9

บทที่ 9

 


 

รุ่งเช้าเชสก์พาคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนสวยพร้อมด้วยลูกชายตัวแสบขึ้นเครื่องบินส่วนตัวกลับมาที่นิวยอร์ก ซึ่งแรกๆ เจ้าเด็กแสบก็ร้องไห้งอแง ลีลาท่ามาก จะไม่ยอมขึ้นเครื่องท่าเดียว แต่พอขึ้นมาได้เท่านั้นละก็เอาแต่เกาะหน้าต่างมองเมฆ มองนั่นมองนี่ไปตลอด กว่าจะสิ้นฤทธิ์ก็ปาเข้าไปร่วมสี่ชั่วโมง หลับได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ตื่นขึ้นมางอแงอีกครั้ง ร้องจะลงไปวิ่งเล่นสนามเด็กเล่นบ้างละ ไม่ยอมกินอาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องบ้างละ งอแงไปอีกหลายชั่วโมงจนกระทั่งหลับไปอีกครั้ง คราวนี้ยาวจนกระทั่งถึงสนามบินเจเอฟเคในที่สุด

            “ขอบคุณค่ะ” สาวร่างเล็กหันไปขอบคุณ แต่กลับถูกเชสก์รั้งไว้ แล้วลากมาขึ้นรถกลับไปยังอะลอนโซ ทาวเวอร์ด้วยกัน

            “เชสก์คะ ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว” เจ้าของเสียงหวานท้วง แต่ขัดเขาไม่ได้ เพราะยังอุ้มเจ้าตัวแสบที่หลับซบบ่าเธออยู่

            “เธอรู้เรื่องคนเดียวน่ะสิ ฉันไม่รู้ด้วยเสียหน่อย” คนหน้าหนายังตีมึน ทำไม่รู้ไม่ชี้ จนกระทั่งมาถึงอะลอนโซ ทาวเวอร์ เขาก็ลากทั้งแม่ทั้งลูกขึ้นเพนต์เฮาส์ทันที

            มาถึงตอนนี้แล้วก็คงต้องว่าตามกันไป หญิงสาวจะวางลูกลงบนโซฟาเบดกลางห้องนั่งเล่นกว้างขวางของเขา แต่เชสก์กลับรับเด็กไว้แล้วพาเข้าไปนอนในห้องนอนของตัวเอง

            “คุณเชสก์...”

            “ให้นอนในนี้แหละ ส่วนเธอออกมาคุยกับฉันข้างนอก” นักธุรกิจหนุ่มสั่งอย่างเผด็จการ และเดินนำไปที่ห้องทำงานโดยไม่สนใจว่าเธอจะตามเขามาหรือไม่

            เจ้าของบ้านหน้าเข้มเดินนำเข้ามาในห้องทำงาน เพราะหลังจากกลับมาถึงอะลอนโซ ทาวเวอร์ก็ได้รับรายงานว่ามีเอกสารไม่จ่าหน้าซองส่งมาให้ตามที่เชสก์สั่งไว้แล้ว

            “ทำไมวันนี้ฉันยังไม่ได้ยินเสียงนานาเลย” เจ้าของเสียงหวานตั้งข้อสงสัย เดินตามเชสก์มานานแล้ว แต่ทำไมไม่ได้ยินเสียงระบบปฏิบัติการนานาเสียที ทั้งที่ปกติก็ควบคุมระบบทั้งหมดในอาคารแห่งนี้

            “นานาเป็นแค่ระบบที่สร้างขึ้นจากมนุษย์ ต่อให้ไฮเทคอย่างไรก็มีช่องโหว่ให้คนเจาะเข้ามาได้...เรื่องนี้เธอน่าจะรู้นะ” เชสก์ยิ้มนิดๆ พร้อมกับเลิกคิ้วข้างเดียว แถมยังทำสายตากวนประสาท

            หญิงสาวหน้าตึง เธอเม้มปากแน่น เสมองไปบนโต๊ะทำงานของเขาแทนแล้วถามว่า “คุณจะคุยอะไรอีกคะ ฉันบอกเท่าที่จะบอกได้ไปหมดแล้ว”

            “ไม่ใช่เรื่องภาคีอะไรนั่นหรอก” เชสก์ส่ายหน้าแล้วหยิบเอกสารที่ไม่จ่าหน้าซอง แต่มีรูปการ์ตูนกระทิงกำลังสู้กับปิศาจบนหน้าซองมา “แต่เป็นนี่ต่างหาก”

            หญิงสาวมองรูปการ์ตูนที่หน้าซองอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็รับมาแต่โดยดี เมื่อเปิดดูจึงพบว่าเป็นพาสปอร์ตและเอกสารยืนยันตัวสามฉบับสำหรับสองคน หนึ่งเป็นรูปของเธอเอง ชื่อว่า สุคนธวา อะลอนโซ ส่วนอเล็กซานโดรก็ใช้นามสกุลอะลอนโซเช่นกัน

            “เชสก์!” เจ้าของเสียงใสร้องลั่น เธออยากให้เขาช่วยเหลือเธอก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองมาผูกกับเธอเลยสักนิด แล้วอย่างนี้เธอจะได้ไปจากเขาง่ายๆ หรือ

            เชสก์ไม่สนใจท่าทางตกใจของสาวตรงหน้าเลยสักนิด เขาทำเพียงแค่ยกมือกอดอกแล้วยักไหล่เบาๆ “นี่แค่เริ่มต้น เธอไม่ต้องรู้หรอกว่าต้องเผชิญกับอะไร”

            “คุณต่างหากที่ไม่รู้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร”

            “ถ้าเธอรู้ เธอก็ยิ่งต้องรับไว้”

            “ฉันรับแน่ แต่ต้องไม่ใช่นามสกุลคุณ”

            “ทำไม”

            “เพราะ...” เธอห้ามตัวเองได้ทันก่อนที่จะโพล่งถึงเหตุผลที่ติดอยู่ในใจ

            “ว่าไงผักหวาน”

            “ช่างเถอะค่ะ” หญิงสาวบอกปัด มาถึงขั้นนี้แล้วคงเปลี่ยนใจเขาไม่ได้ เธอรู้จักเขาดี คนอย่าง เชสก์ อะลอนโซ อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ทำ เขาเคยสนใจเสียที่ไหนว่าใครจะรู้สึกอย่างไรจากการกระทำของเขา

            “ต่อไปนี้ถือว่าเธอเป็นคนของฉัน”

            “ฉันอยากกลับบ้าน” สาวร่างเล็กยกมือขึ้นปิดหน้า ตอนนี้เธอเหนื่อยล้าเหลือเกิน อยากกลับไปยังที่ที่อบอุ่นและปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ และที่นั่นก็คือ...บ้าน

            “ยังกลับไม่ได้ ตราบใดที่ไม่รู้ว่าภาคีคืออะไร” ซีอีโอหนุ่มยกมือลูบปลายคางที่ครึ้มไปด้วยหนวดเคราแล้วสบตากับเธอตรงๆ “ฉันให้คนสืบประวัติเธอ แต่ละ ‘งาน’ ที่เธอทำไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย แสดงว่าภาคีบ้าบออะไรนั่นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน แล้วเธอคิดว่าเธอจะหนีได้ง่ายๆ หรือ”

            เขาพูดถูกทุกอย่าง ทำเอาหญิงสาวพูดไม่ออก เธอยอมรับว่าอยากกลับไปเป็นสุคนธวาคนเดิมใจจะขาด แต่เธอก็ไม่อยากผูกติดกับเขานี่สิ...ไหนจะลูกอีก

            ชายหนุ่มร่างสูงก้าวเข้ามาประชิด ฉวยโอกาสตอนที่หญิงสาวเอาแต่ครุ่นคิดจนไม่ทันระวังตัว ประคองใบหน้าอ่อนหวานไว้ในอุ้งมือหนากร้าน แล้วไล้ปลายนิ้วลงบนแก้มนุ่มอย่างย่ามใจ

            “จำที่ฉันบอกได้ไหม...มาเป็นผู้หญิงของฉันสิ แล้วฉันจะคุ้มครองเธอเอง”

            คำพูดของเขาทำให้สาวคนฟังได้สติ เธอตวัดสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ จะให้เธอกลับไปเป็นแบบเดิมทั้งที่อยากหลีกหนีมาตลอดอย่างนั้นหรือ...ไม่มีทาง

            “ขอบคุณที่หวังดีค่ะเชสก์” พูดพลางจับมือเขาให้ออกห่างจากใบหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่ไม่จำเป็น”

            คำตอบของเธอทำให้หน้าของชายหนุ่มเข้มขึ้นทันที แล้วตอกกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “คิดเสียว่าตอบแทนที่ฉันช่วยเธอสิ”

            “ถ้าคุณบังคับ ฉันก็คงต้องยอม แต่คุณจะภูมิใจหรือที่บังคับผู้หญิงลูกติดคนหนึ่งได้”

            เชสก์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จ้องมองสาวตรงหน้าด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมถอย จริงอย่างที่เธอว่า ถ้าเขาบังคับ เธอก็ต้องยอม แต่มันจะยิ่งแย่กว่าเดิมลงไปอีก

            “ก็ได้” หนุ่มร่างสูงก้าวถอยไปหนึ่งก้าว

            “ฉันขอกลับไปอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์เดิม”

            “ไม่ได้หรอก พวกมันมาถึงตัวเธอแน่ผักหวาน มาอยู่ที่นี่ดีกว่า”

            “ไม่ค่ะ” สาวร่างเล็กตอบชัดถ้อยชัดคำ จ้องมองเขากลับด้วยสายตาเรียบเฉยเช่นกัน

            ดวงตาคู่คมดุมองสาวตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วกล่าวต่อไปว่า “ฉันมีที่พักที่อัปเปอร์อีสต์ไซด์กับที่บรุกลินไฮต์ให้เธอเลือก เธอไปอยู่ที่นั่นก็ได้ ส่วนลูก...ฉันจะหาโรงเรียนให้”

            “ในฐานะอะไรคะ”

            “คนของฉัน”

            “แต่ฉันบอกว่าไม่...”

            “ฉันหมายถึงพนักงาน” คนเสียงเข้มบอกปัด “ตอบแทนฉันด้วยการทำงานให้ฉันแล้วกัน เธอต้องช่วยฉันสืบหาต้นตอของภาคี แล้วฉันจะดูแลเธอกับลูกเอง”

            “ในฐานะพนักงานเท่านั้นนะคะ”

            “ใช่...พนักงานก็พนักงาน” เจ้านายหนุ่มรับปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

            ว่าที่พนักงานใหม่มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อใจนัก ดูจากเหตุการณ์ที่ผ่านมายืนยันแล้วว่าเชสก์เจ้าเล่ห์เพียงไร ไหนจะดวงตาคมเข้มทอประกายล้ำลึกคู่นั้นอีก

            “เข้าไปพักได้แล้วสุคนธวา ไว้ลูกเธอตื่นเมื่อไหร่ ฉันจะพาไปอะพาร์ตเมนต์”

            สาวร่างเล็กสะดุ้งเบาๆ แล้วก้มลงมองเอกสารแสดงตัวตนใหม่ที่อยู่ในมือ ต่อไปนี้เธอกลับไปเป็นสุคนธวาอย่างเดิมแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

            “ขอบคุณค่ะ”

            “เดี๋ยวก่อน” เชสก์รั้งไว้ก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกไปไกล

            “คะ?”

            “เสื้อผ้าของเธออยู่ในห้องนอนฉัน”

            “อ้อ” สุคนธวาทำเสียงรับรู้แล้วพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณค่ะ”

            หนุ่มเจ้าของบ้านไม่ว่าอะไร เขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับ มองสุคนธวาที่เดินห่างออกไปจนลับสายตา โดยที่สาวเจ้าไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังถูกมองด้วยสายตาแพรวพราว

            เชสก์ยิ้มมุมปาก ใช่ว่าเขาจะเลิกราแค่นี้เสียเมื่อไร แต่ที่ยอมถอย...ก็เพื่อหลอกล่อให้เหยื่อตายใจก่อนจะโดนตะครุบต่างหาก!

สุคนธวาเดินเข้ามาในห้องนอนของเชสก์ มองอเล็กซานโดรที่ยังหลับปุ๋ยเพราะผลจากเจ็ตแล็กอยู่ครู่หนึ่งให้แน่ใจว่าลูกไม่เป็นอะไรแล้ว เธอจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอินตามที่เขาบอก ก็พบว่ามีเสื้อผ้าผู้หญิงขนาดเดียวกับที่เธอสวมใส่จริง จึงเลือกเอาที่สุภาพเรียบร้อยมาหนึ่งชุดและเดินเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

            จากที่ตั้งใจจะนอน แต่ตอนนี้เธอก็นอนไม่หลับเสียแล้ว หญิงสาวขยับมานั่งข้างอเล็กซานโดร มือหนึ่งลูบลงบนเรือนผมสีเข้มของลูกชาย ส่วนอีกมือก็พลิกหน้าพาสปอร์ตที่ระบุชื่อเดิม แต่ตัวตนใหม่ของเธออย่างใจลอย

            ดีแล้วหรือที่เลือกทางนี้...

            สาวผู้มีอดีตคิดอย่างเจ็บปวด กลัวว่าการเข้ามาพัวพันกับเชสก์จะทำให้เธอต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายอย่างที่เคยเผชิญ

            ดวงตาคู่หวานปนเศร้ามองลูกชายที่ยังนอนกางแขนกางขา ขยับตัวยุกยิกเบียดเข้าหาไออุ่น สักพักก็ก่ายเธอทั้งมือทั้งเท้า อันเป็นท่านอนประจำของเจ้าตัวแสบ เหมือนตอนแบเบาะไม่มีผิด

            อเล็กซานโดรคือกำลังใจหนึ่งเดียวที่ทำให้เธอสู้มาจนถึงทุกวันนี้ หญิงสาวละมือจากทุกอย่างมากอดลูกชายไว้ แล้วหลับตาลง พยายามปล่อยตัวปล่อยใจไม่คิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ในเมื่อเลือกแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็คงต้องยอมรับและกล้าที่จะเผชิญกับมัน

            แม้จะเพิ่งผ่านการเดินทางข้ามฝั่งจากแคลิฟอร์เนียมาจนถึงฝั่งนิวยอร์ก แต่เชสก์ก็ไม่มีอาการง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย เขานอนไม่หลับเพราะครุ่นคิดเรื่องของสุคนธวา ภาคี และ Mr.S ว่ามีส่วนเกี่ยวโยงกันหรือไม่ ไหนจะที่ราม อัลเบอร์โต และวูล์ฟเคยเตือนไว้อีก พวกเดอะชาโดว์มาถึงนิวยอร์กแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันต้องตามสาวมาถึงตัวเขาแน่นอน

            หรือว่า Mr. S จะมาจากคำว่า Shadow...มีความเป็นไปได้มากทีเดียว

            ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แล้วโทร. ติดต่อรามด้วยวิดีโอคอลอย่างที่เคยใช้เสมอ แต่ติดต่อไม่ได้ จนเขาต้องเปลี่ยนเป็นโทร. เข้าตามปกติอีกครั้ง

            “จะใช้อะไรอีกล่ะครับท่านซีอีโอ” น้ำเสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นเหมือนเดิม กระนั้นคนฟังก็จับสังเกตได้ถึงเสียงหายใจหอบเล็กน้อยของราม

            “นายไปทำอะไรอยู่ที่ไหนวะ”

            “ทำงานไง” ปลายสายหัวเราะเบาๆ “เพิ่งหนีออกมาจากห้องหัวหน้า กำลังกลับอะพาร์ตเมนต์ของนายพอดี”

            “ไม่ต้องมาแล้ว”

            “อะไรนะ!” เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลโวยลั่น

            “ไม่ต้องมาแล้ว ฉันยกห้องนายให้ผักหวานไปอยู่”

            “ใครคือผักหวาน...ชื่อพิลึก”

            “สุคนธวาไง”

            “เฮอะ” รามแค่นเสียง “นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะเชสก์ ฉันไม่ยอมนะ” หนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-อินเดียโวยลั่น ทั้งยังแสร้งบีบเสียงเล็กแหลมจนน่าถีบ “นายจะหันกลับไปกินกับเด็กนั่นฉันไม่สน แต่นายจะทิ้งฉันแบบนี้ไม่ได้!”

            “ไอ้ราม...เลิกกวนตีนฉันสักทีเถอะ” คนฟังเริ่มโมโห ปลายสายดูสนุกมากที่ได้กวนโทสะเขา แต่เขาไม่สนุกด้วย

            “เออๆ ไปก็ได้วะ มีเพื่อนอย่างพวกนายนี่ซวยฉิบ หาแต่เรื่องมาให้”

            “นายควรจะโทษตัวเองนะราม”

            “ไม่เอาน่าเชสก์” คนกะล่อนหัวเราะอย่างรู้ทัน “อย่าปฏิเสธสิ่งที่นาย ‘เริ่ม’ มันขึ้นมาสิ”

            ได้ยินอย่างนี้แล้วเชสก์ก็เงียบไปแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที “เรื่องของเงาล่ะ”

            “ฉันกำลังตามหามันอยู่ ไม่ต้องห่วง” เมื่อเข้าเรื่อง ‘งาน’ เสียงของรามก็เข้มขึ้นทันที “ส่วนเรื่องภาคี ฉันแกะรอยจากแฟลชไดรฟ์สุคนธวาของแกแล้ว แต่...ไม่ได้อะไรเท่าที่ควรเลยว่ะ มันเป็นแค่ตัวรบกวนสัญญาณ ฉันว่าแกน่าจะรู้แล้ว”

            “เออรู้ แต่อยากรู้ว่าพอจะตามรอยได้มากกว่านี้ไหม มันเปิดใช้ครั้งแรกที่ไหน ฉันไม่คิดว่าผักหวานใช้มันเป็นคนแรกแน่”

            “มันก็พอมีวิธีนะ” รามทำเสียงครุ่นคิด “มีอุปกรณ์เจ๋งๆ อยู่ แต่ฉันคงต้องเข้าสำนักงานใหญ่”

            “ก็ไปสิวะ”

            “ขี้เกียจรีดสูท ตัวเก่ามันยับหมดแล้ว ขอยืมหน่อยสิ”

            “ไอ้ราม!” นักธุรกิจหนุ่มลากเสียงเมื่อได้ยินเสียงเจ้าเล่ห์ของเพื่อน ใช่ว่าเขาจะโง่เสียเมื่อไรที่จะไม่รู้ว่าที่รามขอยืมสูทเพราะอยากมากวนประสาทเขามากกว่า

            “ขอยืมแค่นี้จะตายหรือไงวะ ไม่อยากรู้เรื่องหรือ ในสำนักงานฉันมีอะไรเจ๋งๆ เยอะนะ”

            “เออๆ อยากมาก็มา”

            “ค่ำๆ พรุ่งนี้น่าจะถึง แล้วเจอกันเพื่อน” ราม รามิเรซ ตัดสายทิ้งไป

            ใครจะอยากเจอเจ้าหน้าที่จอมเจ้าเล่ห์นั่น ทุกครั้งที่ติดต่อกันมักจะมีเรื่องสมฉายารามมรณะ ผู้คาบมาแต่ข่าวร้ายจนเขาอยากเพิ่มฉายา ‘อีกามหาภัย’ ให้อีกสักชื่อ

            เชสก์ถอนหายใจแล้วกลับมาสนใจงานต่อ ไม่อยู่สำนักงานหลายวันก็ย่อมมีเรื่องต้องสะสางเป็นธรรมดา ชายหนุ่มเปิดระบบปฏิบัติการนานาขึ้นมาและให้สมองกลสุดอัจฉริยะแจงงานเข้ามาทีละอย่าง

            อัลเบอร์โตติดต่อมาสองครั้งเรื่องชิ้นส่วนและระบบกลไกในอาวุธชิ้นใหม่ของเจ้าตัว ตอนนี้ฟรานซิสโก อินดัสตรีส์ขยับขยายมาถึงโดรนติดอาวุธแล้ว ถึงจะมีขายกันเกลื่อน แต่ของอัลเบอร์โตต้องพิเศษกว่านั้น ทำให้สองพี่น้องต้องติดต่อดีลงานกันเสมอ

            เชสก์หันไปมองนาฬิกาแล้ววิดีโอคอลหาพี่ชาย เวลาที่สเปนดึกแล้วก็จริง แต่เขาเชื่อว่าอัลเบอร์โตยังไม่นอนแน่ แล้วก็จริงๆ

            “ไงอัล ป่านนี้พี่ยังไม่นอนอีกหรือ”

            “รอนายละมั้ง” หนุ่มลูกครึ่งสเปนหน้าเข้มบอกเสียงเรียบ ใบหน้าคมคายไร้อารมณ์ แล้วส่งไฟล์งานทั้งหมดให้น้อง “ขอภายในสัปดาห์หน้า”

            “ไม่ได้มีเรื่องใช่ไหมอัล” เชสก์ถามเมื่อเห็นสายตาเข้มงวดของพี่ชาย

            อัลเบอร์โตมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่ก็ส่ายหน้า “ไม่มี นายไปหาแบลร์บ้างก็แล้วกัน”

            “งั้นหรือ” คนเป็นน้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะจับผิดพี่ชาย แต่ก็ยากเต็มที อัลเบอร์โตหน้านิ่งหน้าเดียวแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยากจะเดาความรู้สึกออก

            “ก็ได้” เชสก์รับปากและตัดการติดต่อกับพี่ชาย

            หลังจากวางสายจากอัลเบอร์โตแล้ว เชสก์ก็เปิดไฟล์งานขึ้น ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก แต่เป็นหน้าตาของสมการฟังก์ชันต่างๆ ของระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในที่จะใช้ในระบบสั่งการของโดรน คิ้วเข้มขมวดเป็นปม เชสก์ไม่เสี่ยงคำนวณข้อมูลในระบบปฏิบัติการนานาอีกแล้วจนกว่าจะจับตัว Mr. S ได้ เขาจึงต้องเขียนทุกอย่างลงในกระดาษทั้งหมด

            ตุ้บ!

            เสียงอะไรบางอย่างตกลงบนพื้นทำให้ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ทีแรกเขาคิดว่าเป็นเจ้าฮิตเลอร์ แมวเบงกอลลายลูกเสือที่เขาเลี้ยงไว้ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าฝากมันไว้กับแม่บ้าน ยังไม่ได้ไปรับมาเลยด้วยซ้ำ แล้วเสียงอะไร

            ชายหนุ่มวางปากกาและถอดแว่นสายตาออก จากนั้นจึงเดินตามเสียงนั้นเข้าไปในห้อง ก็พบเด็กชายอเล็กซานโดรนั่งทื่ออยู่กลางห้องนอนของเขา

            “ตื่นแล้วหรือ” ดวงตาคู่คมดุมองเลยไปถึงแม่เด็กที่ยังนอนหลับสนิทไม่ไหวติง จึงกวักมือเรียกเจ้าหนูตัวแสบออกมาจากห้อง

            ทีแรกอเล็กซานโดรก็ส่ายหน้าแล้วกอดอกฉับเลียนแบบท่าทางของเชสก์ แต่สุดท้ายก็ยอมลุกแล้วเดินตามคู่อริต่างวัยออกจากห้องนอนไปแต่โดยดี

            “ลุงยักษ์ฮะ” อเล็กซานโดรเดินมาดึงชายเสื้อลุงยักษ์

            “อะไร”

            เด็กน้อยยิ้มแหย ยกมือลูบท้อง แล้วบอกด้วยน้ำเสียงอายๆ “ผมหิว”

            “ไม่หยิ่งแล้วหรือ” ผู้อาวุโสกว่าหัวเราะหึๆ

            “หิว...แต่มามี้ยังไม่ตื่น”

            “ฉันไปปลุกก็ได้”

            “อย่านะลุงยักษ์” เจ้าหนูคว้าแขนหมับแล้วออกแรงดึงไม่ยอมให้เชสก์ไป “มามี้ไม่ค่อยได้นอน ให้นอนเถอะ”

            “เป็นเด็กตัวแค่นี้รู้ด้วยหรือว่าแม่ไม่ได้นอน”

            “รู้” อเล็กซานโดรพยักหน้าแข็งขัน “รู้เยอะด้วย”

            นักธุรกิจหนุ่มมองประกายสดใสในดวงตาสีเข้มไร้เดียงสาของเด็กชายแล้วก็สนใจขึ้นมาทันที จึงพยักหน้าเบาๆ “ได้สิ จะพาออกไปกินข้างนอก”

            “กินในนี้ไม่ได้หรือ” เจ้าตัวแสบมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที “ถ้ามามี้ตื่นมาแล้วไม่เจอก็แย่สิ มามี้เคยสอนว่าไม่ให้ไปไหนกับคนแปลกหน้า”

            “ฉันไม่ใช่คนแปลกหน้าของนายเสียหน่อย” คนฟังเริ่มหน้าตึง ถึงตอนนี้จะยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นว่าอเล็กซานโดรใช่ลูกของเขาหรือไม่ แต่ถ้าใช่ล่ะ...นี่เขาไม่กลายเป็นคนแปลกหน้าของลูกเลยหรือ

            “ลุงยักษ์เขียนบอกมามี้ไว้สิฮะ”

            เชสก์พยักหน้าส่งๆ แล้วคว้ามือเจ้าตัวแสบไว้ “ไปอาบน้ำ”

            “ผมไม่มีเสื้อผ้า”

            ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แต่ก็เดินไปหยิบโทรศัพท์โทร. ให้เดรโกหาเสื้อผ้าเด็กมาให้ รวมทั้งให้ไปเอาเจ้าฮิตเลอร์กลับมาด้วย

            “เรียบร้อย ทีนี้ไปอาบน้ำได้แล้ว”

            “ลุงยักษ์อาบให้หน่อย” อเล็กซานโดรบอกหน้าตาเฉย “ปกติมามี้อาบให้”

            “นายโตแล้วอเล็กซ์ สี่ขวบแล้วไม่ใช่หรือ”

            “ก็...” เด็กน้อยมองซ้ายมองขวา ตั้งท่าจะงอแงอีกแล้ว จนเชสก์ต้องร้องห้าม

            “โอเคๆ ฉันจะอาบให้ แต่รอเดรโกเอาเสื้อผ้ามาให้ก่อน”

            เด็กน้อยพยักหน้าแข็งขัน แล้วหันไปสนใจห้องทำงานของเชสก์แทน จนชายหนุ่มได้แต่หัวเราะ จะว่าไปเจ้าเด็กนี่ก็นิสัยคล้ายเขาหลายส่วนเช่นกัน เมื่อตอนเด็กเขาก็งอแงเอาแต่ใจแบบนี้ และก็โตมาเป็นผู้ใหญ่แบบ เชสก์ อะลอนโซ อย่างไรเล่า

            “ลุงยักษ์ๆ นี่อะไรอ้ะ” เด็กชายชี้ไปที่โมเดลรถลัมโบกินีรุ่นใหม่ล่าสุดที่อยู่ในตู้หลังโต๊ะทำงาน ซึ่งเชสก์ได้รับมาตอนไปงานเปิดตัวรถด้วยสีหน้าสนอกสนใจ จนชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้

เด็กนี่ฉลาดชะมัด ดูก็รู้ว่าอยากเล่น แต่ทำฟอร์มเลียบๆ เคียงๆ ถาม

            “โมเดลรถไง”

            “ขอผมดูได้ไหมฮะ”

            “ได้สิ” เจ้าของบ้านหยิบลงมาให้ อย่างที่เจ้าตัวก็นึกแปลกใจเช่นกันว่าทำไมถึงตามใจอเล็กซานโดรนัก ทั้งที่ไม่ชอบเด็กสักเท่าไร

            ดวงตาใสแจ๋วเปล่งประกายวับวาวยามจ้องมองมอเดลรถคันสวย ซึ่งพอรับมาจากเชสก์แล้วเด็กชายก็นั่งแปะลงกับพื้น แล้วเล่นหงุงหงิงไปตามประสา

            เชสก์มองตามแล้วก็รู้สึกแปลกๆ จะว่าไม่พอใจก็ไม่ใช่ แต่เป็นความสงสัยใคร่รู้ถึงภูมิหลังของเด็กตรงหน้าต่างหาก

            ก๊อก...ก๊อก...

            เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง และเดรโกก็พูดขึ้น “คุณเชสก์ครับ ผมเอาเสื้อผ้าของคุณอเล็กซ์กับเจ้าฮิตเลอร์มาส่ง”

            เจ้าของบ้านเดินไปเปิดประตูแต่โดยดี “ขอบใจมากเดรโก”

            “ไม่เปิดใช้ระบบปฏิบัติการนานาหรือครับ”

            “ใช้แค่ระบบคอมพิวเตอร์ ฉันกลัวว่าอัลจะแอบสอดแนมฉัน”

            เดรโกทำหน้าปั้นยาก พี่น้องจะแอบสอดแนมกันเองเสียแล้ว แต่อย่างไรเสียเขาก็คนนอก จึงไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่ก้มศีรษะให้เจ้านายแล้วเดินออกไป

             เมี้ยว

            เสียงแมวร้องทำให้เด็กชายละจากของเล่นในมือ แล้วหันมาทำตาโตเมื่อเห็นแมวเบงกอลเหมือนลูกเสือตัวกลมที่อยู่ในอ้อมแขนของเชสก์

            “โอ้โฮ...ลุงยักษ์เลี้ยงเสือด้วย!”

            เจ้าของแมวถึงกับหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ ทีแรกก็ว่าจะบอกว่ามันคือแมวที่แคทเธอรีนให้มาเมื่อปีก่อน แต่คิดไปคิดมา...เอาไว้หลอกเด็กก็ดีเหมือนกัน

            “ใช่...ดังนั้นตามฉันเข้ามาอาบน้ำดีๆ อย่าดื้อ ไม่อย่างนั้นจะให้เสือกัด”

            “มันชื่ออะไรฮะ” อเล็กซานโดรทิ้งมอเดลรถในมือแล้วเดินมาหาแมวตัวอ้วนทันที

            “ชื่อฮิตเลอร์”

            “อะไรคือฮิตเลอร์ เรียกยากจัง” เจ้าตัวเล็กบ่นอุบแล้วนั่งแปะลงตรงหน้าเชสก์ จากนั้นก็ยกมือขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจะเอื้อมไปแตะหัวเจ้าฮิตเลอร์ แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ยึกยักอยู่อย่างนั้น

            “จับสิ มันไม่กัดหรอก”

            “ก็ไหนลุงยักษ์บอกว่าถ้าดื้อจะให้เสือฮิตเลอร์กัด” เด็กชายแย้งเสียงใส ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเลียนแบบเชสก์ทุกประการ

            “ก็ตอนนี้นายไม่ดื้อนี่” เชสก์บอกด้วยเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย แล้วจับมือเล็กของเด็กชายไว้ น่าแปลกที่คราวนี้เจ้าหนูไม่ร้องยี้ใส่ ปล่อยให้เชสก์จับมือไปลูบหัวเจ้าเหมียวลายเสือเบาๆ

            “ผมขออุ้มได้ไหมฮะ”

            “อย่าเลย ฮิตเลอร์ยังไม่คุ้นกับนาย เดี๋ยวมันจะกัดเอา”

            “ก็ได้” เด็กชายคอตก

            “ทีนี้ไปอาบน้ำได้แล้ว” ชายหนุ่มวางแมวเบงกอลจอมหยิ่งลงพื้น ปล่อยให้มันเดินในห้อง แล้วเดินนำเด็กชายเข้าไปในห้องน้ำ

            “ลุงยักษ์ถอดกางเกงให้หน่อย” เจ้าหนูยืนแอ่นพุงกลมๆ เข้าหา

            “อย่าบอกนะว่าปกติแม่ทำให้”

            “ฮะ” อเล็กซานโดรพยักหน้า

            “ก็ได้ๆ” เพราะอยากรู้ว่าตลอดเวลาที่สุคนธวาต้องเลี้ยงอเล็กซานโดรตามลำพัง เธอต้องทำอะไรบ้าง ต้องลำบากแค่ไหน ทำให้เชสก์นึกอยากลองเลี้ยงเด็กดูบ้าง คิดแล้วก็นั่งลงถอดเสื้อผ้าให้จนเจ้าหนูตัวแสบเปลือยเปล่า เท่านั้นเองอเล็กซานโดรก็ยืนเอามือกุมหนอนน้อยแล้วยืนบิดไปบิดมาด้วยความเขินอาย

            หนุ่มหน้าเข้มลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะท่าทางตลกๆ ของอเล็กซานโดรเบาๆ สุดท้ายทนไม่ไหวแอบเตะเบาๆ ไปหนึ่งครั้ง

            “แง้!” ตัวแสบแหกปากร้องแล้วยกมือคลำก้นป้อยๆ “ลุงยักษ์มาเตะตูดผมทำไม”

            “หมั่นไส้”

            “ใจร้าย” ว่าแล้วเจ้าหนูก็โถมตัวเข้าใส่ร่างสูงอย่างแรง จนเชสก์หงายหลังลงไปนั่งอยู่ในอ่างที่เปิดน้ำรอไว้แล้ว

            “อเล็กซ์!”

            ใครจะคิดว่าท้ายที่สุดแล้วนักธุรกิจหนุ่มมาดเข้มก็ต้องเปียกม่อล่อกม่อแล่กเพราะฝีมือเด็กน้อยอายุแค่สี่ขวบ มิหนำซ้ำเจ้าตัวดียังหัวเราะลั่น

            “ลุงยักษ์เปียกเลย”

            “ก็นายผลักฉันนี่”

            “ก็ลุงยักษ์เตะผม ผมจะฟ้องมามี้”

            “ตัวเท่านี้ริอ่านทำตัวเจ้าเล่ห์นะ” หนุ่มร่างสูงบ่นพลางลุกขึ้นจากอ่างจากุซซีขนาดใหญ่ ไหนๆ ก็เปียกไปแล้วก็จำต้องถอดเสื้อผ้าออกแต่โดยดี โดยมีหนูน้อยอเล็กซานโดรจ้องมองเขม็ง

            “นายคิดว่าฉันจะเขินหรือไงเจ้าหนู”  เชสก์หัวเราะแล้วส่ายหน้าเบาๆ ไม่สนใจดวงตากลมโตของเด็กน้อยที่มองตัวเปล่าเปลือยของเขาด้วยสายตาตื่นตะลึง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น