6

บทที่ 6


         


 

ห้องนอนชั้นบนเพนต์เฮาส์หรูของเชสก์กรุด้วยกระจกรอบด้าน แต่ก็เป็นกระจกวันเวย์ที่มองจากด้านนอกไม่เห็น คนด้านในมองเห็นวิวตึกสูงของมหานครนิวยอร์กได้ตามปกติ ทั้งยังกรองแสงแดดและปรับอุณหภูมิให้เย็นสบายเหมาะสมกับการพักผ่อนอย่างยิ่ง แต่การมาหลับในที่ไม่เคยคุ้นทั้งยังเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย ทำให้ศศินาสะดุ้งตื่นลืมตาทั้งที่ยังเพลียอยู่มาก ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบบริเวณ นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ ความหรูหราของมันย้ำเตือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานคือเรื่องจริง

            แล้วลูกเธอล่ะ!

            สาวร่างเล็กบางดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วจนผ้าห่มร่นลงไปกองที่เอว ความเย็นที่ปะทะเนื้อนวลทำให้เจ้าตัวสะดุ้งเมื่อสำเหนียกได้ว่ากำลังเปลือยเปล่า

            “ตื่นแล้วหรือ” เสียงเข้มดังชิดใบหูพร้อมๆ กับที่แขนแข็งแรงเกี่ยวกระหวัดเอวเล็กไว้แล้วดึงเข้าไปชิดแผ่นอกกว้าง ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดลงมาทำเอาหญิงสาวขวัญกระเจิง

            “คุณ!” ศศินาร้องลั่น รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างแล้วตวัดมองเขาด้วยสายตาวาววับ “คุณทำอะไรฉัน”

            “เปล่า” เชสก์ตีหน้าซื่อ สายตาเจ้าเล่ห์ของเขาจับจ้องเนินอกอิ่มที่โผล่พ้นผ้าห่มเขม็ง จนสองแก้มของหญิงสาวร้อนวาบ มือหนึ่งกำผ้าห่มไว้แนบอก ส่วนอีกมือผลักเขาอย่างแรง

            “คุณ...บ้าเอ๊ย!” หญิงสาวทั้งโกรธทั้งโมโห อยากฆ่าเขานัก แต่ทำอะไรไม่ถนัด มีแต่จะเสียเปรียบก็เท่านั้น สิ่งที่ทำได้คือประณามเขาด้วยสายตาแล้วถามเสียงแข็ง “คุณถอดเสื้อผ้าฉันทำไม”

            “แล้วผู้ชายเขาถอดเสื้อผ้าผู้หญิงไปทำไมล่ะ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเขาเฉยมาก แต่ดวงตาพราวระยับบ่งบอกถึงความกวนโทสะอย่างถึงที่สุด

            “โรคจิต!” สาวเจ้าแว้ดใส่อย่างเหลืออด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายตรงหน้าคือคนเดียวกับนายจ้างที่ชอบข่มขู่เธอสารพัด ที่แท้กาลเวลาไม่ทำให้เชสก์เปลี่ยนไปเลย เอาแต่ใจอย่างไรก็อย่างนั้น ทั้งยังเจ้าเล่ห์บ้ากามถึงขีดสุด

            ผิดคาดที่คำบริภาษจากศศินาไม่มีผลกับเชสก์เลยสักนิด เขาไม่แสดงท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด ทั้งยังหัวเราะเสียงดังอีกต่างหาก

            “โรคจิตหรือ” เจ้าของเสียงเข้มทวนคำ แสร้งทำสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นจึงยิ้มและพยักหน้าเบาๆ “ก็แล้วแต่เธอจะคิด”

            “เสื้อผ้าฉันอยู่ไหน”

            “ทิ้งไปแล้ว” เขาบอกหน้าตาเฉย ทำเอาหญิงสาวแทบกรี๊ด เรื่องอะไรมาแตะต้องตัวเธอทั้งยังทิ้งเสื้อผ้าเธอไปอีก

            “คุณจะบ้าหรือ แล้วฉันจะใส่อะไร”

            “ในเมื่อเธอบอกว่าฉันโรคจิตไม่ใช่หรือ...ก็ไม่ต้องสวมอะไรสิ ฉันชอบดูคนตัวเปล่าๆ มากกว่า”

            “คุณ!” ศศินาขึงตา ลืมไปแล้วว่าเคยกลัว เพราะตอนนี้เธออยากจะฆ่าเขานัก แต่ก็ทำไม่ได้

            “เอาละ ฉันจะหาอะไรให้สวมก่อน แต่เธอต้องตอบคำถามฉัน”

            “คำถามอะไร” ศศินาเผลอกำมือแน่น มองชายตรงหน้าด้วยสายตาระแวดระวัง ยอมรับว่าไม่ไว้ใจท่าทางของเขาเสียเลย ไม่รู้ว่าเชสก์ไปรู้เห็นอะไรหรือไม่ ถึงมีท่าทีแปลกๆ เช่นนี้

            “ข้อแรก...เธอเป็นอะไรกับ สุคนธวา วนาลักษณ์” เชสก์ออกเสียงชื่อสาวไทยด้วยสำเนียงชัดเจนชัดถ้อยชัดคำ ทั้งยังจ้องมองสาวตรงหน้าตาไม่กะพริบ ใช้สายตาคมกริบสังเกตทีท่าของเธอ

            คำถามของเขาทำเอาคนฟังชะงักไปทันที เธอลอบกลืนก้อนแข็งๆ ลงคออย่างยากลำบาก พยายามตั้งสติไม่ให้ตัวเองแสดงพิรุธใดๆ ออกไปแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น”

            “อย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ไม่แสดงอารมณ์โกรธขึ้งแต่อย่างใด ราวกับว่าเขารู้คำตอบจากเธออยู่แล้ว และนั่นก็ทำให้หัวใจของหญิงสาวยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยไม่รู้ว่าเชสก์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

            “ฉันตอบคุณแล้ว คุณต้องทำตามสัญญา”

            “สัญญาอะไร”

            “ก็เสื้อผ้าฉันไง”

            “ฉันบอกให้เธอตอบ แต่ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะคืนให้จริงๆ นี่” นักธุรกิจหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบ แต่ดวงตาทอประกายแพรวพราว

            กว่าจะรู้ตัวว่าเสียรู้ให้เขาก็ตอนที่วงแขนกว้างกอดกระชับร่างเล็กบางกลับไปแนบชิด ผิวเนื้อที่กระทบเสียดสีกันทำให้ศศินารู้ได้ทันทีว่าเขาก็เปลือยเปล่าไม่ต่างกัน

            “คุณ!”

            “ทีนี้คำถามต่อไป” เสียงเข้มดังขึ้นข้างใบหู อีกทั้งคนพูดยังฉวยโอกาสไล้ปลายจมูกไปตามข้างแก้มนวล

ศศินาหน้าร้อนวาบ พยายามผลักเขา แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการผลักกำแพงด้วยมือเปล่า เพราะนอกจากเขาจะไม่สะดุ้งสะเทือนแล้ว ยังกอดรัดเธอแน่นขึ้นจนรับรู้ถึงบางสิ่งที่เริ่ม ‘ตื่นตัว’ ของเขา!

            หญิงสาวใจหายวาบ จากที่ดิ้นรนเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นนั่งตัวแข็งทันที แม้แต่จะหายใจแรงๆ ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ

            “เด็กดี...” เชสก์พูดด้วยเสียงอ่อนลงคล้ายกำลังหลอกล่อเด็กก็ไม่ปาน ทั้งยังกดปลายจมูกลงบนลาดไหล่เล็กอย่างรวดเร็วจนศศินาหดคอหนีไม่ทัน

            “เธอทำงานให้ใคร”

            คนถูกถามเม้มปากแน่นแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ เธอบอกไม่ได้ แม้แต่นิดเดียวก็บอกไม่ได้เพราะมันเกี่ยวพันกับอดีตของเธอด้วย

            “ไม่ตอบหรือ” เสียงเขาเข้มขึ้นเล็กน้อยคล้ายไม่พอใจ แต่ยังนิ่งมากเสียจนศศินาเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

            “ถ้าฉันตอบ...คุณจะปล่อยฉันได้ไหมคะ”

            “ไม่” เชสก์ตอบเสียงห้วน

ท่าทางเขาไม่สบอารมณ์อย่างมากจนศศินาเผลอกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่นว่า เขาจะบ้าระห่ำจับเธอกดกับเตียงหรือเปล่า แต่ก็ไม่ เขาแค่กอดเธอแน่นขึ้นจนหญิงสาวลอบถอนหายใจโล่งอกที่เขาไม่ทำอะไรไปมากกว่านี้

            “กลับมาที่คำถามเดิม...เธอว่าเธอไม่รู้จักผู้หญิงที่ชื่อสุคนธวาใช่ไหม”

            ศศินาพยักหน้า ยืนยันคำตอบเดิมแต่กลับหลุบตาลงต่ำ เป็นโอกาสให้เชสก์ใช้ปลายนิ้วปัดเรือนผมดำขลับที่ระตามต้นคอระหง แล้วแตะลงไปบนไฝเม็ดเล็กที่ต้นคอด้านขวาของสาวในอ้อมกอด

            สัมผัสจากปลายนิ้วกร้านแม้จะแผ่วเบาแต่ทำเอาหญิงสาวสะท้านไปทั้งร่าง เธอรีบปัดมือเขาออกไปราวกับว่าสัมผัสนั้นเป็นเปลวไฟที่ลวกผิวก็ไม่ปาน

            “ทำอะไรน่ะ!”

            “ผู้หญิงของฉันก็มีไฝที่ต้นคอแบบเดียวกับเธอ” เขาบอกเสียงเรียบ แตะปลายนิ้วลงที่ตำหนินั้นอีกครั้งแล้วลากไล้ปลายนิ้วไปตามลาดไหล่เล็กเบาๆ

            “กะ...ก็แค่ไฝ ใครๆ ก็มีทั้งนั้นแหละ”

            “อย่างนั้นหรือ...” เชสก์ลากเสียงเจ้าเล่ห์ ไต่ปลายนิ้วจากลาดไหล่ลงไปถึงเนินอกเธอพลางพูดต่อไปว่า “ผู้หญิงของฉันมีรอยปานจางๆ ที่หน้าอกข้างขวาด้วยนะ”

            ไม่ใช่แค่ปลายนิ้วอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทันทีที่พูดจบ ทั้งสายตาและมือเขาก็ยื่นออกมาอย่างรวดเร็ว และ...

            หมับ!

            “คุณเชสก์!” ศศินาร้องลั่นและผลักมือเขาออกไปเต็มแรง “ฉันไม่มีอะไรทั้งนั้น!”

            “มันก็ต้องพิสูจน์...หรือจะให้ฉันตรวจลายนิ้วมือเธอด้วย”

            “ไม่ต้อง!” สาวเจ้าบอกเสียงห้วนพร้อมกับปัดมือเขาออกไป ก่อนที่เชสก์จะลงมือ ‘พิสูจน์’ ด้วยตัวเอง

            ท่าทางหวาดกลัวจนลนลานของเธอเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มตรงหน้าทันที ทำให้ศศินาอดคิดไม่ได้ว่าเขาโรคจิตหรือเปล่าที่ชอบทำให้เธอกลัวจนหลุดกิริยาอย่างนี้

            ทั้งโรคจิตที่ ‘ลักหลับ’ ตอนที่เธอไม่ได้สติ ทั้งโรคจิตชอบเห็นเธอหวาดกลัว มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น...แบบนี้ก็ได้หรือ

            ศศินาคิดอย่างกลัดกลุ้ม เธออยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ติดอยู่ที่จะออกไปได้อย่างไร ลำพังมีแค่ระบบปฏิบัติการนานายังพอทำเนา เพราะอย่างไรเสียนานาก็ยังเป็นแค่ภูมิปัญญาประดิษฐ์ ถ้ามีคอมพิวเตอร์ดีๆ สักเครื่อง เธอว่าเธอหนีรอดนานาไปได้ แต่ด่านต่อไปนี่สิ คนของเชสก์มากมายถึงเพียงนั้น เธอไม่มีวันสู้ชายฉกรรจ์พวกนั้นได้แน่นอน

            หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าเขม็ง พร้อมหนีทุกเมื่อถ้าเขาคิดทำมิดีมิร้ายเธอ แต่เชสก์ทำเพียงแค่มองหน้าเธอนิ่งๆ และยักไหล่เท่านั้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นทันที

            แต่เขาโป๊!

            ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่กำยำเปลือยเปล่าไปทั้งตัว เธอรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่อยากให้อะไรๆ ติดตาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

            “แล้วเสื้อผ้าฉันล่ะคุณเชสก์” หญิงสาวถามทั้งที่ไม่ยอมหันไปมองหน้า

            “ในเมื่อเธอไม่ตอบคำถามฉัน ก็นอนโป๊อยู่อย่างนั้นต่อไปแล้วกัน” หนุ่มเจ้าของบ้านตะโกนตอบจากที่ไกลๆ ทำให้ศศินายอมหันกลับมาเพราะแน่ใจว่าเขาไม่อยู่แถวนี้แล้ว

            หญิงสาวลอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินว่าเขาเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว จนกระทั่งเห็นเขาสวมชุดสูทสีดำเดินกลับเข้ามาและก้มลงมาหาเธออย่างรวดเร็ว แต่คราวนี้ศศินาหลบทันด้วยการรีบล้มตัวลงนอนและซุกตัวในผ้าห่มผืนหนา

            “ใส่เสื้อเชิ้ตฉันไปก่อน ลงไปกินมื้อเช้าด้วยกัน แล้วฉันจะพาเธอไปรับลูก” เขาออกคำสั่งอย่างเคย จนคนฟังอดหมั่นไส้ไม่ได้ว่าคนอะไรช่างเอาแต่ใจไม่เปลี่ยน

            แต่คำว่า ‘ลูก’ มีพลังมากพอที่จะทำให้เธอจำต้องยอมจำนน เธออยากเจออเล็กซ์ใจจะขาด ถึงเชสก์จะบอกว่าอเล็กซ์ปลอดภัยแล้ว แต่เธอก็อยากเห็นด้วยตาตัวเอง อยากกอดลูกไว้ในอ้อมแขน อเล็กซ์ต้องกลัวมากแน่ๆ ป่านนี้จะเสียขวัญขนาดไหน จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

            “ฉัน...”

            “อย่าบอกนะว่าเธอไม่หิว” ชายหนุ่มเลิกคิ้วข้างเดียวเป็นเชิงถาม “เธอไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วนี่”

            “คุณก็ออกไปก่อนสิคะ” คนเสียงหวานไล่ ใครจะบ้าลุกขึ้นเดินแก้ผ้าอวดสายตาชาวบ้านอย่างเขากันเล่า

            “อายหรือ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “ฉันเห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

            “ตอนนั้นฉันไม่มีสตินะคะ”

            “แล้วต่างกันตรงไหนล่ะ” เชสก์หัวเราะเจ้าเล่ห์ “ให้ฉัน ‘ทำ’ อีกครั้งตอนมีสติไหม เธอจะได้ไม่ต้องอายฉัน”

            “คุณ!” ศศินาร้องลั่นแล้วผลักชายหนุ่มออกไปเต็มแรง แต่คราวนี้เชสก์ยอมถอยออกไปแต่โดยดี

            “ฉันจะออกไปก่อนก็ได้ อีกสิบนาทีเจอกันที่โต๊ะอาหาร อย่าช้าล่ะ... ยิ่งช้าเราก็จะยิ่งไปรับลูกเธอได้ช้าด้วย” พูดจบเชสก์ก็เดินออกไปทันที ปล่อยให้ศศินาได้ทำธุระส่วนตัวตามลำพัง

            เชสก์ออกไปนานแล้ว แต่ศศินายังหมกตัวใต้ผ้าห่มผืนหนา มีเพียงลูกตาเท่านั้นที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มออกมา เธอรอจนแน่ใจว่าเขาจะไม่ย้อนกลับมาแล้ว จึงลุกขึ้นหันไปคว้าแว่นที่ข้างหัวเตียงมาสวม ใช้ผ้าห่มคลุมร่างกายไว้แล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอินของเขา ตาก็มองไปด้วยว่าพอจะมีเสื้อผ้าตัวไหนให้เธอสวมใส่ไปพลางๆ ก่อนได้บ้าง

            แต่ทำไมเชสก์มีแต่เสื้อสีขาว!

            สาวร่างเล็กถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ตั้งแต่มาทำงานกับเขาก็เห็นว่าเขามักสวมเสื้อผ้าสีเข้มเสมอ ไม่สีดำก็สีน้ำเงินเข้ม แต่ทำไมในตู้จึงมีแต่เสื้อเชิ้ตขาว ที่แม้จะยาวมาถึงต้นขาของเธอก็จริง แต่สีของมันไม่ทำให้มองเห็นเข้าไปถึงไหนต่อไหนเลยหรือ

            ‘คุณอะลอนโซเชิญที่ห้องอาหารค่ะคุณสไนเดอร์’ ระบบปฏิบัติการนานาถ่ายทอดคำสั่งเจ้านายอีกแล้ว ทำเอาหญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะให้เธอเผชิญหน้ากับเขาทั้งที่มีแค่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง แถมใส่แล้วไม่ช่วยปิดบังอะไรเลยน่ะหรือ...ไม่มีทาง!

            หญิงสาวเดินไปทั่วห้อง พยายามมองหาชุดคลุมอาบน้ำสำรองหรือชุดคลุมนอนของเขา แต่ก็ไม่พบเลย ราวกับว่าเชสก์จงใจแกล้งเธอ!

            ‘อย่าให้ถึงทีเธอบ้างแล้วกัน!’ จำเลยสาวได้แต่คิดอย่างแค้นๆ แต่เมื่อทำอะไรเขาไม่ได้ สุดท้ายเธอก็ต้องสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งเดินลงไปกินมื้อเช้ากับเขาแต่โดยดี

เพนต์เฮาส์สองชั้นของเชสก์กว้างขวางมากก็จริง แต่กลับไม่ค่อยมีเของตกแต่งมากนัก ส่วนมากเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบง่ายๆ สไตล์โมเดิร์นที่เน้นใช้งาน คล้ายพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่มีของน้อยและปล่อยพื้นที่ให้โล่งเสียส่วนใหญ่ จนหญิงสาวอดค่อนขอดในใจไม่ได้ว่า ถ้าจะอยู่อาศัยคนเดียวก็เอาแค่ห้องเล็กๆ เท่าอะพาร์ตเมนต์ของเธอก็พอ

            นี่ละน้าวิถีคนรวย...

            คิดแล้วก็อดหมั่นไส้ความร่ำรวยของเขาไม่ได้ ผิดกับเธอที่เกิดในครอบครัวธรรมดา เป็นเด็กต่างจังหวัด ก่อนที่ชีวิตจะพลิกผันและไม่เหมือนเดิมอีกเลยเมื่อได้เจอกับเขา

            ศศินาส่ายหน้าปลงๆ เรื่องมันผ่านมานานและเธอก็ชาชินเกินกว่าจะคร่ำครวญถึงมันอีกแล้ว ในเมื่อเดินมาถึงจุดนี้...ก็ต้องก้าวต่อไป

            หญิงสาวเดินตามเสียงระบบปฏิบัติการนานามาจนถึงห้องรับประทานอาหารที่กว้างพอๆ กับห้องนอน แต่มีแค่โต๊ะตั้งอยู่ตัวเดียวเท่านั้น

            เชสก์นั่งรออยู่แล้ว ชายหนุ่มยังดูดีในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบ และเงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ตทันทีที่เธอมาถึง ดวงตาทอประกายวาววับอย่างนักล่า จนหญิงสาวสะท้าน แต่ก็แข็งใจเดินไปจนถึงเก้าอี้ทางขวามือของเขาจนได้

            “มาทางนี้สิผัก ไม่สิ...” ชายหนุ่มลากเสียงเจ้าเล่ห์แล้วถามต่อไปว่า “ฉันต้องเรียกเธอว่าอะไร...เรียกว่าเอสหรือ”

            “เอส” จำเลยสาวตอบด้วยเสียงแผ่วเบา ลอบมองเขาด้วยสายตาหวาดๆ แล้วก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางทันที

            “เข้ามาหาฉัน” เชสก์สำทับเสียงเข้ม

            ศศินาลอบถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับความเอาแต่ใจของเขา แต่จะให้เธอยอมเดินเข้าไปตามคำสั่งด้วยสภาพที่มีแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมกายอย่างนี้น่ะหรือ...เรื่องอะไรจะส่งเนื้อเข้าปากเสือบ้ากามเล่า

            หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาตำหนิแล้วนั่งอยู่ที่เดิม จนดวงตาคมของเชสก์วาววับ

            “ฉันสั่งคนให้หาเสื้อผ้ามาให้เธอแล้ว ไม่อยากได้ก็ตามใจ” เขาพูดพลางวางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะ ยิ้มเล็กน้อย ทำท่าทีไม่ใส่ใจ อย่างที่ทำให้ศศินาหมั่นไส้เป็นที่สุด

            เขารู้ดีว่าถือไพ่เหนือกว่า ยังจะหาเรื่องแกล้งเธออีกหรือ...โรคจิตชัดๆ!

            ศศินาแอบด่าเขาในใจแล้วยอมเดินเข้าไปหา และเชสก์ก็ตวัดแขนโอบรอบเอวเธอไว้แล้วดึงให้ขึ้นไปนั่งซ้อนตักเขาอย่างรวดเร็ว

            “คุณ!” หญิงสาวร้องลั่นและพยายามลุกจากตักเขา แต่เชสก์กดร่างเล็กบางไว้แน่น แล้วพูดด้วยเสียงราบเรียบคล้ายไม่มีความรู้สึกใดๆ

            “แบบนี้ก็ดี จะได้คุยกันถนัด”

            “ให้ฉันนั่งข้างคุณก็คุยกันได้ค่ะ”

            “ฉันแก่แล้ว หูไม่ค่อยได้ยิน” เขาบอกหน้าตาเฉย ตีมึนได้อย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด

            ศศินาพยายามนับหนึ่งถึงสิบ ข่มใจไม่ให้โวยใส่เขาเสียก่อน แล้วถามเสียงแข็ง “คุณมีอะไรจะคุยกับฉัน”

            “เรื่องเดิมๆ ฉันจะถามจนกว่าเธอจะบอก”

            คนฟังขมวดคิ้วทันทีที่เขาพูดจบ นี่เขาฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือ ในเมื่อเคยถามมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง เธอก็ไม่เคยตอบ แล้วจะมาคาดคั้นเอาอะไร

            “คำถามคือคำถามเดิม แต่ระหว่างเราสองคน...เห็นจะต้องมีกฎเพิ่มสักหน่อย”

            “กฎอะไรคะ”

            “ทุกคำถามต้องมีคำตอบ”

            “แต่บางคำถามก็ไม่จำเป็นต้องตอบ” จำเลยสาวบอกเสียงแข็ง จริงอยู่ว่าเธอตกเป็นรองที่กล้ามาเล่นงานเขาถึงที่ แต่เขาจะจับเธอส่งตำรวจก็ได้นี่

            “ทุกคำถามมีคำตอบของมันอยู่แล้ว อยู่ที่ฝ่ายถูกถามจะยอมตอบหรือไม่ตอบก็เท่านั้น” เชสก์พูดโดยไม่สนใจมองสาวร่างเล็กบอบบางที่นั่งซ้อนตักเลยสักนิด ความสนใจเดียวของเชสก์อยู่ที่กาแฟดำตรงหน้า

            ศศินาสังเกตน้ำตาลที่เขาใส่ลงในแก้วกาแฟ เขายังกินอะไรๆ หวานจัดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

            “แล้วถ้าฉันยังยืนยันแบบเดิมล่ะคะ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นการหยั่งเชิงเขาไปในตัว ยอมรับว่าตอนนี้กำลังหมั่นไส้ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเขาเหลือกำลัง

            “ฉันมีวิธีของฉัน...แต่ฉันว่าเธอไม่อยากรู้หรอก” ไม่ใช่แค่น้ำเสียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่แววตาของเขาก็แสดงอาการข่มขู่ออกมาชัดเจน

            “คุณจะถามอะไรอีกล่ะคะ”

            “คำถามเดิม”

            “และคำตอบก็เหมือนเดิมค่ะ” หญิงสาวกลอกตาอย่างหมดความอดทน ไม่เข้าใจว่าเขาจะทู่ซี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อก็รู้ดีว่าจะไม่มีอะไรออกจากปากเธอแน่ จนกว่าเธอจะได้เจอลูก

            เชสก์ทำหน้าเหนื่อยหน่ายทันทีที่หญิงสาวพูดจบ จากที่ตาคมดุจับจ้องแถวๆ เนินอกอิ่มใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง ก็เปลี่ยนมาจ้องที่ลำคอระหง เช่นเดียวกับมือหนาที่ไล้ลำคอเธอช้าๆ แล้วพูดเสียงเรียบ

            “รู้ไหม...ความอดทนฉันมีจำกัด”

            น่าแปลกที่คราวนี้คำขู่ของเชสก์ไม่ทำให้ศศินา ‘กลัว’ อีกแล้ว อาจจะเป็นเพราะตลอดเวลาเขาคอยข่มขู่คุกคามเธอก็จริง แต่ก็ไม่เคยทำอะไรสักครั้ง อย่างมากก็แค่ทำให้กลัวเท่านั้น ทำให้หญิงสาวคลายความกังวลว่าเขาจะทำร้ายเธอถึงชีวิต และกล้าที่จะเถียงเขาบ้างแล้ว

            “คุณไม่ทำอะไรฉันหรอก”

            “อะไรทำให้เธอมั่นใจแบบนั้น” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ

            “เพราะฉันเป็นคนเดียวที่จะบอกคุณได้ว่าใครที่จ้องเล่นงานคุณละมั้งคะ ซึ่งดีกว่าคุณต้องลงไปควานหาเองแน่ๆ”

            “อย่างนั้นหรือ” เชสก์เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วยิ้มมุมปาก ตาพราวระยับของเขส่งให้ใบหน้าหล่อเหลาดูชั่วร้ายขึ้นอีกเท่าตัว ราวกับกำลังมีความคิดร้ายๆ อยู่ในหัว ทำให้หญิงสาวนึกหวั่นจนผงะหนีโดยอัตโนมัติ แต่ก็ช้าไปแล้ว...

            ดวงตาวาววับของชายหนุ่มฉายแววสนุกสนาน มือหนาข้างหนึ่งละจากข้อมือน้อยมาช้อนท้ายทอยของศศินาไว้มั่น เชสก์โน้มตัวลงมาหา จากนั้นริมฝีปากรุ่มร้อนก็ทาบทับลงมาบนริมฝีปากอ่อนนุ่มอย่างรวดเร็ว

            เพราะไม่เคยคิดมาและเตรียมใจมาก่อนว่าจะถูกจูบ ศศินาจึงได้แต่นั่งตัวแข็ง วินาทีที่เขาก้มลงมาหา หัวใจของเธอก็เต้นแรงจนทำอะไรไม่ถูก เธอควรจะต่อต้าน ผลักไส แต่สัมผัสของเขาทำเอาสติอันน้อยนิดของเธอกระเจิงไปคนละทิศละทาง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาถอนจูบไปแล้ว

            “รู้หรือยังว่าวิธีสอบปากคำของฉันเป็นยังไง” เชสก์กระซิบเสียงพร่า ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดผิวเนื้อทำให้ศศินาขนลุกซู่ เธอหดคอและพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่การนั่งบนตักเขาทำให้ทางรอดเธอเหลือน้อยมาก ยิ่งผลักไส เขาก็ยิ่งแนบชิด ทั้งยังรวบข้อมือทั้งสองข้างของหญิงสาวไว้แล้วก้มลงมาหาอีกครั้ง

            เมื่อไม่อาจขัดขืนได้ สุดท้ายหญิงสาวก็หลับตาปี๋ จุมพิตคราวนี้ไม่ใช่แค่การสัมผัสริมฝีปากอีกต่อไป ราวกับว่าเมื่อครู่เขาเพียงทักทายให้เธอได้เตรียมใจยอมรับ ‘จูบ’ จริงจังที่จะตามมา

            จูบนี้...ทั้งร้อนรุ่มและเรียกร้อง ริมฝีปากของเขาบดเบียดลงมาอย่างเอาแต่ใจ ช่วงชิงลมหายใจของหญิงสาวจนเธอหายใจหอบสะท้าน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ สัมผัสของเขาทั้งดุดัน และหยอกเย้าให้เธอตอบสนองอย่างที่เขาต้องการ

            เสียงหัวเราะเบาๆ แสดงถึงความพอใจของเชสก์ทำให้สติอันน้อยนิดของเธอค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้ง ศศินาเบิกตากว้าง สองมือที่เคยอ่อนแรงเริ่มต่อต้านด้วยการผลักบ่ากว้างออกไปอย่างแรง แต่ก็เหมือนผลักหินผา เขาไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักครั้ง เหมือนครั้งแรกที่เขาเคยจูบเธอไม่มีผิด...

            สาวผู้จมกับอดีตสะบัดหน้าไล่ความคิดและความทรงจำไร้ประโยชน์นั่นออกไปเสีย แล้วดันใบหน้าคมเข้มอย่างแรง แต่เชสก์ก็ ‘งับ’ ริมฝีปากล่างเธอไว้จนเธอร้องลั่น นั่นละเขาถึงยอมปล่อย ทั้งยังหัวเราะออกมาอีกด้วย

            “โรคจิต” สาวร่างเล็กลุกขึ้นทันที พลางใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากแรงๆ ลบสัมผัสของเขาออกไป แต่ก็เหมือนเดิม ก้าวหนีไปได้ไม่ถึงสองก้าว เชสก์ก็ตามมาคว้าแขนเธอไว้อีกครั้ง

            “เรายังคุยกันไม่จบ”

            “จบแล้ว” ศศินาแว้ดใส่แล้วสะบัดหน้าหนี ไม่อาจมองหน้าเขาได้เลย เธอไม่อยากเห็นรอยยิ้มแบบผู้ชนะของเขาอีกแล้ว...พอกันที!

            แต่เชสก์ไม่ยอม ‘จบ’ ด้วยนี่สิ

            เธอคงเดินไปไหนต่อไหนได้แล้ว ถ้าไม่ถูกเขาคว้าไว้อีกครั้ง แขนแกร่งโอบกระชับรอบเอวเล็กไว้แล้วลากกลับมาที่โต๊ะอาหาร เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หนุ่มเจ้าของบ้านใช้มืออีกข้างกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงไป เสียงจานและข้าวของตกพื้นทำให้ศศินาใจหาย ไม่คิดว่าเขาจะบ้าได้ขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสแม้จะเปล่งเสียงร้อง ร่างบอบบางถูกกดลงบนโต๊ะอาหาร เชสก์จูบเธออีกครั้ง คราวนี้มือของเขาไม่อยู่สุขอีกต่อไป แต่กลับเลื่อนไล้ไปทั่วร่างงามก่อนจะมาจบลงที่คอเสื้อแล้วกระชากเต็มแรง

            หญิงสาวช็อกจนพูดไม่ออก แม้แต่จะร้องยังไม่มีเสียง ยามเมื่อเชสก์แตะลงบนปานและรอยแผลที่ข้างทรวงอกด้านขวา หญิงสาวสะดุ้งราวกับปลายนิ้วนั้นคือไฟร้อนรุ่ม ดวงตาวาววับของเขาตรึงเธอไว้จนพูดไม่ออก อยากหนีก็หนีไม่ได้ ได้แต่ภาวนาไม่ให้เขาทำอะไรบ้าๆ กับเธอ

            “ได้แผลนี้มาได้ยังไง” ซีอีโอหนุ่มถามเสียงเย็น ถ้าเป็นเวลาอื่นเธอคงกล้าที่จะบ่ายเบี่ยงด้วยคำตอบกวนประสาท แต่ดูจากสายตาเขาที่จ้องมายังหน้าอกเธอแล้ว...เธอไม่กล้าเสี่ยง

            “อุบัติเหตุค่ะ”

            “เมื่อไหร่”

            “ตอนที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ” คำตอบของเธอทำให้เชสก์หรี่ตาลงนิดๆ

            “ปีไหน”

            “เมื่อห้าปีก่อน”

            “นักเรียนทุนใช่ไหม” ประกายตาของชายหนุ่มลุกวาบราวกับว่า ‘รู้’ ถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอแล้ว

            ศศินาถอนหายใจ มาถึงตรงนี้เธอคงเตะถ่วงต่อไปไม่ได้ เชสก์ดูบ้าและโรคจิตกว่าที่เธอคิดมาก การอยู่ในกำมือเขาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ อะไรจะเกิด...ก็ให้มันเกิด

            “ตอบ!”

            “ใช่ค่ะ เกิดอุบัติเหตุกับฉัน ฉันคงตายไปแล้วถ้าไม่เจอ ‘สามี’ ของฉันที่ช่วยเหลือฉันไว้ ฉันเลยแต่งงานกับเขา”

            “ว่ายังไงนะ” คนฟังขมวดคิ้ว “เธอแต่งงานกับผู้ชายที่ช่วยชีวิตเธอ...เหตุผลแค่นี้หรือ”

            “แล้วจะมีอะไรดีกว่านี้อีกหรือคะ ฉันคงตายไปแล้วถ้าไม่เจอเขา คุณคิดว่าเด็กอย่างฉันจะทำอะไรได้ ในเมื่อเขาช่วยฉัน เขาอยากได้อะไรฉันก็ต้องทำเพื่อตอบแทนเขา...”

            “ด้วยตัวเธอเองอย่างนั้นหรือ!” เชสก์กระชากเสียงถาม ดวงตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นทุกขณะ

            “มีอะไรที่ดีกว่านี้หรือ” คนเสียงหวานประชด ความทรงจำใน ‘วันนั้น’ แวบผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง แต่เธอก็เลือกที่จะลบมันไปจากสมองอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาตั้งสติสำหรับการเผชิญหน้ากับผู้ชายตรงหน้า

            เชสก์ อะลอนโซ ยิ้มชั่วร้าย เขาก้มลงมาใกล้จนปลายจมูกแตะพวงแก้มของศศินาที่กำลังเบือนหน้าหลบพอดี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ฉันก็เคยช่วยเธอ แล้วถ้าตอนนี้ฉันอยากได้สิ่งตอบแทนบ้างล่ะ”

            คนฟังรู้ได้ทันทีว่าเชสก์รู้ทุกอย่างแล้ว เมื่อหกปีก่อนเขาเคยช่วยเธอจากเรื่องของมยุรฉัตร ไม่ให้เธอติดร่างแหถูกกล่าวหาว่าให้ที่พักพิงแก่อาชญากร

            เขารู้...ว่าเธอคือใคร!

            หญิงสาวยิ้มไม่ออก เธอรู้ดีเสมอว่าเชสก์เป็นคนฉลาด และเธอไม่เคยโกหกเขาได้สักครั้ง อย่างเธอจะตบตานักธุรกิจเหลี่ยมจัดอย่างเขาได้อย่างไร เขารู้ตั้งแต่แรก แต่บีบให้เธอยอมรับด้วยวิธีสกปรกถึงเนื้อถึงตัว

            แต่เขาจะไม่มีวันได้อะไรจากเธออีก!

            ไม่มีสาวน้อยเพ้อฝันและทะเยอทะยานอีกต่อไปแล้ว ความผิดพลาดที่ผ่านมาสอนให้หญิงสาวอยู่กับความจริงที่ว่าโลกใบนี้โหดร้ายแค่ไหน และอย่าได้คิดจะหาความจริงใจจากผู้ชายคนใดอีกเลย...ไม่มีอีกแล้ว

            “คุณไม่อยากได้หรอก” สาวร่างเล็กยิ้มเย็น

            “ทำไมคิดแบบนั้น” เชสก์หัวเราะในลำคอ “ไม่อยากรื้อฟื้นหรือ...ผักหวาน”

            ทันทีที่ชื่อเดิมของเธอหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม ความเงียบก็เข้าปกคลุมคนทั้งคู่ทันที ก่อนเชสก์จะทนสีหน้าไม่ยินดียินร้ายของหญิงสาวไม่ไหว

            “ไม่แปลกใจเลยหรือที่ฉันรู้”

            คนถูกถามส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วพูดต่อไปว่า “คุณรู้นานแล้วนี่คะ”

            “ถ้าอย่างนั้นทำไมหนีฉัน”

            “คุณไม่อยากแตะต้องฉันหรอกค่ะเชสก์” ศศินาจับมือของเชสก์ที่ยังแตะแผลเป็นของเธอไว้แล้วออกแรงดึงมือเขาออก แล้วใช้มืออีกข้างรวบสาบเสื้อเข้าหากัน

            “ถ้าฉันไม่อยากได้ ฉันจะจูบเธอแบบนั้นหรือ...เธอหายไปไหนมาผักหวาน”

            “ฉันหายไปแต่งงาน ไม่สิ...ไม่ได้แต่ง แค่เป็นภรรยาของผู้ชายคนหนึ่ง มีลูกหนึ่งคน ตอนนี้ก็สี่ขวบแล้ว”

            “ลูกฉันใช่ไหม...”

            “ไม่ใช่!” เธอแว้ดใส่เขาทันที “ฉันไม่เคยมีลูกกับคุณ”

            “ในเมื่อเธอมีลูกตั้งแต่สิบเก้า แล้วเด็กนี่จะเป็นลูกใคร ถ้าไม่ใช่ลูกฉัน”

            “ก็ลูกสามีฉันน่ะสิ”

            สิ้นคำพูดของหญิงสาว เชสก์ก็ก้าวถอยหลังไปทันที เป็นโอกาสให้ศศินาลงมาจากโต๊ะอาหารแล้วเดินออกห่างจากเขาโดยที่มือน้อยยังกำเสื้อไว้แน่น ยอมรับว่ากลัวใจเขาเหลือเกิน กลัวว่าเชสก์จะเป็นบ้าทำอะไรอย่างเมื่อครู่อีก แต่อีกใจ...เธอก็เชื่อว่าตัวเองรู้จัก เชสก์ อะลอนโซ มากพอ เขาเป็นคนเอาแต่ใจ เจ้าเล่ห์ และเจ้าชู้เปลี่ยนผู้หญิงบ่อยก็จริง แต่เขาไม่มีวันใช้ของ ‘มือสอง’ จากใคร ซึ่งคุณแม่ลูกหนึ่งอย่างเธอก็คงเข้าข่ายของมือสองที่ว่าไปแล้วกระมัง แต่ก็ดีแล้ว จะได้จบๆ กันไป เธอจะชดใช้ให้เขาในฐานะผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัย แฮกเกอร์ หรืออาชญากรก็แล้วแต่เขาจะจำกัดความ แต่เธอจะไม่มีวันชดใช้ให้ด้วยการเป็นของเล่นมหาเศรษฐีอย่างเขาแน่นอน

            “เธอเปลี่ยนไปเยอะนะผักหวาน”

            “กรุณาเรียกชื่อใหม่ดีกว่าค่ะ หรือจะเรียกว่าเอสแบบที่คนอื่นเรียกก็ได้ แต่อย่าเรียกชื่อเดิมอีกเลย ฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว” หญิงสาวบอกด้วยเสียงราบเรียบทว่าหนักแน่น บ่งบอกว่าเธอโตขึ้นแล้ว เป็นแม่คนแล้ว ถึงแม้ว่าจะอายุแค่ยี่สิบสามก็เถอะ แต่จากสิ่งที่เธอเคยทำลงไป อย่างไรเธอก็ไม่ใช่คนเดิมและคงไม่มีวันกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกแล้ว

            เชสก์นิ่งไปเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า เขามองเธอแวบเดียวเท่านั้นก็เดินดุ่มๆ ออกไปทันทีโดยไม่พูดจาหรือว่าออกคำสั่งอะไรอีก

            ศศินาถอนหายใจโล่งอก ดูจากสายตาท่าทางนั้นบ่งบอกว่าเขา ‘รังเกียจ’ เธออย่างจริงจัง ซึ่งก็ดีแล้ว อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกันอีกเลย

            ‘คุณอะลอนโซสั่งให้คุณสไนเดอร์แต่งตัวและลงไปรอที่ห้องทำงานค่ะ มีแม่บ้านเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว อยู่ในตู้เดียวกับของคุณอะลอนโซค่ะ’ เสียงระบบปฏิบัติการนานาถ่ายทอดคำสั่งจากเจ้านาย

            ศศินาได้แต่พยักหน้าเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติเสียใหม่ ปลอบใจตัวเองว่าก็ยังดีที่เขายังให้เธออยู่ที่นี่ทั้งที่ควรจะจับเธอส่งให้ตำรวจไปแล้ว หลังจากที่เธอบอกเขาไปแบบนั้น เธอไม่กลัวตำรวจเพราะเคยผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เธอยังมีอีกชีวิตที่รักและต้องดูแล เพราะถ้าเธอเป็นอะไรไป คนที่ลำบากที่สุดก็คืออเล็กซานโดร ซึ่งเธอยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้

            หญิงสาวเดินกลับมาที่ห้องนอนก็พบว่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว รวมทั้งชุดชั้นในด้วย เชสก์ยังจำทุกอย่างของเธอได้ เสื้อเชิ้ต กระโปรง และรองเท้าผ้าใบแบบที่เธอชอบ ขนาดที่สวมใส่ได้พอดี แต่ถึงเขาจะใส่ใจหรือจดจำได้เพียงไร ระหว่างเขากับเธอก็มาไกลเกินกว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

            ดวงตากลมโตทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ตึกรามบ้านช่องในมหานครนิวยอร์กเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นตาเหมือนวันแรกที่มาถึง จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปตลอดกาล
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น