5

บทที่ 5


           

เสียงฝีเท้าผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาดังอย่างต่อเนื่อง ฟังแล้วก็เหมือนทุกวันของมหานครนิวยอร์กที่มีผู้คนมากหน้าหลายตาหลากเชื้อชาติเข้ามาทำงาน หรือแม้กระทั่งมาท่องเที่ยว แต่หนุ่มใหญ่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องเล็กๆ ในย่านฮาเล็มของเกาะแมนฮัตตันก็แยกแยะเสียงพวกนั้นได้เสมอ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่บ่งบอกว่าคนเดินคงกำลังก้าวย่าง ทว่าหนักแน่น ปะปนกับเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอเร่งรีบของคนทำงาน เสียงฝีเท้าหนักแน่นทอดลงเชื่องช้าและหยุดลงในที่สุดพร้อมๆ กับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น 

            หนุ่มใหญ่ผมสีบลอนด์นัยน์ตาสีฟ้ายิ้มมุมปาก ถึงเวลานัดหมายแล้วกระมัง...

            “มาถึงเร็วกว่าที่คิด” เจ้าของห้องพูด เบี่ยงตัวเล็กน้อยให้ผู้มาเยือนเข้ามาในห้อง จากนั้นจึงมองซ้ายมองขวาอีกครั้งก่อนจะปิดประตู

            “ก็เกือบจะมาไม่ถึงแล้วเหมือนกัน ต้องเข้าทางฝั่งเม็กซิโก ดีที่มีเอกสารปลอมไว้หลายชื่อ” คนมาใหม่บ่น นั่งลงตรงหน้าชายเจ้าของห้องแล้วถามว่า “ได้เรื่องหรือยัง”

            “ถ้าพวกมันทิ้งร่องรอยไว้ให้ตามง่ายๆ มันไม่ลอยนวลมาได้ถึงห้าปีหรอกเวส” มิโรสลาฟหัวเราะหึๆ เขาทำงานมานานกว่าเวสที่เพิ่งโดดมารับงานล่าตัวเดอะดาร์กแฟนทอมต่อจากหัวหน้าทีมที่ตาย แต่กลับพลาดท่าเสียทีจนหมดอนาคต เปลี่ยนสถานะจาก ‘ผู้ล่า’ มาเป็น ‘ผู้ถูกล่า’ เสียแล้ว แต่ก็ยังใจร้อนไม่เลิก

            “แล้วคนน้องมันล่ะ”

            จากที่เคอติส หัวหน้าคนเก่าของเวสเคยสืบสวนคดีของเดอะดาร์กแฟนทอม และได้ผู้ต้องสงสัยคือ อัลเบอร์โต อะลอนโซ แต่แล้วก็กลับมีภาพเจ้าพ่อนักค้าอาวุธสงครามหนุ่มเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงว่าเขาไม่ใช่เดอะดาร์กแฟนทอมอย่างที่เข้าใจ เวสจึงตามร่องรอยสถานที่ที่เคยมีการทิ้งหน้ากากหนังสีดำ สัญลักษณ์ของพวกเดอะดาร์กแฟนทอมไปถึงฮ่องกง และพบว่าเจ้าพ่อกาสิโน วูล์ฟ ยัง มีส่วนในฐานะเส้นทางการฟอกเงิน

            เวสเกือบจะได้หลักฐานทั้งหมดมาแล้ว แต่ทุกอย่างสลายวับไปกับตาเพราะถูกพวกนั้นตลบหลัง เมื่อสืบสาวประวัติจึงพบว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนไฮสกูลและมหาวิทยาลัย

            ถ้าทั้งอัลเบอร์โตและวูล์ฟล้วน ‘เคย’ เป็นผู้ต้องสงสัยด้วยกันทั้งนั้น แล้วน้องชายแท้ๆ อย่าง เชสก์ อะลอนโซ จะไม่เกี่ยวเชียวหรือ...

            หัวหน้ากลุ่มเงาหรือเดอะชาโดว์ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาสบตากับเวส แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างคนที่มีประสบการณ์มากกว่าและมองคนได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่า

            แน่นอนว่า เชสก์ อะลอนโซ ต้องอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำหน้าที่อะไร มากน้อยแค่ไหน และสร้างศัตรูไว้มากเพียงไร นี่ต่างหากที่เขาต้องหาคำตอบ

            “คุณควรทำอะไรสักอย่าง” อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจสากลเร่ง

            “เราจะรีบทำไม ในเมื่อตอนนี้คนที่ต้องหนี ต้องปิดบังซ่อนเร้น...คือพวกมัน”

            “หมายความว่ายังไง” ดวงตาคมดุของอดีตตำรวจสากลหรี่แคบลงด้วยความสงสัย

            “วันนี้ผมเพิ่งรื้อคดีเก่าๆ เมื่อตอนที่อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ถูกจารกรรมข้อมูลคราวได้งานวางระบบสื่อสารให้กองทัพเมื่อหกปีก่อน”

            “แล้ว?” เวสเลิกคิ้ว รอให้มิโรสลาฟพูดต่อ

            “กลุ่มนายทุนที่ต้องการข้อมูลของเชสก์ขายข้อมูลต่อให้พวกผู้ก่อการร้ายโครนอสที่เพิ่งถูกโค่นล้มไป รัฐบาลยิ่งเข้มงวดเรื่องการสื่อสารจนเลยเถิดไปถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงเกิดเป็นกลุ่มต่อต้านขึ้นมา”

            “กลุ่มต่อต้านอะไร”

            “ผู้ว่าจ้างรายใหม่ของผมน่ะสิ” อดีตหน่วยรบพิเศษหนุ่มใหญ่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “โชคดีจริงๆ ที่เป้าหมายของพวกนั้น...คือเป้าหมายเดียวกับเรา”

            “พวกนั้นคือพวกไหน”

            มิโรสลาฟยิ้มเหี้ยมแล้วตอบด้วยเสียงหนักแน่น “พวกภาคี”

            “ภาคีบ้าบออะไรอีก” เวส สไนเดอร์ ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “แล้ว เชสก์ อะลอนโซ เกี่ยวอะไรด้วย”

            “พวกนั้นสงสัยว่างาน เชสก์ อะลอนโซ ไม่จบแค่งานที่ต้องส่งให้รัฐบาลตามการว่าจ้าง แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น”

            “ไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มต่อต้านต้องสนใจนี่” เวสยักไหล่ เชสก์จะทำจริงหรือไม่จริงแล้วจะเกี่ยวอะไรกับเดอะดาร์กแฟนทอม เขาสนใจแค่เรื่องนี้เท่านั้น เรื่องอื่นก็ช่างหัวมันเถอะ

            “ถ้าไม่มีแรงจูงใจ พวกนั้นจะสนใจทำไมล่ะ...จริงไหม”

            “คุณจะทำอะไรกันแน่มิโรสลาฟ”

            “ไม่ต้องทำอะไรหรอก ‘พวกนั้น’ ต่างหากที่จะทำ ตอนนี้เราแค่รอเวลาเท่านั้น”

            “เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ” ดวงตาของคนพูดวาววับและเต็มไปด้วยประกายแห่งความเกลียดชัง

            “ใจเย็นสิเวส” เจ้าของห้องหัวเราะหึๆ แล้วพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ด จ้องมองข้อความที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่วางตา                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                             แล้วพูดต่อไปว่า “นี่มันแค่เริ่มต้น”

            “แต่...”

             “เชื่อเถอะว่าผมล่าพวกมันมานานกว่าคุณ” เจ้าของห้องตัดบทและไม่พูดอะไรอีก ทำให้ เวส สไนเดอร์ ก็ต้องเงียบลงเช่นกัน ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้ แค่จะมีตัวตนบนโลกยังไม่ได้ ต้องใช้ชื่อนามสกุลปลอมหลบๆ ซ่อนๆ ไปวันๆ นาทีนี้จึงได้แต่อดทนรอให้ถึงวันที่จะ ‘เอาคืน’ เท่านั้น

เมื่อคราวแรกที่มาถึงแมนฮัตตันและลองมาสำรวจอาคารสำนักงานของอะลอนโซ ทาวเวอร์ ศศินาเคยแหงนหน้าขึ้นมองชั้นบนสุดที่เป็นเพนต์เฮาส์ของเชสก์ พยายามจินตนาการว่าที่อยู่ของเจ้าพ่อแห่งวงการอิเล็กทรอนิกส์และไอทีอย่างเชสก์จะหรูหราแค่ไหน เธอนึกไม่ออกเลย จนกระทั่งได้มานั่งอยู่ในเพนต์เฮาส์แห่งนี้

            จะเรียกว่าชั้นบนสุดคงไม่ได้เพราะพื้นที่ส่วนตัวของเชสก์แบ่งเป็นสี่ชั้นที่อยู่ด้านบนสุด ดาดฟ้าเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มีสระว่ายน้ำบนยอดตึกหรูและมุมพักผ่อนแบบกลางแจ้ง ส่วนตัวเพนต์เฮาส์แบ่งเป็นสองชั้น ห้องนอนอยู่บนชั้นที่สอง ปูด้วยกระเบื้องสีขาวดำและตกแต่ด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวล้วนดูหรูหราและทันสมัย รูปทรงแปลกตาแต่เน้นใช้งาน ส่วนอีกสองชั้นด้านล่างหนึ่งคือแล็บส่วนตัวและชั้นสำหรับเก็บซูเปอร์คาร์

            ความหรูหราร่ำรวยของเขายิ่งทำให้ศศินาคอตก เธอเอาแต่นั่งนิ่งๆ ฟังเสียงรัวคีย์บอร์ดของเชสก์ที่กำลังนั่งทำงานอย่างเครียดๆ และละสายตามามองเธอเป็นระยะๆ นั่นทำให้หญิงสาวต้องหันหลังไปอีกทางทันที

            “หันมาทางนี้” ชายหนุ่มสั่งเสียงเฉียบ แม้เขาไม่เอ่ยชื่อ แต่เธอก็รู้ดีว่าเขาหมายถึงใคร

            หญิงสาวจำต้องหันไปอย่างว่าง่าย เพราะตอนนี้เธออยู่ตามลำพังกับเขาในห้องหับที่ปิดมิดชิดทั้งยังเป็นอาณาเขตของเขาอีกต่างหาก การขัดใจเขาจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเลยสักนิด

            “มานั่งนี่สิ” เชสก์ออกคำสั่งอีกครั้ง

            ศศินาลอบคิดในใจว่าเขาช่างเอาแต่ใจเสียจริง แต่อย่างเธอหรือจะขัดเขาได้ สุดท้ายหญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา

            “มาคุยกันหน่อย จากประวัติเธอ...ลูกชายชื่อ อเล็กซานโดร ไวลด์ อย่างนั้นใช่ไหม”

            “ค่ะ”

            “ทำไมคนละนามสกุลกับเธอ”

            “เขาใช้นามสกุลพ่อเขา” เธอตอบเสียงเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ จนเชสก์ได้แต่หรี่ตามองด้วยความสงสัย แต่ก็เลือกที่จะเก็บไว้ แล้วถามต่อไปว่า

            “เธอนามสกุลสไนเดอร์หรือ...ดูไม่เหมือนลูกครึ่งนะ”

            “แต่ฉันก็ใช้นามสกุลนี้มานานมาก”

            “นามสกุลเก่าล่ะ” เชสก์ยังซักไม่เลิก เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยก็จริง แต่ดวงตาวาววับ พานให้คนมองหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที

            ศศินาได้แต่ค่อนขอดในใจว่าทำตัวเป็นตำรวจไปได้ ทั้งที่หน้าตาท่าทางกระเดียดไปทางเจ้าพ่อมาเฟียเสียมากกว่า เธอไม่ยอมตอบ เอาแต่นั่งมองหน้าเขานิ่งๆ จนเชสก์ทนความเงียบไม่ไหว ถามต่อไปว่า

            “มีลูกตั้งแต่อายุสิบเก้าหรือ”

            คำถามของเขาทำให้ศศินาอดสงสัยไม่ได้ว่าจะถามเพื่ออะไร ในเมื่อประวัติก็บอกอย่างนั้น

            “ไม่ตอบก็ได้...ไว้ฉันจะหาคำตอบเอง”

            ตาวาววับของเขาทำให้ศศินาหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาทันที แบบนี้หมายความว่าเขารู้เรื่องของเธอแล้วใช่ไหม แล้วถ้ารู้...เขาจะทำอย่างไรกับอเล็กซ์!

            “ฉันจะให้คนของฉันไปรับลูกเธอมาที่นี่” อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วเอนตัวพิงพนักพิงด้านหลังสบายๆ แต่ยังไม่ละสายตาจากศศินาเลยแม้เพียงชั่วเสี้ยววินาที

            “จริงหรือคะ”

            “ใช่...แต่เธอต้องบอกทุกอย่างกับฉัน เริ่มจากเรื่องพ่อของเด็กนั่น”

            “ไม่น่าเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันทำลงไปนะคะ” คราวนี้ศศินาเริ่มนั่งไม่ติด เริ่มกลัวว่าถ้าเขารู้เรื่องอเล็กซานโดรแล้วเขาจะทำอย่างไร

            “เกี่ยวสิ ถ้าฉันอยากรู้” เชสก์ยังดื้อดึง

            “คุณเชสก์!” ศศินาร้องอย่างเหลืออด เขาพยายามถามซ้ำๆ ให้เธอหมดความอดทนและยอมรับใช่ไหมว่าเธอเป็นใคร แต่ในเมื่อคำถามนี้ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เธอทำลงไปเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องตอบ

            หนุ่มสาวสบตากันอย่างเอาเรื่อง ก่อนที่เชสก์จะเป็นฝ่ายหมดความอดทนตามประสาคนเอาแต่ใจที่เคยเป็นอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น ชายหนุ่มออกแรงกระชากแขนสาวตรงหน้าให้ลุกขึ้นแล้วบีบข้อมือสาวเจ้าเต็มแรง

            ‘สายจากเดรโกค่ะคุณอะลอนโซ’ เสียงเตือนจากระบบปฏิบัติการนานาไม่ต่างจากระฆังช่วยชีวิตศศินาให้พ้นจากเงื้อมมือของชายหนุ่ม

            “เข้าไปรอในห้อง อย่าได้พยายามหนีไปไหนเด็ดขาด” ซีอีโอหนุ่มชี้นิ้วขู่ แล้วก้มลงคีย์คำสั่งกับระบบปฏิบัติการนานา ตามด้วยคำสั่งเสียง “ปิดห้อง ไม่มีคำสั่งจากฉันก็ห้ามใครออกไปจากที่นี่”

            ‘รับทราบค่ะคุณอะลอนโซ’

            ศศินาได้แต่มองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาเอาเรื่อง สู้กันด้วยสายตาอยู่อย่างนั้น แต่สุดท้ายเธอก็ต้องพ่ายแพ้ต่ออำนาจของเขาเช่นเคย หญิงสาวกำหมัดแน่น เดินขึ้นไปบนชั้นสองที่เป็นห้องนอนของเชสก์ตามที่เขาสั่งไว้

            เธอไม่น่ามาที่นี่เลยจริงๆ! สาวร่างเล็กคิดอย่างแค้นๆ แล้วนั่งลงบนเตียงของเขา พลันก็มีเสียงร้องของตัวอะไรบางอย่างดังขึ้น

            เมี้ยว...

            ศศินาสะดุ้งเฮือก หันไปทางต้นเสียงทันที แวบแรกเธอตกใจคิดว่าเป็นลูกเสือ แต่เมื่อมองดีๆ ก็พบว่ามันคือ...แมว!

            หญิงสาวมองแมวเบงกอลสีน้ำตาลเหมือนลูกเสือตัวอ้วนกลมจนไม่มีคอที่กำลังมองเธอด้วยตาวาววับ ยิ่งผสมกับสีหน้าเหวี่ยงวีนบึ้งตึงของมันแล้ว ศศินาก็เชื่อสุดใจว่าแมวของเชสก์แน่ๆ

            แต่ผู้ชายท่าทางป่าเถื่อนแบบ เชสก์ อะลอนโซ เลี้ยงแมวอย่างนั้นหรือ...ถึงจะเป็นพันธุ์ที่เหมือนลูกเสืออย่างไรก็เถอะ แต่มันคือแมว!

            แมวอ้วนมองเธอ จากนั้นจึงร้องแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง แล้วก็เดินหนีไปอีกห้องที่อยู่ติดกัน ทิ้งให้ศศินานึกไปถึงความทรงจำครั้งก่อนของตัวเอง ก่อนหน้านี้เธอก็เคยมีแมวเช่นกัน แต่ทิ้งไว้ที่บ้านเมื่อคราวต้องจากบ้านมาเรียนไกลคนละซีกโลก กว่าจะรู้อีกทีมันก็ตายไปแล้ว พอมาเห็นแมวของเชสก์ก็อดคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ไม่ได้

            ถ้ามีโอกาสย้อนเวลากลับไปได้...ก็คงจะดีไม่น้อย

คล้อยหลังหญิงสาวไปแล้ว เชสก์จึงสั่งให้นานาโอนสายจากเดรโกให้

            “ว่าไงเดรโก” เชสก์ถามเสียงเครียด สายตายังจับจ้องชั้นบนราวกับคอยระแวดระวังว่าศศินาจะลงมาได้ยินหรือไม่

            “เจอตัวเด็กแล้วครับ แต่เกิดเรื่อง...มีคนพยายามลักพาตัวเด็ก คนของเราช่วยไว้แล้ว แต่ว่า...”

            “แต่อะไร”

            “เด็กเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมพูดอะไรเลยครับ เรียกหาแต่แม่”

            สิ้นเสียงรายงานจากลูกน้อง ร่างทั้งร่างของเชสก์ก็ชาวาบราวกับถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่ เชสก์แทบไม่ได้ยินสิ่งที่เดรโกรายงานแล้ว ตลอดชีวิตเขา เขาไม่เคยกลัวเท่านี้มาก่อน แม้ไม่แน่ใจว่าศศินาเป็นใครกันแน่ และเด็กนั่นจะใช่ลูกเขาหรือไม่ แต่พอได้ยินว่าเด็กกำลังมีอันตราย หัวใจเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะเดิมอีกต่อไป ใครกันที่โหดเหี้ยมพอถึงขนาดเอาเด็กเป็นตัวต่อรองได้ พวกนั้นเป็นใครกันแน่

            “ให้ทำยังไงต่อครับคุณเชสก์”

            “ฉันกับศศินาจะรีบไปรับเด็กนั่นให้เร็วที่สุด”

            “ครับ” เดรโกรับปากแล้ววางสายไป

            หลังจากวางสายจากลูกน้องแล้ว เชสก์ถอนหายใจ เขาสั่งให้เดรโกส่งคนไปรับลูกชายของศศินา แต่ทำไมกลับมีคนพยายามลักพาตัวเด็กในช่วงที่เธอถูกจับได้ว่าเข้ามาป่วนระบบในสำนักงานของเขา

            เชสก์จัดการกับระบบรักษาความปลอดภัยและก้าวขึ้นไปยังห้องพักชั้นบน แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง ใจหนึ่งก็กลัวว่าศศินาจะหนี เพราะถึงแม้ว่าจะมีระบบปฏิบัติการนานาที่อัจฉริยะเพียงไร แต่มันก็แค่เป็นภูมิปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น จะสู้คนจริงๆ ได้อย่างไร

            ซีอีโอหนุ่มพรวดพราดเข้ามาในห้อง ทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากลมโตของเธอมองเขาเขม็งแล้วเบือนหลบไปอีกทางทันที ทำให้เชสก์ลอบถอนหายใจที่อย่างน้อยเธอก็ยังไม่หนีเขาไปไหน

            “ฉันยังไม่พร้อม” เธอบอกเสียงสั่น เมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าไหล่บอบบางของสาวตรงหน้ากำลังสั่นสะท้าน ทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ ไปทันที

            “เธอหมายถึงอะไร”

            “ก็คุณให้ฉันเข้ามาในนี้...”

            “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ” เชสก์เว้นจังหวะเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวขมวดคิ้วไม่เข้าใจ จึงพูดต่อไปว่า “เรื่องลูก”

            “คุณทำอะไรลูกฉัน!” คำว่า ‘ลูก’ ที่ออกจากปากเขาทำให้หัวใจของคนฟังกระตุกวูบ เธอหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ประกายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง

            “นี่เธอคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกันแน่ศศินา”

            “ก็คุณเคยเอาลูกมาขู่ฉัน” คำว่า ‘ลูก’ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ศศินาฮึดสู้ เธอกล้าแว้ดใส่เขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ถ้าคุณทำอะไรแก คุณจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่!”

            “หมายความว่ายังไง” ดวงตาคมเข้มล้ำลึกหรี่ลงทันที เท่านั้นเองศศินาก็รู้ตัวว่าเธอพลาด เกือบบอกความลับสำคัญออกไปเสียแล้ว

            “มะ...ไม่มีอะไรค่ะ” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยตะกุกตะกัก สบตาคู่นั้นแล้วก็ต้องเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะถูกเขาจับได้

            “เอาเถอะ ฉันมีวิธีคาดคั้นจากเธอแน่ แต่ที่เข้ามาเพราะมีเรื่องใหญ่กว่า”

            น้ำเสียงเคร่งเครียดของเขาทำให้หญิงสาวยอมหันกลับมาในที่สุด รอคอยว่าเชสก์จะพูดอะไรต่อไป

            “ลูกเธออยู่กับใคร สามีเธอหรือ” เชสก์ถามเสียงเข้มแล้วนั่งลงบนเตียงข้างศศินา

หญิงสาวสะดุ้งแล้วถดตัวหนีไปไกลและไม่ยอมตอบ ทำเอาชายหนุ่มชักสีหน้าหงุดหงิด นึกพาลว่าไม่รู้จะกลัวอะไรเขานักหนา

            “เขาไม่ได้อยู่กับลูกเธอตลอดเวลาใช่ไหม”

            “ค่ะ” เจ้าของเสียงหวานพยักหน้า “เราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว แต่...ลูกก็ไปๆ มาๆ เราผลัดกันดูแลแก” เธอพูดตะกุกตะกักไม่มั่นคง ทั้งยังหลบตาตลอดเวลาจนน่าสงสัย

            เชสก์ถอนหายใจเล็กน้อย มีคำถามมากมายที่เขาต้องการคำตอบ แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อที่เธอพูดเลยแม้แต่คำเดียว แต่ต้องเว้นระยะห่างเล็กน้อย เชื่อเถอะว่าเขาต้อง ‘สอบสวน’ เธอต่อแน่

            “มีอะไรหรือเปล่าคะ” คนเสียงหวานถามเมื่อเห็นเขาเงียบไป

            “มีคนพยายามลักพาตัวลูกชายเธอ”

            “อะไรนะคะ!” หญิงสาวทวนถาม ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

            “ฉันบอกว่ามีคนพยายามลักพาตัวลูกชายเธอ ฉันจะ...”

            “คุณคิดจะทำอะไรลูกฉัน!” ศศินาลุกพรวด แต่ช้ากว่าเชสก์ที่ดึงคนตัวเล็กกว่าเข้ามาแนบอกกว้าง ไม่สนใจอาการดิ้นรนขัดขืนของเธอเลยสักนิด ยิ่งเธอดิ้น เขาก็ยิ่งเพิ่มแรงบีบที่มือมากขึ้นจนสาวเจ้าได้สติ

            “เธอเห็นฉันเป็นคนยังไง” เขากระซิบถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ดับอารมณ์ร้อนของหญิงสาวไปได้ทีละน้อย จนกระทั่งเธอได้สติ

            “ก็คุณ...”

            “คนของฉันรายงานว่ามีคนพยายามพาตัวลูกชายเธอไปจากรถของเนิร์สเซอรีระหว่างทางกลับบ้าน แต่คนของฉันช่วยเด็กมาไว้ได้ ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าเธอทำงานให้ใครกันแน่” เขาถามเสียงเรียบ ไม่มีแววข่มขู่เหมือนคราวแรกก็จริง แต่ดวงตาคมเข้มคู่นั้นทำให้หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที

            ศศินารู้ว่าเชสก์เป็นใคร ฉากหน้าเขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จก็จริง แต่เธอรู้มามากกว่านั้น รู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน เขาไม่ใช่แค่นักธุรกิจธรรมดาๆ อย่างที่เห็นแน่ เหรียญมีสองด้านอย่างไร ผู้ชายชื่อ เชสก์ อะลอนโซ ก็มีสองด้านอย่างนั้น

            “ว่าไง...เธอจะบอกได้หรือยังว่าเธอทำงานให้ใคร” เขาถามซ้ำ กดดันให้เธอต้องตอบ แต่เธอตอบไม่ได้ มีหลายอย่างที่ยังพัวพันระหว่างเธอกับผู้ออกคำสั่ง การอยู่กับเชสก์ไม่ได้หมายความว่าเธอจะปลอดภัย เธอไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น

            หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้า น้ำตาร่วงลงมาจนได้ เธอไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์กดดันเช่นนี้ทำให้เธอพูดไม่ออก

            “ยังไม่บอกก็ได้ แต่ฉันก็จะไม่พาเธอไปหาลูก จนกว่าเธอจะยอมพูดออกมาเสียที!” เชสก์ตัดบท เขาลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปด้วยความเร็วไม่ต่างจากตอนที่เข้ามา

            ศศินาซุกหน้าลงกับฝ่ามือแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น เธอไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เธอทำลงไปจะเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของผู้คนถึงเพียงนี้ ไหนจะห่วงลูกก็อีก ถ้าอเล็กซานโดรมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากตกอยู่ในเงื้อมมือของเชสก์ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...เธอจะทำอย่างไรต่อไป

            เชสก์กลับเข้ามาที่ห้องทำงาน หัวเสียที่ศศินาปากหนักเหลือเกิน ก็แค่พูดชื่อคนที่ทำงานให้ก็เท่านั้น แต่ทำไมเธอไม่ยอมพูดมันออกมาเสียที

            ในเมื่อทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ดังนั้นทางเดียวที่เหลือคือแตะต้อง ‘ของต้องห้าม’ ที่อาจนำภัยมาสู่ตัว แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาทนรอไม่ไหวแล้ว...

            เชสก์ก้าวออกจากห้องทำงานอีกครั้ง แล้วลงลิฟต์ไปยังห้องแล็บปฏิบัติการของตัวเอง ใช้คำสั่งเสียงในการเปิดห้อง สแกนลายนิ้วมือและม่านตาที่เป็นด่านรักษาความปลอดภัยอีกชั้นแล้วจึงเข้าไปด้านใน

            ห้องแล็บของเชสก์เป็นห้องโล่งๆ มีเพียงจอแสดงผลจากระบบปฏิบัติการนานาเท่านั้น การทดลองส่วนมากคำนวณผ่านสมการจากระบบสมองกล ไม่ต้องลงมือเอง ฟังก์ชันและคำสั่งต่างๆ จะแสดงผลลัพธ์ที่หน้าจอ ยกเว้นของ ‘ต้องห้าม’

            ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มจับจ้องไปยังแลปทอปเครื่องเล็กธรรมดาๆ สี่เครื่องที่ตั้งไว้กลางห้อง ซึ่งก็จริงทุกอย่าง มันก็แค่แลปทอปธรรมดาเท่านั้น แต่ของที่อยู่ข้างในต่างหากที่ไม่ธรรมดา

            เชสก์นั่งลงตรงหน้าแลปทอปเครื่องที่อยู่ตรงกลางและเปิดเครื่อง เปิดโปรแกรม ‘ต้องห้าม’ ที่ได้จากมยุรฉัตร ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ แต่เขากลับเก็บไว้ทั้งที่รู้ว่ามันจะนำภัยมาสู่ตัวเข้าสักวัน ทว่าตอนนี้เชสก์ไม่สน ถ้าใช้มันยืนยันตัวตนของศศินาได้...เขายินดี

            ชายหนุ่มพิมพ์ชื่อ ศศินา สไนเดอร์ พร้อมทั้งรูปจากแฟ้มประวัติบุคลากร เริ่มค้นหาสิ่งที่ต้องการลงไปในโปรแกรมต้องห้ามจากนั้นก็รอ...

            โปรแกรมอัจฉริยะยังทำงานอย่างต่อเนื่อง เชสก์นั่งเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ จากจังหวะเชื่องช้าก็เริ่มรัวเร็วขึ้นตามใจที่ร้อนรน และในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

            “นานา ถ่ายโอนผลลัพธ์เข้ามือถือฉันด้วย”

            ‘รับทราบค่ะคุณอะลอนโซ’ เสียงระบบปฏิบัติการตอบรับ

            เชสก์ก้มลงมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่เชื่อมต่อกับโปรแกรมต้องห้าม เรียบร้อยแล้วจึงออกจากห้องแล็บ เปิดระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลแล้วเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอน

            ผู้หญิงที่ทำให้จิตใจเขาว้าวุ่นจนไม่เป็นอันทำอะไรหลับไปแล้ว เท่าที่จำได้เธอไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ทั้งยังต้องเผชิญกับเรื่องบ้าๆ ทั้งวัน จึงไม่แปลกใจเลยที่เธอหลับลึกเช่นนี้ ท่านอนของเธอไม่สบายนัก แขนข้างหนึ่งรองใต้ศีรษะต่างหมอน มืออีกข้างกำแน่นอยู่ตรงอก แม้จะหลับไปแล้วแต่กลับมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนนวลแก้ม เธอคงร้องไห้จนหลับ ภาพที่เห็นทำเอาเชสก์ใจหาย

            หนุ่มร่างสูงนั่งลงตรงหน้าหญิงสาว จัดท่าทางให้เธอนอนหลับสบายขึ้น หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อยคล้ายรำคาญ แต่แล้วก็หลับต่อ เธอคงเหนื่อยกับเรื่องที่ประดังประเดเข้ามาจึงได้หลับลึกถึงเพียงนี้

            ดวงตาคมดุกวาดมองใบหน้านวลอ่อนหวานของสาวตรงหน้า ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างเหมือนกับสุคนธวา ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งหายไปจากชีวิตเขา แม้เวลาจะผ่านไปถึงห้าปี จากเด็กสาวคงเติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว แต่โครงหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียงก็ยังคล้ายกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่าเจ้าตัวไม่ยอมรับเท่านั้น

            เชสก์มองไปยังโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่อกับโปรแกรมต้องห้ามที่อยู่ในแล็บ ก็พบว่าโปรแกรมยังทำงานของมันอย่างต่อเนื่อง...แต่ไร้ซึ่งผลลัพธ์ใดๆ เขาจึงหันกลับมาหาหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง แล้วเอื้อมมือปัดผมที่คลอเคลียบนต้นคอหญิงสาว และมองหาอะไรบางอย่าง

            เมื่อคราวที่พบสุคนธวาที่ประเทศไทยรวมทั้งการที่เธอมาเรียนต่อที่นี่ เขาและเธอมีโอกาสใช้เวลาร่วมกันช่วงขณะหนึ่ง ตลอดเวลาที่ใกล้ชิดกันเขาจำแทบทุกตำหนิของหญิงสาวได้ และที่จำได้ดีคือไฝที่ต้นคอด้านขวาของหญิงสาว

            และศศินาก็มีไฝที่ต้นคอด้านขวาเช่นกัน!

            ดวงตาคมเข้มวาววับขึ้นมาทันที ความรู้สึกอยากสำรวจทั่วเนื้อตัวหญิงสาวยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเท่าทวี แม้จะดูโรคจิตไปสักนิดที่อยากลอกคราบสาวตรงหน้ายามเธอไม่มีสติ แต่ถ้ามันจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้แน่ใจว่าเธอใช่คนที่เขาคิดหรือไม่...เขายอม

            เชสก์จัดการลอกคราบศศินาอย่างใจเย็นทั้งที่มือเริ่มสั่นน้อยๆ พยายามไม่สนใจเนินอกอวบอิ่มที่โผล่พ้นเสื้อชั้นใน แต่จะไม่มองก็ไม่ได้ ในเมื่อมันโดดเด่นท้าสายตาเขาถึงเพียงนั้น ทั้งยังปรากฏรอยปานแดงจางๆ ที่เนินอกด้านขวาของสาวตรงหน้าอีกต่างหาก

            เหมือนกับสุคนธวาไม่มีผิด!

            จากที่ไม่อยากมองให้เลือดร้อนพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง แต่สุดท้ายเชสก์ก็ต้อง ‘สำรวจ’ สาวตรงหน้าทุกซอกทุกมุมอยู่ดี เพียงแค่เห็นเรือนร่างบอบบางเปลือยเปล่าใต้แสงไฟเหลืองนวลจากข้างเตียง ส่วนที่ควบคุมไม่ได้ก็เริ่มมีปฏิกิริยาทันที

            “เวร!” เขาสบถเสียงเข้ม รีบตวัดผ้าห่มผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมร่างศศินาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นคนโรคจิตลักหลับเธอขึ้นมาจริงๆ

            เชสก์นั่งตั้งสติอยู่นานกว่าจะสงบลงได้ แล้วจึงหันไปมองสาวตรงหน้าอีกครั้ง คราวนี้เขาลองเอื้อมมือไปเลิกผ้าห่มตรงบริเวณใต้หน้าอกข้างขวาของเธอขึ้นอีกครั้ง จึงสังเกตว่านอกจากรอยปานจางๆ แล้ว ยังมีรอยแผลเป็นเป็นทางยาว เขาไม่รู้ว่าเธอโดนอะไรมา แต่ถ้ามองจากรูปแผลเป็นน่าจะเป็นของมีคมบาดลึกพอสมควร แม้จะจางลงมากแล้ว แต่ก็เป็นตำหนิเดียวบนเรือนร่างขาวนวล

            เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือทำให้เชสก์ละความสนใจจากศศินาแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้น มองผลลัพธ์จากโปรแกรมต้องห้าม

            ผลลัพธ์คือไม่มีอะไรเลย...

            ไม่มีผู้หญิงชื่อ สุคนธวา วนาลักษณ์ ประวัติล่าสุดคือเป็นนักเรียนทุนจากมูลนิธิเอส ฟาวน์เดชั่น แต่ลาออกและหายสาบสูญไป... ไม่มีผู้หญิงชื่อ ศศินา สไนเดอร์ สองคนนี้ไม่มีตัวตนในโลกด้วยซ้ำ!

            ชายหนุ่มกวาดสายตามองข้อความที่ปรากฏตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แต่มันคือเรื่องจริง โปรแกรมต้องห้ามนี้ไม่โกหกเขาแน่ และเป็นไปไม่ได้ที่มันจะผิดพลาด

            ดวงตาคมดุมองมาที่หญิงสาวที่ยังนอนหลับไม่ได้สติอีกครั้ง ความสงสัยเกิดขึ้นมากมายว่าอะไรทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้ เป็นเพราะอะไร...

            หนุ่มเจ้าของห้องลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ และกลับมานอนเคียงข้างหญิงสาวที่ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าเธอใช่สุคนธวาแน่นอน แต่เธอหายไปไหนมา ทำไมถึงตัดขาดการติดต่อและหายไปจากชีวิตเขา

            เด็กที่เธอเรียกว่า ‘ลูก’ นั่นอีกเล่า เด็กนั่นเป็นลูกใคร เป็นไปได้หรือไม่ว่าเด็กนั่นอาจจะเป็นลูกของเขา เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอทำงานให้ใคร ใช่ Mr.S หรือไม่

            เชสก์คิดไม่ตก แต่ก็มั่นใจว่าเขาจะต้องได้คำตอบทั้งหมดในเร็วๆ นี้แน่นอน
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น