซิสก็กลับมาลงซ้อมอีกครั้ง จนใช้ยางที่เตรียมมาหมดทุกเส้นแล้วถึงได้หยุด เธอนำรถไปจอดที่พาร์ก เฟอเม่และเดินกลับพิต ถอดชุดแข่งแล้วเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทของตัวเอง
“จะให้ใครขับรถไปส่งที่สนามบินไหม” โจนส์เอ่ยถามนักแข่งสาวที่เก็บชุดแข่งและหมวกกันน็อกลงกระเป๋าเดินทางของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่อเล็กซิสส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ไปได้ สบายมาก” งานของเธอเสร็จหมดแล้ว และไฟล์ตเธอเป็นไฟล์ตเย็น จึงจะกลับก่อนโจนส์และเซบาสเตียนที่บินไฟล์ตกลางคืน เนื่องจากต้องรอนำรถจากพาร์ก เฟอเม่ กลับมาเช็กรอบสุดท้าย ก่อนส่งคืนให้ทางโรงงานเก็บรถ
“นี่เธอจะบินไปมิวนิกใช่มั้ย กลับบ้านใหญ่เหรอ”
“ใช่” อเล็กซิสตั้งใจจะบินไปลงมิวนิกแทนที่จะเป็นโคโลญเพื่อกลับไปอยู่บ้านเกิดของตัวเองสักสองสามวันก่อนจะเริ่มฤดูแข่งขัน เพราะช่วงนั้นเธอคงยุ่งกับงานจนไม่มีโอกาสได้ไปไหน
“เดินทางปลอดภัยนะ ออฟวีเดอเซนฮ์” โจนส์บอกลา
“บาย” หญิงสาวโบกมือลาแล้วเผื่อไปยังคนอื่นๆ ในทีม แต่แล้วก็ชะงักแวบหนึ่งเมื่อหันไปเจอวิศวกรของทีมที่ยืนหน้านิ่งอยู่ เธอมองเขาแล้วลดมือที่กำลังโบกอยู่ลง
คนอื่นน่ะได้คำบอกลา แต่กับเขาน่ะ เอาแค่การถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิดไปก็พอ!
อัปเปอร์บาวาเรีย มิวนิก เยอรมนี
ร่างเพรียวระหงในชุดออกกำลังกายแบบเข้ารูปก้าวยาวๆ อยู่บนทางเดินหินที่ตัดผ่านสนามหญ้าขนาดใหญ่ไปยังคฤหาสน์สีขาว เธอดึงหูฟังแบบไร้สายที่เปิดเพลงจังหวะเร็วออกจากหูมาถือไว้ในมือ ก่อนจะฉีกยิ้มให้คนคุ้นเคยที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณหนู”
“อรุณสวัสดิ์ จอย” เธอตอบพลางรับผ้าขนหนูสีขาวจากอีกฝ่ายมาซับเหงื่อที่ซึมตามไรผมเหนือหน้าผาก จากนั้นพาดมันกับคอตัวเองไว้ เธอเพิ่งไปวิ่งจ็อกกิงยามเช้ามา หลังจากที่ได้พักเอาแรงบนเตียงนอนมาหนึ่งวันเต็ม การวิ่งออกกำลังเป็นสิ่งที่เธอทำเป็นกิจวัตร เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายเธอแข็งแรงแล้ว ยังทำให้เธอทนรับแรงกดดันจากความเครียดต่างๆ เวลาอยู่ในสนามแข่งได้ดีขึ้นด้วย
“คุณหนูจะขึ้นไปอาบน้ำก่อนไหมคะ หรือว่าจะรับอาหารเช้าเลย”
“อืม อาบน้ำก่อนดีกว่า แต่ขอกาแฟก่อนสักแก้วก็แล้วกัน รองท้องหน่อย”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปชงมาให้นะคะ”
“เสร็จแล้วเอาขึ้นไปที่ห้องฉันเลยนะ” อเล็กซิสยิ้มให้แม่บ้านประจำตัวอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าตัวบ้านไปยังห้องโถงกว้างทรงหกเหลี่ยม ปูพื้นด้วยหินอ่อนสีขาว เสาบ้านแต่ละเสาเป็นเสาแกะสลัก หัวเสาเป็นแบบโรมันโบราณ
นี่คือคฤหาสน์ของครอบครัวฟาวเลอร์ ที่ในยุคก่อนนั้นเป็นที่อยู่ของตระกูลขุนนาง แต่เมื่อความรุ่งเรืองของตระกูลสิ้นสุดลง มันก็ถูกขายทอดตลาด เปลี่ยนเจ้าของมาสองสามคน ก่อนที่จะตกมาเป็นของครอบครัวเธอ
ตัวคฤหาสน์นั้นมีห้องนอนทั้งหมดเจ็ดห้อง ห้องรับแขกอีกห้าห้อง ล้วนตกแต่งให้แตกต่างกัน การเลือกใช้งานก็จะขึ้นอยู่กับว่าแขกที่มามีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน ส่วนห้องรับประทานอาหารที่มีเพียงแค่ห้องเดียวนั้นอยู่ติดกับโถงรับรองหน้าบ้าน ด้านในมีโต๊ะรับประทานอาหารตัวยาวที่รับรองคนได้ถึงยี่สิบคน
ถัดไปเป็นห้องโถงสำหรับจัดเลี้ยง มีโคมระย้าที่ทำจากคริสตัลชั้นดีอยู่ตรงกลางเพดาน เมื่อเปิดไฟคริสตัลเหล่านั้นจะสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วเพดาน ยังมีห้องสมุดขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือจากทั่วทุกมุมโลก และห้องทำงานของเจ้าของบ้าน แฮรี่ ฟาวเลอร์ บิดาของเธอ ที่มีประตูปิดล็อกอย่างดี คนอื่นนอกจากเจ้าของห้องจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
นอกจากส่วนที่พักอาศัยแล้ว ในที่ดินผืนนี้ยังมีอีกอาคารที่ดูทันสมัยกว่ามาก เป็นเหมือนโกดังทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่หลังคายกสูง นั่นคือโรงรถของแฮรี่ ข้างในนั้นมีรถยนต์จอดอยู่เกือบสามสิบคัน ตั้งแต่รถคลาสสิกจนถึงรถรุ่นใหม่ล่าสุด บางคันก็เป็นรุ่นเดียวกันแต่ต่างสี พวกมันจอดเรียงกันเหมือนกับว่าคนซื้อตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกสีไหนดี
พ่อของเธอเป็นคนบ้ารถ เขาสามารถเดินดูรถยนต์ที่ตัวเองสะสมในโรงรถได้เป็นวัน มีทีมทำความสะอาดและทีมปรับปรุงสภาพรถเข้าๆ ออกๆ โรงรถนั้นเป็นประจำ รถยนต์ทุกคันได้รับการดูแลรักษาสภาพอย่างดีที่สุด
“ดูสิว่าใครกลับมาบ้าน”
เสียงแหลมเล็กดึงให้อเล็กซิสหลุดออกจากความคิดของตัวเอง เธอละสายตาที่มองโรงรถบิดาผ่านกระจกบานยาวบนผนังคฤหาสน์มายังบันไดกลางห้องโถง ที่มีร่างอวบอัดของหญิงสาวที่ดูอายุมากกว่าเธอไม่กี่ปียืนอยู่ อีกฝ่ายใส่เดรสแหวกอกกระโปรงยาวสีแดงเข้ม มีเครื่องประดับเป็นสร้อยทับทิมล้อมเพชรและต่างหูเข้าชุดกัน ใบหน้าของอเล็กซิสที่ก่อนหน้านี้ยังมีแววอารมณ์ดีประดับอยู่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที
เธอแค่นเสียงทักอีกฝ่ายกลับไปอย่างเสียไม่ได้ “สวัสดี พาเมล่า”
“ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ไม่ใช่ว่ามีงานขับรถโชว์อะไรอยู่หรอกหรือ” พาเมล่าเดินกรีดกรายลงจากบันไดมา สองตาที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างหนักหลุบมองคนที่ยืนอยู่บนพื้นที่ต่ำกว่า
“งานแข่งรถ ไม่ใช่ขับรถโชว์”
อีกฝ่ายทำหน้าตกใจน้อยๆ “ขอโทษด้วย ฉันก็แค่จำผิดไป ชอบลืมอยู่เรื่อยว่าเธอได้เป็นนักแข่งรถกับเขาแล้วจริงๆ”
อเล็กซิสขบฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน สองมือกำหมัดแน่น “ไม่เป็นไร ก็คงเหมือนที่ฉันชอบจำผิดว่าเธอเป็นโสเภณีที่มีหน้าที่ระบายความใคร่แลกกับเงิน ไม่ใช่ภรรยาคนที่สี่ของพ่อ”
คราวนี้เป็นพาเมล่าบ้างที่หน้าตึง ดวงตาเธอเหมือนมีไฟลุกวาวอยู่ข้างในนั้น “ทำเป็นปากดีไป อย่างน้อยเขาก็รักฉันมากกว่าแกก็แล้วกัน”
“รักแต่ก็ทิ้งให้เธออยู่บ้านคนเดียว จะมาหาแค่ตอนที่มีความต้องการทางเพศ แบบนี้น่ะเหรอที่เรียกว่ารัก”
“อย่างน้อยเขาก็มาหาฉัน” พาเมล่าเชิดหน้า ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน “แล้วเธอล่ะ เขาเคยไปหาเธอ...ที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา...บ้างหรือเปล่า”
ร่างเพรียวในชุดออกกำลังชะงักกึก ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองคนที่เอ่ยคำพูดเสียดแทงใจออกมานิ่งๆ
พาเมล่าแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างคนได้รับชัยชนะ “เหอะ พูดไม่ออกแล้วสินะ”
“กาแฟได้แล้วค่ะคุณ...” จอยที่เดินเข้ามาพร้อมถาดเครื่องดื่มเงียบเสียงลง เมื่อเจอผู้อยู่อาศัยอีกคนในบ้านบนบันได เธอหันกลับไปหาคุณหนูของเธอที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จา เดาได้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้วแน่
แฮรี่เพิ่งแต่งพาเมล่าเข้าบ้านมาเมื่อประมาณสามปีก่อน ไม่นานหลังจากที่เขาหย่ากับภรรยาคนที่สาม ปกติอเล็กซิสก็ไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องนี้ ทว่าตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นหน้าแม่เลี้ยงลำดับที่สี่ พาเมล่าก็แสดงความเป็นปรปักษ์ชัดเจน จนคนที่ปกติเจอใครแรงมาก็จะแรงกลับอย่างเธอทนอยู่เงียบๆ ต่อไปไม่ไหว ทำให้อยู่ร่วมห้องกันทีไร ต้องมีเรื่องทุกครั้ง
เวลาผ่านไปเป็นปี เธอหมดความอดทนกับการที่จะต้องเห็นหน้าผู้หญิงของพ่อทุกวันในบ้านหลังนี้ จึงตัดสินใจหาที่พักที่ไกลจากที่นี่ให้ตัวเอง ประกอบกับความคิดเรื่องแข่งรถที่มีในหัวมาพักใหญ่ๆ ทำให้เธอเลือกซื้อบ้านและย้ายไปอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันตกของเยอรมนี ที่อยู่ระหว่างเมืองใหญ่อย่างโคโลญกับสนามแข่งนูร์เบิร์กริง
ถึงอย่างนั้นอเล็กซิสก็ยังกลับบ้านทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะว่าพ่อเธออาศัยอยู่ที่นี่ และเขาไม่มีทางเป็นฝ่ายไปหาเธอก่อนแน่นอน ดังนั้น...เธอจึงไม่มีทางเลือกมากนัก
แต่ก็ใช่ว่าการที่เธอมาอยู่ที่นี่ จะทำให้เธอได้เจอกับบิดาบ่อยขึ้นแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ค่อยอยู่บ้าน และถึงจะอยู่ ก็มักจะใช้เวลาอยู่ในห้องนอนกับภรรยาคนที่สี่ หรือไม่ก็ในโรงรถของเขามากกว่าจะมาเจอหน้าเธอ
…คิดแล้วก็สมเพชตัวเองชะมัด
“ฉันไม่เอาแล้ว” หลังจากเงียบอยู่ครู่ใหญ่ อเล็กซิสก็โพล่งขึ้น ก่อนจะเดินเร็วๆ ขึ้นบันได แทบจะชนไหล่กับพาเมล่าที่ยืนเหยียดยิ้มอยู่ แล้วหายขึ้นตึกฝั่งซ้ายไป
“ครับ พ่อผมก็เคยพูดอยู่เหมือนกัน เขาบอกว่าสนาม...”
เซบาสเตียนเอ่ยได้แค่นั้นก็เงียบไป เมื่อเหลือบเห็นร่างคุ้นตาที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้ หน้าตาเธอบูดบึ้งกว่าปกติ คิ้วหนาขมวดกันน้อยๆ
เขาได้ยินมาจากโจนส์ว่า เธอกลับบ้านเกิดที่มิวนิก แล้วทำไมเธอถึงมาโผล่ที่นี่ได้
เซบาสเตียนมองเธออยู่ก่อนได้ไม่ถึงนาที อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นเขาบ้าง อเล็กซิสดูจะตกใจเหมือนกัน เธอคงไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่ในตอนนี้
พนักงานที่เมื่อครู่คุยกับเขายกมือทักทายนักแข่งสาว “ว่าไง อเล็กซ์ มาทานข้าวเหรอ”
“ใช่” เธอตอบพลางเดินเข้ามาหา หลุบตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะแวบหนึ่ง
“อ่า...แต่ตอนนี้ยังไม่มีโต๊ะว่างเลย” พนักงานหันซ้ายหันขวาเพื่อหาโต๊ะว่าง แต่ในตอนนี้ทั้งร้านเต็มไปด้วยคนจริงๆ คงเพราะเป็นคืนวันศุกร์ คนส่วนใหญ่นิยมออกมากินอาหารนอกบ้านกัน
“ถ้าคุณไม่มีปัญหาอะไร นั่งโต๊ะนี้กับผมก็ได้ครับ” เซบาสเตียนเสนอขึ้น ทำให้ดวงตากลมโตสีฟ้าตวัดมามองเขาเต็มสายตา เขาเห็นว่าเธอเม้มปากน้อยๆ แวบหนึ่งที่เขาคิดว่าเธอคงเอ่ยปฏิเสธแน่ แต่เปล่า เธอเพียงแค่พยักหน้า แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่งอย่างเงียบๆ ก่อนพนักงานเสิร์ฟจะหมุนตัวไปหยิบจานช้อน ส้อม และแก้วน้ำมาให้เธอเพิ่ม
“ฉันขอสเต๊กกับหัวหอมผัด เครื่องเคียงเป็นสลัด” เธอสั่งโดยไม่ต้องเสียเวลาดูเมนู ด้วยมาที่ร้านนี้บ่อยจนจำรายการอาหารที่มีได้เกือบทุกอย่างแล้ว
เมื่อพนักงานรับออร์เดอร์เสร็จเขาก็ผละออกจากโต๊ะไป แม้จะอยากคุยกับเซบาสเตียนต่อก็ตาม ทางอเล็กซิสเองก็เบนสายตากลับมามองเขา ใบหน้ายังคงบูดบึ้งไม่เปลี่ยน เพราะถ้าเลือกได้เธอก็คงปฏิเสธ ไม่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาหรอก แต่เธอเหนื่อยกับการเดินทางและหิวเกินกว่าจะทำตัวเรื่องมากในตอนนี้
“ผมเข้าใจว่าคุณกลับบ้าน”
“ใช่” เธอตอบเขา พลางถอดเสื้อกันหนาวออกมาวางพาดไว้บนเก้าอี้ว่างข้างตัว เหลือเพียงแค่เสื้อไหมพรมคอเต่าสีดำ อเล็กซิสถกแขนเสื้อให้ขึ้นมาอยู่ตรงข้อศอกทั้งสองข้าง เพราะในร้านอาหารอุ่นกว่าอากาศข้างนอกมาก มีทั้งไอร้อนจากฮีตเตอร์ ทั้งความร้อนจากอาหารรอบตัว แล้วยังควันจากสเต๊กในครัวที่ถูกย่างจานต่อจานจนกลายเป็นม่านหมอกลอยเหนือหัวไปทั่วบริเวณ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในซาวนา
เพราะอเล็กซิสตอบสั้นๆ แบบไม่เปิดโอกาสให้ต่อบทสนทนา และน้ำเสียงที่ใช้ก็ห้วนมาก ชายหนุ่มจึงไม่เอ่ยปากถามอะไรอีก ปล่อยให้บรรยากาศเงียบจนน่าอึดอัดครอบคลุมไปทั่วโต๊ะ จนกระทั่งอาหารสองจานยกมาเสิร์ฟ สีหน้าของนักแข่งสาวถึงค่อยดูดีขึ้นมาบ้าง
สุดท้ายแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอีก แม้ว่าปกติอเล็กซิสจะไม่ใช่คนที่ชอบคุยอะไรกับเขาอยู่แล้ว แต่เธอที่นั่งเงียบในตอนนี้ดูผิดปกติเกินไป “คุณโอเคหรือเปล่าครับ”
“ฉันสบายดี” เธอตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร เป็นการบอกเขาไปด้วย บอกตัวเองไปด้วยในเวลาเดียวกัน เรื่องเมื่อเช้ายังคงไม่ออกจากหัว ทำให้ความรู้สึกในตัวค่อนข้างขุ่นมัว ทั้งๆ ที่เธอควรจะปัดมันออกจากสมองไปตั้งนานแล้ว ในเมื่อนั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ปะทะกับผู้หญิงอีกคนในบ้าน
ครั้งนี้คำพูดอีกฝ่ายคงแทงใจของเธอมากเกินไป จึงสลัดมันออกจากหัวไปไม่ได้ง่ายๆ เหมือนอย่างเคย
ความคิดเห็น |
---|