15

ความรู้สึกที่ลึกสุดใจ


 

รามเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วปิดประตูโครม!

            เหตุการณ์เมื่อครู่ก่อให้เกิดความรู้สึกมากมาย จนแม้แต่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ในเมื่อไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะหลุดการควบคุมจนเผลอแสดงธาตุแท้ออกมา

            “แม่งเอ๊ย!” รามหันไปพาลเก้าอี้ทำงานด้วยการเตะมันแรงๆ จนสไลด์ไปไกล แต่แล้วก็ต้องลากมันกลับมาอีก จากนั้นจึงทิ้งตัวลงนั่งอย่างแรง

            คนอย่าง ราม รามิเรซ มักควบคุมตัวเองได้ดีเสมอ เคยสวม ‘หน้ากาก’ แบบใดก็สวมไว้แบบนั้น ทุกคนรู้จัก ราม รามิเรซ ในฐานะอีกามหาภัย หรือไม่ก็ตัวหายนะของกลุ่ม คนกะล่อน ไหลลื่น ไร้สาระไปวันๆ เป็นผู้ชายกวนประสาทที่พร้อมจะทำให้คนเสียสติได้ทันทีที่คุยกัน ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เขาต้องการ ‘แสดง’ ให้เห็นอยู่แล้ว และเขาก็ทำมันได้ดีเสมอมา ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร

            ตลอดเวลานับตั้งแต่ออกมาจาก ‘นรกบนดิน’ ที่เขาเกลียดแสนเกลียด ช่วงเวลาสั้นๆ ที่บ้านสงเคราะห์เด็กกำพร้าคือก้าวแรกของการใช้ชีวิต ทั้งที่เขาเพิ่งหกขวบเท่านั้น แม้จะจำไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็มีบางอย่างที่ฝังใจไม่มีวันลืม

            รามไม่เคยลืมว่าอะไรที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่เลือกจะสวมหน้ากากเข้าหาทุกคน แม้แต่กับพ่อแม่ใหม่จากครอบครัวอุปถัมภ์ที่ฉุดเขาขึ้นมาจากนรกบนดินนั่นก็เถอะ

            เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าอนินทิตาเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับใจของเขามากเกินไปเสียแล้ว จริงอยู่ว่าเขาสนใจเธอ แต่มันเริ่มมาจากความฝังใจในสิ่งที่เธอทำกับเขา จึงหาเรื่องแกล้งเธอต่างๆ นานา พอเห็นว่าเธอหวั่นไหวเขาก็ยิ่งได้ใจ จนเขาเริ่มหวั่นใจว่ากำลังแพ้ภัยตัวเองเข้าแล้ว

            แต่ไม่หรอก บางทีเขาอาจไม่ได้สนใจอนินทิตามากอย่างที่คิดก็ได้ ก็แค่...วันนี้มีเรื่องมากมายประดังประเดเข้ามาก็เท่านั้น

            หนุ่มลูกครึ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงตั้งสติเสียใหม่ พับเรื่องอนินทิตาไว้ก่อน เขายังมี ‘ภารกิจ’ ที่ต้องทำอีกมาก และถ้าเมื่อไรที่กระทบกับเธอ เขาก็มีแผนสำรองเสมอ

            ภารกิจที่ว่าสำเร็จไปแล้วหนึ่งขั้น คือการส่งตัวสเปนเซอร์เข้าไปในหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับเดอะดาร์กแฟนทอมและได้รับความไว้วางใจจากแม็กซ์ในระดับหนึ่ง ที่สเปนเซอร์บอกกับแม็กซ์ว่ามีข้อมูลของอนินทิตา แท้จริงแล้วคนส่งข้อมูล ‘ลวง’ พวกของแม็กซ์ทั้งหมด...คือเขาเอง!

            รามยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่หน้าจอแลปทอป รอไม่นานสเปนเซอร์ก็ติดต่อเข้ามาตามที่บอกไว้เมื่อตอนที่เขาออกไปข้างนอก

            “เรียบร้อยแล้ว” สเปนเซอร์บอกเสียงเรียบ สีหน้ายังไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ นอกจากความเบื่อหน่าย

            “แล้วเด็กล่ะ” รามถาม เดิมทีเขาตั้งใจให้คนของวูล์ฟจัดการให้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้บอกวูล์ฟเสียที

            “ยังอยู่ดี ฉันไม่เห็นพวกมิโรสลาฟกับเวสมาป้วนเปี้ยนแถวสถานสงเคราะห์เก่าของนายนานแล้วนะราม ไม่น่ามีอะไร”

            “กลัวว่ามันจะมีแผนการอะไรอยู่น่ะสิ” เพราะถ้าเป็นเขา...ทุกครั้งที่วางแผนอะไร เขาจะทำตอนที่เหยื่อเผลอหรือตายใจแล้วเท่านั้น และอีกอย่าง...ทั้งเวสและมิโรสลาฟต่างก็มีฝีมือและมีนิสัยกัดไม่ปล่อย ในเมื่อตามไปถึงนั่นแล้วจะถอดใจง่ายๆ หรือ ไม่ใช่นิสัยของคนพวกนั้นแน่

            “ฉันว่านายให้เด็กมาอยู่กับฉันดีกว่า”

            “ไม่” รามส่ายหน้าทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ

            “ทำไม...หรือจนป่านนี้นายยังไม่ไว้ใจฉัน”

            “ไม่ใช่หรอก ก็แค่อย่างที่บอก...ฉันอยากให้เด็กใช้ชีวิตตามปกติต่อไป”

            “เด็กจะไม่มีวันใช้ชีวิตเป็นปกติได้หรอก ตราบใดที่พวกเงายังวนเวียนอยู่ที่นี่” สเปนเซอร์บอกเสียงเครียด

            รามพยักหน้าเห็นด้วย ไม่ใช่แค่เด็กหรอก ตราบใดที่ ‘ภารกิจ’ ยังไม่เสร็จ ทั้งเขาและเด็กคนนั้นก็จะไม่มีวันใช้ชีวิตเป็นปกติได้แน่นอน

            “ทำไมนายไม่ส่งเด็กไปอยู่กับพี่สาวนาย” หนุ่มมาดนิ่งถามพลางขมวดคิ้ว เพราะเท่าที่จำจากข้อมูลที่สืบมาได้เมื่อคราวแฝงตัวไปพร้อมกับอนินทิตาเพราะสงสัยว่าเชสก์คือเดอะดาร์กแฟนทอมคือ รามมีพี่สาวหนึ่งคนชื่อว่า เปมิกา รามิเรซ ทำงานอยู่ที่ฟรานซิสโก เอ็นเตอร์ไพรส์ของ อัลเบอร์โต อะลอนโซ

            “นั่นยิ่งไม่ได้ใหญ่” อีกครั้งที่รามส่ายหน้า “เปมิกาผิดหวังกับพ่อมาตั้งแต่เด็กจนเข็ดผู้ชายและกลัวที่จะมีครอบครัว ถ้าอยู่ๆ ส่งเด็กคนนี้ไปให้เปมิกา เธอคงจะผิดหวัง”

            “เพิ่งเห็นว่านายก็แคร์คนอื่นมาก”

            “แน่สิ” รามยักไหล่ “นั่นพี่สาวฉันนี่”...ถึงจะคนละแม่ก็เถอะ

            “แล้วจะเอายังไงกับเด็ก ฉันบอกตามตรง ฉันว่าพวกมันต้องวางแผนอะไรแน่ๆ”

            “เดี๋ยวจะส่งคนไปรับ”

            “ใคร” สเปนเซอร์ขมวดคิ้ว

            “ยังไม่รู้ แต่ฉันจะติดต่อนาย”

            “เออราม” หนุ่มมาดนิ่งเรียกไว้ก่อนรามจะตัดการติดต่อ

            “อะไร”

            “ฉันว่าถ้านายอยากให้เรื่องจบเร็วๆ นายต้อง ‘ดึง’ ความสนใจจากโรมันให้ปรากฏตัว หรือไม่ก็ให้โรมันเรียกตัวพวกเงาไป...”

            “แล้วเราจะตามรอยจากพวกเงาอีกที” รามพยักหน้า ข้อนี้เขาคิดไว้อยู่แล้ว แต่ใช่เรื่องที่เขาจะตัดสินใจได้เองเมื่อไร เขาต้องปรึกษา ‘ใครคนนั้น’ รอให้ได้รับการอนุมัติแล้วค่อยวางแผนอีกที

            สองหนุ่มสบตากับผ่านโปรแกรมวิดีโอคอลแล้วต่างก็พยักหน้าเบาๆ อย่างรู้กัน และตัดการติดต่อลงแต่เพียงเท่านี้

 

คนเจ้าแผนการปิดแลปทอป แล้วหันมองออกไปด้านนอกผนังกรุกระจก เผยให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน การอยู่บนเพนต์เฮาส์ที่จุดสูงสุดบนภูเขาวิกเตอเรียทำให้เห็นเกาะฮ่องกงในมุมกว้าง และแสงไฟจากตึกรูปทรงต่างๆ ที่สูงลดหลั่นกันไป เชื่อว่าฮ่องกงติดอันดับเมืองที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ถ้ามาในเวลาอื่นรามคงมีเวลาไปเดินเล่นหรือไม่ก็กินติ่มซำเจ้าดังพร้อมกับดูซิมโฟนีออฟไลต์สบายๆ

            แต่ก็นั่นแหละ...ชีวิตเขาเคยทำตัวสบายๆ แบบนั้นได้จริงๆ หรือ

            หนุ่มมาดเข้มถอนหายใจแล้วสะบัดศีรษะแรงๆ ไล่ความทรงจำในอดีตออกไปให้หมด เขาควรจะลืมมันไปนานแล้ว ไม่ใช่มานั่งจมอยู่แบบนี้

            เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง และถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของพอล

            “มีอะไร” ดวงตาคมเข้มวาววับขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงความใกล้ชิดระหว่างบอดีการ์ดหน้าหล่อกับสาวสวยที่เริ่มมีอิทธิพลต่อใจของเขา

            “อาหารเย็นไงครับ”

            “อนินล่ะ”

            “เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง”

            “ฉันจะไปตามเอง” รามลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปทันที จึงไม่ทันสังเกตนัยน์ตาเป็นประกายพราวระยับของพอล

            ...

            หลังจากแยกกับรามแล้ว อนินทิตาก็กลับมานั่งซึมอยู่ในห้อง เหตุการณ์เมื่อตอนเย็นยังกระจ่างชัดในความทรงจำ ทั้งสัมผัสร้อนแรงและคำพูดไม่รักษาน้ำใจของราม แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้ เขาคงตอบไปอย่างที่ใจคิด ในเมื่อเขาไม่ได้รู้สึกกับเธออย่างที่เธอรู้สึกกับเขา ก็คงไม่แปลกที่เขาจะตอบไร้เยื่อใยแบบนั้น

            อนินทิตานึกถึงตอนที่เข้าไปปรึกษาหมอโจเซฟ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับรามก็แค่เธอมีใจให้เขา แต่เป็นความรู้สึกที่เธอไม่ยอมรับ ชอบแต่ต่อต้าน สนใจ แต่ทำไม่แยแส เพราะเธอเลือกที่จะใช้สมองมากกว่าปล่อยให้ความรู้สึกนำทาง

            หญิงสาวนั่งกอดเข่าคิดอะไรไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น ซึ่งก็คงเป็นพอลอีกตามเคยที่เข้ามาเตือนเรื่องเวลาอาหาร แต่ตอนนี้เธอไม่อยากกินอะไรเลยสักนิด

            “ฉันไม่หิว ฝากไปบอกเจ้านายคุณด้วยว่าฉันไม่อยากกิน” เจ้าของเสียงหวานบอกดังๆ ให้ได้ยินไปถึงคนข้างนอก

            เสียงเคาะประตูเงียบไป พอลคงไปแล้ว และเธอก็นั่งเหม่อมองออกไปข้างนอกต่อ และคงจะคิดอะไรไปเรื่อย ถ้าอยู่ๆ ประตูจะไม่ถูกเปิดเข้ามาแล้วปิดเสียงดังโครม

            “ทำไมต้องเสียงดังล่ะพอล!” เพราะคิดว่าเป็นพอล เธอจึงโวยลั่นแล้วตวัดสายตามองอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วดวงตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือใคร

            ราม รามิเรซ!

            ผู้บุกรุกชะงักไปเช่นกันเมื่อได้ยินชื่อที่ออกจากปากเธอ ดวงตาคมกริบหม่นลงราวกับมีเงาดำทะมึนอยู่ในนั้น ไหนจะสีหน้าเย็นชาราวกับไม่ใช่รามคนเดิมอีกที่ทำเอาอนินทิตาทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาอารมณ์ไหนกันแน่

            “คุณมีอะไรหรือ” เธอถามตรงประเด็น ไม่เปิดช่องให้เขาหาเรื่องชวนทะเลาะอีก

            “ได้เวลามื้อเย็นแล้ว” รามบอกเสียงเบา แต่จ้องเธอตาไม่กะพริบ

            “อ้อ” หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “คุณกินไปก่อนเลยก็ได้ ฉันยังไม่อยากกินเท่าไหร่”

            “ทำไม” ร่างสูงโปร่งลงกลอนประตูเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาใกล้

            แม้ไม่มีท่าทีคุกคาม แต่แววตาขรึมๆ อ่านยากของเขาก็ทำเอาอนินทิตาเริ่มระแวงทันทีว่าเขากำลังคิดร้ายอยู่หรือเปล่า

            “ไปก็ได้” เจ้าของเสียงหวานโพล่ง แล้วรีบลุกขึ้นเดินไปหาก่อนที่เขาจะเดินมาถึงตัว เหตุการณ์เมื่อเย็นเป็นดังบทเรียนย้ำเตือนให้อนินทิตาระลึกไว้เสมอว่าไม่รู้จักเขาเลย และไม่ควรประมาทผู้ชายอย่างรามด้วย

            ท่าทางระมัดระวังของหญิงสาวส่งผลให้รามขมวดคิ้ว อารมณ์กรุ่นๆ เมื่อครู่คลายลงทันที ยิ่งเมื่อเห็นเธอมองเขาด้วยสายตาตื่นๆ เหมือนที่เจอกันวันแรก รามก็ยิ้มออก

            “อะไร” สาวคนเก่งทำตาพอง มองรอยยิ้มชั่วร้ายของเขาอย่างไม่ไว้ใจ แล้วก้าวถอยหลังไปทันที

            “ไหนทีแรกว่าไม่อยากไป แล้วอยู่ๆ ทำไมรับปากง่ายอย่างนี้ล่ะ”

            “ก็...” เธอกำลังจะตอกกลับไปอยู่แล้วว่าเพราะไม่ไว้ใจสายตาของเขานั่นละ แต่เพราะยังอยู่ด้วยกันในห้องมิดชิด...เธอไม่อยากเสี่ยงตอนนี้

            “ไปเถอะ กินก็กิน” รามยักไหล่เล็กน้อยแล้วเดินนำออกไปนอกห้อง

 

หนุ่มสาวนั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะอาหาร อนินทิตาคิดจะต่อต้านเขาให้ถึงที่สุด เธอไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากเจอ ไม่อยากอยู่ใกล้ให้ใจรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะออกไปจากที่นี่โดยไม่สนใจเล่นเกมอะไรทั้งนั้น

            “ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เสียงของรามทำให้อนินทิตารู้ตัวว่าเธอคงเผลอคิดอะไรนานไปหน่อย จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็พบกับตาคมกริบที่จ้องมองมาราวกับจับผิด

            “กำลังคิดว่าจะกินอะไรก่อนดี” ตอบแล้วก็แกล้งทำเป็นมองอาหารตรงหน้า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่อาหารส่วนมากก็ไม่พ้นอาหารจีนหรือเมนูขึ้นชื่อของฮ่องกง ทั้งห่านย่าง เต้าหู้ทอด ข้าว บะหมี่ เหมือนกันทุกๆ วัน

            “คิดว่าชินแล้วเสียอีก จะเลือกทำไม ปกติก็ไม่เลือกนี่”

            หญิงสาวหน้าเจื่อน ไม่คิดว่าจะถูกรู้ทันอีกแล้ว

            “กินเถอะ” รามตัดบทแล้วก้มหน้ากินต่อ

            ถึงเขาจะมีท่าทีอ่อนลงแล้วก็เถอะ แต่เธอจะไว้ใจผู้ชายนิสัยเหมือนมีผีเข้าผีออกอย่างรามได้อย่างไร

            “จะจ้องผมอีกนานไหม” รามถามทั้งที่ไม่มองหน้า สองมือยังยุ่งอยู่กับอาหาร

            คนถูกจับได้หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แต่ก็ยักไหล่เบาๆ แล้วแสร้งทำเป็นสนใจอาหารต่อ จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมตอบ ยิ่งทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองยิ่งมึนตึงกว่าเดิม จนสองหนุ่มที่แอบมองอยู่จากด้านนอกได้แต่หันมาสบตากันและส่ายหน้าพร้อมๆ กัน

            ...

            “นายไปสิ” บอดีการ์ดหนุ่มผมทองจอมกะล่อนหันไปสะกิดฆวนฟรานให้เป็นฝ่ายไป ‘รายงาน’ ความเคลื่อนไหวภายในเพนต์เฮาส์ให้เจ้าของที่แท้จริงรับรู้

            “ทำไมต้องฉันวะ” บอดีการ์ดมาดเข้มขมวดคิ้ว “นายนั่นแหละไป ได้ข่าวว่าเขาทะเลาะกันเพราะนายไม่ใช่หรือ”

            “ไม่เกี่ยวกับฉันเลยโว้ย” คนถูกกล่าวหาส่ายหน้ารัวแล้วทำหน้าขยาด “อนินก็สวยดีหรอก สวยกว่าคุณหมูน้อยของคุณวูล์ฟตั้งเยอะ แต่อยู่ใกล้แล้วประสาทเสีย”

            “ขนาดนั้นเชียว” ฆวนฟรานยังทำหน้าไม่เชื่อ

            “ไว้คราวหน้าฉันจะพารามออกไปข้างนอกเอง แล้วนายมาอยู่เป็นเพื่อนอนิน ลองไหมล่ะ” พอลท้าทายแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

            ฆวนฟรานหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเพราะรู้จักพอลดี...นี่มันหาเรื่องโยนงานให้เขาละมากกว่า

            “เออ งั้นนายไปรายงานเจ้านายได้แล้ว” กระซิบพลางผลักเพื่อนออกไปแรงๆ แล้วตัวเองก็ทำเป็นยืนเฝ้าระวังความปลอดภัยให้สองหนุ่มสาว แต่ความจริงแล้ว...แอบฟังต่างหาก

            ...

            บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด จากที่ปกติหนุ่มสาวจะต้องแกล้งหรือไม่ก็ต้องต่อปากต่อคำกันตลอด แต่ตอนนี้ต่างคนก็เอาแต่นิ่ง แล้วลอบสังเกตกันอย่างเงียบๆ

            เสียงโทรศัพท์สั่นดึงความสนใจของทั้งคู่ รามปรายตามองสมาร์ตโฟนที่วางไว้ใกล้มือ และหันมาสบตาอนินทิตาที่กำลังมองอย่างสงสัยใคร่รู้เช่นกัน

            “อย่าเพิ่งนอนแล้วกัน ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

            “ฉันหรือ” เธอชี้ตัวเองอย่างงงๆ ในเมื่อนั่งอยู่ด้วยกันตั้งนานทำไมไม่พูดเข้าไป ทีอย่างนี้บอกว่าจะคุยด้วย

            “เสร็จธุระแล้วจะไปหาที่ห้องแล้วกัน” เขาพูดหน้าตาเฉย แล้วลุกขึ้นถือโทรศัพท์เดินเลี่ยงออกไปทันที โดยไม่คิดรับผิดชอบคำพูดและการกระทำของตัวเองบ้างเลย

            อนินทิตาย่นจมูกใส่แผ่นหลังผู้ชายประหลาดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ช่างเถอะ อยากทำอะไรก็ช่างเขา เพราะเธอจะไปแล้ว

            ...

            รามมีสีหน้าแปลกใจทันทีที่เห็นว่ามีคนโทร. เข้ามา ต่อให้ปลายสายไม่ระบุชื่อและหมายเลข แต่รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร เพราะมีอยู่คนเดียวที่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่และจะติดต่อเขาได้อย่างไร

            คนกะล่อนปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและชำนาญ ก่อนจะกดรับวิดีโอคอลจากเพื่อน และถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาทเหมือนอย่างที่ทุกคนรู้จัก “ไงเพื่อน นายคิดถึงฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”

            วูล์ฟ ยัง ไม่ตอบ ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-ฮ่องกงยังเรียบเฉย แต่ตาคมกริบเชือดเฉือน แม้จะสบตากับผ่านทางเทคโนโลยีก็ตาม

            “อ้าว...โทร. มาแล้วก็ไม่พูด” รามแสร้งทำเสียงกวนประสาทต่อ

            “ฆวนฟรานบอกว่านายพาผู้หญิงไปไว้ที่บ้านฉันด้วยไม่ใช่หรือ” มาเฟียหนุ่มถามเสียงเย็น แต่คนที่เป็นเพื่อนกันมานานก็รู้แล้วว่านี่คืออาการไม่พอใจในแบบของวูล์ฟ

            “ช่าย...” คนเจ้าเล่ห์ลากเสียงแล้วยักไหล่เล็กน้อยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ก็แหม...ทำเหมือนฉันไม่เคยมีผู้หญิงมาพัวพันไปได้”

            “ผู้หญิงที่เป็นนักจิตวิทยาเชี่ยวชาญด้านอาชญากร?” หนุ่มมาดขรึมเลิกคิ้ว

            “คบกันมาสักพัก”

            “เลิกแถเถอะราม นายก็รู้ว่าพอลกับฆวนฟรานน่ะคอยสอดแนมเรื่องของนายมารายงานฉัน”

            รามหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว แค่รอว่าพวกนายจะพูดออกมาเมื่อไหร่”

            “จะบอกได้หรือยังว่านายกำลังทำอะไร ทำไมต้องพานักจิตวิทยาไปไว้ที่นั่นด้วย”

            “ก็...”

            “นายกำลังจะโกหก” วูล์ฟดักคอ ตาคมกริบมองมาอย่างคาดคั้นแม้จะอยู่ไกลกันเกินซีกโลกก็ตาม

            “ให้ตายเถอะวูล์ฟ นายจะรู้ทันฉันมากเกินไปแล้วนะ” รามยังเฉไฉไม่ยอมตอบคำถามเพื่อน และนั่นก็ทำให้ความอดทนของวูล์ฟสิ้นสุดลง

            “ไม่หรอก...ฉันไม่เคยรู้จักนายเลยต่างหาก” เจ้าพ่อหนุ่มบอกเสียงเครียด นัยน์ตาเป็นประกายวาววับเอาจริง “นายไม่รู้หรอกว่าพวกเราห่วงนายแค่ไหน อัลกับเชสก์มันหาตัวนายทุกวัน ฉันต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะรับปากนายไว้ แต่นายกลับไม่บอกอะไรสักอย่าง”

            “โว้ว...ใจเย็นพี่หมา” รามรีบปรามเมื่อเห็นริ้วโทสะจางๆ ในดวงตาของเพื่อน

            “ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้นายกำลังทำอะไรอยู่” วูล์ฟถามด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ไม่สนแล้วว่ารามจะแถอย่างไร เขาจะไม่มีวันเชื่อ จนกว่ามันจะคายทุกอย่างที่เก็บไว้ออกมา

            ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด รามได้เจอกับวูล์ฟเป็นคนแรก แต่นั่นก็เป็นตอนที่เขาย้ายเข้าบ้านพ่อแม่อุปถัมภ์แล้ว รามในช่วงวัยรุ่นก็ไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไร ตอนนั้นเขาเรียนรู้ที่จะปกปิดตัวตนที่แท้จริงด้วยการสวมหน้ากากเข้าหาทุกคนแล้ว แม้กระทั่งวูล์ฟก็เถอะ ถึงจะสงสัย แต่วูล์ฟก็ไม่รู้จักเขาไปมากกว่าคนอื่นๆ เลย

            คนอย่างงราม รามิเรซ ไม่เคยไว้ใจใคร...

            ตอนที่รู้จักกับวูล์ฟ จะเรียกว่าบังเอิญก็ไม่เต็มปาก แต่เป็นเพราะรามมองออกตั้งแต่แวบแรกที่สบตากันว่าวูล์ฟเป็นคนมีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอนถึงได้ถูกตามล่าตั้งแต่วัยรุ่น นั่นทำให้รามเริ่มสนใจวูล์ฟทันที แล้วก็จริงเสียด้วย...

            รามรู้ดีเสมอว่าตัวเองมีปีศาจอีกตนซุกซ่อนอยู่ในใจ เปรียบดัง ‘ตัวตน’ ที่แท้จริงของเขา...และวูล์ฟก็เช่นกัน

            มิตรภาพแปลกๆ ระหว่างทั้งสองเริ่มขึ้น แต่ต่างฝ่ายก็ไม่มีใครไว้ใจใคร จนกระทั่งเข้าเรียนและได้รู้จักกับ อัลเบอร์โต อะลอนโซ แน่นอนว่ารามสังเกตอัลเบอร์โตมาตั้งแต่แรกเช่นกัน เพราะลักษณะที่คล้ายกับวูล์ฟและมีบางอย่างซ่อนอยู่ แล้วก็จริง อัลเบอร์โตเป็นลูกชายคนโตของเจ้าพ่อนักค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ที่เรียนเก่งและฉลาดมาก มากเสียจนเขาเริ่มอยาก ‘ผูกมิตร’ ไว้ก่อน เหตุการณ์ที่อัลเบอร์โตเข้าใจว่าเขาเสี้ยมพวกผิวสีให้ไปเล่นงานตน แต่สุดท้ายเขากลับถูกเล่นงานเสียเองนั้น แท้จริงแล้วมันคือ...แผน!

            และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่รามหวัง เขา วูล์ฟ และอัลเบอร์โตมาเป็นเพื่อนกันแบบไม่ตั้งใจ พวกเขายังดูเชิงกันอยู่เป็นปี กว่าจะเริ่มสนิทใจขึ้น และแน่นอนว่าสองคนนั้นก็รู้จักรามในแบบที่สวมหน้ากากไว้แล้ว

            ถึงจะได้ชื่อว่าเป็น ‘เพื่อน’ กัน แต่รามก็ไม่เคยไว้ใจใครเลยสักคน จนกระทั่งแยกย้ายกันไป ไม่คิดว่าวันหนึ่งทั้งสามจะมีประโยชน์กับเขาจริงๆ ก็ตอนได้โพรเจกต์เดอะดาร์กแฟนทอม รามยอมรับกับทั้งสามไปแล้วว่าทั้งหมดคือแผนการของเขา ทั้งยังลากครอบครัวที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ของเพื่อนมาเสี่ยงอันตรายอีก

            และถ้าไม่นับเรื่องของ ‘เด็ก’ คนนั้น ผลร้ายที่เกิดกับลูกเมียของ เชสก์ อะลอนโซ ก็คงเป็นจิตสำนึกแรกและจิตสำนึกเดียวที่เขามี...

            รามยังคงยิ้มเจ้าเล่ห์ได้อย่างเป็นธรรมชาติและแนบเนียนราวกับว่ามันคือตัวตนที่แท้จริงของเขา แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย นายนี่ระแวงไม่เข้าเรื่องนะ”

            “นายแน่ใจหรือ” วูล์ฟเลิกคิ้วเล็กน้อย ใช้นัยน์ตาคมกริบกดดันเพื่อนต่อ

            “แน่สิ”

            “แล้วนายกำลังตามหาใครอยู่” มาเฟียหนุ่มถามเสียงเรียบ แต่นัยน์ตาเป็นประกายพร้อมกับยิ้มแบบผู้ชนะทันทีที่เห็นรามหุบยิ้ม

            “นายสอดแนมฉัน?”

            “ฉันเปล่า” วูล์ฟหัวเราะหึๆ “ลืมไปแล้วหรือว่าฉันมันคนก้าวไม่ทันเทคโนโลยีอยู่แล้ว”

            ฟังแค่นี้รามก็รู้ทันทีว่าพวกอะลอนโซแน่...แต่คนไหน “คนพี่หรือคนน้องล่ะ”

            “เชสก์น่ะ”

            “ว่าละ” รามส่ายหน้าอย่างจนใจ คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเชสก์ เพราะเป็นคนแรกที่เขายื่นโพรเจกต์เดอะดาร์กแฟนทอมให้ ทั้งยังเคยเจอ โรมัน วู้ด อีกต่างหาก

            “นายกำลังหาตัวโรมันอยู่ใช่ไหม”

            “ก็...”

            “นายคนเดียวทำไม่ได้ด้วยใช่ไหม”

            “วูล์ฟ” สีหน้าของอดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “นายคงไม่คิดจะช่วยฉันหรอกนะ มันจะทำให้ครอบครัวพวกนายเสี่ยง”

            “มันเสี่ยงมาตั้งแต่ต้นแล้วราม” วูล์ฟบอกเสียงเรียบ “อย่าลืมว่ามิโรสลาฟกับเวสก็อยู่ข้างนอก มันรู้จักพวกเราทุกคน ไม่สิ...มันรู้จักพวกฉัน แต่ไม่รู้จักนาย”

            “รู้จักแล้ว” รามบอกเสียงเรียบ แต่คนฟังตกใจอย่างหนัก

            “ว่าไงนะ!” น้อยครั้งที่จอมเย็นชาอย่างวูล์ฟจะขึ้นเสียงถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ

            “ฉันบอกว่าพวกมันก็รู้จักฉันแล้ว”

            “ได้ยังไง”

            “ก็...” อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลถอนหายใจ “ถ้าจะให้เล่าก็เรื่องยาว ไว้นายมาที่นี่ค่อยว่ากัน”

            “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

            “เดี๋ยว!” หนุ่มมาดเซอร์ท้วง แต่แล้วก็เงียบไป ชั่งใจอย่างหนักว่าจะออกปากให้ช่วยพา ‘เด็ก’ มาที่นี่ดีหรือไม่

            “อะไร”

            “ถ้าอยากช่วยฉัน เริ่มจากเรื่องนี้ก่อน”

            “เรื่องอะไร” มาเฟียหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และอีกอย่าง ไม่เคยเลยสักครั้งที่คนอย่างรามจะลังเลไม่กล้าตัดสินใจ มันจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่นอน

             รามเม้มปาก ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมบอกไปว่าต้องการอะไรและวางแผนไว้อย่างไรบ้าง

 

เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ นาฬิกาบอกเวลาที่ล่วงเลยไปค่อนคืนแล้ว แต่ก็ไม่เห็นรามจะเข้ามาคุยธุระเหมือนอย่างที่พูดไว้ อนินทิตาจึงตัดสินใจเข้านอน และตื่นตั้งแต่ฟ้าสาง ยอมรับว่านอนหลับไม่สนิทเลยทั้งคืน และพอเดินออกจากห้องลงมายังโต๊ะอาหารที่ชั้นสองก็พบว่ามีมื้อเช้าแค่สำหรับเธอคนเดียวเท่านั้น

            “รามล่ะ” เธอหันไปถามพอล

            “ก็...ออกไปแล้วครับ”

            “ไปไหนแต่เช้า ธนาคารเปิดแล้วหรือ”

            “ก็...”

            “พอละๆ” เธอโบกมือห้ามทันที “ไม่ต้องตอบฉันแล้ว”

            “ทำไมล่ะครับ ไม่อยากรู้หรือว่าคุณรามไปไหน”

            “ทำอย่างกับว่าคุณจะบอกความจริงฉันอย่างนั้นแหละ” อนินทิตากดมุมปากลงเล็กน้อย แล้วมองบอดีการ์ดหนุ่มด้วยตาคมกริบ “คุณลังเลก่อนตอบฉันเสมอ ทั้งที่ปกติแล้วคุณพูดจาฉะฉานมั่นใจมาก นั่นหมายความว่าคำตอบไม่ใช่เรื่องจริง”

            “ก็...” พอลทำหน้าปั้นยาก สีหน้าจืดเจื่อนไปทันที ถึงจะคลุกคลีอยู่กับอนินทิตาหลายวันแล้วก็เถอะ แต่พอถูกเธอจาระไนสิ่งที่ปกปิดไว้แบบนี้ เขารับมือไม่ได้เลยจริงๆ

            “ไปไกลๆ ไป๊” อนินทิตาตัดรำคาญ

            “ไม่ชวนผมกินด้วยแล้วหรือ” บอดีการ์ดหนุ่มถามยิ้มๆ จงใจเอาคืนอนินทิตาด้วยการสื่อความนัยถึงเรื่องเมื่อวาน

            ต่อให้ไม่ใช่นักจิตวิทยาก็เดาได้ทันทีว่าพอลกำลังแกล้งกวนประสาท เขาจงใจให้เธอนึกไปถึงเมื่อวานที่ทำตัวสนิทสนมกับเขามากเกินไปจนรามมาเห็นแล้วเป็นเรื่อง ต่อจากนั้นพอลและฆวนฟรานไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องบ้าง แต่เธอจำได้ทุกอย่างโดยเฉพาะ...จูบร้อนแรง!

            อนินทิตาหน้าแดงจัด เธอขึงตามองพอลด้วยสายตาเอาเรื่องแล้วตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่!”

            “ไม่อยากให้ผมนั่งเป็นเพื่อนหรือ”

            “คนทรยศอย่างคุณน่ะเรอะ” หญิงสาวเบะปากแล้วลุกขึ้นดันหลังเขาออกไปจากห้องอาหาร “มาทางไหนก็ไปทางนั้นเลยไป”

            พอลหัวเราะหึๆ แต่ก่อนออกไปก็ยังมิวายส่งยิ้มล้อเลียนหญิงสาว “แน่ใจนะว่าไม่อยากได้คนนั่งเป็นเพื่อน”

            สาวร่างเล็กถลึงตามองคนกะล่อนที่ดูๆ แล้วก็ไม่ต่างจากรามเท่าไร ดีที่ไม่ซับซ้อนเข้าถึงยากอย่างรามก็เท่านั้น

            อนินทิตาถอนหายใจแล้วเดินกลับมานั่งกินอาหารเช้า ซึ่งก็ไม่พ้นอาหารฮ่องกงจากร้านดัง เมนูวนเวียนกันไปเหมือนอย่างทุกวันจนเธอจำรสชาติได้ เธอวางช้อน มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครเข้ามาแน่ๆ แล้วจึงลุกขึ้นเดินไปดูที่ถังขยะก็พบถุงบอกชื่อร้าน ถนนที่ตั้ง เบอร์โทรศัพท์ และวันเวลาเปิด-ปิดร้าน ซึ่งแค่มองแวบเดียวเธอก็จำได้ขึ้นใจแล้ว เสียดายที่ไม่มีโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตใช้ ไม่อย่างนั้น...

            หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ ตัดใจว่ายังไม่ไปวันนี้ตอนนี้ แต่ขออยู่เก็บข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ชีวิตเหมือนอยู่ในยุคหินเอื้ออำนวยก็แล้วกัน เช้าพรุ่งนี้เธอจะตื่นแต่เช้าไปแอบดูว่ารถมาส่งอาหารตอนไหน หรือว่าใครต้องลงไปเตรียมอาหารในทุกๆ มื้อกันแน่

            และเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะส่งตรงจากร้านแค่เฉพาะตอนเช้าหรือทุกมื้อในแต่ละวันกันแน่ อนินทิตาจึงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ประตูตลอดเพื่อสังเกตว่าพอลจะออกไปรับของหรือว่าทางร้านเข้ามาส่งตอนไหน หรือเขาอาจจะปลีกตัวออกไปเงียบๆ แต่ปรากฏว่าไม่...ทั้งวันมีแค่ตอนเช้าที่รถนำอาหารมาส่ง หลังจากนั้นก็จะมีแม่บ้านนำไปอุ่นให้ในแต่ละมื้อ แต่นั่นก็เป็นเรื่องดี เพราะเท่ากับว่าถ้าเธอไปพร้อมรถส่งอาหารในตอนเช้า ก็มีเวลาถึงครึ่งวันกว่าจะมีคนรู้ว่าเธอหายไป

            แต่ต้องเริ่มจากการอยู่ตามลำพังให้เป็นกิจวัตรเสียก่อน...

            “วันนี้ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่าอนิน” พอลโผล่หน้าเข้ามาถามพร้อมกับยิ้มเผล่ ทำเอาคนที่กำลัง ‘วางแผน’ อยู่เพลินๆ ถึงกับสะดุ้งแล้วหันขวับ

            “ไม่ต้องหรอก” เธอบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความถือตัว ทั้งยังเชิดหน้าน้อยๆ แล้วปรายตามองเขาทางหางตา

            บอดีการ์ดหนุ่มหัวเราะท่าทางหยิ่งๆ ของหญิงสาว ที่ดูๆ แล้วคงยังโกรธเขาเรื่องที่ทรยศเธอไปเข้าข้างราม เขาจึงยอมถอย ปล่อยให้เธอได้อยู่ตามลำพัง เพราะรู้ว่าอนินทิตาทนเบื่อได้ไม่นานแน่ เดี๋ยวก็ต้องเรียกเขามาหาเรื่องแกล้งเล่นเหมือนวันก่อนๆ

            พอลยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วถอยออกมา ไม่ตามตื๊อเธออีกพร้อมกับคิดว่า...จะทรยศสาวเจ้าแล้วส่งให้รามด้วยวิธีไหนดี

            แต่พอลคาดการณ์ผิดทั้งหมด...

 

อนินทิตาเป็นคนขี้เหงาก็จริง แต่เธอก็อยู่ตามลำพังจนชินเสียแล้ว แค่ไม่ได้พูดกับใครไม่ทำให้เธอตายแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่เรียกพอลมาไม่ใช่เพราะเหงา แต่เพราะอยากตีสนิทต่างหาก ทว่าตอนนี้เธอรู้แล้วว่าการไปตีซี้กับคนของรามอีกครั้งทั้งที่เพิ่งถูกทรยศนั้นไม่ใช่เรื่องที่คนฉลาดทำกัน จึงไม่คิดเรียกพอลมาอยู่เป็นเพื่อน แม้จะเห็นเขา ‘อ่อย’ ด้วยการทำเป็นเดินผ่านไปผ่านมาก็ตาม เพราะเธอไม่หลงกลแล้ว

            วันนั้นทั้งวันเธอเอาแต่นั่งเล่นเกมตามลำพัง หรือไม่ก็อ่านหนังสือ ออกไปรดน้ำต้นไม้ที่นอกระเบียง พอตกเย็นก็ออกไปว่ายน้ำ แล้วนั่งอ่านหนังสือรับลมอยู่ที่ระเบียง ทำตัวเป็นปกติได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่พอลที่แอบดูอยู่ห่างๆ ยังยืนงงว่าสรุปแล้ว...สาวแปลกคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนที่ควรจะถอยก็กลับรุก ตอนที่ควรจะรุกก็กลับถอยเสียอย่างนั้น

            ...

            รามกลับมาตอนค่ำและพบว่าภายในเพนต์เฮาส์เงียบเชียบผิดปกติ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเข้ามาแล้วไม่เห็นใครเลยสักคน แม้กระทั่งหญิงสาวที่ควรจะอยู่ในนี้ เขาไม่กลัวว่าเธอจะหนี เพราะถ้าเธอหนี...เขาจะรู้ทันที แต่ที่สงสัยก็เพราะเธอไปอยู่มุมไหนจึงเล็ดลอดสายตาเขาไปได้

            “พอล!” หนุ่มมาดเข้มออกปากเรียกคนติดตาม ที่ต่อให้ไม่อยากได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งพอลและฆวนฟรานช่วยงานได้มากทีเดียว แม้จะต้องแลกกับการระวังว่าทั้งสองจะเป็นหูเป็นตาให้วูล์ฟก็ตาม

            “ครับ” บอดีการ์ดมาดทะเล้นเดินออกมาทันทีที่สิ้นเสียงเรียก

            “อนินล่ะ”

            “อยู่ที่ระเบียงครับ”

            รามขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าเธอไปทำอะไรที่ระเบียง ทั้งที่ฟ้าก็เริ่มมืด จึงถามต่อไปว่า “วันนี้อนินปกติดีไหม”

            “ก็ปกติดีครับ” พอลยิ้มกวนๆ แล้วลอบคิดในใจ ‘ปกติพอๆ กับคุณรามนั่นละ’ แต่พอเห็นตาคมกริบคู่นั้นจึงหุบยิ้มแล้วรีบอธิบายต่อ “อยู่สงบมากเลยครับ เล่นเกม ดูซีรีส์ ออกไปว่ายน้ำ ไม่วุ่นวายอะไรสักอย่าง”

            “ไม่พยายามเรียกนายไปอยู่ด้วยหรือ”

            “ไม่นี่ครับ” พอลยิ้มกรุ้มกริ่ม ส่งสายตาสื่อความนัยให้คิดไปถึงเรื่องเมื่อวานแล้วพูดต่อไปว่า “คงกลัวคุณรามโกรธ”

            เห็นสายตาของพอลแล้วรามก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร แต่เขาไม่รู้สึกตลกเลยสักนิด ด้วยรู้จักนิสัยอนินทิตาดี ถ้าพอลบอกว่าเธอหาทางหนีออกไปหรือก่อความวุ่นวายอะไรสักอย่างเขาจะไม่แปลกใจเลย แต่นี่...

            “เฉยๆ แบบนี้สิไม่ปกติ” รามส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วเดินออกไปที่ระเบียงทันทีโดยไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพอล

            หนุ่มร่างสูงโปร่งเดินข้ามห้องโถงใหญ่ตรงไปที่ระเบียง ทันทีที่เปิดประตูกระจกออก สายลมยามราตรีก็พัดผ่านใบหน้า อากาศเย็น แต่อนินทิตายังอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ...เธอกำลังวางแผนอะไรหรือเปล่า

            รามหรี่ตามองสาวร่างเพรียวบอบบางที่นอนทอดกายยาวอยู่บนเก้าอี้ใต้โคมไฟริมสระว่ายน้ำ อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นว่าเธออ่านมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่จบเสียที ทั้งที่ปกติแล้วอนินทิตาเป็นคนอ่านหนังสือไวมาก รามจำได้ว่าตอนที่อยู่บ้านของเธอ อนินทิตาอ่านหนังสือหนาๆ หนึ่งเล่มโดยใช้เวลาแค่หนึ่งวันเท่านั้น ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าเธอกำลังมีบางอย่างที่กวนใจ ดีไม่ดีอาจจะเป็นเรื่อง ‘หนี’ ก็ได้

            ฝีเท้าเบากริบของเขาไม่ทำให้อนินทิตารู้ตัวเหมือนเคย จนกระทั่งเงาดำบดบังแสงไฟจนอ่านหนังสือไม่ได้นั่นละ สาวคนเก่งจึงรู้ตัว เธอปิดหนังสือดังฉับแล้วหันมาตวัดสายตามองค้อนขวับ

            “มาไม่ให้สุ้มเสียงอีกแล้วนะ” อนินทิตาทำตาดุใส่ พยักพเยิดบอกให้คนที่ยืนค้ำศีรษะขยับออกไปไม่ให้บังแสงไฟ

            ท่าทางไม่ยี่หระต่อสิ่งใดของเธอ ถ้าไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน รามคงคิดว่าเธอกำลังทำตัวตามปกติ แต่...มันง่ายไปหน่อยไหม อนินทิตาเป็นสาวแสบคนหนึ่งที่ไม่น่ายอมลงให้ใครง่ายๆ เช่นนี้

            “ฟังไม่รู้เรื่องหรือ ขยับไปหน่อยสิ” เธอเงยหน้าสู้สายตาเขา แววตาของเธอมั่นคงแน่วแน่เหมือนว่ากำลัง ‘สนใจ’ อ่านหนังสืออย่างจริงจัง จนกระทั่งเขาเข้ามาขัดจังหวะ

            รามมองคนที่ยังก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างไม่รู้ไม่ชี้ เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาบ้าง แต่พอเห็นเขานิ่งก็ก้มลงไปอ่านต่อ ท่าทางน่าสงสัยจนไม่อาจปล่อยผ่านไปได้

            “ค่ำแล้ว ไปกินมื้อค่ำกันเถอะ”

            อนินทิตาปิดหนังสือโดยใช้ปลายนิ้วคั่นไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง “วันนี้มีอะไรกินบ้างล่ะ”

            “ร้านเดิม แต่วันนี้มีข้าว ไม่มีแค่บะหมี่กับเป็ดแล้วละ”

            “งั้นน่าสน” ใบหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นยินดีทันทีที่ได้ยินว่าเปลี่ยนเมนูใหม่แล้ว อนินทิตาปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้าน แต่ยังมิวายหันกลับมาหาเขา “ไม่กินหรือ”

            “กินสิ” รามตอบ แล้วเดินตามสาวเจ้าเล่ห์เข้าไปในบ้าน

            เอาเถอะ...อยากเล่นแบบนี้ก็ตามใจ แม้ไม่มีเวลามากนัก แต่เขาจะลองเล่นเกมตามเธอไปก่อน อยากรู้เหมือนกันว่าอนินทิตาจะทำอย่างไรต่อไป

            รามยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินตามสาวแสบเข้าไปในบ้าน เขาทนรอเวลา ‘เอาคืน’ แทบไม่ไหวแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น