4

บทที่ 4


  


 

หญิงสาวร่างเล็กบอบบางนั่งตัวลีบอยู่ในห้องทำงานบนชั้นยี่สิบของ เชสก์ อะลอนโซ เจ้าของบริษัทข้ามชาติด้านอิเล็กทรอนิกส์และไอทีรายใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในนิวยอร์ก เธอเคยเข้ามาในห้องนี้แล้ว ห้องทำงานของเชสก์กินพื้นที่ทั้งชั้นของชั้นยี่สิบ แบ่งเป็นส่วนต่างๆ มากมาย แต่ศศินารู้สึกว่ามันคับแคบเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อมีสายตาคมกริบวาววับของเชสก์จับจ้องตลอดเวลา

            ทั้งห้องยังคงตกอยู่ในความเงียบ กดดันให้หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยซ้ำ เธอเอาแต่นั่งก้มหน้าจนคางชิดอก มองนาฬิกาที่ข้อมือ เลยเวลานัดมากว่าชั่วโมงแล้ว ป่านนี้รถที่จะพาเธอหนีคงไปนานแล้ว และเธอก็จะต้องติดอยู่ที่นี่...กับเชสก์ อะลอนโซ

            “เอาละ ถึงเวลามาคุยกันเสียที” เสียงของซีอีโอหนุ่มดังกังวาน เยือกเย็น และเต็มไปด้วยอำนาจอย่างที่ทำให้คนฟังหายใจติดขัด เธอมีคดีกับเขามากมายเหลือเกินจนไม่รู้ว่าจะเลือกกลัวประเด็นไหนก่อนดี

            “ใครส่งเธอมา” อยู่ๆ เขาก็ขยับเข้ามาประชิดแล้วก้มหน้าลงถามอย่างรวดเร็วจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของชายหนุ่ม ทำเอาหญิงสาวผงะ ครั้นจะถอยหลังก็ทำไม่ได้ เพราะเขาดึงแขนเธอไว้อย่างหยาบคาย

            “ฉันถาม!” เชสก์คว้าต้นแขนทั้งสองข้างของเธอไว้แล้วบีบแรงๆ เสียงเข้มถามสำทับคล้ายคนกำลังหมดความอดทนเต็มที

            หญิงสาวสะดุ้ง เจ็บจนนิ่วหน้า แต่ไม่กล้าปริปากประท้วง ตอนนี้เธอกลัวจนแทบหายใจไม่ออก เหมือนคนจนตรอกที่หันไปทางไหนก็ไม่ได้ ไม่มีใครมาช่วย ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับเชสก์ที่กำลังโมโหร้ายอีกด้วย

            ความทรงจำเมื่อครั้งอดีตผุดขึ้นทันที ตอนที่เธอได้เจอกับเขา ‘ครั้งแรก’ เมื่อหกปีก่อนอยู่ๆ ชายมาดเข้มเอาแต่ใจ มีบอดีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลังก็โผล่เข้ามาในห้องพักของสาวรุ่นพี่ที่เธอนับถือไม่ต่างจากพี่สาว และตราหน้าว่าเธอเป็น ‘นางโจรน้อย’ ทั้งยังลักพาตัวเธอกลับไปห้องพักของเขาอีกด้วย ใครจะคิดว่าหกปีต่อมาจะเกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมากมาย และเธอก็กลายเป็น ‘โจร’ อย่างที่เขาว่าจริงๆ

            “ไม่ตอบอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มยิ้มร้าย จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินอ้อมกลับไปที่โต๊ะทำงาน คว้าแฟ้มประวัติของหญิงสาวแล้วเดินกลับมาโยนลงตรงหน้าหญิงสาว

            “ถ้าเธอไม่บอก ลูกชายเธอแย่แน่”

            สาวคนฟังใจหาย เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาแล้วร้องลั่น “ไม่ได้นะคะ!”

            ดวงตาคู่คมดุหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการร้อนรนของหญิงสาว แล้วจึงยิ้มพอใจเมื่อพบจุดอ่อนของเธอเข้า เชสก์หัวเราะเสียงก้องแล้วนั่งลงตรงหน้าหญิงสาวอีกครั้ง

            “ถ้าอย่างนั้นก็บอกมา”

            หญิงสาวเม้มปาก ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไม่พูดเด็ดขาด ถ้าเธอบอกไปและ ‘ฝ่ายนั้น’ รู้ เชสก์ต้องตามล่าพวกนั้นแน่...แล้วลูกของเธอล่ะ!

            “ฉันบอกไม่ได้”

            คำตอบของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ใบหน้าคมคายของซีอีโอหนุ่มเยือกเย็นกว่าเดิม ไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะใจเด็ดพอที่จะเดินเข้าคุก ดีกว่าบอกว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง นั่นหมายความว่าเธอให้ความสำคัญแก่ฝ่ายนั้นมากเพียงไร

            คิดมาถึงตรงนี้ดวงตาคู่คมของ เชสก์ อะลอนโซ ก็วาววับขึ้นมาอีกเท่าตัว พร้อมๆ กับที่คิดอะไรบางอย่างได้ ในเมื่อเธอยอมที่จะอยู่ในมือของตำรวจมากกว่า เขาก็จะไม่มีวันทำให้เธอสมหวัง

            “คิดว่าไม่บอกแล้วฉันจะจับเธอส่งตำรวจหรือ...ไม่หรอกน่า” เขาบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนสาวคนฟังเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

            “แล้ว...คุณจะปล่อยฉันไปหรือ”

            “ใครว่าล่ะ” หนุ่มลูกครึ่งหน้าคมแสยะยิ้มเหี้ยม ดวงตาวาววับเป็นประกายอย่างนักล่าที่พร้อมจะ ‘ล่า’ เดี๋ยวนี้!

            น้ำเสียงและท่าทางไม่น่าไว้วางใจของเขาทำให้หญิงสาวขยับถอยหลังไปจนชิดมุมโซฟานุ่ม สายตาของเขาทำให้เธอสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวกับคนเป็นไข้ แต่ก็ข่มใจแล้วถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “มะ...หมายความว่ายังไงคะ”

            “ทำให้เธอหายไปจากที่นี่ง่ายกว่า แล้วก็ลองคิดดูสิว่าลูกเธอจะอยู่ยังไง”

            “คุณ!” ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดลงทันทีเมื่อเห็นประกายความมุ่งมั่นในดวงตาของเขา เธอเชื่อว่าเขาทำได้แน่ เขาจะไม่เหลือทางเลือกใดๆ ให้เธอเลย

            หญิงสาวซบหน้าลงกับฝ่ามือ เธอไม่ต้องการเห็นหน้าเขาตอนนี้ ยอมรับว่าผิดเองที่ก้าวเดินสายนี้ แต่เธอไม่มีทางเลือก และเธอก็บอกเขาไม่ได้

            “ฉันให้เวลาเธอคิดว่าจะบอกฉันดีๆ หรือจะให้ฉันออกไปตามหาพวกมันเอง ถึงเวลานั้นถ้าลูกเธออยู่ในมือพวกมัน ฉันก็ไม่รับรองความปลอดภัย”

            “ปล่อยฉันไปได้ไหม” หญิงสาวอ้อนวอนอย่างอับจนหาทาง จะบอกเขาก็ไม่ได้ ไม่บอกก็ไม่ได้ ทั้งสองฝั่งไม่เหลือทางเลือกใดๆ ให้เธอเลยสักทาง

            แทนที่เขาจะเห็นใจ เชสก์กลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น พร้อมๆ กับจู่โจมเข้าหาอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวไม่ทันตั้งตัว กว่าจะรู้ตัว ลมหายใจอุ่นๆ ก็รินรดต้นคอเธอเสียแล้ว

            “พวกนั้นมันใช้ลูกเธอต่อรองกับเธอใช่ไหม”

            ศศินาพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ไม่พ้น สุดท้ายเชสก์ก็รั้งตัวเธอบังคับให้ขึ้นไปนั่งบนตักเขาจนได้ พอเธอจะขัดขืน เขาก็กดร่างเธอไว้แน่น

            “ฉันมีทางเลือกให้เธอสองทาง คือหนึ่ง จับเธอส่งตำรวจอย่างที่เธอร้องขอ แต่เชื่อเถอะว่าฉันไม่อยู่เฉยแน่ ฉันจะล่าพวกมัน...ลองคิดดูสิว่าถ้าพวกมันโดนเก็บทั้งหมดแล้วลูกเธอจะอยู่ยังไง”

            น้ำเสียงเยือกเย็นของเขาทำเอาคนฟังตัวสั่น เธอส่ายหน้าแรงๆ แล้วถามต่อไปว่า “แล้วอีกทางล่ะคะ”

            “ทางเลือกที่สองน่ะหรือ” เชสก์หัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงไม่น่าไว้ใจ แตะปลายนิ้วลงบนคางมนของสาวบนตัก แล้วบังคับให้เธอหันมาหาเขา จากนั้นจึงบอกข้อเสนอที่ทำเอาคนฟังใจหาย

            “มาเป็นผู้หญิงของฉันสิ แล้วฉันจะปกป้องเธอเอง”

            เกิดความเงียบงันเข้าปกคลุมระหว่างทั้งคู่ทันทีที่เชสก์พูดจบ ศศินายังเอาแต่เงียบ เธอไม่ตอบรับเพราะยังตั้งตัวไม่ติด จากที่ต้องการหลีกหนีมาตลอด แต่สุดท้ายก็เดินเข้าสู่เงื้อมมือของเขาจนได้

            หญิงสาวเม้มปาก พยายามคิดว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรดี เธอไม่อยากอยู่กับเขา ไม่อยากเป็นผู้หญิงของเขา ไม่อยากให้เขาได้เจออเล็กซ์ สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือได้เจอลูกและได้กลับบ้านเสียที แต่ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสนั้น

            “ว่ายังไง” เสียงเข้มดังประชิดใบหู ลมหายใจอุ่นๆ ของเขากดดันจนศศินาตัวสั่น

            “ฉันขอเวลาคิดค่ะ”

            “เธอมีเวลาไม่มากหรอก”

            “ขอฉันคิดตามลำพังได้ไหมคะ” สาวร่างเล็กอ้อนวอน ในเมื่อตอนนี้เขายึดข้าวของทุกอย่างของเธอไปหมดแล้ว เหลือแต่ตัวเท่านั้น เธอคิดว่าคงอีกไม่นานก็อาจต้องอยู่กับเขา

            “ได้สิ อยากลงไปข้างล่างก็ตามใจ แต่เลิกงานแล้วเธอต้องขึ้นมาตอบฉัน”

            “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าเร็วๆ แล้วลุกขึ้นจากตักเขา แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเขาไม่ยอมปล่อย จนศศินาต้องร้องประท้วง “ปล่อยก่อนค่ะคุณเชสก์”

            ศศินาพยายามขืนตัวลุกขึ้น แต่เหมือนว่าซีอีโอหนุ่มไม่สนใจเสียงประท้วงนั้น ดวงตาของเขาจับจ้องริมฝีปากอิ่มตรงหน้า ทำเอาหญิงสาวใจหาย และเมื่อใบหน้าคมคายขยับเข้ามาใกล้ หัวใจดวงน้อยก็เต้นแทบไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวรีบหลบวูบทันที รอดพ้นจากเขาได้อย่างฉิวเฉียด

            “ฉันจะกลับมาให้คำตอบหลังเลิกงานค่ะ” เจ้าของเสียงหวานยืนยันหนักแน่นพร้อมทั้งผลักร่างสูงออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี

เชสก์ยอมปล่อยหญิงสาวในอ้อมแขนในที่สุด แต่ก็มิวายขู่สำทับ “เอาอย่างนั้นก็ได้...แต่ถ้าถึงเวลาของฉันเมื่อไหร่ เธอจะมาว่าฉันใจร้ายไม่ได้นะ”

            สาวร่างเล็กพยักหน้าส่งๆ แล้วรีบลุกขึ้นออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว แม้จะได้ยินเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจของเขา แต่เธอก็ไม่คิดหันกลับไปมองสักนิดเดียว

            หลังจากที่หญิงสาวออกไปแล้ว ผู้บริหารหนุ่มจึงเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานและให้ระบบปฏิบัติการนานาดึงข้อมูล นับตั้งแต่ที่หญิงสาวเข้ามาทำงานในอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ ทุกสายที่โทร. เข้าออก ทุกการติดต่อในอีเมลเขาก็รวบรวมมาได้ทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยโปรแกรมสอดแนมอัจฉริยะจากมยุรฉัตร

            ศศินาไม่ใช่ Mr. S!

            เชสก์ค่อนข้างมั่นใจว่าหญิงสาวเป็นแค่เหยื่อเท่านั้น แต่ตัวการล่ะ...คือใครกันแน่

            ดวงตาคู่คมดุมองไปยังแฟลชไดรฟ์สีดำอันเล็กที่ยึดมาได้จากศศินาแล้วพลิกไปมาอย่างพิจารณา  แล้วจึงจัดการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยทางข้อมูลอย่างสูงสุดของตัวเอง

            ‘สวัสดีคุณอะลอนโซ’

            ข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอและสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นพร้อมๆ กันทำให้หนุ่มลูกครึ่งสเปนหัวเราะเบาๆ คาดแล้วไม่ผิดว่าแฟลชไดรฟ์นี้ไม่มีอะไรเลย แค่ตัวป่วนสัญญาณเท่านั้น และคนที่ทำคงไม่ใช่ใคร ถ้าไม่ใช่ Mr. S

            แล้วใครกันล่ะที่เป็น Mr. S

            มีกลุ่มคนต้องสงสัยมากกว่าหนึ่ง เชสก์ยอมรับว่าเขามีศัตรูเยอะ ดีไม่ดีจะเยอะกว่าอัลเบอร์โตผู้เป็นพี่ชายด้วย เพราะเขาเป็นบริษัทข้ามชาติที่โดดมาตั้งสำนักงานใหญ่ในมหานครนิวยอร์ก แม้จะเสียภาษีตามกฎหมายทุกอย่าง แต่ก็ยังทำเกินหน้าเกินตาบริษัทรายใหญ่เจ้าถิ่นเดิม ด้วยการได้รับการว่าจ้างให้ผลิตและวางแผนระบบสื่อสารในกองทัพสหรัฐฯ จนเกิดเป็นเรื่องราววุ่นวายเมื่อหกปีก่อน ตอนนั้นคนที่เข้ามาแฮ็กข้อมูลเขาถึงถิ่นคือ มยุรฉัตร ยามากูชิ เธอทำงานให้กลุ่มนายทุนที่เป็นคู่ผลิตร่วมกับเขา แต่กลับแอบขายข้อมูลลับส่งต่อให้ผู้ก่อการร้าย และตอนนี้เขาคิดว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง เพียงแต่ต่างวิธีการออกไป

            แต่เขาจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่!

            ‘เราใกล้ได้เจอกันเต็มทีแล้วละคุณอะลอนโซ...แล้วเจอกัน’

            ข้อความถัดมาทำให้ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก เพราะเขาก็แทบรอเวลาที่จะได้เจอศัตรูในเงามืดครั้งนี้ไม่ไหวแล้ว

ทุกครั้งที่มีเสียงเตือนภัยของระบบปฏิบัติการนานาก็จะทำให้อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์วุ่นวายไปพักใหญ่ โดยเฉพาะแผนกคอมพิวเตอร์และไอทีที่ศศินาทำงานอยู่ถึงกับต้องเลื่อนประชุมออกไปก่อน เพราะหัวหน้าทีมวิศวกรคอมพิวเตอร์และโปรแกรมเมอร์ต้องเข้าพบกับเชสก์ และจัดการเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยอีกครั้ง

            หญิงสาวนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง หลังจากที่เชสก์ถ่ายทอดคำสั่งไม่ให้เธอต้องทำงานเหมือนคนอื่นแล้ว ทุกคนในแผนกต่างก็คิดว่าเธอคือ ‘ต้นเหตุ’ ทันที บางคนวิจารณ์อย่างไม่สนใจมารยาทเลยสักนิดว่าเชสก์จะเก็บเธอไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่ส่งตำรวจไปเสีย นั่นทำให้ศศินาเครียดหนักกว่าเดิม สาวร่างเล็กลุกขึ้นตั้งใจจะไปเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าแผนกก็พบชายสวมสูทสีดำสามคนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ไม่บอกก็รู้ว่าต้องตามเฝ้าเธอไม่ให้คลาดสายตาตามคำสั่งเจ้านายแน่นอน

            ‘บ้าจริง’ หญิงสาวคิดอย่างแค้นๆ แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานอย่างหัวเสีย

            เหตุที่ขอกลับมาคิดก่อนให้คำตอบก็เพราะเธอต้องการถ่วงเวลามองหาทางหนีทีไล่ แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างที่หวังเสียแล้ว ในเมื่อเชสก์ให้คนมาเฝ้าเธอถึงหน้าแผนก

            “เอส!”

            ศศินาหันไปตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นอนินทิตานั่นเอง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอคงเบื่อและรำคาญสาวสวยแต่แปลกประหลาดคนนี้เสียจนอยากหนีไปให้พ้น แต่ตอนนี้เธอยินดีมากที่ได้ยินเสียงของสาวคนนี้

            “อนิน”

            “ฉันได้ยินเสียงสัญญาณ แล้วเธอไม่ต้องไปดูแลระบบเหมือนคนอื่นหรือ” อนินทิตาแสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมาชัดเจน จนศศินาได้แต่ส่ายหน้าระอา แต่คิดไปคิดมาก็ดีแล้ว เพราะเธอก็มีเรื่องอยากให้อนินทิตาช่วยเหลือเช่นกัน

            “ฉันอยากออกไปข้างนอก”

            “ก็ไปสิ” อนินทิตาทำหน้างงๆ แค่ออกไปข้างนอกมันจะยากตรงไหนกันเชียว

            “ไปไม่ได้” ศศินาส่ายหน้า ท่าทางกระสับกระส่าย “ดูบอดีการ์ดของคุณเชสก์สามคนข้างหน้าสิ”

            อนินทิตามองไปยังหน้าแผนกตามที่ศศินาบอก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดต่อไปว่า “นั่นสิ ฉันก็ว่าแปลกๆ ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้ว แสดงว่าที่เขาลือกันน่ะเรื่องจริง”

            “ลืออะไร” ศศินาหนังตากระตุก รู้สึกถึงลางร้ายเสียแล้ว

            “ก็เขาลือกันว่าเธอนั่นละต้นเหตุ แต่ที่คุณเชสก์ละเว้นเธอก็เพราะสนใจเธอยังไงล่ะ” อนินทิตาบอกเสียงซื่อ แต่นัยน์ตาพราว

            “ว่ายังไงนะ”

            “ก็เขาลือกันว่าคุณเชสก์สนใจเธอจนเก็บไว้เองแทนที่จะส่งตำรวจน่ะสิ”

            “บ้าแล้ว” ใบหน้าอ่อนหวานซีดเผือด ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่ไม่คิดว่าจะลุกลามเร็วเช่นนี้ แล้วอย่างนี้เธอจะทนสู้หน้าผู้คนอยู่ในบริษัทได้ยังไง

            “เธอพาฉันออกไปได้ไหมอนิน” ศศินาถามสาวตรงหน้าตรงๆ เธอเชื่อว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างอนินทิตาทำได้แน่ แต่จะช่วยหรือไม่ก็เท่านั้น

            อนินทิตาทำสีหน้าครุ่นคิดไม่ถึงสิบวินาทีก็ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าแข็งขัน ดวงตาเป็นประกายสนุกสนาน แล้วตอบว่า “ได้เลยเอส ฉันจะช่วยเธอเอง”

            ท่าทางเจ้าเล่ห์แสนกลของสาวตรงหน้าทำเอาศศินาถอนหายใจ นึกอยากขอคืนคำพูดของตัวเองเหลือเกิน เธอไม่น่าขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงประหลาดอย่างอนินทิตาเลย

            “ไว้ใจฉันเถอะน่า รับรองเลย”

            “ยังไง” ศศินาขมวดคิ้ว ตอนนี้เธอไม่ไว้ใจสาวสวยตรงหน้าเสียแล้ว สังเกตจากนัยน์ตาแพรวพราวคู่นั้นปะไร ตอนนี้เธอเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าไว้ใจถูกคน

            “ออกไปร้านกาแฟกัน แล้วเธอก็ซ่อนอยู่ในนั้นก่อน ฉันจะวิ่งออกมาบอกพวกบอดีการ์ดว่าเธอหายไป จะถ่วงเวลาว่าเธอหนีไปอีกทาง เธอก็ใช้จังหวะนั้นหนีออกไปข้างนอก ตกลงไหม”

            “จะได้ผลหรือ” สาวเอเชียร่างเล็กขมวดคิ้ว นี่คือเรื่องจริง สถานการณ์จริง ไม่ใช่เหตุการณ์จำลองในภาพยนตร์แอกชัน และบอดีการ์ดพวกนั้นก็คงไม่โง่เชื่อผู้หญิงท่าทางสติแตกแบบอนินทิตา

            “ได้ผลสิ” สาวสวย (แต่แปลก) พยักหน้าแข็งขัน “ฉันดูหนังมาเยอะ”

            “อะไรนะ!” ศศินาร้องเสียงหลง ไม่เข้าใจตรรกะของสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย อนินทิตามั่นใจว่าแผนการนี้ได้ผลเพราะ ‘ดูหนัง’ มาอย่างนั้นหรือ...บ้าไปแล้ว!

            “ไปเถอะ” อนินทิตาพูดพลางคว้าข้อมือเล็กของศศินาไว้

หญิงสาวส่ายหน้า เธอจะไม่เชื่ออะไรอนินทิตาอีกแล้ว “ไม่ดีกว่า”

            “แต่ไม่ลองไม่รู้นะ เธอมีทางเลือกอื่นอีกหรือ” อนินทิตาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

            มาถึงนาทีนี้ศศินาก็ต้องยอมรับว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ อย่างน้อยอนินทิตาก็อยู่ร่วมแผนการด้วย และคงไม่หาเรื่องทำตัวเองเดือดร้อนจนโดนเด้งออกจากงานหรอกกระมัง

            หลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วนดีแล้ว ศศินาก็พยักหน้าตกลงในที่สุด “ก็ได้”

            อนินทิตายิ้มกว้างแล้วนัดแนะแผนการคร่าวๆ ด้วยการทำทีว่าชวนศศินาออกไปข้างนอก

จริงดังคาด บอดีการ์ดของเชสก์เดินตามมาห่างๆ จนกระทั่งสองสาวเดินออกจากอะลอนโซ ทาวเวอร์ไปจนถึงร้านกาแฟที่อยู่ถัดไปอีกบล็อก

            “เขาตามเธอมาจริงๆ ด้วย”

            “ฉันบอกแล้ว” ศศินาถอนหายใจ ตอนนี้สองสาวนั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตกแต่งสไตล์วินเทจ ดวงตากลมโตของศศินาจ้องมองออกไปนอกกระจกร้านไม่วางตา ยังมองไม่ออกว่าจะหนีไปได้ยังไง ในเมื่อบอดีการ์ดสองคนยังยืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูนี่เอง

            “เอาน่า เธอไปเข้าห้องน้ำไป ฉันจะวิ่งไปบอกพวกนั้นว่าเธอหนีออกหลังร้านไปแล้ว”

            “แล้วถ้าพวกนั้นเข้าไปค้นในห้องน้ำล่ะ”

            “ฉันจัดการเอง” อนินทิตาทำสีหน้ามุ่งมั่น

            แม้จะยังไม่ไว้ใจอนินทิตาเต็มที่ แต่ในเมื่อมาถึงตรงนี้แล้วศศินาก็คงต้องลองดู ออกมานอกตึกอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์แล้ว อิสระก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น

            สาวเอเชียร่างเล็กลุกขึ้นและเดินไปขอเข้าห้องน้ำ โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าหลังจากเธอลุกขึ้นไปแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น อนินทิตาก็ต่อสายหาเชสก์ทันที

            “บอสคะ” ดวงตากลมโตของสาวเจ้าฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกล แล้วรายงานสิ่งที่เชื่อมั่นว่าเจ้านายต้องการทันที “ฉันมีเรื่องคนหายจะรายงานบอสค่ะ”

ศศินายืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกห้องน้ำอยู่นาน แล้วจึงถอดคอนแทกต์เลนส์แล้วสวมแว่นตาแทน ผมที่เคยรวบตึงให้ทะมัดทะแมงก็ปล่อยยาวสยายลงเสีย หยิบผ้าพันคอจากกระเป๋าสะพายมาพันรอบคอไว้หลวมๆ พร้อมกับดึงผ้าบางส่วนขึ้นมาปิดช่วงคางมาจนถึงจมูกด้วย  ทั้งที่รู้ว่าคนของเชสก์คงไม่โง่พอที่จะจำไม่ได้ แต่ก็เผื่อว่าจะอำพรางตัวได้บ้าง หวังว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่แปลกตาไปอาจทำให้พวกเขาหลงทางสักนิดก็ยังดี

            เสียงดังจากหน้าร้านทำให้ศศินาเชื่อว่าตอนนี้คงเป็นไปตามแผนของอนินทิตาแล้ว จึงจำต้องอดใจรอ ไม่นานก็เงียบไป

            ศศินาแง้มประตูออกมาเพียงเล็กน้อย แล้วก็ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าภายในร้านสงบดีแล้ว โชคดีที่เธอเก็บกระเป๋าเงินกับกุญแจอะพาร์ตเมนต์ไว้ในกระเป๋าเสื้อโคต หญิงสาวจึงเดินออกมาแล้วมุ่งหน้ากลับที่พักที่บรุกลินไฮต์ เธอต้องกลับไปเพราะคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำมาหากินยังอยู่ที่นั่น ทั้งที่รู้ว่ามันคือสถานที่ที่เสี่ยงต่อการถูกจับได้มากเพียงไรก็ตาม

            ศศินาเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินอย่างระแวดระวังว่ามีคนตามมาหรือไม่ แต่ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาทำเอาสาวแว่นถึงกับตาลาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าหนึ่งในฝูงชนเหล่านี้จะมีคนของเชสก์หรือไม่  เธอหวาดระแวงไปหมดทุกอย่าง จึงตัดสินใจเร่งฝีเท้าให้กลับไปถึงอะพาร์ตเมนต์ ได้ของจำเป็นเมื่อไรก็จะรีบหนีออกจากนิวยอร์กทันที

            หญิงสาวมาถึงหน้าอะพาร์ตเมนต์ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ถูกใครจับไปเสียก่อน นั่นทำให้ศศินาโล่งใจไปเปลาะหนึ่งและรีบร้อนเปิดประตูเข้าไป

            สาวร่างเล็กขมวดคิ้ว มั่นใจว่าก่อนออกไปเธอก็ปิดล็อกประตูตามปกติ ทำเอาใจคอไม่ดี แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็น ‘นายจ้าง’ ที่มารับ มาเก็บงาน หรือมาเก็บของใช้สำคัญให้เธอ ถึงจะเลยเวลานัดไปบ้าง แต่เขาก็คงไม่ลอยแพเธอหรอกใช่ไหม...

            ศศินาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มือที่จับลูกบิดประตูสั่นน้อยๆ ขณะที่ออกแรงผลักประตูแล้วเดินเข้าไป

            “มัวไปเถลไถลที่ไหนมาล่ะคุณสไนเดอร์”

เสียงเข้มคุ้นหูของ เชสก์ อะลอนโซ ดังขึ้น ทำเอาหญิงสาวใจหายวูบ พอหันหลังกลับก็พบว่าเดรโกมายืนดักอยู่ด้านหลังแล้ว ทั้งยังผลักเธอเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูอย่างแรง ขังเธอไว้ในห้องตามลำพังกับเจ้านายของเขา!

            จากที่พยายามหนีแทบตาย แต่สุดท้ายก็เดินเข้ามาในเงื้อมมือมารเสียได้ ศศินาคิดอย่างเจ็บใจ ปลายนิ้วเรียวดันกรอบแว่นให้เข้าที่ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อมองหาทางหนีทีไล่

            “ไปเดินเล่นมาสนุกไหม” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงคล้ายสนุกสนาน แต่ตาพราวระยับคู่นั้นทำเอาหญิงสาวถอยหลังไปชิดประตูอย่างหวาดระแวงว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่

            ศศินาไม่ตอบ เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เข้าทางเขาอยู่ดี ผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอจะไปสู้อะไรเขาได้ สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือนิ่งและรอว่าเขาจะทำอย่างไรกับเธอต่อไปก็เท่านั้น

            เมื่อเห็นว่าสาวตรงหน้ายังเอาแต่ทำเฉย ดวงตาของเชสก์ก็วาววับขึ้นมาอีกเท่าตัวพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหาในระยะประชิด

            “ไม่ตอบแสดงว่าพร้อมแล้วใช่ไหม”

            คนถูกถามเงยหน้าขึ้นทันที แต่แล้วก็ต้องผงะ ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ แต่จะถอยหลังหนีก็ไม่ได้ จึงเบี่ยงตัวไปทางซ้าย เชสก์ก็ยกแขนขึ้นเท้าผนังด้านหลังเธอ พอเธอหันมาทางขวา เขาก็ยกแขนอีกข้างเท้าผนังเช่นกัน เท่ากับว่าตอนนี้เธออยู่ในอ้อมแขนเขาเสียแล้ว

            “ฉันไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร” ศศินาบอกเสียงแข็ง แล้วก้มตัวหวังจะลอดใต้แขนเขาออกไป แต่เชสก์ก็ไวเหลือเชื่อ สองมือคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้ได้ แล้วดันร่างเล็กไปจนชิดผนังอย่างแรง

            “ลืมที่เราคุยกันแล้วหรือ...” เขาเลิกคิ้ว ท่าทางเจ้าเล่ห์ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก

            “ฉัน...”

            “ตกลงว่ายังไง รับข้อเสนอของฉันไหม”

            “ถ้าฉันไม่ตกลงล่ะคะ” หญิงสาวถามกลับ

            “ถ้าไม่ตกลงน่ะหรือ...” เชสก์ยิ้ม ดวงตาฉายแววเย้ยหยัน แล้วส่ายหน้าเบาๆ “เธอไม่มีสิทธิ์คิดตัดสินใจอะไรทั้งนั้น เพราะเธอหนีฉันมาเอง”

            “ฉันอยากต่อรอง”

            “เธอไม่อยู่ในสถานะที่จะต่อรองได้”

            “ฉันจะบอกว่าใครส่งฉันมา”

            คิ้วเข้มเหนือดวงตาคู่คมของชายหนุ่มเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าเธอจะยอมบอกเขาง่ายๆ แน่นอน แต่เธอจะต่อรองด้วยอะไรเล่า

            “แต่มีข้อแม้ว่าฉันจะยังไม่บอกอะไรคุณทั้งนั้นจนกว่าคุณจะตามหาลูกฉัน คุ้มครองฉันกับลูกให้พ้นจาก ‘พวกนั้น’ พาฉันกับลูกกลับบ้านให้ได้ แล้วฉันจะบอกคุณ” ศศินาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นเดียวกับสีหน้าแววตาของเธอ ทั้งที่รู้ว่าเชสก์เป็นคนอย่างไร แต่ก็ยังหวังว่าจะต่อรองกับเขาได้บ้าง

            เมื่อได้ยินข้อเสนอของสาวตรงหน้า แทนที่จะเห็นใจสักนิด เชสก์ก็กลับหัวเราะเยือกเย็นราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

            “เอาเปรียบเกินไปไหมคุณสไนเดอร์”

            “ฉันไม่ได้บอกว่าจะอยู่เฉยๆ ฉันจะทำงานแลก”

            “งานอะไร”

            “ทำงานเหมือนเดิม”

            “ฉันไม่อยากได้พนักงานไอทีอีกแล้ว...งานของเธอคือเป็นผู้หญิงของฉันต่างหาก” ชายหนุ่มยิ้มชั่วร้าย “ผู้หญิงของฉันมีหน้าที่แค่อย่างเดียว...” ดวงตาคู่คมดุหลุบลงจ้องที่ริมฝีปากอิ่ม แล้วเหลือบขึ้นสบตากับสาวตรงหน้าอีกครั้ง

            ศศินาเข้าใจทันทีว่าเขาต้องการอะไร เขาต้องการสิ่งที่เธอปฏิเสธมาตลอด ไม่ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ก็ตาม

            “ฉันอยากขอเวลา”

            “ฉันให้เวลาเธอมากไปแล้ว” พูดพร้อมกับออกแรงฉุดสาวตรงหน้าให้ตามเขาไปในส่วนที่เป็นห้องนอน ทั้งยังกดเธอลงบนเตียง ทำเอาสาวแว่นใจหายวาบ ทุกอย่างรวดเร็วมากจนเธอตั้งตัวไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็ตกอยู่ใต้ร่างเขาเสียแล้ว

            “เชสก์!” ดวงตากลมโตฉายแววตระหนก พอตั้งสติได้ก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างสูงออกไป แต่ยิ่งต่อต้านมากเท่าไร เขาก็อยากเอาชนะมากขึ้นเท่านั้น

            “ผู้หญิงของฉันมีแค่หน้าที่เดียว...” ชายหนุ่มทอดเสียงลงชวนให้คนฟังใจหาย ดวงตาวาววับของเขาเต็มไปด้วยความต้องการจนศศินารู้สึกได้ ภาพในวันวานหวนเข้ามาในความทรงจำทันที...แต่เธอจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น!

            ศศินาสู้ยิบตา เธอหยิกสองหูของเขาเต็มแรงจนเชสก์ร้องลั่น

            “บ้าไปแล้วหรือผักหวาน!” เขาตวาดเสียงเข้ม และทำให้หญิงสาวชะงักไปทันที

            “คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ” สาวร่างเล็กขมวดคิ้ว รู้สึกใจหาย ทั้งที่ก็คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าบางทีเชสก์อาจจะจำได้ แต่เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ แต่อยู่ๆ กลับโพล่งใส่หน้าเธอเช่นนี้

            ประกายไหววูบในดวงตาคู่กลมโตของสาวตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ท่าทางถูกใจเป็นอย่างมาก จนศศินาต้องตั้งสติ แล้วผลักร่างสูงตรงหน้าออกไปเต็มแรง

            “ฉันไม่ใช่ผักอะไรของคุณเสียหน่อย!”

            “แน่ใจหรือ”

            “ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ”

            “อย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะรวบมือทั้งสองข้างของหญิงสาวที่คอยผลักไสเขาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว กดไว้บนพื้นเตียงเหนือศีรษะ แล้วไล้ปลายนิ้วไปตามโครงหน้าอ่อนหวานด้วยกิริยาอ้อยอิ่ง

            “เธอคิดว่าฉันจะจำเธอไม่ได้จริงๆ หรือ”

น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้หัวใจของหญิงสาวยิ่งเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น เธอรู้ว่าโกหกเขาไม่ได้นานแน่ แต่เธอก็จะไม่ยอมรับง่ายๆ เช่นกัน

            “ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร” ศศินายังยืนกรานเสียงแข็งว่าเธอไม่ใช่ ทั้งยังเบือนหน้าไปอีกทางเพราะไม่ต้องการสบตาคมเข้มที่จ้องจับผิดเธอตลอดเวลาคู่นั้นอีกต่อไป

            ความเงียบเข้าปกคลุมหนุ่มสาวอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่เชสก์จะหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ทำให้ศศินาต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที

            “จะเล่นอย่างนี้ใช่ไหม” เขายิ้ม แต่ดวงตาวาววับคู่นั้นไม่ยิ้มไปด้วยแต่อย่างใด

            สาวร่างเล็กรู้สึกว่าขนเส้นเล็กๆ กำลังลุกชันไปทั้งร่าง หวาดหวั่นสายตาอ่านยากของเขาเสียเหลือเกิน ยิ่งตอนที่เขาหัวเราะ เธอก็ยิ่งใจคอไม่ดี ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรกันแน่

            “ก็ดี ถ้าอย่างนั้นเรามาเล่นเกมกัน เธออยากปิดบังฉันก็ปิดไป อยากปฏิเสธก็ทำไป แต่ถ้าฉันได้หลักฐานมัดตัวเธอเมื่อไหร่...” เชสก์ยิ้มเหี้ยม ใบหน้าคมคายก้มลงต่ำจนปลายจมูกแตะเข้ากับนวลแก้มของสาวตรงหน้า “เธอแย่แน่”

            พูดจบแล้วก็ถอยห่างจากหญิงสาวไปอย่างช้าๆ ตาคู่คมไม่ยอมละจากศศินาเลยแม้แต่น้อย ทำเอาหญิงสาวก้าวไม่ออก หัวใจยังเต้นระรัว รอจนเชสก์ก้าวออกไปจากห้องแล้วเธอจึงทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ รู้สึกว่าสองขาไร้เรี่ยวแรง ทั้งที่พยายามหนีมาหลายปี แต่สุดท้ายเธอก็กลับมาอยู่ในเงื้อมมือของเขาจนได้ แล้วอย่างนี้เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี

            ศศินาคิดไม่ออก รู้สึกว่ารอบด้านมืดไปหมด ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเดรโกมาพาเธอออกจากอะพาร์ตเมนต์ตั้งแต่เมื่อไร กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็มานั่งอยู่ในเพนต์เฮาส์ชั้นบนสุดของอะลอนโซ ทาวเวอร์เสียแล้ว เมื่อมาส่งเธอเสร็จเดรโกก็เดินออกไปและปิดประตู ซึ่งเป็นการปิดประตูอิสรภาพของเธอด้วย

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น