7

บทที่ 7



 

หญิงสาวร่างเล็กบอบบางสำรวจความเรียบร้อยอยู่ตรงหน้ากระจกในห้องแต่งตัวของ เชสก์ อะลอนโซ แล้วจึงเดินทอดน่องเชื่องช้าเหมือนคนไร้วิญญาณลงลิฟต์ไปหาเขาที่ห้องทำงานตามคำสั่งที่ได้รับ ทั้งที่ไม่อยากไปเลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวาน และการที่เธอหายออกจากงานไปทันทีทำให้ทุกคนต้องรู้แล้วว่าเธอนี่ละตัวการของเรื่องทั้งหมด แต่กลับมาลอยหน้าลอยตาอยู่ในสำนักงานได้ ทั้งยังอยู่กับเชสก์ตลอดทั้งคืน แค่นี้ก็มากพอแล้วที่จะตอกย้ำข้อสงสัยของทุกคน แล้วเธอจะทนสายตาของเพื่อนร่วมงานได้อย่างไร

            เสียงระบบปฏิบัติการนานาเตือนว่าถึงชั้นทำงานของเชสก์แล้ว นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวคอตก เธอไม่อยากออกไปสักนิด แม้ว่าประตูลิฟต์จะเปิดแล้วก็ตาม จนเดรโกต้องเดินมาตาม

            “เชิญครับคุณผักหวาน” แม้แต่เดรโกก็พลอยเรียกชื่อเดิมของเธอตามเชสก์ไปแล้ว

            “คุณรู้มานานแค่ไหนคะ”

            “พอๆ กับคุณเชสก์ครับ” บอดีการ์ดหนุ่มเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “คุณเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่แค่มองปราดเดียวก็จำได้”

            “เขาก็คงจำได้ตั้งแต่แรกใช่ไหมคะ”

            “ครับ” บอดีการ์ดหนุ่มหน้าเข้มพยักหน้า “เข้าไปเถอะครับ คุณเชสก์รอนานแล้ว” เดรโกบอกพลางเปิดประตูให้

            “ขอบคุณค่ะเดรโก”

            หญิงสาวยิ้มสุภาพแล้วจึงเดินผ่านหน้าเดรโกเข้าไปในห้องทำงานของเชสก์ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าผู้บริหารหนุ่มไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในห้องทำงานของเขาด้วย และเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ทำให้เรื่องทั้งหมดดำเนินมาถึงจุดนี้

            แคทเธอรีน เรแกน...

            ศศินาหลบสายตาทันทีที่เห็นสาวสวยคนนั้นลุกขึ้นและเดินสวนเธอมา แต่ช่วงที่แคทเธอรีนเดินผ่านไป เธอมั่นใจว่าได้ยินสาวคนนั้นหัวเราะด้วย

            “มาแล้วหรือ” เชสก์ถามเสียงเข้ม ไม่มีร่องรอยไม่พอใจอีก ดูแล้วเขาพอใจมากกว่าที่สุดท้ายแล้วศศินาก็ต้องพึ่งพาเขา

            “ฉันอยากไปหาลูกแล้ว”

            “ฉันรู้” เชสก์ตอบพลางก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วพูดต่อไปว่า “แต่ฉันมีนัดประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับบริษัทพี่ชายฉัน อีกสองชั่วโมงเราถึงจะเดินทาง”

            “ฉันไปก่อนก็ได้ค่ะ”
            “ไม่ได้หรอก” เชสก์ส่ายหน้าทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิด “ฉันยังมีเวลาก่อนประชุม เรามาคุยกันหน่อยไหมผักหวาน”

            “ก็ได้ค่ะ” มาถึงตรงนี้แล้วเธอก็คงทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากทำตามที่เขาสั่ง

            ศศินาก้าวไปนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเขาโดยมีโต๊ะทำงานคั่นกลาง ทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอีกนิด...แค่นิดเดียวจริงๆ

            “ทำไมถึงเปลี่ยนชื่อ” เจ้าของเสียงเข้มถาม ใช้สายตาดุๆ ตรึงหญิงสาวตรงหน้าให้สบตากับเขา ซึ่งคราวนี้ศศินาไม่หลบสายตาไปไหน พอเขาจ้องเธอ เธอก็จ้องเขากลับเช่นกัน

            “สุคนธวามาจากคำว่าสุคนธวารี ที่แปลว่า น้ำหอมหรือเครื่องหอมค่ะ ชื่อดี ความหมายดี แต่คงไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่”

            “ทำไม”

            “คนแบบฉันคงไม่ใช่เครื่องหอม ดอกไม้หอมๆ ที่ไหนแล้วละค่ะ ยิ่งมีลูกอีกหนึ่งคน...”

            “อเล็กซ์เป็นลูกใคร” เชสก์ถามสิ่งที่สงสัยทันทีโดยไม่รอให้ศศินาพูดจบ

            “ลูกฉันกับสามีฉันค่ะ สบายใจได้...เขาไม่ใช่ลูกคุณ”

            เชสก์มองด้วยตาคมกริบราวกับต้องการให้เห็นถึงก้นบึ้งของจิตใจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ศศินาคงนึกหวั่น แต่เมื่อมาถึงตรงนี้เธอไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว เหลือแค่ชีวิตเธอและลูกเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการรักษาไว้ให้ดีที่สุด ทั้งจากพรรคพวกของอับราฮัมและจาก...เชสก์

            “แน่ใจนะว่าไม่ใช่ลูกฉัน ในเมื่อเราสองคนก็เคยใช้เวลาด้วยกัน นับแล้วก็เท่าอายุอเล็กซ์พอดี”

            “จะรับผิดชอบหรือคะ” ศศินาย้อนถาม เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าเชสก์นิ่งไป “เห็นไหม...คุณยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าอเล็กซ์ใช่ลูกคุณหรือเปล่า ดังนั้นอย่าพยายามถามฉันอีกเลยค่ะ”

            “เธอจะบอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

            “อย่ารู้เลยค่ะ” สาวร่างเล็กยิ้มเย้ยหยัน “มันสายไปแล้ว รู้ไปก็เท่านั้น เราย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้นี่คะ ยกเว้นแต่ถ้าคุณผลิตไทม์แมชีนได้”

            “แต่เราก็แก้ไขปัจจุบันได้นี่”

            “อย่าสนใจฉันเลย...รีบไปทำงานเถอะค่ะ ฉันอยากไปรับลูกแล้ว” เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวบอกปัด เธอละสายตาจากเขาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว

            “ฉันขอถามคำถามสุดท้าย”

            “คะ?” คิ้วสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย รอฟังว่าเชสก์จะพูดอะไรต่อ

            “ต่อไปนี้ฉันควรเรียกเธอว่าอะไร ผักหวาน หรือว่า...”

            “เรียกฉันว่าเอสเหมือนคนอื่นๆ เถอะค่ะ เพราะฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว” เจ้าของเสียงหวานตอบแล้วลุกขึ้น ดวงตากลมโตเหลือบมองภาพคอลัมน์สัมภาษณ์ในนิตยสาร ภาพของ เชสก์ อะลอนโซ และ แคทเธอรีน เรแกน ที่ให้สัมภาษณ์ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทั้งยังเหมาะสมกันมาก และเธอก็ตาไวพอที่จะเห็นหัวข้อว่าทั้งคู่เคยเดตและพบรักกันเมื่อห้าปีก่อน ก่อนจะยุติความสัมพันธ์ลงเหลือเพียงแค่ความเป็นเพื่อนในอีกสามปีต่อมา แต่สามปีก็ถือว่ายาวนานสำหรับคนอย่าง เชสก์ อะลอนโซ แล้ว เพราะกับเธอ...ผ่านไปแค่ปีกว่าๆ เท่านั้น

            แคทเธอรีน เรแกน...

            ศศินาเหยียดยิ้มเล็กน้อยขณะเบนสายตากลับมาที่เชสก์ แล้วเธอก็เดินไปนั่งรอที่มุมอ่านหนังสือในห้องทำงาน และไม่สนใจเชสก์อีกเลย

การประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับอัลเบอร์โตใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิดไว้แต่แรก เพราะตอนนี้สองพี่น้องอะลอนโซต้องทำแค่ ‘งานหลัก’ ไปก่อน ระหว่างรอรามและวูล์ฟกลบ ‘ร่องรอย’ เส้นทางทางการเงินให้มิดชิด ก่อนที่ศัตรูหรือหน่วยงานไหนจะตรวจสอบได้ ดังนั้นสิ่งที่ประชุมกันจึงเป็นเรื่องส่งงานผลิตของฟรานซิสโก อินดัสตรีส์มาให้เชสก์ใช้สำหรับแผนงานชิ้นใหม่ก็เท่านั้น เมื่อเสร็จงานแล้วเชสก์จึงพาศศินามาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่ดาดฟ้าอะลอนโซ ทาวเวอร์ เพื่อเดินทางไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่สนามบินเจเอฟเคอีกที

            ตลอดเวลานับตั้งแต่เครื่องบินขึ้นจนตอนนี้ก็ร่วมสามชั่วโมงแล้ว แต่ศศินาก็ยังเอาแต่นั่งนิ่ง หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่าง มองมวลเมฆรูปทรงต่างๆ นานาที่เคลื่อนผ่าน บ้างก็ก้มลงมาอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้สลับอยู่อย่างนั้น ทั้งที่นั่งข้างกันใกล้แค่นี้ แต่เธอก็ไม่หันมาหาเชสก์เลยแม้แต่น้อย

            ชายหนุ่มลอบมองเสี้ยวหน้าหวานละมุนของสาวข้างตัว เขายังจำตอนที่คุยกับเธอในห้องทำงานได้ ศศินาพูดเหมือนไม่รู้สึกรู้สาเลยก็จริง แต่ดวงตาหวานปนเศร้าคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอพยายามปกปิดมันแล้ว แต่เขาก็ยังมองออก ไหนจะตอนที่เธอมองภาพข่าวของเขากับแคทเธอรีนนั่นก็อีก

            ระหว่างเขากับเธอมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ๆ เธอถึงหายไปจากชีวิตเขา แรกๆ ก็เสียหน้าเล็กน้อย ใครจะคิดว่าซีอีโอหนุ่มที่มีสาวๆ พร้อมใจมาให้เลือกอย่าง เชสก์ อะลอนโซ จะถูกนักเรียนทุนธรรมดาๆ คนหนึ่งทิ้งไป ความหยิ่งในศักดิ์ศรีทำให้เขาปล่อยเวลาผ่านไป จนกระทั่งมยุรฉัตรมาทำงานกับเขานั่นละ เขาจึงลองเลียบๆ เคียงๆ ถาม และเริ่มค้นหาเธออย่างจริงจัง แต่ทุกอย่างก็สายไปแล้ว ข่าวคราวของสุคนธวาหายเงียบไปราวกับว่าเธอไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

             เวลาผ่านไปนานหลายปี เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมากมาย แต่อยู่ๆ เธอก็กลับมาอีกครั้งในฐานะที่ต่างออกไป ลึกลับกว่าเดิม ทั้งยังมีลูกติดอีกด้วย

            ไม่มีสุคนธวา เด็กสาวผู้ร่าเริงยิ้มง่ายอีกแล้ว เหลือแต่ ‘ศศินา’ หญิงสาวที่ไม่มีประวัติไม่มีตัวตนบนโลก ใบหน้าที่เคยอ่อนใสน่ารักกลายเป็นเรียบเฉยเคร่งขรึม นัยน์ตาหวานโศก ไม่มีรอยยิ้มร่าเริงเหมือนก่อนแล้ว บุคลิกของเธอเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เยือกเย็นขึ้นอย่างคนที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย ทั้งที่เธออายุยี่สิบสามปีเท่านั้น

            ไหนจะเรื่องลูกก็อีก ศศินายืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอเล็กซานโดรไม่ใช่ลูกเขา แต่เชสก์ไม่เชื่อจนกว่าจะเห็นเด็กตัวเป็นๆ กับตาตัวเอง

            เสียงเตือนข้อความจากระบบปฏิบัติการนานาทำให้เชสก์ได้สติ ศศินาหันมามองเขาแวบหนึ่งก็เบนสายตากลับไปที่หน้าต่างดังเดิม คล้ายว่าเขาเป็นแค่อากาศธาตุไร้ตัวตนสำหรับเธอ

            นักธุรกิจหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ แล้วก้มลงสนใจข้อความจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แลปทอป ก็ปรากฏเป็นอีเมลจาก ราม รามิเรซ

            ไม่มีประวัติของ ศศินา สไนเดอร์ เหมือนอย่างที่เชสก์ลองเสี่ยงดึงข้อมูลเมตาดาตาออกมาจากโปรแกรมต้องห้าม แต่ที่รามหามาได้มากกว่าเขา คือศศินาเพิ่งออกจากบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในซิลิกอน วัลเลย์ เพราะจารกรรมข้อมูลของบริษัทนั้น!

            เชสก์หันกลับมามองสาวร่างเล็ก แต่ฝีมือไม่เล็กตามตัวด้วยสายตาทึ่งเล็กน้อย เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าประวัติของศศินาที่ได้มา เป็นของจริงหรือไม่ ในประวัติระบุว่าเรียนไม่จบ แต่ถ้าเรียนไม่จบจริงทำไมมีฝีมือมากพอที่จะเล่นงานบริษัทใหญ่ๆ ในซิลิกอน วัลเลย์ได้

            “มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามเสียงเรียบเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมองนานเกินไปแล้ว

            “ไม่มี” เขาบอกปัด เพราะรู้ว่าไม่ว่าจะเพียรถามอย่างไรก็จะไม่มีวันได้คำตอบจากปากศศินาแน่นอน

            ศศินาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร เธอใช้ปลายนิ้วเรียวเล็กดันกรอบแว่นสายตาให้เข้าที่แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง จากนั้นจึงหลับตาลง และตลอดเวลาที่เดินทางไปด้วยกัน แม้จะนั่งห่างกันแค่เอื้อมมือถึง แต่เธอก็ไม่สนใจเชสก์อีกเลย

            เชสก์มีบ้านพักตากอากาศริมชายหาดมาลิบูที่เช่าไว้ และให้คนของเขาพาเด็กมาพักที่นี่ ทันทีที่ลงจากเครื่องบินและขึ้นรถมาถึงบ้าน เชสก์ก็ลอบสังเกตอากัปกิริยาของสาวข้างตัวตลอด จากแรกๆ ที่ยังทำเฉย แต่เมื่อยิ่งเข้าใกล้ที่หมายมากเท่าไร เธอก็ยิ่งร้อนรนมากขึ้นเท่านั้น

            บีชเฮาส์ของเชสก์สร้างสไตล์โมเดิร์นที่เน้นโครงสร้างเหล็กและไม้ ด้านที่หันหน้าเข้าหาชายหาดมาลิบูกรุด้วยกระจกทั้งหมด ทั้งยังมีสระว่ายน้ำและบริเวณอาบแดดส่วนตัวอีกด้วย

            แต่ศศินาไม่สนบ้านนี้เลยแม้แต่น้อย

            “เดี๋ยวสิผักหวาน...” นักธุรกิจหนุ่มเรียก แต่ไม่ทันเสียแล้ว

            ทันทีที่รถของเชสก์จอดสนิท หญิงสาวก็ก้าวลงไปโดยไม่รอชายหนุ่มข้างตัวเลย ไม่รอให้คนของเขาเปิดประตูให้ด้วย เพราะใจห่วงลูกชายที่อยู่ในบ้านนั้น ตลอดเวลาที่เดินทางมาด้วยกันและเชสก์ได้รับรายงานเป็นระยะๆ ว่าอเล็กซ์ซานโดรไม่ยอมพูด ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอนเพราะกลัว หัวใจเธอก็ปวดหนึบราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดอย่างรุนแรง

            หญิงสาวร่างเล็กก้าวเข้าไปในบ้านแล้วเริ่มมองซ้ายมองขวา แต่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้ชายสวมสูทสีดำเต็มไปหมด ไม่เห็นเด็กชายเลย

            “อเล็กซ์” ศศินาใจคอไม่ดี เธอเรียกร้องชื่อลูก แต่ก็ยังไม่เห็นแม้เงา ทำให้เธอเริ่มร้อนรนจนเดินพล่านไปทั่วบ้าน

            “ทางนี้ครับ” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำคนหนึ่งบอกทาง ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นคนของเชสก์ จะเป็นมือปืนหรือบอดีการ์ดแบบเดรโกก็ช่าง ศศินาไม่สนแล้ว เธอเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านหน้าสุดและเป็นห้องที่กรุกระจกทั้งสามด้านจนเหมือนกับว่าถูกล้อมไว้ด้วยน้ำทะเลทั้งหมด โดยมีเชสก์ เดรโก และคนอื่นเดินตามมาติดๆ

            “อเล็กซ์”

เสียงคุ้นที่ได้ยินมาตลอดนับตั้งแต่จำความได้ทำให้เด็กชายยอมหันกลับมาหา พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้น ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มก็วาววับไปด้วยน้ำตา ไม่นานมันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก

            “มามี้!” เด็กชายเสียงใสร้องลั่นแล้วลุกขึ้นวิ่งเข้ามาหามารดา พร้อมๆ กับที่ศศินานั่งลงกางแขนรับร่างเล็กๆ กลมๆ ที่พุ่งเข้ามากอด

            ภาพที่เห็นทำให้เชสก์ตะลึงจนพูดไม่ออก เขายืนนิ่ง ชาไปทั้งตัวราวกับถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่ ได้แต่มองศศินากอดและลูบศีรษะเด็กชายอย่างรักใคร่

            ลูกใคร...ใช่ลูกเขาหรือไม่ หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่เธอหายไปจากชีวิตเขา

            ชายหนุ่มมองสองแม่ลูกที่กอดกันแน่น พร้อมๆ กับที่ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ

            “มามี้หายไปไหนตั้งนาน” เจ้าตัวเล็กถามเจือสะอื้น พยายามสูดลมหายใจลึกๆ ใช้สองมือปาดน้ำตาทิ้งแต่สองไหล่สะท้านไหวตามแรงสะอื้นของเด็กน้อย

            คนเป็นแม่มองปราดเดียวก็รู้ว่าลูกกลัวและเสียขวัญเพียงไร แม้ศศินาเคยสอนลูกไว้ว่าลูกผู้ชายห้ามร้องไห้ สอนให้เข้มแข็งมาตลอด แต่อย่างไรเสียอเล็กซานโดรก็เป็นแค่เด็กอายุแค่สี่ขวบเท่านั้น และคนของเชสก์แต่ละคนก็หน้าตาน่ามองที่ไหน ไม่แปลกเลยที่อเล็กซานโดรจะกลัวจนไม่ยอมกินไม่ยอมนอนแบบนี้

            คิดแล้วก็ได้แต่โทษตัวเองที่ทำให้ลูกต้องเดือดร้อน หญิงสาวน้ำตาไหล เห็นลูกกลัวลูกเจ็บ ใจของเธอยิ่งเจ็บกว่า

            “มามี้มาทำงานไงครับ” เธอกอดลูกชายไว้แน่นแล้วลูบแผ่นหลังเล็กที่สะท้านไหวเบาๆ เมื่อลูกพยายามที่จะเข้มแข็งถึงเพียงนี้แล้ว เธอจะอ่อนแอได้อย่างไร คิดแล้วก็หลับตาลงกลั้นน้ำตาไว้ แล้วจูบลงบนเรือนผมยุ่งๆ ของเด็กชายเบาๆ

            “ทำไมลูกไม่กินข้าว”

            “ผม...” อเล็กซานโดรปรายตามอง ‘ผู้คุม’ ด้วยสีหน้าแววตาหวาดๆ แล้วหันมากอดแม่แน่นราวกับต้องการแม่เป็นเกราะกำบัง

            “กลัวหรือลูก”

            “ผมไม่กลัวฮะ แต่ผมรอกินข้าวพร้อมมามี้” เด็กน้อยส่ายหน้ารัว อาการเหมือนกลัวถูกดุมากกว่าจะบอกว่าไม่กลัวจริงๆ

            ยิ่งเห็นท่าทางของลูก ศศินาก็ยิ่งใจหาย อเล็กซานโดรยังเด็กมากแต่ต้องทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ ทั้งหมดเพราะเธอผิดเองที่เลี้ยงลูกให้พึ่งตัวเองมากจนเป็นอย่างทุกวันนี้

            หญิงสาวกอดเด็กน้อยไว้แน่นแล้วโยกตัวไปมา สองมือลูบหลังเล็กไม่ขาด หวังชดเชยความอบอุ่นที่เธอควรมีให้ลูก แต่ก็ติดที่ ‘งาน’ ที่ทำให้เธอต้องห่างกับอเล็กซานโดรมาเป็นครึ่งเดือนแล้ว

            “แม่สอนอเล็กซ์ว่ายังไงบ้าง แม่เคยบอกไม่ให้อเล็กซ์โกหกแม่ใช่ไหม”

            “แต่...”

            “อยู่กับแม่ อเล็กซ์กลัวได้ ร้องไห้กับแม่ได้เสมอ เพราะแม่จะอยู่กับลูกตลอดไป อยู่ข้างลูกแบบนี้...” ศศินาจับมือเล็กๆ ข้างหนึ่งไว้แล้วสอดนิ้วประสานเป็นหนึ่งเดียวกับลูกชาย “เห็นไหมว่าแม่อยู่กับอเล็กซ์เสมอ”

            “มามี้...” ใบหน้ากลมแป้นของเด็กชายที่พยายามฝืนยิ้มมานานค่อยๆ สลดลงทีละน้อย เด็กชายเบะปาก น้ำตาหยดแหมะ แล้วร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ

            “ผมกลัวฮะมามี้ คนเลวพวกนี้พาผมมา บอกว่าถ้าผมซนจะไม่ได้เจอมามี้ ผมกลัวไม่ได้เจอมามี้ก็เลยไม่กล้าไปไหนเลย” อเล็กซานโดรร้องไห้กระซิกๆ อยู่กับบ่าแม่ แต่กลับเหลือบมองเชสก์และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังศศินาด้วยสายตาแปลกๆ

            เอาแล้วไง...

            เชสก์หรี่ตามองสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันกลมด้วยความสงสัย คนของเขาบอกว่าอเล็กซานโดรดื้อมาก เผลอเป็นไม่ได้จ้องแต่จะหนีออกจากบ้าน จนต้องขู่ว่าจะไม่ให้เจอแม่จึงได้สงบลง แต่ก็ยังประท้วงด้วยการไม่ยอมกิน ไม่ยอมขยับไปไหนแทน

            แต่มาฟ้องแม่อีกอย่างเสียอย่างนั้น...

            “เลิกฟ้องกันชั่วคราวก่อนเถอะ ลูกเธอยังไม่ได้กินอะไรไม่ใช่หรือผักหวาน” เชสก์บอกเสียงเรียบ

            “ฉันบอกไม่ให้เรียกชื่อนั้น”

            “ฉันไม่คุ้น” นักธุรกิจหนุ่มยักไหล่ จะชื่อศศินา เอส สุคนธวา หรือผักหวานก็เถอะ ยังไงผู้หญิงตรงหน้าก็ยังเป็นคนเดิมอยู่ดี

            “ก็เรียกให้คุ้นสิคะ”

            “จะเถียงเรื่องชื่อหรือจะหาอะไรให้ลูกเธอกินก่อนล่ะ”

            สาวคนฟังพยักหน้าเห็นด้วย จริงของเขา เธอไม่ควรหาเรื่องทะเลาะกับเชสก์ตอนนี้ สิ่งแรกที่ควรทำคือพาอเล็กซานโดรไปหาอะไรกินเสียก่อน

            “มามี้ฮะ” เด็กชายผละจากอกมารดา มองไปทางผู้ชายร่างสูงใหญ่ด้วยสายตาหวาดๆ จากนั้นจึงชี้นิ้วและถามเสียงสั่น “ลุงยักษ์นี่ใครหรือ”

            ‘ลุงยักษ์’ หน้าตึงทันที จากที่ปกติก็หน้าดุอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ไม่น่ามองเข้าไปใหญ่

            ศศินาหันไปมองเชสก์แล้วก็ลอบยิ้มสาแก่ใจ เธอประคองสองแก้มนุ่มของลูกชายไว้ด้วยสองมือ ให้อเล็กซานโดรหันมาสบตากับเธอแล้วตอบยิ้มๆ “นั่นเจ้านายแม่ ลูกต้องเรียกเขาว่าคุณลุง เข้าใจไหม”

            “คุณลุงชื่ออะไรฮะ”

            “เรียกว่าลุง...”

            “ก็เรียกพ่อเสียสิจะได้สิ้นเรื่อง” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ สีหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่คำพูดนั้นกลับทำให้สองแม่ลูกชะงัก โดยเฉพาะศศินาที่จ้องหน้าเขาเขม็ง

            “คุณไม่ใช่พ่ออเล็กซ์ แล้วจะให้เรียกพ่อได้ยังไง” ตอบเขาแล้วหันกลับมาหาลูกชายอีกครั้ง “ลูกต้องเรียกเขาว่าคุณลุงเชสก์จ้ะ”

            “ลุงยักษ์” เด็กชายยังเรียกเขาเหมือนเดิม จากนั้นจึงผละจากแม่ แล้วเดินไปหาชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา แต่ไว้หนวดล้อมกรอบหน้าไม่น่ามอง

            อเล็กซานโดรเอียงคอมอง ‘ลุงยักษ์’ ด้วยแววตาสงสัย ส่วนลุงยักษ์ก็มองเด็กน้อยด้วยสายตาอ่านยาก สองหนุ่มสองวัยคงจะจ้องกันอย่างนั้นทั้งวัน ถ้าเดรโกไม่ขยับเข้ามาและรายงานด้วยน้ำเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ

“อาหารพร้อมแล้วครับคุณเชสก์”

            นักธุรกิจหนุ่มละสายตาจากเด็กน้อยตรงหน้าไปมองแม่เด็กแทน แล้วพยักหน้า ใช้สายตาออกคำสั่งให้เธอพาลูกเดินตามเขาไปที่ระเบียงกว้างที่หันหน้าเข้าหาทะเล

            “เราจะกลับบ้านกันแล้วใช่ไหมฮะ” เด็กน้อยเขย่ามือแม่แรงๆ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังทำหน้าครุ่นคิด ส่งผลให้ศศินาชะงัก

            “ไม่ใช่หรอกอเล็กซ์” คนเป็นแม่นั่งลงเพื่อให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับลูกชาย แล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เราจะไม่กลับบ้านแล้วจ้ะ แม่ยังต้องทำงานกับคุณลุง เราต้องอยู่กับคุณลุงนะ”

            อเล็กซานโดรขมวดคิ้ว เงยหน้ามองลุงยักษ์ตาปริบๆ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายมองด้วยสายตาดุๆ เด็กชายก็ส่ายหน้าทันที แล้วถามต่อไปว่า “เราไม่กลับไปอยู่กับพ่อหรือฮะ”

            ศศินาเงยหน้าขึ้นมองเชสก์ทันที ก็พบว่าเขาทำตาดุใส่เธออีกแล้ว ท่าทางเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก

            “มามี้ ผมอยากกลับบ้านแล้ว”

            “แต่แม่ต้องทำงาน” หญิงสาวเช็ดน้ำตาให้ลูกชายที่เริ่มงอแง ปกติแล้วอเล็กซานโดรไม่ใช่เด็กดื้อ แต่คงเพราะอยู่ห่างเธอนานเกินไป และยังหวาดกลัวที่ต้องอยู่ตามลำพังกับผู้ชายหน้าโหดหลายคนอีก จะอย่างไรเสียก็เป็นแค่เด็กสี่ขวบเท่านั้น จะไม่กลัวไม่งอแงก็คงเป็นไปไม่ได้

            ศศินายิ้มน้อยๆ ปลอบใจลูกชายแล้วบอกเสียงนุ่ม “กลับก็ได้จ้ะ แม่จะให้คุณลุงไปส่ง แต่แม่ต้องบอกลูกไว้ก่อนนะอเล็กซ์ ถ้าลูกกลับบ้าน ลูกก็จะไม่ได้อยู่กับแม่ เพราะแม่ต้องทำงานกับคุณลุงต่อ”

            “แต่ว่า...” คราวนี้เด็กชายลังเล หยุดร้องไห้แล้วก็จริง แต่พอได้ยินว่าจะไม่ได้อยู่กับแม่อีก น้ำใสๆ ก็เริ่มคลอหน่วยตา ส่ายหน้าแรงๆ แล้วโผเข้ากอดคอผู้เป็นแม่ ทั้งยังกอดแน่นเหมือนลูกลิงแล้วตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ผมอยากอยู่กับมามี้มากกว่าฮะ”

            “ดีจัง” หญิงสาวยิ้มให้ลูกชาย แล้วดันร่างเล็กออก ตั้งใจจะเดินจูงมือลูกไปด้วยกัน แต่อเล็กซานโดรไม่ยอม เด็กน้อยกอดคอหญิงสาวแน่นแล้วอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน

            “มามี้อุ้ม มามี้อุ้ม”

            “ตายแล้วอเล็กซ์” คนเป็นแม่อุทานเมื่ออยู่ๆ ลูกชายก็กระโดดเข้าหาจนเกือบจะล้มลงไปทั้งคู่ แต่เชสก์ปราดเข้ามาแล้วรับทั้งแม่ทั้งลูกไว้ได้

            “เล่นอะไรอย่างนั้นล่ะ ถ้าเกิดแม่นายหงายหลังหลังหักขึ้นมาจะว่ายังไง” หนุ่มมาดขรึมดุ แล้วก็เลยไปดุแม่เด็กด้วยที่ตามใจลูกเกินเหตุ

            “ก็ผมอยากให้มามี้อุ้ม”

            “นายโตแล้วอเล็กซ์ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เมื่อไหร่”

            “ลุงยักษ์ดุผม มามี้ยังไม่ว่าอะไรเลย” เด็กน้อยฟ้องมารดาแล้วโผเข้าหาหญิงสาวอีกครั้ง แต่เชสก์มาขวางไว้เสียก่อน

            “ฉันอุ้มเอง” เขาบอกเสียงเรียบ สีหน้าไม่ยินดียินร้ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทำเอาทั้งแม่ทั้งลูกสะดุ้ง

            “ไม่เอา จะให้มามี้อุ้ม” เด็กน้อยเต้นเร่าอยู่ตรงหน้าแม่แล้วร้องไห้โฮ “มามี้อุ้มผมหน่อยฮะ ไม่เอาลุงยักษ์ จะหามามี้”

            ศศินามองเชสก์สลับกับลูกชายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ปกติแล้วเธอไม่ตามใจลูกมากจนเกินไป ตอนนี้อเล็กซานโดรกำลังกลัวและเสียขวัญเธอจึงตามใจมากหน่อย แต่ติดที่เชสก์มาขัดขวางเสียก่อน

            “ไม่ต้อง...ถ้าอยากให้อุ้มละก็ฉันจะอุ้มนายเอง ไอ้หนู”

            “ไม่ต้องค่ะ ฉันอุ้มเองได้” สาวร่างเล็กแทรกขึ้นแล้วย่อตัวลงรับเด็กน้อยตัวกลมมาอุ้มแนบอก

            “เธอตามใจลูกมากไป” เชสก์ดุอีกจนได้ แต่คนถูกดุไม่สน

            “ก็ลูกฉัน คุณไม่ต้องเดือดร้อนหรอกค่ะ”

            “ยังจะเถียง” เขาดุเสียงเข้ม แล้วถือโอกาสขโมยลูกจากอกแม่ไปอุ้มไว้เอง ไม่สนใจเสียงร้องของเด็กน้อยเลยสักนิด

            “มามี้!” อเล็กซานโดรร้องลั่น พยายามดิ้นรนไขว่คว้าหาแม่ ซึ่งดิ้นแรงขนาดนี้ถ้าเป็นศศินาอุ้มคงล้มไปแล้ว แต่พอเป็นเชสก์ที่ทั้งสูงใหญ่ทั้งกำยำ ดิ้นยังไงก็ไม่พ้นชายหนุ่มได้เลย

            “เงียบเลย”

            “ปล่อยผม! ผมจะไปหามามี้...โฮ”

            “บอกให้เงียบ!”

            “คุณเชสก์” ฟังเสียงชายหนุ่มกับเด็กน้อยทะเลาะกันแล้วคนเป็นแม่ก็พลอยหน้าซีดไปทันทีเมื่อเห็นลูกชายร้องไห้หา

            “ถ้าอยากได้ลูกคืนก็ตามมาสิ” เชสก์บอกแล้วจึงออกเดินต่อ ไม่สนใจว่าทั้งอเล็กซานโดรและศศินาจะร้องเรียกหากันอย่างไร

            หลังจากหันหลังให้ศศินา เชสก์ก็ลอบยิ้มมุมปาก เขารู้วิธีที่จะรั้งให้เธออยู่กับเขาอย่าง ‘เต็มใจ’ แล้ว

เสียงเกลียวคลื่นกระทบโขดหินชายหาดและเสียงลมทะเลไม่อาจกลบเสียงร้องไห้จ้าของเด็กชายอเล็กซานโดรได้เลย เด็กน้อยแหกปากร้องไห้เสียงดังทั้งยังทุบบ่าชายหนุ่มด้วย แต่ลุงยักษ์หรือจะสะดุ้งสะเทือน จนอเล็กซานโดรเปลี่ยนวิธีประท้วงด้วยการดิ้นกระแด่วๆ เหมือนปลาขาดน้ำ แต่ก็เอาชนะเชสก์ไม่ได้เสียที

            “มามี้...โฮ” เด็กชายอเล็กซานโดรร้องไห้จนหน้าแดงก่ำ น้ำมูกน้ำตาไหลย้อยปนกันไปหมด ท่าทางกลัวจริงๆ ไม่ใช่แกล้งอย่างตอนแรก

            “คุณเชสก์คะ ส่งลูกมาให้ฉันเถอะค่ะ” เห็นลูกร้องไห้แต่ละครั้ง หัวใจของคนเป็นแม่ก็แทบขาดรอนๆ เธอไม่รู้ว่าเชสก์จะรักใคร่เอ็นดูอเล็กซานโดรหรือไม่ เขาแกล้งแหย่ให้เด็กร้อง หรือเพราะ ‘ชัง’ เด็กจริงๆ กันแน่

            “ไม่ละ” ชายหนุ่มส่ายหน้าทันทีโดยไม่ต้องคิด “เธอตามใจลูกมากๆ ระวังจะเสียเด็ก”

            “แต่อเล็กซ์เพิ่งจะสี่ขวบ”

            “และควรจะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเด็กจะเอาแต่ใจ...เหมือนฉัน” ชายหนุ่มทอดเสียงลงเล็กน้อยทั้งยังเบาราวกับเจ้าตัวกำลังพูดกับตัวเองมากกว่า กระนั้นศศินาก็ได้ยินชัดเจน

            “มามี้” เด็กชายเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน พยายามส่งสายตาบอกให้แม่อุ้มกลับไปเสียที

            “กินเถอะ จะได้ไปพักผ่อน เธอแทบไม่ได้นอนเลยไม่ใช่หรือ” เชสก์ถามคุณแม่เลี้ยงลูกหนึ่งโดยไม่สนใจเสียงร้องกระซิกๆ ของลูกชายของสาวเจ้าเลยแม้แต่น้อย

            “คุณแกล้งลูกฉันแบบนี้แล้วฉันจะกินลงได้ยังไง” ศศินาแสดงความไม่พอใจออกมาทางสายตา จนเชสก์ต้องยอม เขาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วส่งเด็กชายคืนแม่เด็กไปแต่โดยดี

            “มามี้...โฮ” พอได้กลับเข้าสู่อ้อมอกอุ่นของแม่เท่านั้นเอง เจ้าตัวแสบก็ร้องไห้โฮ สะอื้นฮักๆ แล้วซุกหน้าลงกับอกมารดา แต่ก็ยังมิวายเหลือบตามองลุงยักษ์เป็นระยะๆ

             “ไม่เป็นไรแล้วอเล็กซ์ แม่อยู่นี่แล้ว ไม่งอแงนะลูก” หญิงสาวจับลูกชายให้นั่งบนตักดีๆ แล้วเริ่มกวาดตามองอาหารตรงหน้า

            “ฉันสั่งให้เตรียมอาหารไทยให้เธอสองคนแม่ลูกด้วย ลูกเธอกินได้ใช่ไหม”

            “ค่ะ” หญิงสาวตอบพลางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาเล็กน้อย แล้วก้มลงถามเด็กชายตัวกลม “เอาข้าวต้มไหมอเล็กซ์”

            “ไม่เอา” ตัวแสบส่ายหน้าพรืดแล้วลอบมองลุงยักษ์อีกครั้งพร้อมกับยิ้มนิดๆ ทำเอาคนถูกมองเริ่มหงุดหงิด ดูก็รู้ว่าอเล็กซานโดรกวนประสาทเขา

            “ไข่เจียวล่ะ” คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวยังถามอย่างเอาใจ แต่เจ้าตัวแสบแบะปากแล้วส่ายหน้า

            “ไม่เอาฮะ”

            คราวนี้นักธุรกิจหนุ่มเริ่มหมดความอดทน ศศินาไม่เห็น แต่เขาเห็นคาตาเลยว่าเด็กนี่กวนแค่ไหน

            “แล้วกุ้งอบล่ะลูก”

            “ผมไม่ชอบ”

            “ให้ตายเถอะไอ้หนู มีให้กินก็กินๆ ไปเถอะ!” ชายหนุ่มโวยลั่น ทำเอาเด็กน้อยสะดุ้ง แล้วโผเข้ากอดคอมารดาทันที

            “มามี้...ผมกลัวลุงยักษ์” เด็กน้อยร้องไห้จ้าแล้วส่ายหน้าอย่างเดียว ไม่ฟังแล้วว่าแม่จะปลอบอย่างไร ไม่สนว่าคู่กรณีร่างใหญ่ยักษ์กำลังมองด้วยสายตาปลงตก

            เด็กนี่ดื้อเงียบจริงๆ ชายหนุ่มสรุปในใจ มองเจ้าตัวแสบที่กอดคอแม่แน่น แต่ยังลอบมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง ท่าทางฉลาด (ในทางที่ผิด) เกินวัยของเด็กชายทำเอาชายหนุ่มหัวเราะออกมาจนได้ ต่อหน้าแม่ละทำน่ารักน่าเอ็นดู แต่พอหันมามองเขาเท่านั้นละ...

            “ฉันขอพาลูกไปกินที่อื่นนะคะ” ศศินาอ้อนวอนเขาเป็นครั้งแรก ไม่มีสายตาถือดีอีกแล้ว แล้วจะไม่ให้เชสก์ใจอ่อนได้อย่างไร

            “ไม่ต้องลง ฉันจะไปเอง เธอดูแลลูกเธอไปเถอะ”

            “แต่คุณก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน”

            “ห่วงหรือ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มทำให้ศศินาได้สติ เธอส่ายหน้าทันทีโดยไม่ต้องคิด กระนั้นสองแก้มก็ขึ้นสีระเรื่อ

            “ไม่ได้ห่วง...แต่คุณเป็นเจ้าของบ้าน”

            “ตามสบายเถอะ ฉันจะเข้าไปสั่งงานนิดหน่อย ดูแลลูกเธอไม่ให้มากวนใจฉันก็พอ” เชสก์บอกเสียงเรียบ ปรายตามองเด็กชายที่กำลังลอบมองเขาเช่นกัน แต่พอรู้ว่าแม่ไม่สังเกต ก็แอบยกนิ้วโป้งให้เขาเสียอย่างนั้น

            แสบกว่าที่คิด!

            เชสก์ยิ้มมุมปาก ทอดสายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่ใบหน้าอ่อนหวานของศศินาพักใหญ่จนเด็กน้อยสังเกตเห็น จึงรีบลุกขึ้นแล้วโถมตัวบังหน้าแม่ของตัวเองไว้

            ประกาศสงครามกันแล้วใช่ไหมไอ้หนู...

            มองเด็กหวงแม่จนออกนอกหน้าแล้วก็ทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้ เชสก์หันหลังให้และลอบยิ้ม ดูท่าว่าระหว่างเขากับเด็กแสบนั่นจะมีเรื่องให้ ‘เล่น’ ด้วยกันอีกยาวเสียแล้ว

เชสก์เดินกลับมาที่ห้องพัก ระหว่างทางก็สั่งให้เดรโกและคนอื่นๆ ไปพักผ่อนได้แล้ว เหลือเพียงบอดีการ์ดไม่กี่คนที่ดูแลบริเวณรอบบีชเฮาส์ ส่วนตัวเองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองสบายๆ ให้เหมาะสำหรับการพักผ่อน แต่กลับมานั่งที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการนานา

            ‘คุณเรแกนติดต่อขอนัดมาค่ะคุณอะลอนโซ’ สมองกลอัจฉริยะรายงานทันทีพร้อมทั้งแสดงข้อมูลอีเมลติดต่อของ แคทเธอรีน เรแกน

            “ตอบไปว่าให้เข้าไปที่อะลอนโซ ทาวเวอร์วันจันทร์หน้าแล้วกัน” ซีอีโอหนุ่มสั่งอย่างเบื่อๆ แล้วปล่อยให้ระบบปฏิบัติการนานาจัดการตอบอีเมล

            ครั้งหนึ่งเชสก์เคยสานสัมพันธ์กับแคทเธอรีนหลายปี แต่เพราะต่างคนต่างก็เป็นคนบ้างานและ ‘ทันกัน’ ทั้งคู่ ผลคือต้องลดระดับความสัมพันธ์ลงเหลือแค่เพื่อนร่วมวงการธุรกิจ ถึงกระนั้นก็ยังมีเสียงเชียร์จากคนรอบข้างเสมอ ซึ่งปกติแล้วทั้งเขาและเธอถือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และนัดพบปะกันเสมอถ้าเวลาตรงกัน เพียงแต่วันนี้เขามาพักผ่อนจึงไม่ต้องการคุยเรื่องงานตอนนี้

            เชสก์ทบทวนไปถึงเมื่อครั้งที่พบกับแคทเธอรีนครั้งแรก เธอเป็นลูกสาวของนักการเมืองคนหนึ่งที่คัดค้านเรื่องที่เขา ‘รับงาน’ จากรัฐบาล เขาเคยคิดว่าแคทเธอรีนจะเป็นประเภทซ้ายสุดขวาสุดเหมือนที่บ้าน แต่ที่ไหนได้ เธอเป็นคนแสดงออกด้านเสรีภาพทางความคิดอย่างเปิดกว้าง ออกจะเบื่อที่บ้านด้วยซ้ำ ความกบฏเล็กๆ ในตัวเธอทำให้เขาสนใจ และเริ่มคุยกับเธอ

            เชสก์ยอมรับว่าเมื่อก่อนเขาเป็นคนเจ้าชู้คนหนึ่งและไม่คิดลงเอยกับใครง่ายๆ กับแคทเธอรีนไม่นานเขาก็พบว่าเธอกับเขาเหมือนกันเกินไป ทันกันเกินไปจนต้องลดระดับความสัมพันธ์ลง เธอยังไม่ใช่สำหรับเขา การเลิกรากับแคทเธอรีนไม่ทำให้เขารู้สึกอะไร ไม่เหมือนกับอีกคน...

            เขายังนึกถึงสุคนธวาเสมอ เด็กสาวที่หายไปจากชีวิตเขาราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

            เวลาสั้นๆ ที่เจอกันและได้มีช่วงเวลาด้วยกัน แต่เมื่อเรื่องราวเลยเถิดเกินกว่าที่จะควบคุม เขาจึงเริ่มถอยห่าง พยายามบอกตัวเองว่าเธอค่อนข้างจืดชืดและไร้เดียงสาเกินไปเมื่อเทียบกับแคทเธอรีน แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายกลับเป็นเขาเองที่ลืมไม่ลง ยิ่งปฏิเสธตัวเองเท่าไร ความรู้สึกบางอย่างในใจก็กระตุ้นให้เขาหวนคิดถึงเธอมากเท่านั้น

            ในที่สุดสุคนธวาก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งในนามของศศินา แม้จะไม่ใช้ชื่อเดิม แต่เขาก็จำเธอได้ไม่มีวันลืม เธอมาในสถานะที่ต่างออกไป ไม่ใช่มิตรอีกแล้ว แต่เป็น ‘ศัตรู’ อีกต่างหาก

            แต่ที่ร้ายกว่านั้น...คือเด็กชายวัยสี่ขวบอีกหนึ่งคนที่ยังเป็นปริศนาว่าใช่ลูกเขาหรือไม่...เชสก์ไม่แน่ใจ แต่เขาก็รู้จักนิสัยของเธอดี เขามั่นใจเกินครึ่งว่าลูกเขาแน่ แต่ติดที่เธอไม่ยอมรับเสียทีนี่สิ

            คิดมาถึงตรงนี้แล้วเชสก์ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดบีบหญิงสาวแล้ว ถ้าบีบมากกว่านี้เธอต้องเตลิดไปแน่ และเธออาจมีอันตราย

            ดวงตาคมดุมองออกไปนอกห้องทำงาน ผนังที่กรุด้วยกระจกแทบทั้งหลังทำให้เขามองเห็นสองแม่ลูกที่กำลังก่อกองทรายเล่นกันที่ริมหาด มีคนของเขาคอยเฝ้าระวังไม่ห่าง ภาพความรักความอบอุ่นที่ศศินามีให้เด็กแสบอเล็กซานโดรทำให้เชสก์คิดออกในที่สุด
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น