8

บทที่ 8


 

ศศินามาถึงชายหาดมาลิบูในตอนเช้า จนถึงตอนนี้ก็บ่ายคล้อยไปแล้ว แต่เธอยังไม่ได้นอนสักงีบเลยทั้งที่เวียนศีรษะแทบแย่ ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งยังบินข้ามมาจนถึงแคลิฟอร์เนียอีกต่างหาก รับประทานอาหารบนเครื่องบินบ้าง แต่ก็เพราะห่วงลูกจึงกินอะไรไม่ลง พอมาเห็นอเล็กซ์ก็ยิ่งเอาแต่ห่วง ดูแลลูกจนลืมเรื่องอาหาร แล้วยังต้องลงมาเล่นกันตามที่เด็กน้อยร้องขออีก

            “มามี้ ทำไมเรากลับบ้านไม่ได้ล่ะฮะ” พออยู่กันตามลำพัง อเล็กซานโดรก็ถามมารดาอีกครั้งพร้อมทั้งทำปากยื่นระหว่างก่อปราสาททราย

            “เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรืออเล็กซ์ แม่ต้องทำงาน ลูกอยากอยู่กับแม่ไม่ใช่หรือ”

            “แต่ผมไม่ชอบลุงยักษ์” เด็กชายหน้ามุ่ย แล้วเผลอใช้มือปัดทรายอย่างแรงจนศศินามองตาดุ

            “อเล็กซ์...”

            “ขอโทษฮะ” อเล็กซานโดรหน้าจ๋อย ยกมือไหว้อย่างที่แม่เคยสอน แล้วพูดต่อด้วยภาษาไทยแปร่งๆ “ขอโทษ”

            “แม่ไม่อยากให้ลูกใช้อารมณ์ คราวหน้าอย่าทำอีกนะ...รู้ไหม”

            “ผมไม่ชอบลุงยักษ์” เสียงเล็กๆ สลดลงทีละนิด เจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้า แต่ก็แอบมองแม่ตาปริบๆ “เขาชอบมองมามี้”

            “ไม่มีอะไรหรอกอเล็กซ์ เขาเป็นเจ้านายแม่” คุณแม่คนสวยยิ้มปลอบ แล้วกวักมือเรียกให้ลูกชายตัวแสบมานั่งตัก

            เด็กแสบยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่ ลุกขึ้นรี่เข้าไปหาแล้วทิ้งน้ำหนักลงบนตักแม่เสียจนหญิงสาวแทบหงายหลัง

            “อเล็กซ์!”

            อเล็กซานโดรชะงักไปนิดๆ ด้วยไม่แน่ใจว่าแม่จะดุเหมือนเมื่อครู่หรือเปล่า แต่พอเห็นว่าแม่หัวเราะ เท่านั้นเองเจ้าตัวแสบก็หัวเราะลั่นผสานไปกับเสียงหัวเราะของแม่

            “มามี้ฮะ” ลูกชายตัวแสบลุกขึ้นแล้วโถมตัวกอดคอคุณแม่คนสวย

            “ว่าไงตัวแสบ”

            “ผมอยากเล่นน้ำ”

            “แม่ไม่ได้เตรียมกางเกงว่ายน้ำของลูกมาด้วยสิ”

            “แก้ผ้าลงก็ได้” เด็กชายบอกอายๆ บิดตัวไปมา สองแก้มยุ้ยแดงเหมือนมะเขือเทศลูกกลมๆ ทั้งยังส่งสายตาวิบวับให้แม่อีกต่างหาก เพราะมั่นใจว่าทำตาแบบนี้ทีไรได้ผลแน่นอน

            “ไม่กลัวปิรันยางับ ‘หนอนน้อย’ หรือไงอเล็กซ์” ศศินาขู่ลูกพลางทำท่าขย้ำจริงๆ จนเด็กน้อยหัวเราะลั่น

            “ไม่เอามามี้ ไม่มีปิรันยาหรอก”

            “ขอแม่คิดก่อนนะว่าจะให้ลงน้ำดีหรือเปล่า” สาวร่างเล็กแสร้งทำหน้าครุ่นคิดให้ลูกชายอ้อน เพราะรู้ดีว่าต่อให้อเล็กซานโดรจะแสบแค่ไหน จะดื้อจะงอแงเพียงไร ถ้าเธอพูดหรือดุก็จะฟังทุกครั้ง เช่นเดียวกับเวลาที่อยากได้หรืออยากทำอะไรก็จะมาขออนุญาตก่อนเสมอ ถ้าแม่ไม่ยอมก็จะไม่ทำ

            คราวนี้ก็เช่นกัน...

            จริงอย่างที่ศศินาคิดไม่มีผิด พอเธอแกล้งทำเป็นคิดหนัก เจ้าตัวแสบก็ออดอ้อนแม่ด้วยการโถมตัวเข้าใส่อีกครั้ง แล้วระดมจูบแก้มแม่ทั้งซ้ายขวา ทั้งยังอ้อนเสียงใส

            “นะฮะๆ มามี้ ขอผมลงน้ำนะฮะ”

            “ให้ลงดีไหมน้า”

            “ดีสิฮะ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวแสบพุ่งเข้าไปหอมแก้มแม่แรงๆ เป็นการเร่งให้อนุญาตไวๆ

            “ไม่ดีหรอก”

            “ดีสิๆ” เจ้าตัวแสบร้องแง้วๆ แล้วหอมแก้มซ้ายขวาของแม่จนช้ำไปหมด

            คุณแม่ยังสาวได้แต่หัวเราะคลอเคล้าเสียงอ้อนของลูกชาย ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เธอผ่อนคลายและปลดภาระหน้าที่ทุกอย่างลงและใช้ชีวิตได้อย่างปกติที่สุด แต่ความสุขมักจะอยู่ไม่นาน เมื่อเสียงย่ำเท้าบนผืนทรายดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดึงความสนใจจากสองแม่ลูกจนต้องหันไปตามเสียง

            “ลุงยักษ์!” พอเหลือบไปเห็นคู่กรณี เด็กชายก็หน้าจ๋อยลงทันทีแล้วกอดคอแม่ไว้แน่น “ไม่เล่นน้ำแล้วมามี้ กลับกันเถอะฮะ”

            ศศินาหุบยิ้มทันควัน เธอลอบสบตาคมวาววับของชายหนุ่มแล้วจึงพยักหน้ากับลูกชาย เธอเองก็ไม่อยากให้อเล็กซานโดรเข้าใกล้เชสก์มากนัก

            “แต่ฉันมีกางเกงว่ายน้ำให้นายนะ...ไม่สนหรือ”

ข้อเสนอจากคู่อริต่างรุ่นทำให้เด็กชายอเล็กซานโดรชะงักไปนิดๆ แล้วสบตากับมารดา

            “เย็นแล้ว แม่ว่าเรากลับเข้าในบ้านกันดีกว่านะ”

            “กลับก็ได้ฮะ” เด็กน้อยพยักหน้าแข็งขัน เพราะต่อให้อยากลงน้ำมากเพียงไร แต่จะให้ลงเล่นน้ำกับคนแปลกหน้าหน้าตาน่ากลัวอย่างเชสก์แล้วละก็ ยอมอดเล่นน้ำจะดีกว่า

            สองแม่ลูกพยักหน้ารู้กันอยู่สองคน จากนั้นศศินาก็ลุกขึ้นปัดทรายออกจากเนื้อตัว แล้วอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมแขนพากันเดินกลับบ้าน ปล่อยให้เจ้าของบ้านได้แต่ยืนนิ่ง มองตามสองแม่ลูกไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งที่เมื่อครู่ก็เห็นว่าเล่นกันหัวเราะหยอกล้อกันมีความสุขดี แต่พอเขาปรากฏตัวเท่านั้นทั้งสองก็นิ่งเงียบกันไปทั้งแม่ทั้งลูก ทำราวกับเห็นเขาเป็นปีศาจไปได้

            ชายหนุ่มถอนหายใจ ใจบอกว่าไม่อยากง้อ แต่ปรากฏว่าสองเท้ากลับไม่ฟังตามที่สมองสั่ง สุดท้ายเชสก์ก็เดินตามสองแม่ลูกเข้าบ้านไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางแสงตะวันสุดท้ายบนชายหาดมาลิบู

ศศินาพาลูกชายกลับเข้ามาในบีชเฮาส์เพราะต้องการหนีการเผชิญหน้ากันระหว่างเด็กน้อยกับชายหนุ่ม แต่การหนีไม่ใช่ทางออก ดังเช่นตอนนี้ หนีเขาเข้ามาในบ้านเขาแล้วเธอก็พบปัญหาใหม่ คือไม่รู้จะพาลูกไปอยู่ตรงไหนไม่ให้ขวางหูขวางตาเขานี่สิ

            “มามี้...ผมหิวอีกแล้ว” เจ้าตัวเล็กเริ่มบ่น มือข้างหนึ่งกอดขาแม่ไว้ ส่วนอีกมือก็ลูบพุงกลมๆ ไปพลาง

            “เราไปดูในครัวกันเนอะว่ามีอะไรให้กินบ้าง”

            “นี่บ้านลุงยักษ์ใช่ไหมฮะ”

            “ใช่จ้ะ”

            “ผมไม่กินดีกว่า” เด็กน้อยกอดอกทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ แน่นอนว่าไม่พ้นสายตาของแม่และเจ้าของบ้านที่เดินตามเข้ามาและทันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

            “นายไม่กินน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่แม่นายล่ะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือ”

เสียงของเชสก์ทำให้สองแม่ลูกสะดุ้ง ศศินาหันขวับไปมองเขา ส่วนเด็กน้อยก็กอดขาแม่ไว้แน่นแล้วแอบอยู่ด้านหลังแทน

            เชสก์เข้ามาหาเจ้าตัวแสบ สีหน้านิ่งๆ ของเขาทำให้แม่เด็กหวั่นใจ จนต้องใช้ตัวบังลูกไว้ ท่ามกลางสายตาไม่พอใจของเจ้าของบ้าน

            “ฉันไม่ทำอะไรลูกเธอหรอกน่า” เขาบอกเสียงเข้มติดรำคาญเล็กน้อย แล้วดึงเด็กแสบออกมาจากแม่อย่างรวดเร็ว จนเด็กน้อยที่กำลังตกใจถึงกับร้องไห้โฮหาแม่ทันที

            “มามี้!”

            “เมื่อไหร่จะเลิกแกล้งลูกฉันสักที” ศศินานึกโมโห ก็รู้ว่าเชสก์ไม่ไยดีลูกเธอสักเท่าไร แต่ทำไมต้องแกล้งเสียจนร้องไห้ทุกครั้ง

            “ฉันไม่ได้แกล้ง แต่จะพาไปหาอะไรกิน ทั้งเธอทั้งลูกนั่นแหละ” ตอนพูดประโยคหลังชายหนุ่มหันกลับมาสบตากับเด็กน้อย แล้วถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ “อยากกินอะไร”

            อเล็กซานโดรส่ายหน้าทันที

            “ไม่อยากกินหรือ”

            “ไม่อยากกินกับลุงยักษ์ อยากกินกับมามี้”

            “ก็ต้องไปกินกับฉันทั้งนายทั้งมามี้ของนายนั่นแหละ” เชสก์ลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทีลังเลของเด็กชาย “อยากกินไหม ฉันว่าจะพานายไปกินอาหารญี่ปุ่น ตบท้ายด้วยขนมเป็นไง”

            พอได้ยินคำว่าขนมหวานเท่านั้น ดวงตากลมสุกใสของเด็กชายตัวแสบก็ลุกวาว จากที่หิวๆ ก็เผลอยกมือขึ้นลูบพุงอีกจนได้

            “แล้วมามี้จะไปไหม” ถึงข้อเสนอจะดีแค่ไหน แต่หนูน้อยก็ยังวางฟอร์มไม่หลงกลคู่อริง่ายๆ ด้วยการแสร้งหันไปถามมารดา

            ศศินามองลูกชายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอไม่อยากให้อเล็กซานโดรเข้าใกล้เชสก์เกินจำเป็นเลย แต่อยู่กับเขาอย่างนี้แล้วจะหลีกหนีอย่างไรได้ สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้าตกลงและบอกตัวเองว่า หลังจากกลับไปเธอคงต้องคุยกับเขาอย่างจริงจังเสียแล้ว

ชายหาดมาลิบูมีแต่บ้านพักตากอากาศเสียส่วนใหญ่ ร้านอาหารมีให้เลือกน้อย เชสก์จึงพาสองแม่ลูกมาที่ซานตาโมนิกาแทน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อในซานตาโมนิกา พอมาถึงเด็กชายจอมแสบก็แทบพุ่งเข้าไปมองเชฟที่กำลังทำซูชิให้ดูสดๆ แล้วทำตาโตแสดงออกถึงอาการสนอกสนใจเต็มที่ เรียกได้ว่าพอเจอของกินก็ลืมแม่ไปในทันที

            เชสก์มองตามเด็กน้อยแล้วหัวเราะ ท่าทางแสบๆ ของอเล็กซานโดรทำให้เขานึกถึงธีอา ลูกสาวของแบลร์ น้องสาวคนเล็กของเขา รวมทั้งเบลล่า ลูกสาวของอัลเบอร์โตด้วย ถ้าได้อยู่รวมกันคงวุ่นวายน่าดู คิดไปคิดมาก็น่าลองให้มาเจอกันสักครั้ง ดูซิว่าเจ้าหนูนี่ยังจะกล้ากับเขาอยู่ไหม

            ถ้าเพียงแต่อเล็กซานโดรเป็นลูกของเขา...

            ความคิดนั้นทำให้เชสก์ลอบสังเกตสองแม่ลูกที่นั่งสั่งอาหารอยู่ ทั้งสองดูมีความสุขมากราวกับว่ามากันตามลำพังและไม่มีเขาอยู่ที่นี่ด้วย ทำเอาชายหนุ่มหัวเสียเล็กน้อยเพราะไม่เคยถูกละเลยมาก่อน

            “ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” ซีอีโอหนุ่มเข้าเรื่องทันทีหลังจากสั่งอาหารเสร็จ เขาเหลือบมองเด็กน้อยก็พบว่าตอนนี้อเล็กซานโดรหันไปสนใจคนปั้นซูชิมากกว่าจะมาสนใจเขากับศศินา

            “คะ?”

            “เรื่องลูก”

            “ไว้ค่อยไปคุยที่บ้านเถอะค่ะ”

            “แค่คำถามเดียว ฉันอยากรู้ว่าพ่อเด็กอยู่ที่ไหน” เชสก์ถามเสียงเข้ม ปรายตามองเด็กน้อยที่กำลังมองคนปั้นซูชิตาใสแล้วก็อดคันยิบๆ ในหัวใจไม่ได้

            คนถูกถามถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอแสร้งก้มหน้า ทำไม่สนใจคำถามของเขา จนเชสก์ต้องคว้าข้อมือสาวมาดนิ่งไว้แล้วบีบแรงๆ

            “ฉันถาม...” คนขี้โมโหเน้นเสียง ความอดทนเริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ

            “ฉันเคยบอกคุณไปแล้ว” ศศินากระซิบตอบด้วยเสียงลอดไรฟันปานกัน

            “ขอชื่อ”

            “นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉัน”

            “แต่ฉันอยากรู้ เด็กนั่นอาจเกี่ยวข้องกับฉันก็ได้”

            “คิดผิดแล้วค่ะเชสก์” สาวร่างเล็กแค่นยิ้มเย็นชาแล้วส่ายหน้าเบาๆ “คุณไม่ได้สำคัญกับฉันขนาดนั้น ฉันยืนยันว่าอเล็กซ์ไม่ใช่ลูกคุณ”

            “แล้วลูกใคร”

            คุณแม่ลูกหนึ่งเม้มปาก อย่างไรเธอก็ไม่บอก เพราะถ้าบอกเขาจะรู้ทั้งหมดทันที และอีกอย่าง...เธอก็ไม่แน่ใจถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาอีกด้วย

            อาการนิ่งเงียบของหญิงสาวยิ่งกวนตะกอนอารมณ์ของเชสก์ให้ขุ่นมัวขึ้นไปอีก ปกติก็เป็นคนความอดทนต่ำมากพออยู่แล้ว และศศินาก็เป็นคนเดียวที่ขัดใจเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนกระทั่งถึงตอนนี้ แม้เธอจะนิ่งขึ้น แต่สิ่งเดียวที่เหมือนเดิมคือความกล้าที่มีกับเขานี่ละ

            พอศศินายิ่งเงียบ เชสก์ก็ยิ่งบีบข้อมือเล็กแรงขึ้นเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ

สงครามประสาทของผู้ใหญ่ทั้งสองทำให้เด็กน้อยเริ่มผิดสังเกต และละสายตาจากเชฟมามองมารดาของตัวเองทันที

            “ลุงยักษ์ทำอะไรมามี้!” อเล็กซานโดรร้องลั่นแล้วตีมือหนากร้านปกคลุมด้วยไรขนสีเข้ม “หยึย!” เด็กชายทำสีหน้าพิกล 

            “อะไรอเล็กซ์” คนเป็นแม่หันขวับไปมองลูกชายที่น้ำตาคลอ

            “ลุงยักษ์ขนเยอะอ้ะ” เจ้าตัวแสบทำท่าขนลุกแล้วพูดเสียงสั่น “ผมหยะแหยง”

            คนน่าขยะแขยงหน้าตึง ยอมรับว่าทั้งหมั่นไส้ทั้งเอ็นดูเด็กคนนี้ แต่ก็เพราะความกวนประสาทนี่ละที่ทำให้เขาอยากเตะเบาๆ สักป้าบ จะได้เลิกกวนเสียที

            “โตไปนายก็จะขนเยอะเหมือนฉัน”

            “ไม่เอาหรอก” อเล็กซานโดรเขย่าแขนแม่แรงๆ “ผมไม่โตได้ไหมฮะมามี้”

            “แม่...”

            “ถ้าไม่โตแล้วจะปกป้องแม่ได้หรือ” เชสก์เลิกคิ้ว ตอนนั้นเองที่ทำให้เด็กน้อยสังเกตว่าลุงยักษ์ยังกำรอบข้อมือแม่ไว้แน่น จนเด็กชายคนเก่งต้องออกโรงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์อีกครั้งด้วยการ...

            “เผียะๆ” ไม่ใช่แค่ตีชายหนุ่มอย่างเดียวเท่านั้น แต่เจ้าหนูตัวแสบกลับทำเสียงประกอบไปด้วย ทำเอาบรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่ค่อยๆ คลายลงในที่สุด

            ผู้ใหญ่ทั้งสองมองเด็กน้อยที่กำลังตีมือเชสก์อย่างแรง แต่คนตัวโตกลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย ทำเอาทั้งคู่หัวเราะและเงยหน้าขึ้นสบตากันเข้าอย่างจัง

            เชสก์มองใบหน้าอ่อนหวานแต่เฉยชาของหญิงสาวอย่างเผลอไผล จ้องเข้าไปในดวงตากลมโตล้ำลึกยากจะมองออกว่าเจ้าตัวกำลังคิดอย่างไร ดวงตาคมดุจ้องมองระเรื่อยซอกซอนไปตามหน้าผากนูนเด่นเกลี้ยงเกลา จมูกเล็กๆ ที่โด่งรั้นพองาม ริมฝีปากบางสีระเรื่อที่มุมปากกดลงเล็กน้อย ทำให้เวลาศศินาทำหน้าเฉยๆ แล้วดูดุพอสมควร ยกเว้นเสียว่าถ้าเธอยิ้ม...

            และเธอก็กำลังยิ้มให้เขา...ใช่ไหม

            ศศินาสะดุ้งน้อยๆ ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าถูกเขาจ้องมองนานแล้ว หญิงสาวหุบยิ้มทันควันก่อนจะหลุบตาลง แล้วพยายามบิดข้อมือให้พ้นจากการเกาะกุมของเขา แต่อย่างไรเชสก์ก็ไม่ยอมปล่อย

            “ปล่อยมามี้ของผมนะ” เด็กชายร้องลั่นและยังตีแขนเผียะๆอยู่อย่างนั้นทั้งที่ไม่ได้ผล

ท่าทางของสองแม่ลูกทำให้ซีอีโอหนุ่มหน้าดุยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจที่สุดในรอบหลายปี

            “นี่ไอ้หนู” เชสก์สะกิดเด็กน้อยตรงหน้าด้วยปลายนิ้ว เรียกความสนใจจากเด็กน้อยได้ทันที

อเล็กซานโดรละมือจากการประทุษร้ายคู่อริตัวโตแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ลุงยักษ์ไม่เจ็บเลยหรือ”

            “ไม่นี่” ลุงยักษ์ยักไหล่ไม่ยี่หระ “แรงนายเหมือนมดกัด”

            “ผมตีสุดแรงแล้วนะมามี้” เด็กชายหันไปฟ้องมารดา แล้วเงื้อมือขึ้นสุดแขนก่อนจะฟาดลงไปเต็มแรงจนเกิดเสียงดังเผียะ!

            “เต็มที่แล้วหรือ” หนุ่มหน้าเข้มเลิกคิ้วถาม

            “ไม่เจ็บจริงๆ เหรอ”

            “อยากให้ฉันเจ็บไหม”

            เจ้าหนูจอมแสบมีท่าทีลังเลเล็กน้อย เหลือบมองมารดาแวบหนึ่งแล้วจึงหันมาหาคู่อริยักษ์อีกครั้งแล้วพยักหน้า ท่าทางสนใจมาก

            “กินเยอะๆ สิ นายต้องกินเยอะๆ นอนเยอะๆ โตไวๆ จะได้ดูแลแม่นายไม่ให้ใครรังแกเอาได้”

            “จริงหรือฮะ” เด็กชายถาม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อคู่อริได้หรือไม่ จึงหันไปถามมารดาอีกครั้ง “จริงหรือเปล่าฮะมามี้”

            ศศินาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าแวบหนึ่ง เห็นตาเป็นประกายวับวาวเจ้าเล่ห์ของเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วพยักหน้าตอบลูก “ใช่จ้ะ”

            “งั้นผมจากิน” เด็กแสบชูกำปั้นชกลม สีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจ แล้วลงมือ ‘สวาปาม’ อาหารตรงหน้าทันที ลืมสนใจไปเสียสนิทว่ามือแม่ยังอยู่ในอุ้งมือลุงยักษ์อยู่เลย

            หลังจากจัดการกับเด็กดื้อให้ยอมกินอาหารได้แล้ว ศศินาก็เบนสายตากลับมายังมือหนาที่ยังกุมรอบข้อมือเธออยู่ แล้วส่งสายตาดุๆ เป็นเชิงบอกให้เขาปล่อยมือเธอได้แล้ว แต่เ ชสก์ อะลอนโซ ก็คือ เชสก์ อะลอนโซ อยู่วันยังค่ำ อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ทำ หน้าหนาพอที่จะทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาผ่อนแรงที่บีบข้อมือเธอลงตามอารมณ์ที่เบิกบานขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังถือโอกาสจับมือเธอไว้อย่างนั้น

            คนถูกฉวยโอกาสขึงตาใส่ก็แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยสักนิด จึงหยิกลงบนหลังมือของเขาเต็มแรง

            “โอ๊ย!” ชายหนุ่มร้องลั่น จนเด็กน้อยที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินหันมามองด้วยความสงสัย

            “ลุงยักษ์เป็นอะไร” เด็กชายถามเสียงใส แล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเลียนแบบลุงยักษ์

            “มดกัดน่ะ” เชสก์บอกปัดแล้วเลิกคิ้วมองสาวตรงหน้า ดูว่าเธอจะว่าอย่างไรหรือไม่ แต่ปรากฏว่าศศินายังเฉย หญิงสาวเก็บอารมณ์ได้ดีมาก แล้วหันไปสนใจดูแลลูกชาย โดยไม่สนใจเขาอีกเลย

พอหนังท้องตึง หนังตาก็ต้องหย่อนเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเด็กน้อยอย่างอเล็กซานโดรพออิ่มปุ๊บก็หลับแทบจะทันทีที่ขึ้นรถ ทำให้ระยะทางจากซานตาโมนิกากลับไปหาดมาลิบูมีแต่ความเงียบ เดรโกที่ขับรถอยู่ก็เงียบ บอดีการ์ดหน้านิ่งที่ศศินาไม่รู้จักชื่อที่นั่งข้างเดรโกก็เงียบ ยิ่งเชสก์ยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่นั่งมองเธอและลูกสลับกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมาถึงบีชเฮาส์

            “แยกกันไปพักได้เลย” นักธุรกิจหนุ่มสั่งกับบอดีการ์ดทั้งสอง

            “แล้ว...” เดรโกปรายตามองเด็กชายที่ยังหลับซบเจ้านายแล้วก็ลังเล แม่เด็กอุ้มไม่ไหวแน่ แต่เจ้านายจะอุ้มไปเองอย่างนั้นหรือ

            สายตาของลูกน้องคนสนิททำให้เชสก์เข้าใจได้ทันที แต่ก็พยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้เดรโกและบอดีการ์ดคนอื่นแยกย้ายไปพัก

            ศศินายืนมองอยู่ครู่หนึ่งก็ย่อตัวลงอุ้มลูกชายมาแนบอก แต่เพราะอเล็กซานโดรโตมากแล้ว ทั้งยังมีเนื้อหนังพอสมควร ตัวเธอหรือก็นิดเดียว ทำเอาทุลักทุเลไม่น้อย

            “เธอควรจะกินให้มากกว่านี้” เชสก์บอกด้วยน้ำเสียงดุๆ ฉวยแขนแล็กของศศินาไว้แล้วดึงหญิงสาวออกให้พ้นทาง จากนั้นจึงก้มลงอุ้มเด็กชายตัวกลมเสียเอง

            “คุณเชสก์”

            “อะไร” ชายหนุ่มทำเสียงรำคาญ

            “ฉันอุ้มลูกเองได้ค่ะ” คุณแม่คนสวยจะยื้อลูกชายคืน แต่เขาพาเดินหนีไปเสียก่อน

            “ตัวเธอน่ะผอมจนจะปลิวตามลมอยู่แล้ว อย่าอวดเก่ง”

            “ฉันไม่ได้อวดเก่ง แค่ไม่อยากรบกวนคุณก็เท่านั้น” เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่ต้องการให้เชสก์เข้าใกล้อเล็กซานโดรมากนัก เธอกลัวว่าถ้าใกล้ไปกว่านี้ เธอจะไม่มีวันหนีเขาพ้น และคงต้องตกลงสู่วังวนที่อยากหนีมาตลอดอย่างไม่มีวันพ้นออกมาได้

            “ไม่รบกวนหรอก” เชสก์อุ้มเด็กน้อยเข้ามาบีชเฮาส์ริมทะเล แม้ว่าก่อนออกไปจะปิดไฟหมดทั้งหลัง แต่พอเชสก์มาถึง ก้าวไปถึงตรงไหนบ้านก็สว่างตามไปเรื่อยๆ ด้วยฝีมือระบบปฏิบัติการนานา

            ถึงตรงนี้แล้วศศินาก็คงปฏิเสธไม่ได้ หญิงสาวจำต้องปล่อยให้เขาอุ้มลูกชายเธอเข้ามาถึงในห้องนอนที่ตกแต่งเรียบร้อย และเธอก็รับรู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือห้องเขา

            “คุณเชสก์คะ ให้ฉันกับลูกนอนข้างนอกก็ได้ค่ะ”

            “ทำไม” เจ้าของห้องถามเสียงแข็ง ใบหน้าบึ้งตึงแสดงถึงความไม่พอใจ

            “ฉันไม่ชิน ปกติเรานอนกันแค่สองคนแม่ลูกมาตลอด”

            เชสก์หรี่ตาลงทันทีที่หญิงสาวพูดจบ “เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ อยู่กันสองคนแม่ลูกมาตลอดหรือ”

            ศศินาชะงักไปทันทีเมื่อเผลอพูดในสิ่งที่เขาไม่ควรรู้เข้าให้แล้ว เชสก์ไม่ใช่คนโง่ แค่ได้ยินสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของเธอ เขาก็ตามไปคว้าแขนหญิงสาวไว้ก่อนที่เธอจะเดินหนีไปอย่างที่เคยทำ

            “เดี๋ยวก่อน”

            “จะคุยก็มาคุยข้างนอกค่ะ อเล็กซ์หลับแล้ว ฉันกลัวลูกตื่น” เธอบอกเสียงเรียบ และเดินนำชายหนุ่มออกมาจากห้อง แล้วตรงไปยังระเบียงที่หันหน้าเข้าหาทะเล โดยไม่คิดจะหันไปมองเชสก์เลยสักนิด แต่เธอมั่นใจว่าเขาเดินตามเธอมาแน่นอน

            ดึกมากแล้ว หาดมาลิบูค่อนข้างเงียบ เพราะบริเวณที่บีชเฮาส์ของเชสก์ตั้งอยู่ติดกับเชิงเขาที่ค่อนข้างเงียบและเป็นส่วนตัว ยิ่งทำให้คืนนี้ดูมืดมนมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก

            ดวงตากลมโตทอดมองออกไปยังผืนทะเลกว้างใต้ท้องฟ้ามืดมิด แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอพาอเล็กซ์กลับบ้านกลับไปใช้ชีวิต เรียบง่าย ไม่ทะเยอทะยานเหมือนเมื่อก่อน ยอมถูกตราหน้าว่าท้องไม่มีพ่อ ยังดีเสียกว่าต้องใช้ชีวิตอย่างทุกวันนี้

            “ดึกแล้ว เธอควรจะนอน”

            “ฉันอยากคุยกับคุณ...เรื่องงาน”

            “งานอะไร”

            คนถูกถามละสายตาจากผืนน้ำดำมืดกลับมาที่ชายหนุ่มข้างตัว แล้วพูดต่อไปด้วยเสียงเรียบเรื่อย “ก็ในเมื่อคุณพาฉันมาหาอเล็กซ์แล้ว ฉันก็อยากพาลูกกลับ”

            “กลับไปไหน”

            “กลับไทยละมั้งคะ ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ ฉันอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่”

            “เธอหนีอะไรอยู่กันแน่ผักหวาน” เชสก์เรียกชื่อที่แท้จริงของหญิงสาว ซึ่งคราวนี้เธอไม่ปิดกั้นตัวเองอีกต่อไป

            “ฉันทำงานให้ ‘ภาคี’”

            “ว่ายังไงนะ” แม้แต่คนฟังเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าอยู่ๆ เธอจะบอกเขาง่ายๆ ถึงเพียงนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ภาคีที่ว่านั่นคืออะไร และต้องการอะไรจากเขากันแน่

            “อย่าถามฉันมากกว่านั้นเลยค่ะ เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินแต่เขาเรียกว่าภาคี”

            “แล้วชื่อศศินานี้ล่ะ”

            “ไม่ใช่ชื่อจริงหรอกค่ะ” สาวหน้าหวานแต่ตาเศร้าส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดต่อไปว่า “คุณน่าจะรู้แล้ว...ศศินา สไนเดอร์ ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกด้วยซ้ำ”

            “แต่สุคนธวามีใช่ไหม” คำตอบของเธอไม่ทำให้เชสก์แปลกใจเท่าไร เพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าศศินาก็คือสุคนธวาของเขา แต่ทำไมเล่า ทำไมเธอถึงกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว

            “ฉันแค่อยากกลับบ้าน ฉันคิดว่าคุณจะช่วยฉันกับลูกได้”

            “อเล็กซ์เป็นลูกใคร”

เสียงของเชสก์เข้มขึ้นจนหญิงสาวต้องหันไปมอง เธอสบตาเขาในความมืด เห็นประกายวาววับและแผ่นอกกว้างที่สะท้อนขึ้นลงตามแรงอารมณ์ของเขาแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอีกครั้ง

            “ไม่ใช่ลูกคุณหรอกค่ะ อย่าพยายามถามในสิ่งที่ฉันอยากจะลืมอีกเลย”

            “เรื่องไหนกันแน่ที่เธออยากลืม เรื่องภาคีห่าเหวอะไรนั่นหรือว่าเรื่องของเรา” คนเอาแต่ใจเริ่มโมโห ในขณะที่เขากำลังคิดและกังวลใจเรื่องของเธอจนแทบบ้า แต่เธอกลับนิ่งเฉยอย่างไม่น่าเชื่อว่าสุคนธวาที่เคยสดใสน่ารักจะนิ่งได้ถึงเพียงนี้

            “ทั้งสองอย่างค่ะ” เธอตอบเขาแล้วเบือนหน้าไปที่ทะเลตรงหน้า แรงลมที่พัดผ่านทำให้ผมยาวพัดยุ่งไม่เป็นทรง หญิงสาวจับปอยผมทัดหลังใบหู แต่กลับถูกมือหนากร้านของคนตรงหน้ากุมมือไว้ บังคับให้เธอสบตากับเขาอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายเธอก็เลือกที่จะปลดมือเขาออกแล้วเดินหนีไป ราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่...ไม่มีความหมายกับเธอเลย

หญิงสาวเดินกลับเข้ามาในห้องที่ลูกชายนอนอยู่ พร้อมแอบชำเลืองมองว่าเชสก์ตามเข้ามาด้วยหรือไม่ แต่เขาไม่ได้ตามเข้ามา เธอจ้องมองไปยังอเล็กซานโดรสลับกับนอกระเบียงที่เชสก์ยังนั่งดื่มตามลำพังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

            คุณแม่ลูกหนึ่งล้มตัวลงนอนข้างลูกชาย จ้องมองใบหน้าเล็กๆ สองแก้มกลมๆ นึกถึงยามที่อเล็กซานโดรยิ้มให้ รอยยิ้มไร้เดียงสานี้ทำให้เธอยิ้มได้ทุกครั้งไม่ว่าจะเหนื่อยล้าเพียงไร

            บทสนทนาระหว่างเขากับเธอยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ หวนให้คิดไปถึงอดีต...ที่ไม่มีวันเรียกคืนกลับมาได้อีกแล้ว

            ...

            หกปีก่อน

            สุคนธวา คือเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปี เธอเป็นแค่ลูกสาวชาวไร่ดอกไม้และรีสอร์ตเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอที่ขึ้นชื่อว่ามีโอโซนและอากาศบริสุทธิ์ที่สุดในประเทศไทย อาศัยอยู่กับแม่ที่เคยเป็นนักเรียนนอกและทำงานบริษัทมาก่อนจะผันตัวมาทำไร่ดอกไม้ คุณป้าพี่สาวแม่ที่เพี้ยนๆ หลังจากประสบอุบัติเหตุก็พูดพร่ำว่าไปเจอยมบาลมาแล้ว เป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้าน และพี่สาวลูกเรียงพี่เรียงน้องอีกหนึ่งคนที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว เธอโตมาพร้อมกับเสียงนินทาพี่สาวที่ใจแตก กอปรกับแม่และป้าไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ ทำให้สุคนธวาทำทุกอย่างเพื่อจะถีบตัวเองขึ้นเพื่ออนาคตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

            และนั่นทำให้สุคนธวากลายเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนและเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก เธอสอบชิงทุนได้มากมาย จนกระทั่งถึงวันที่เป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่

            เธอและแม่ให้ความช่วยเหลือสาวแปลกหน้าลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ มยุรฉัตร ยามากูชิ ที่มาลงหลักปักฐานเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ในตัวจังหวัด ไม่ไกลจากย่านหอพักใกล้กับโรงเรียนของสุคนธวา เธอชอบสาวรุ่นพี่คนนั้นทันทีที่เห็น แม้ว่ามยุรฉัตรจะดูลึกลับไปหน่อย แต่ก็ช่วยให้เธอฝึกพูดและใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องจนกระทั่งสอบชิงทุนไปแลกเปลี่ยนได้ แต่ใครเลยจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน ชีวิตเธอจะต้องเปลี่ยนไปเมื่อมีใครบางคนเดินเข้ามา...

            เช้าวันหนึ่งสุคนธวาในวัยมัธยมศึกษาปีที่หกตื่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า เหตุเพราะเมื่อคืนแทบจะนอนไม่หลับ เนื่องจากได้ยินเสียงปืนดังขึ้นถึงสองนัด บริเวณนี้ไม่เคยมีเรื่องถึงขั้นยิงกันมาก่อน เล่นเอาขวัญผวาไปตามๆ กัน อยากรู้ก็อยากรู้ แต่ความกลัวมีมากกว่า เลยไม่มีใครเป็นหน่วยกล้าตายลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

            ดังนั้นเมื่อเลิกเรียนแล้วสุคนธวาจึงรีบกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อเชิ้ตพอดีตัวกับกางเกงขาสั้น หอบการบ้านใส่กระเป๋าเป้นักเรียนแล้วรีบวิ่งไปที่ร้านของมยุรฉัตร เธออยากจะลงไปถามเสียหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น และถือโอกาสกินข้าวเย็นด้วยเลยก็ดี เพราะเบื่อที่จะต้องไปกับเพื่อนร่วมห้องที่หน้าหงิกเหมือนม้าหมากรุกของเธอแล้วเช่นกัน

            ‘พี่ยูริคะ...’ เด็กสาวร้องเสียงใสแล้วเยี่ยมหน้าผ่านประตูร้านเข้าไป ช่างน่าแปลกที่มยุรฉัตรไม่ได้ล็อกประตู และร้านก็อยู่ในสภาพที่ไม่ได้พร้อมเปิดเลยด้วยซ้ำ

            ‘พี่ยูริ’ สุคนธวารู้สึกไม่ค่อยดีเสียแล้ว

            ร้านของมยุรฉัตรเงียบเกินไป บรรยากาศวังเวงเหมือนไม่มีใครอยู่แบบนี้ทำให้เด็กสาวเริ่มใจคอไม่ดี มือน้อยรีบกระชับสายสะพายเป้นักเรียนของตนเองแน่น แล้วค่อยๆ เดินย่องไปตามห้องต่างๆ ของมยุรฉัตร กลัวก็กลัว แต่ก็เป็นห่วงพี่สาวที่เธอนับถือด้วย เด็กสาวเริ่มคิดไปต่างๆ นานาว่าเสียงปืนที่ดังขึ้นเมื่อคืนนั้นทำอันตรายมยุรฉัตรหรือไม่ เหตุใดสภาพร้านจึงเป็นเช่นนี้

            เด็กสาวเข้ามาจนถึงห้องนอนด้วยใจระทึก เธอเคยนอนค้างกับมยุรฉัตรหลายครั้งจึงรู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน มือเล็กบิดลูกบิดประตูเข้าไปแล้วก็พบว่ามันไม่ได้ล็อก หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ก็ตัดสินใจเปิดเข้าไปทันที

            ‘กรี๊ด!’ สุคนธวากรีดร้องสุดเสียง แต่แล้วเสียงกรีดร้องของเธอก็หยุดลงแค่นั้น เมื่อริมฝีปากสีสมพูสวยสมวัยถูกปิดไว้โดยอุ้งมือหนาของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เห็นหน้า เพราะเขายืนซ้อนหลังเธออยู่ ตัวเขาสูงมากและแรงเยอะเหลือเกิน ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามากอบกุมหัวใจของเด็กสาวเสีย ยิ่งเขาไม่ยอมปล่อย คนตัวเล็กก็ยิ่งดิ้น สู้ยิบตาทีเดียว

            ‘ปล่อยนะ! ปล่อย! ปล่อย!’ คนตัวเล็กกัดลงบนมือหนาของเขา ทั้งดิ้นทั้งร้องหวังจะหลุดออกจากอ้อมกอดรัดรึง ทว่าก็ไม่เป็นผล เขายิ่งกอดร่างแบบบางของเธอแน่น จนเธอไม่อาจขยับได้อีกแล้ว

            ‘ปล่อยนะไอ้โรคจิต!’ เด็กสาวตวาดแหว น้ำตาเจียนจะไหลออกมาอยู่แล้ว กลัวก็กลัว เจ็บใจก็เจ็บใจ นายยักษ์คนนี้เป็นใคร กล้าดีอย่างไรมากอดเธอ

            ‘เธอพูดอะไรของเธอ’ เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงถูกต้องชัดเจน

            ‘คุณเป็นใครเนี่ย’

            ‘ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าเธอเป็นใครกันแน่’

            ‘คุณต่างหากที่ต้องตอบฉัน คุณมาบุกรุกบ้านคนอื่นนะ...พี่ยูริไปไหน’

            ‘เธอเป็นน้องสาวของยูริหรือ’

            ‘ใช่’ สุคนธวาตอบ ดิ้นรนจนหลุดออกจากอ้อมแขนของเขา แล้วพลิกตัวกลับไปมองคนที่บังอาจกอดเธอให้ชัดแก่สายตา และนั่นก็ทำให้เด็กสาวถึงกับตะลึงไปทันที

            ผู้ชายตรงหน้าของเธอตัวสูงมาก ผมสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับดวงตาของเขา คิ้วเข้มพาดอยู่เหนือดวงตาคู่คมกริบล้ำลึก ที่กำลังจ้องมองไปทั่วทั้งร่างของเธอตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า

            ‘นี่! มองอะไรของคุณน่ะ’ เด็กสาวแหวเสียงแหลม รีบกุมคอเสื้อของตัวเองทันที เพราะตอนที่ดิ้นรนเมื่อครู่นี้ทำให้กระดุมเสื้อเม็ดบนหลุดไป

            ‘เธอบอกว่าเป็นน้องสาวของมยุรฉัตรหรือ’ หนุ่มหน้าเข้มกำลังทบทวนความจำและข้อมูลที่ได้รับ เด็กสาวคนนี้มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเด็กสาวที่อยู่กับมยุรฉัตร ตามประวัติที่เขาคัดลอกข้อมูลมาจากคอมพิวเตอร์ของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนหนึ่งบอกว่า ชื่อนางสาวสุคนธวาแน่นอน แต่ไม่คิดว่าตัวจริงจะดูเด็กกว่าในรูปขนาดนี้

            ‘นี่อย่ามามองฉันอย่างนี้นะ’

            ‘พี่สาวเธอหายไปไหน’

            ‘ไม่รู้...ฉันก็จะมาหาพี่ยูริเหมือนกัน เมื่อคืนมีเสียงปืนด้วยตอนพี่ยูริกำลังดินเนอร์กับคุณไทร์’ เธอหมายถึง ธีรวัฒน์ แมคอีเซอร์ หนุ่มลูกครึ่งท่าทางลึกลับพอๆ กับมยุรฉัตรที่หลังๆ เริ่มสนิทกับเธอไปด้วย

            ‘แล้วเพื่อนฉันไปไหน’

            ‘เพื่อนใคร’ ดวงตาคู่โตหรี่ลงด้วยความงุนงง

            ‘พี่สาวเธอพาเพื่อนฉันไปไว้ที่ไหน แล้วที่เธอบอกว่ามีเสียงปืน หมายความว่ายังไง’

            ‘เดี๋ยวๆ’ สุคนธวายกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงห้ามปราม ‘คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าคุณหมายถึงใคร แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ฉันงงไปหมดแล้ว’

            ‘ไม่ต้องมาทำไขสือเลยนางโจรน้อย บอกมาว่าพี่สาวเธอพาเพื่อนฉันไปไหน!’

            ‘นางโจรเหรอ’ คนถูกกล่าวหาปรี๊ดแตก เขาบ้าหรือเมาถึงไม่ดูไม่ออกว่าเธอเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย หน้าตาของเธอดูเหมือนโจรมากขนาดนั้นเลยหรือ คนที่สอบชิงทุนได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาคนแรกของโรงเรียนเนี่ยนะ

            ‘ใช่ ก็เธอเป็นลูกน้องโจรนี่’

            ‘ไอ้ฝรั่งบ้า!’ สุคนธวาแหวเข้าให้แล้วเดินออกไปทันที ขืนอยู่ที่นี่นานเกินไปเธอได้เป็นบ้าจริงๆ แน่ ผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นคนสติวิปลาส มองยังไงว่าเธอเป็นโจร ประสาทเขาต้องไม่ดีแน่ๆ

            เด็กสาวยังเดินไม่ทันพ้นหน้าประตูห้องเลยด้วยซ้ำ ร่างเล็กบอบบางก็มีอันต้องปลิวหวือเข้ามาปะทะแผงอกแข็งแกร่งของชายในชุดสูทดูดีอีกครั้ง

            ‘ปล่อยนะไอ้คนบ้า! ถ้าไม่ปล่อยฉันจะร้องให้ตำรวจมาลากคอคุณเข้าคุก’

            ‘เธอต่างหากที่ต้องเข้าคุก สมุนโจรตัวน้อย บอกมาว่านางโจรลูกพี่ของเธออยู่ที่ไหน ของของฉันน่ะอยู่ที่ไหน แล้วเอาเพื่อนของฉันไปไว้ที่ไหน!’

            ‘ฉันไม่รู้’

            ‘อ้อ...ปากแข็งซะด้วย’ ชายหนุ่มปริศนาหัวเราะเสียงเหี้ยม จนเด็กสาวคนเก่งเริ่มใจคอไม่ดี กลัวว่าผู้ชายประสาทคนนี้จะทำร้ายเธอ

            ‘ปล่อยฉันได้แล้ว ฉันต้องรีบไปเรียนพิเศษต่อ’

            ‘ไม่ต้อง!’ เสียงตวาดปานฟ้าผ่าทำให้เด็กสาวสะดุ้งทั้งตัว

            ‘ปล่อยฉันนะ! ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ นะ’

            ‘เดรโก พาสมุนโจรตัวน้อยที่นี่กลับที่พักของฉัน อย่าให้ใครเห็นด้วยล่ะ’

            คำสั่งเสียงเย็นของชายหนุ่มทำให้สมุนโจรตัวน้อยถึงกับตาโตขึ้นมาทันที เขาจะลักพาตัวเธออย่างนั้นหรือ!

            ฝันไปเถอะ! สุคนธวาทั้งดิ้นทั้งร้องเสียจนชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด เขาไม่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อฟังเด็กคนนี้อาละวาดใส่ แต่เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อพบเพื่อนสนิท และทวงของที่เป็นของเขาคืนต่างหาก

            ‘หยุดได้แล้ว!’

            ‘ไม่หยุด ฉันจะร้องให้คุณหูแตกไปเลย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!’ เด็กสาวตวาดเสียงดังลั่น จนอีกฝ่ายถึงกับขี้หูเต้นระบำทีเดียว ถ้าเธอตะโกนใส่เขาอีกครั้ง มีหวังได้หูดับแน่นอน

            ‘บอกให้หยุดไง’

            ‘ไม่หยุด ปล่อยฉันนะ!’ เสียงแว้ดๆ เมื่อครู่หยุดลงทันทีเมื่ออีกฝ่ายเลือกจะปิดปากสวยๆ ของสุคนธวาด้วยวิธีของเขา

            ในเมื่อเด็กมันยั่วก็จูบประสานรับแรงยั่วเสียเลย ชายหนุ่มประกบริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็ว จนเด็กสาวถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้มาก่อน นี่มันจูบแรกของเธอนะ!

            หัวใจสุคนธวาเต้นรัว สมองหมุนคว้าง ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะลงเอยแบบนี้ สติของเด็กสาวคนเก่งเริ่มพร่าเลือนเมื่อเขาเริ่มรุกล้ำเข้ามาหาความหอมหวาน แค่นั้นสติของเธอก็หลุดลอยสิ้นฤทธิ์คาอ้อมแขนแข็งแรงทันที

            ...

            แรงดิ้นของอเล็กซานโดรทำให้หญิงสาวสะดุ้ง ดึงตัวเองออกจากความทรงจำครั้งแรกที่ได้พบกับเชสก์ ความอ่อนต่อโลกทำให้เธอเริ่มหวั่นไหว ความทะเยอทะยานอยากหลุดพ้นจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ทำให้เธอมาไกลถึงที่นี่ จากนักเรียนแลกเปลี่ยนก้าวหน้ามาเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิเอกชนแห่งหนึ่ง ทุกอย่างเริ่มจากการได้พบเจอกับ เชสก์ อะลอนโซ และความฝันอันแสนหวานทั้งหมดก็จบลงที่เชสก์ อะลอนโซ เช่นกัน...

            หญิงสาวเบนสายตากลับมายังอเล็กซานโดรแล้วหลับตาลงกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล จากนั้นจึงจับมือเด็กชายไว้ราวกับจะยึดเป็นที่พึ่ง และเตือนใจตัวเองไม่ให้หวั่นไหวและกลับไปยืน ณ จุดเดิมอีก เตือนใจตัวเองไว้ว่าต่อไปเธอจะทำตามใจไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อเธอยังมีเล็กซานโดรอีกคน เธอจะจมอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เธอต้องก้าวต่อไปให้หลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้เสียที

ศศินาเดินกลับเข้าไปในบ้านนานแล้ว แต่เชสก์ยังดื่มอยู่คนเดียวเงียบๆ ที่ระเบียงริมทะเล ตาของเขาทอดมองไปไกล ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นแล้วติดต่อหา ‘ตัวช่วย’

            “ว่าไงที่ร้าก...” น้ำเสียงกวนประสาทของ ราม รามิเรซ ทำให้คนฟังหัวเสียเล็กน้อย จะนานแค่ไหนรามก็เล่นไม่รู้เวล่ำเวลาเสียที

            “มีเรื่องให้นายช่วยว่ะ”

            “เพิ่งใช้ไปขุดคุ้ยข้อมูลศศินามาเนี่ยนะ ใจคอจะไม่ให้ฉันพักเลยหรือไง”

            “หรือนายอยากให้ฉันแฉนาย” เชสก์ขู่อย่างที่รามเคยขู่เขาบ้าง เพราะรู้เสมอว่าเขาแฉรามได้แน่

            “นายแฉ ฉันก็แฉนายกลับ เอาสิ...น่าสนุก” ปลายสายยังหัวเราะรื่นแล้วถามต่อไปว่า “ว่ายังไง จะให้ฉันทำอะไร”

            “‘พรรคพวกนาย’ ไม่ได้ดักฟังเราคุยกันใช่ไหม” ซีอีโอหนุ่มถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ

            “ฉันจะฆ่าตัวตายทำไมวะ” เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มหัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วถามเข้าเรื่อง “ว่าไง จะให้ทำอะไร”

            “มีสองเรื่อง หนึ่งคือทำเอกสารให้ศศินาใหม่ ใช้ชื่อใหม่ด้วย”

            “ได้สิ” รามรับปาก “แล้วสองล่ะ”

            “นอกจากเรื่องของพวกเงาแล้ว นายต้องตามสืบเรื่อง ‘ภาคี’”

            “ภาคีอะไรวะ”

            “ฉันก็ไม่รู้ จัดการด้วยแล้วกัน ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานหางมันต้องโผล่แน่ เพราะพวกมันนี่แหละที่ส่งคนมาเล่นงานฉัน” เชสก์เลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อศศินา เพราะตั้งใจแล้วว่าต่อไปนี้เขาจะดูแลเธอ จะเป็นคนฉุดเธอให้พ้นจากคนพวกนั้นด้วยตัวเอง

            “แล้วจะให้ผู้หญิงคนนั้นใช้ชื่ออะไร”

            หนุ่มลูกครึ่งสเปนเงียบไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยชื่อเดิมของหญิงสาวอย่างมั่นใจ “ลบประวัติสองแม่ลูกให้หมด ให้ใช้ชื่อ สุคนธวา อะลอนโซ ส่วนเด็กนั่นก็ให้ใช้ชื่อ อเล็กซานโดร อะลอนโซ ได้เลย”

            “แหม...ให้ใช้นามสกุลตัวเองเสียด้วย” รามลากเสียงแล้วหัวเราะลั่น “ถามจริงเถอะวะ เธอยอมใช้นามสกุลนายหรือ”

            “ยอมไม่ยอมก็ต้องใช้”

            “ใช่คนที่นายเคยพรากผู้เยาว์ไว้จริงๆ สินะ” เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มยังเล่นไม่เลิก จนเชสก์ชักเริ่มรำคาญ

            “ไม่ต้องถามมาก ทำตามที่ขอก็พอ พรุ่งนี้ฉันจะออกจากมาลิบู หวังว่ากลับไปถึงฉันจะได้เอกสารชุดใหม่ของสุคนธวา เข้าใจไหม”

            “สั่งอย่างกับฉันเป็นทาส” คนกะล่อนบ่นอุบ แต่ก็รับปากแต่โดยดี “เออๆ เดี๋ยวส่งให้ถึงเตียงนายเลยไหม”

            เชสก์ตัดสายทิ้งทันทีเพราะรำคาญเสียงกวนประสาทของรามเต็มแก่ แล้วจึงเดินกลับเข้ามาในห้องนอน สิ่งแรกที่เห็นคือภาพสองแม่ลูกที่นอนกอดกัน ลูกชายตัวแสบนอนแผ่หลา แขนขาพาดไปตามตัวแม่ แต่แม่เด็กนี่สิ...
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น