11

กับดักลับเล่ห์


 

11

กับดักลับเล่ห์

 

นักจิตวิทยาสาวคนเก่งยังอยู่ในอาการช็อกจนพูดไม่ออก ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกรามลากออกจากตรอกมาขึ้นรถตอนไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อยู่ในรถกับเขาแล้ว ความเงียบภายในรถ ไหนจะตาคมกริบที่จ้องมองเธอตลอดเวลาทำเอาหญิงสาวขนลุก จึงเบือนหน้าหนีแล้วกวาดตามองไปรอบตัว ก็พบว่านอกจากรามแล้วยังมีผู้ชายสวมสูทดำนั่งอยู่ด้านข้างคนขับที่แต่งกายเหมือนกัน ผิดกันที่คนหนึ่งผิวขาวผมทองเหมือนคนยุโรปเหนือ ส่วนอีกคนดูคมเข้มกว่า แต่ท่าทางเหมือนบอดีการ์ดหรือไม่ก็มือปืนของสองคนนี้ต่างหากที่ทำให้เธอสงสัยว่า รามมีคนติดตามมาดแบบนี้ด้วยหรือ

            ไม่น่าเชื่อ...

            อนินทิตาปรายตามองใบหน้าคมเข้มด้วยสายตาครุ่นคิด นึกถึงวันแรกที่เห็นรามไปกับ เชสก์ อะลอนโซ ซึ่งสวมสูทแล้วก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ เชสก์ดูหรูหรามีระดับไปทุกกระเบียด แต่รามดูเป็นผู้ชายท่าทางบ้าๆ บอๆ  ที่มักทำตัวประหลาดๆ ชอบนอนกอดตุ๊กตาคิตตี้ แบบนี้น่ะหรือจะมีบอดีการ์ดตามเป็นพรวนทั้งยังมีอาวุธพร้อมมืออย่างนี้

            รามยังยิ้มชั่วร้าย นัยน์ตาทอประกายแพรวพราวของเขาทำเอานึกถึงคืนแรกที่เขาถูกทำร้ายบาดเจ็บวิ่งผ่านหน้ารถเธอไป หรือตอนที่มานอนเจ็บที่หน้าบ้านของเธอ เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เข้ามาอยู่ในบ้าน เข้าถึงตัวเธอ และอยู่ๆ เขาก็หายไปพร้อมกับที่มีใครก็ไม่รู้รู้ความเคลื่อนไหวของงานเธอ มิหนำซ้ำยังหลอกเธอมาถึงที่นี่

            หรือว่า...เขาจะเป็นตัวการมาตั้งแต่ต้น!

            ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อสำเหนียกได้แล้วว่าแท้จริงแล้ว...เธอไม่เคยรู้จักเขาเลย

            “ทำไมจ้องผมแบบนั้นล่ะ มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของหนุ่มมาดเข้มดังข้างหู รอยยิ้มชั่วร้ายของเขาเป็นสิ่งยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิด...มันคือความจริง

            สาวร่างบอบบางหันไปหาประตูรถทันที ตั้งใจจะเปิดมันออก เธอยอมเสี่ยงกระโดดลงไปยังดีกว่าให้รามพาไปจนถึงที่หมาย แต่ความตั้งใจก็ไม่เป็นผล เขารู้ทันอยู่แล้ว ทั้งยังคว้าข้อมือเธอแน่นแล้วกระชากเข้าหาตัว

            “จะรีบไปไหนล่ะ ยังไม่ได้คุยกันเลย” รามยิ้มหวานคล้ายจะดูอ่อนโยน แต่ดูอย่างไรก็กระเดียดไปทางเจ้าเล่ห์มากกว่า

            หญิงสาวเริ่มดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งกดเธอเข้าเบาะรถมากขึ้น ทั้งยังมีท่าทีคุกคามจนอดหวั่นใจไม่ได้

            หนุ่มมาดเข้มยื่นหน้าเข้ามาใกล้เสียจนอนินทิตารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา แล้วถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “ไม่ดีใจเลยหรือที่เจอกัน”

            “คุณ...” สาวคนเก่งยังพูดไม่ออก ภาพของรามตอนนี้กับคนที่เคยอยู่บ้านเธอยิ่งทำให้สับสนมากขึ้นเรื่อยๆ...นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

            “คนพวกนี้ใคร” ต่อให้ยังสับสนจนไม่อาจเรียบเรียงความรู้สึกของตัวเองได้ก็เถอะ แต่อนินทิตาก็ยังเชิดหน้าแล้วถามด้วยเสียงเจือโทสะ

            “คนของผม”

            “คนของคุณอย่างนั้นหรือ” เจ้าของเสียงหวานทวนคำอย่างไม่อยากจะเชื่อ

            “คุณมักตัดสินคนที่ภายนอกเสมอ”

            “ฉันไม่...”

            “อย่าเถียงน่า” หนุ่มลูกครึ่งยิ้ม “ตั้งแต่ที่เจอผมครั้งแรก คุณมักเชื่ออะไรก็ตามที่ตาของคุณมองเห็น รวมทั้งผมด้วย”

            “ก็คงจะจริง แต่เห็นได้ชัดว่าฉันคิดผิด” เธอตอบเสียงลอดไรฟัน

            “ใช่...คุณคิดผิด” โทสะของเธอไม่มีผลกับรามเลยสักนิด ชายหนุ่มยังยิ้มเจ้าเล่ห์ ดึงสาวเจ้าเข้าหาตัว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “ผมเป็นคนดีจะตายไป”

            “คนดีที่สังคมไม่ยอมรับน่ะสิ” เธอสวนกลับทันควัน ทำเอารามหัวเราะชอบใจ แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากหญิงสาว

            “ให้ตายเถอะอนิน ผมคิดว่าคุณจะคิดถึงผมเสียอีก” รามชวนคุยอย่างไม่ทุกข์ร้อน ผิดกับอนินทิตาที่แทบลุกเป็นไฟ เธอพยายามถอยห่างจากเขาให้มากที่สุด แต่ยิ่งขยับหนี รามก็ยังกอดรัดเธอแน่นขึ้น

            “ปล่อย”

            “อย่าเพิ่งดิ้นสิ ผมอุตส่าห์คิดถึงคุณนะ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ เหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้งให้เธอโมโห

            อนินทิตาไม่ฟังเสียง พยายามขืนตัวไว้สุดแรง เธอไม่รู้ว่าเขามีเหตุผลอะไรที่หลอกให้เธอมาถึงที่นี่ แต่เธอก็ไม่อยากรู้แล้ว เธออยากไปให้พ้นเขา ไปแจ้งความให้ตำรวจมาลากคอเขาไปไกลๆ ก็พอ แต่เรี่ยวแรงน้อยนิดของเธอไม่ระคายผิวของเขาเลยแม้แต่น้อย

รามทำเสียงรำคาญ ก่อนจะดึงคนดื้อมานั่งบนตักอย่างรวดเร็ว แต่เพราะหลังคารถไม่สูงมาก ทำเอาศีรษะของอนินทิตาโขกกับหลังคารถเสียงดัง

            ปึ้ก! “โอ๊ย!” คนเสียงหวานร้องลั่น รีบยกมือขึ้นกุมศีรษะอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปมองตัวการด้วยตาวาววับเอาเรื่อง “ปล่อยฉัน!”

            “คุณจะหนี”

            “แล้วใครจะอยู่กับคุณเล่า” เธอสวนทันควัน พอตั้งสติได้ก็พยายามดิ้นรนจนกระทั่งรถปัดไปปัดมา ดีที่คนขับชำนาญพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงเซไปชนรถคันอื่นแล้ว

            “อยู่เฉยๆ” รามดุเสียงเข้ม กดเอวเล็กของคนบนตักแน่นเสียจนเธอขยับไม่ได้ กระนั้นอนินทิตาก็ยังไม่หยุด บทจะสู้เธอก็สู้ยิบตา ทั้งยังแรงเยอะดีจริงๆ

            “จอดรถ” สาวคนเก่งพยายามบอกคนขับทั้งที่รู้ดีว่าเป็นคนของราม และแน่นอนว่าสองคนนั้นไม่ฟังคำสั่งเธอ เธอจึงหันไปมองรามด้วยสายตาเอาเรื่อง “จะไปไหน”

            “เดี๋ยวก็รู้”

            “ฉันไม่ไป”

            “ไม่อยากไปก็ต้องไป ลองมองไปรอบตัวสิ จะโดดหนีทั้งที่สองข้างทางมีแต่ป่าทั้งยังชันขนาดนี้หรือ” รามหัวเราะอย่างเป็นต่อ “ไม่เอาน่าอนิน โดดลงไปสภาพศพไม่สวยแน่ คุณกลัวแบบนั้นไม่ใช่หรือ”

            คำพูดของเขาทำให้อนินทิตาฉุกคิด หญิงสาวหยุดดิ้นแล้วมองไปรอบตัว จริงอย่างที่รามบอก สองข้างทางเป็นป่าทั้งยังลาดชันมากขึ้นอีกด้วย เหมือนทางกำลังขึ้นเขา เธอจึงหันขวับทันที ภาพวิวตึกสูงของฝั่งเซ็นทรัลที่เห็นคุ้นตาตามภาพสถานที่ท่องเที่ยวบ่งบอกว่าเขากำลังพาเธอขึ้นเขาวิกตอเรีย

            หมดทางหนีแล้ว...

            อนินทิตานั่งนิ่งและเริ่มตั้งสติ เธอยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรามเลยสักอย่าง แต่อยู่ๆ ถูกพามาบนภูเขาวิกตอเรียกลางฮ่องกง คนของเขาก็มีอาวุธพร้อมอีกต่างหาก ทางที่ดีเธอไม่ควรขัดขืน ควรมีสติให้มากกว่านี้ แล้วค่อยมองหาทางหนีทีไล่ก็ยังไม่สาย ดีกว่าดื้อแพ่งไปให้สองคนข้างหน้านั้นฟิวส์ขาดควักปืนออกมายิงเธอทิ้งปะไร เธอยังไม่อยากตายตอนนี้ คิดได้ดังนั้นจึงนั่งตัวแข็ง จนรามยอมปล่อยให้เธอลงไปนั่งที่เดิม

            พออนินทิตาเงียบไปสักคน ทั้งรถก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ

            รามเงยหน้าขึ้นสบตากับพอลที่ทำหน้าที่ขับรถผ่านทางกระจกมองหลัง ก็พบว่าหนุ่มผมทองกำลังลอบยิ้ม จากนั้นรามจึงปรายตามองสาวข้างตัวด้วยตาเป็นประกาย นึกไปถึงตอนที่เธอทุ่มเทสมองและความคิดวางแผนเตรียมทางหนีทีไล่แทบตาย แต่สุดท้ายก็หลงกลเขาจนได้

            ใช่แล้ว...รามรู้ทุกความเคลื่อนไหวของอนินทิตามาตั้งแต่ต้น เรียกได้ว่าตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอมาถึงสนามบินฮ่องกง รู้ว่าเธอพักที่ไหน ไปไหน และทำอะไรมาบ้าง ยอมรับว่าเธอเป็นคนรอบคอบคนหนึ่ง แต่ยังไม่ชำนาญเทียบพวกเขาได้ก็เท่านั้น

            รถยนต์มุ่งหน้าขึ้นสูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาจอดที่เพนต์เฮาส์หรูบนยอดเขาวิกตอเรีย รามหันไปมองสาวข้างตัวที่เริ่มลุกลี้ลุกลน แต่เพียงไม่นานเท่านั้นเธอก็กลับนั่งนิ่งแล้วลงจากรถแต่โดยดี

            คิดว่าจะตบตาเขาได้หรือ...

            หนุ่มมาดเข้มซ่อนรอยยิ้มและแววตาเป็นประกายพราวระยับทำเป็นมองไม่เห็น ทั้งที่มั่นใจว่าอนินทิตากำลังกวาดตามองไปรอบๆ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังหาทางหนีทีไล่ แต่เขาจะเล่นตามเกมเธอไปก่อน ดูซิว่าเธอมีฝีมือสักแค่ไหน...แค่คิดก็สนุกแล้ว!

 

เมื่อมาอยู่ในถ้ำเสือ ถ้าไม่ถูกกิน ก็รอเวลาถูกกิน...

            แม้ว่าอนินทิตาจะทำเป็นยืนเฉย จนกระทั่งถูกรามส่งสายตาดุๆ แกมบังคับให้เดินตามเขาและพรรคพวกเข้าไปด้านในเพนต์เฮาส์หรูหรา ที่ต่อให้ไม่บอกก็เดาได้ว่าต้องราคาแพงที่สุดในฮ่องกงแน่ๆ เพราะตั้งอยู่บนยอดเขาบนสุดและใหญ่ที่สุด โอ่อ่ากว่าที่ผ่านทางมา ถ้าไม่เห็นรามและคนของเขาเดินเข้าไป เธอจะไม่มีวันเชื่อแน่ว่าผู้ชายท่าทางแบบรามจะเป็นเจ้าของที่นี่จริง

            แต่ก็นั่นละ...รามมักมีอะไรแปลกประหลาดเหนือความคาดหมายมาให้เธอตกใจเล่นเสมอ

            อนินทิตาพยายามทอดเวลาให้ช้าลงด้วยการเดินช้าๆ แอบมองไปรอบตัวอย่างแนบเนียน ไม่ทำตัวต่อต้าน เพราะถ้าทำแบบนั้นรามต้องรู้แน่ว่าเธอพยายามหนี เขาอาจจะไม่ไว้ใจเธอ และเธอจะไม่มีวันได้ออกไปจากที่นี่ จึงยอมเดินตามเขาเข้าไปด้านในแต่โดยดี

            “ทำตัวตามสบาย คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านคุณก็ได้ อยากอยู่นานแค่ไหนก็ตามใจ” รามยิ้มเล็กน้อย เขาเดินเอาสองมือล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็กเกต แล้วก้าวเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางกวนๆ “ตอบแทนที่ผมไปอยู่บ้านคุณไง”

            “คิดเสียว่าเป็นบ้านฉันอย่างนั้นหรือ”

            “ใช่”

            “งั้นฉันไล่คุณออกไปแทนได้ไหม” คิดแล้วก็ยังแค้นไม่หาย เห็นได้ชัดว่ารามเข้าหาเธอเพียงเพื่อเข้าถึงในสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น

            รามหัวเราะเบาๆ แล้วก้าวเข้ามาประชิด ตวัดวงแขนรอบเอวเล็กของสาวตรงหน้าแล้วดึงเข้าหาตัว “เกรงว่าจะไม่ได้ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ แต่คุณมาเหนื่อยๆ คุณควรไปนอน”

            ความใกล้ชิดแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาหญิงสาวใจกระตุกวูบ เธอผลักอกกว้างเต็มแรงจนเขายอมปล่อย อนินทิตาก้าวถอยหลังไปอีกก้าวแล้วตอบเสียงเครียด

            “ฉันนอนไม่หลับหรอก” จะให้เธอหลับลงได้ยังไง อยู่ๆ ก็ถูกหลอกมาถึงที่นี่  ถูกกักตัวไว้อีกต่างหาก เธอไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ รามต้องการอะไรจากเธอกันแน่

            “ต้องให้นอนเป็นเพื่อนไหม”

            “ประสาท!” เธอตอบทันควัน ตาทอประกายพราวระยับของเขายิ่งทำให้เธอหมั่นไส้เขายิ่งขึ้นอีกเท่าตัว มองคนประหลาดที่มีหลายบุคลิกไม่กี่นาทีด้วยความสับสน อย่างไหนจริง อย่างไหนหลอก เขาเป็นใครกันแน่ เธอไม่รู้เลย

            ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว นักจิตวิทยาสาวเดินเลี่ยงไปอีกทางทันที แต่รามรั้งแขนไว้เสียก่อน จนเธอต้องเงยหน้าขึ้นถาม “อะไร”

            “ผมจะพาไปดูห้อง”

            “นี่!”

            “คุณต้องอยู่ที่นี่อีกนาน” รามจับต้นแขนกลมกลึงไว้มั่นแล้วลากสาวเจ้าให้เดินตามขึ้นไปชั้นบน แต่อนินทิตาขืนตัวไว้

            “เดี๋ยว!” เธอสะบัดแขนออกอย่างแรง “ฉันขออยู่ตรงนี้ก่อน”

            “ทำไม”

            “ฉันยังไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง อยู่ๆ คุณก็หลอกฉันมาที่นี่ มันเรื่องอะไรกันแน่”

            “เราจะคุยกันพรุ่งนี้”

            “ราม...”

            “พรุ่งนี้” เขาย้ำเสียงหนักแน่น ไม่มีแววล้อเล่นอีกต่อไป

            แม้จะยังสงสัยพฤติกรรมของเขา แต่สุดท้ายอนินทิตาก็จำต้องพยักหน้า แล้วยอมเดินตามขึ้นไปยังชั้นบนแต่โดยดี

 

หลังจากพาอนินทิตาขึ้นไปส่งบนห้องนอนชั้นสองแล้ว รามจึงเดินกลับลงมาชั้นล่างและพบพอลกับฆวนฟราน สองบอดีการ์ดที่วูล์ฟส่งมาอยู่กับเขาที่นี่ หรืออีกนัย...ส่งมาสอดแนมนั่นเอง ตอนแรกรามปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาทำอะไรบ้าง แต่พอคิดดีๆ เขาต้องการกำลังคนที่จะควบคุมตัวอนินทิตาไว้ที่นี่ จึงจำต้องตกลง แล้วใช้วิธีโกหกซ้ำซ้อนเอา ซึ่งมันก็เป็นนิสัยปกติของเขาอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะโกหกเธอเพื่อให้มีสองคนนี้อยู่ในบ้านด้วย

            “ไม่กลัวเธอจะหนีหรือ” พอลถาม นึกไปถึงตอนที่เธอพยายามจะกระโดดลงจากรถ...ก็นับว่าใจเด็ดพอดู

            “หนีแน่ๆ” รามยิ้มเล็กน้อย “แต่เธอไม่หนีตอนนี้หรอก”

            “คุณมั่นใจขนาดนั้นเชียว” ฆวนฟรานถามบ้าง เพราะเท่าที่นั่งรถมาด้วยกัน สาวหน้าสวยเก๋คนนั้นไม่ใช่เล่นๆ เลย อนินทิตาไม่ใช่สาวขี้กลัวแบบปุณนิมา ภรรยาของวูล์ฟ เจ้านายที่แท้จริงของเขาเลยสักนิด ตอนวูล์ฟพาปุณนิมามาที่นี่ สาวอวบรายนั้นกลัวจนไม่ยอมกระดิกไปไหนด้วยซ้ำ ผิดกับอนินทิตาที่หูตาแพรวพราว ท่าทางเอาเรื่องและดื้อดึงพอสมควร เผลอเป็นต้องพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อหนี

            “มั่นใจสิ” รามยิ้มเจ้าเล่ห์ ถ้าเดาไม่ผิดตอนนี้เธอยังไม่พยายามหาทางออกจากที่นี่ในคืนนี้แน่นอน แต่เธอจะทำทุกอย่างให้เขาตายใจและหาข้อมูลของเขาให้มากที่สุดก่อนออกไปต่างหาก

            พอลและฆวนฟรานสบตากันเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่เบาๆ จากนั้นฆวนฟรานจึงเป็นฝ่ายถาม “ให้ผมจับตาดูไหม”

            “ไม่ต้อง” หนุ่มมาดเข้มส่ายหน้าเบาๆ “แค่อย่าให้หนีออกจากที่นี่ไปได้ก็พอ”

            “ครับ” สองบอดีการ์ดหนุ่มรับปากแล้วแยกย้ายกันไปพัก

 

นับตั้งแต่อนินทิตามาถึงฮ่องกงเมื่อคืนก่อน รามก็แทบไม่ได้นอนเลยเพราะต้องเตรียมการ ‘ต้อนรับ’ และตามติดว่าเธอคิดทำอะไรหรือไม่ จนถึงตอนนี้แผนของเขาก็ ‘ลุล่วง’ ไปอีกขั้น

            เมื่อได้ตัวอนินทิตาก็ถึงเวลาดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป

            อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มกลับเข้ามาบนหนึ่งในห้องพักภายในเพนต์เฮาส์ที่เขายึดเป็นห้องส่วนตัวเรียบร้อย ซึ่งอยู่ติดกับห้องของอนินทิตานั่นเอง จากนั้นจึงเปิดแลปทอป แล้วติดต่อไปหา ‘ใครบางคน’ ผ่านโปรแกรมวิดีโอคอลทันที

            “ผมจะเจอคุณได้เมื่อไหร่” รามถามเสียงเรียบ ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย พยายามเพ่งมองชายผมบลอนด์ผ่านโปรแกรมวิดีโอคอล

            “อีกไม่นานหรอก”

            “ที่ผ่านมายังพิสูจน์ไม่ได้อีกหรือ”

            “พิสูจน์ได้แล้ว” ชายผมบลอนด์หัวเราะเสียงเยือกเย็นแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ทุกอย่างมีเวลาของมัน รามิเรซ เราจะได้เจอกันแน่”

            “ผมจะรอคุณติดต่อมาแล้วกัน” รามยักไหล่เล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายตัดการติดต่อไปก่อนเหมือนเคย

            ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลนั่งเอนหลังพิงพนักพิง มือหนึ่งยังเคาะปลายนิ้วลงบนแลปทอป อีกมือหนึ่งลูบปลายคางครุ่นคิด แล้วเปิดไฟล์วิดีโอที่บันทึกการสนทนาเมื่อครู่ขึ้นมาดูอีกครั้ง พลางนึกไปถึงวันแรกที่ชายผมบลอนด์คนนั้นก้าวเข้ามายื่นข้อเสนอให้เขา

            …

            คืนนั้นรามนั่งเล่นเกม Assassin's creed ll อาบแสงจันทร์อยู่บนระเบียงบ้านหลังหนึ่งที่ไม่เป็นจุดสนใจ แลปทอปอีกเครื่องที่วางข้างๆ กันแสดงภาพโปรแกรมเจาะข้อมูล เขาปล่อยให้โปรแกรมทำงานของมันไป ส่วนตัวเองก็นั่งเล่นเกมต่อ สองมือและสองตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ในเกม ฉากที่ Ezio Auditore Da Firenze ขึ้นเป็นหัวหน้าภราดรนักฆ่าในยุคเรเนอซองส์กำลังทำภารกิจ แม้จะกำลังเล่นเกม แต่โสตประสาทก็ยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เขาได้ยินเสียงคนเดินมาจากทางด้านหลัง

            กริ๊ก

            รามหยิบปืนที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะแล้วปลดเซฟปืนอย่างรวดเร็ว แต่ยังช้ากว่าผู้บุกรุกที่จ่อปากกระบอกปืนที่หลังศีรษะของเขาเสียแล้ว

            ‘ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่หันมาหรอกนะ’ ผู้บุกรุกเตือนเสียงเข้ม ซึ่งเป็นเสียงที่รามจำได้ไม่มีวันลืม

            โรมัน วู้ด อดีตหัวหน้าแผนกวิเคราะห์ภัยคุกคามข่าวกรองที่เคยทำงานกับสตีเวน ทั้งยังเคยไปเสนอโพรเจกต์เดอะดาร์กแฟนทอมให้ เชสก์ อะลอนโซ มาก่อน แต่เขาก็หายสาบสูญไปจนทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่

            แต่โรมันรู้ได้อย่างไรว่าเขาพักอยู่ที่นี่!

            ‘ผมคิดว่าคุณตายไปแล้วเสียอีก’ รามถามอย่างใจเย็น

            ‘ก็เกือบไปแล้วเหมือนกัน’ ฝ่ายนั้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เหมือนไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิดที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้

            ‘คุณจงใจส่งต่อข้อมูลของเดอะดาร์กแฟนทอมมาให้ผมหรือ’ รามพยายามจะหันกลับไปหา แต่ ‘ผู้บุกรุก’ ยังบังคับปลายกระบอกปืนจ่อศีรษะเขาไว้จนไม่กล้าขยับตัว

            ‘ก็ใช่...เพราะยังไงมันก็ต้องล่าฉันแน่ ฉันอาจจะตาย แต่...ฉันไม่อยากให้ความลับของพวกมันตายไปพร้อมกับฉัน ดังนั้นฉันจึงจงใจทิ้งข้อมูลไว้ให้คนที่มีความสามารถมากพอเจอมัน’

            ‘ทำไมต้องเป็นผม’ นักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มถาม

            ‘ทุกคนมีปีศาจในใจทั้งนั้นรามิเรซ แค่มองตาเธอ ฉันก็รู้แล้วว่าเธอก็ไม่ต่างกับฉันนักหรอก’

            รามหรี่ตาลงเล็กน้อย พยายามจะมองเงาสะท้อนจากหน้าจอแลปทอป แต่ผู้บุกรุกยังอยู่หลังเงา ทั้งยังสวมชุดสีดำ เสื้อคลุมแบบมีฮูดคลุมหน้าตาไว้เกือบหมด เห็นแค่รอยหักตรงสันจมูกโด่งเท่านั้น

            ‘คุณเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่’ ในเมื่อโรมันรู้ว่าเขาเป็นคนทะเยอทะยาน มีปีศาจซุกซ่อนอยู่ในใจ แต่ทำไมยังยื่นเครื่องมือให้ปีศาจอีกเล่า

            ผู้บุกรุกหัวเราะถูกใจทันทีที่ได้ยินแล้วตอบเสียงเรียบ ‘อยากรู้ว่าฉันเป็นใครใช่ไหม...ก็ได้ ฉันจะบอก แต่เธอต้องพิสูจน์ตัวเองสักอย่าง’

            ‘อะไร’

            ผู้บุกรุกไม่ตอบ แต่กลับวางไดรฟ์ข้อมูลลงบนโต๊ะแทน

            รามพยายามหันไปมอง แต่ปืนที่จ่อศีรษะทำให้เขาหันไปไม่ได้ และจนตอนนี้ก็ยังไม่เห็นหน้าคนพูด ‘คุณต้องการให้ผมทำอะไรกันแน่’

            ‘เปิดไดรฟ์ดูสิ’

            ‘แล้วผมจะติดต่อคุณได้ยังไง’

            ‘แล้วเธอจะรู้เอง’ ผู้บุกรุกตอบเสียงเย็นแล้วก้าวถอยไปอย่างเงียบเชียบ

            รามหันหลังไปทันทีที่สัมผัสเย็นๆ จากปากกระบอกปืนหายไปจากหลังศีรษะ ทว่าก็ไม่เจอใครแล้ว

            ดวงตาคู่คมดุหรี่แคบลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย เขาคว้าปืนแล้วลุกขึ้นเล็งไปตรงหน้าอย่างระแวดระวัง หาว่าอดีตหัวหน้าผู้สาบสูญยังอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่เจอ ทั้งห้องเงียบกริบ ชายผ้าม่านผืนบางปลิวไสวตามแรงลมราตรี มีเพียงความมืดที่รายล้อม แต่กลับไร้เงาของผู้บุกรุกเมื่อครู่

            ทั้งทักษะ ไหวพริบ และท่าทางลึกลับของโรมันยิ่งทำให้รามอยากรู้…โรมันเป็นใคร และต้องการอะไร

            ...

            อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มดึงสติกลับมาที่ปัจจุบัน เพราะเหตุการณ์คืนนั้นที่ทำให้เขามาถึงตรงนี้ได้ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่คืบหน้าอะไรเลย ทุกครั้งที่ติดต่อกัน อีกฝ่ายเอาแต่นั่งอยู่ในมุมมืด ไม่เห็นแสงสว่างใดๆ ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากห้องมืดๆ ห้องหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะลองใช้โปรแกรมคำนวณวันเวลาและแสงเงาหาพิกัดว่าชายคนนั้นอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่เป็นผล แต่ก็ดี...งานยากแบบนี้สิของชอบ

            รามยิ้มเจ้าเล่ห์ ในเมื่อยังทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ก็คงต้องทำตาม ‘แผน’ ต่อไป นั่นคือรายงาน ‘อีกฝ่าย’ ว่าตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น