1

บทนำ


บทนำ                                                                                                                            

...ความลับดำมืดมักจะซุกซ่อนอยู่ในยามราตรีเสมอ...

            หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากอาคารสำนักงานสถาบันจิตวิทยาในเวลาเกือบเที่ยงคืน ทั้งที่เป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ แต่เพราะการจับตัวเดอะดาร์กแฟนทอม อาชญากรที่ทุกฝ่ายตามคดีมากว่าห้าปีได้เมื่อเกือบหนึ่งเดินก่อนจากเหตุการณ์ไล่ยิงกันกลางโฮโนลูลูกลายเป็นข่าวดังที่ได้รับความสนใจไปทั่ว จนเธอต้องทำงานอย่างหนักจนไม่ได้พักเหมือนอย่างคนอื่น

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นระหว่างที่กำลังเปิดประตูรถ อนินทิตา โรซาเลส รีบรับสายทันทีเพราะคิดว่าเป็นอดีตเพื่อนที่เคยทำงานด้วยกัน และเธอก็พยายามติดต่อเขามาหลายต่อหลายครั้ง

หญิงสาวถอนใจเล็กน้อย เพราะคนที่โทร. มาไม่ใช่คนที่เธอรอ แต่เป็นเมลิสสา พี่สาวของเธอนี่เอง “ไงเม”

            “เธอไม่ได้หยุดปีใหม่จริงหรือ” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย เหตุเพราะเมลิสสาเพิ่งรับแมวตัวที่สี่มาเลี้ยง และอยากให้น้องสาวไปงานปาร์ตีต้อนรับลูกแมวสุดที่รัก

            “ไม่ได้หยุดจริงๆ เม ฉันไม่ว่างเลย เธอก็น่าจะรู้” เมลิสสาคืออดีตแอร์โฮสเตสสายการบินหนึ่งในตะวันออกกลาง และพบรักกับอดีตทหารหน่วยรบพิเศษที่ปัจจุบันมาเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยเสียเอง จึงรู้เรื่องลับลวงพรางพวกนี้อย่างดีเช่นกัน

            “ปีใหม่ทั้งทีนะ”

            “ฉันอยากหยุดจะแย่” แต่แค่นึกไปถึงใบหน้าดุๆ ของ มาเรีย บิชอป สาวใหญ่หัวหน้าแผนกของเธอแล้ว อนินทิตาก็นึกขยาด

            “สัปดาห์หน้าเธอว่างหรือเปล่า”

            “น่าจะว่างนะ แต่อาจไปไหนไกลไม่ได้” คนเป็นน้องสาวรีบออกตัว กลัวเหลือเกินว่าพี่สาวจะบอกให้ไปค้างที่บ้านซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาลูกๆ หน้าขนของเมลิสสา เธอไม่ชอบแมว ยิ่งแมวของพี่สาวยิ่งไม่ชอบเพราะเลี้ยงดียิ่งกว่าเทวดาเสียอีก

            “โอเคๆ ฉันไม่กวนเธอก็ได้ แต่ถ้าว่างต้องรีบติดต่อฉันนะอนิน”

            “ได้” เธอรับคำสั้นๆ แล้วรีบวางสายทันทีก่อนที่เมลิสสาจะเปลี่ยนใจ

            เจ้าหน้าที่สาวเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายและเปิดประตูรถ ทว่าตาเจ้ากรรมกลับมองเห็นเงาร่างสูงโปร่งของใครบางคนที่หลบฉากออกไปอย่างรวดเร็ว

            ใคร!

            คิ้วเข้มสวยเหนือดวงตาคมหวานขมวดมุ่น แต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นเธอก็เปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            จากสำนักงานมุ่งหน้าสู่บ้านพักของเธอใช้เวลาไม่นาน ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ไปถึง ทว่าช่วงเวลาเฉลิมฉลองวันวันส่งท้ายปีและกำลังจะนับถอยหลังเพื่อก้าวสู่ปีใหม่อย่างนี้ ผู้คนจึงพลุกพล่าน รถรายังคงเต็มท้องถนน ข้างทางล้วนประดับประดาไปด้วยแสงไฟ อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นเธอก็จะหลุดจากช่วงที่รถติดที่สุดแล้ว และเป็นเวลาเดียวกับที่จะเริ่มเคานต์ดาวน์เช่นกัน

            อนินทิตาเคาะปลายนิ้วกับพวงมาลัยรถ ร้องเพลงคลอตามจังหวะทำนองปีใหม่ ตรงหน้าคือครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่กำลังเดินข้ามถนนอย่างเร่งรีบเพราะกำลังจะสิ้นสัญญาณไฟ เธอยิ้มเล็กน้อย นึกไปถึงเมื่อคราวยังเด็กที่แม่มักจะพากลับไปหายายที่เมืองไทย แม่ก็จะจูงมือเธอและพี่สาวไว้อย่างนี้ พอไปถึงบ้านยายก็จะได้กินอาหารรสจัดจ้านถึงใจและขนมหวานแสบไส้ แต่อร่อยจนหยุดกินไม่ได้

            คิดไปถึงเรื่องในอดีตทีไรเธอก็ได้แต่ยิ้ม ยิ่งเมื่อเมลิสสา พี่สาวและญาติคนเดียวที่เหลืออยู่จะแต่งงานแยกไปมีครอบครัวแล้ว เธอก็เริ่มเหงานิดๆ แต่ก็ชินเสียแล้วที่ต้องอยู่ตามลำพัง

            ในวันที่รถเยอะ ผู้คนมากมายเช่นนี้ หญิงสาวขับรถไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน จนกระทั่งเข้าเขตย่านที่พักอาศัย กว่าจะถึงบ้านก็ใกล้เริ่มเคานต์ดาวน์เต็มที เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ควรมืดสนิท ก็กลับเริ่มมีการจุดพลุและเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ และ...

            ปัง!

            เสียงหนึ่งดังปะปนกับเสียงแห่งการเฉลิมฉลอง แสงสว่างวาบจากพลุสีสดบนฟ้าเผยให้เห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งโซเซหนีจากอะไรบางอย่างผ่านหน้าเธอไป

            คนอื่นอาจไม่ทันเอะใจว่าเสียงกัมปนาทเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงพลุ แต่เป็นเสียงปืนต่างหาก เธอมองซ้ายมองขวาหาผู้ชายคนนั้น ดูว่าเขาหนีอะไรและเป็นอะไรมากหรือไม่ จะได้ช่วยแจ้งเก้าหนึ่งหนึ่งให้ แต่ก็ไม่เห็นใครเลย ผู้ชายคนนั้นหายไปราวกับเป็นแค่ ‘เงา’ ผ่านหน้าไปเท่านั้น

            คงไม่มีอะไร...

            อนินทิตาตัดใจขับรถต่อไปเพราะอีกแค่ถนนเดียวก็ถึงบ้านของเธอแล้ว เหตุการณ์ยังดำเนินไปอย่างเป็นปกติ จนกระทั่งมาถึงในย่านพักอาศัย หญิงสาวจอดรถไว้ด้านหน้าทาวน์เฮาส์หลังหนึ่งที่เป็นบ้านของเธอเอง

            น่าแปลก...เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกมองอีกแล้ว

            ดวงตาคู่กลมโตกวาดมองไปรอบๆ ตัว แต่ก็มีแต่ความมืด เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ก็ฉลองกันในครอบครัว แล้วใครกันที่มองเธอ

            หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ เธอถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแน่แล้วจึงเดินเข้าบ้าน แต่พลันดวงตาก็เห็นความผิดปกติ

            มีอะไรบางอย่างนอนกองอยู่ที่หน้าบ้านของเธอ...

            ดวงตาคู่กลมโตหรี่ลงเล็กน้อย เพ่งมองฝ่าความมืดสลับกับแสงสว่างวาบเป็นบางครั้งเมื่อได้ยินเสียงพลุ เสียงผู้คนมากมายที่กำลังเฉลิมฉลอง ไม่มีใครสังเกตเลยว่าตรงนี้ไม่ปกติ

            แม้ในใจยังหวั่นๆ ระคนสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่อนินทิตาก็ขยับเข้าไปใกล้ ‘กอง’ นั้นอีกนิด กลิ่นคาวเลือดทำเอาเย็นสันหลังวาบ จะพลิกตัวหันหลังกลับก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อ ‘กองประหลาด’ ที่ว่ายื่นมือมากระตุกมือเธอทีเดียวล้มโครมลงไปทับกองประหลาดนั้นเต็มแรง

            คนหรอกหรือ...และเขากำลังบาดเจ็บด้วย!

            “ช่วย...อื๊อ!” อนินทิตาร้องขอความช่วยเหลือ ทว่ากลับถูกฝ่ามือหนากร้านเต็มไปด้วยเลือดตะปบไว้อย่างแรงจนปากชาเห่อ ความเจ็บทำให้โทสะพุ่งขึ้นสูงทันที โกรธจนลืมกลัวไปแล้ว

            อนินทิตาขึงตาใส่ผู้ชายตรงหน้า แล้วก็ต้องตกใจมากขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเห็นว่าเขาเป็นใคร เธอพยายามเรียกชื่อเขา แต่ทำไม่ได้เพราะยิ่งพยายามร้อง เขาก็ยิ่งกดน้ำหนักมือลงมาจนเธอแทบหายใจไม่ออก ทั้งยังพลิกตัวเป็นฝ่ายคร่อมเธอไว้อีกด้วย

            ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไปต้องตายแน่ๆ!

            สาวร่างเล็กดิ้นขลุกขลัก แต่แรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชาย เธอพยายามจะกัดมือเขา แต่เขารู้ทัน แทนที่จะสู้ได้ ก็ยิ่งถูกแรงมหาศาลกดไว้จนเจ็บหลังไปหมดแล้ว

            “มันไม่น่าหนีไปได้ไกล” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นในระยะใกล้

            แม้จะเป็นยามที่เสียงแห่งการเฉลิมฉลองดังไปทั่ว ทว่าคนที่ทำงานกับอาชญากรอย่างอนินทิตากลับได้ยินเสียงนั้นชัดเจน และคนที่กำลังคร่อมร่างเธอไว้ก็คงได้ยินเช่นกัน ดวงตาคมของเขาเป็นประกายกร้าว แล้วส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้เธอเงียบ แล้วหันไปมองผู้ชายสองคนที่กำลังจะข้ามถนนจากฝั่งโน้นตรงมายังหน้าทาวน์เฮาส์ ถ้ายังอยู่ตรงนี้ต่อไปต้องถูกจับได้แน่นอน

            “นี่...” เธอกำลังจะบอกให้เขาไปซ่อนในบ้าน แต่คงช้าเกินไปเพราะผู้ชายพวกนั้นกำลังมองมาทางนี้พอดี พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากเข้มได้รูปของคนตรงหน้าประกบลงมา

            ช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแทนที่จะหนี แต่เขากลับจูบเธอแทน…บ้าหรือเปล่า!

            อนินทิตาขืนตัวไว้สุดแรง พยายามยกขาขึ้นจะเล่นงานคนบ้าที่อยู่ๆ ก็กระทำจาบจ้วง ไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่เหมือนเขาจะรู้ทัน จึงพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนราบแล้วให้เธอคร่อมเขาไว้เสียเอง

            บ้ากว่านี้ได้อีกไหม...

            ถ้าเป็นเวลาอื่นคงโรแมนติกน่าดู จูบกันหน้าบ้านท่ามกลางบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเคล้าด้วยเสียงพลุและดอกไม้ไฟหลากสี ภาพที่คนนอกมองมาก็คงจะรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย หญิงสาวพยายามส่งเสียงประท้วงและเกร็งตัวจะลุกขึ้น แต่มือหนากร้านยังคงกดท้ายทอยเธอแน่น บังคับให้เธอจูบเขาอีกต่างหาก

            “เป็นบ้าอะไรของคุณ!” เจ้าของเสียงหวานแหวลั่น กำหมัดแน่นและชกเขาทันทีที่เขายอมปล่อย แต่พลาดเป้าไปนิดเดียวเพราะเขาหลบทัน

            “ผมไม่ได้ตั้งใจจะจูบ ก็เห็นอยู่ว่าพวกนั้นมันกำลังมองมา”

            “ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไง” อนินทิตาถามกรุ่นๆ อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านเธอแล้ว วิ่งเข้าบ้านไปเลยก็ได้ ไม่เห็นต้องเบี่ยงความสนใจด้วยวิธีนี้เลยสักนิด

            คนถูกต่อว่าทำหน้าเครียดแล้วตอบสั้นๆ “ดีที่สุดในวินาทีนี้แล้วละ”

            สาวร่างเล็กลุกขึ้นทันทีแล้วมองไปทางถนนก็ไม่พบเงาของผู้ชายสองคนนั้นแล้ว แต่กลิ่นคาวเลือดที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้านี่สิที่ทำให้เธอคิดได้ว่าเขากำลังเจ็บ!

            “คุณต้องไปหาหมอ”

            “ผมไม่หาหมอ” เขาบอกปัดทันทีแบบไม่เสียเวลาคิดเลยสักนิด ทั้งยังมีท่าทีลุกลี้ลุกลนชัดเจน

            “แต่แผลคุณ...”

            “ใช่ แผลผมเอง” เขาย้อนหน้าตาย

            “ฉันรู้ว่าแผลคุณ แต่ฉันหมายถึงคุณต้องทำแผล”

            “ใช่ ต้องทำแผล...แต่ไม่จำเป็นต้องหาหมอ” ตอบพลางมองไปรอบตัวอย่างระแวดระวังอีกครั้ง

            ท่าทางหวาดระแวงของเขาทำให้อนินทิตายิ่งสงสัยว่าเขากำลังหนีอะไรกันแน่ เพราะเท่าที่เจอกันครั้งสุดท้ายเขาก็ดูปกติดี หรือว่าไปทำเรื่องที่ไหนมาอีก แล้วทำไมมาโผล่ที่นี่ มีคำถามมากมายที่เธออยากได้คำตอบ แต่ไม่ทันได้ถามเพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่จ่อที่เอวของเธอ

            ให้ตายเถอะ...เขามีปืนด้วยหรือนี่!

            “และคนที่ต้องทำแผลให้ผม...ก็คุณไง อนินทิตา โรซาเลส!”

 

อนินทิตาถึงกับชะงัก ไม่คิดว่าเขาจะรู้ทั้งชื่อและนามสกุลของเธอ แต่คงเพราะมัวตะลึงนานไปหน่อย เธอไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกเขาลากถูลู่ถูกังเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อไร กว่าจะรู้ตัว...ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของคนที่กำลังขบฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่บาดแผลเท่านั้น ทั้งที่เป็นช่วงปีใหม่ที่อากาศค่อนข้างเย็น ทว่าหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ด้วยกันบนเดย์เบดในห้องนั่งเล่นกลับมีอาการเหงื่อตกด้วยกันทั้งคู่

            หนุ่มสาวนั่งเผชิญหน้ากันท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดภายในห้อง อนินทิตาจ้องมองผู้ชายตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอสงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว เขาดูประหลาดหลุดโลกมากๆ แต่พอเจอกันครั้งที่สอง เขาก็มาพร้อมกับเลือด กระสุน คนตามล่า ทั้งยังชักปืนขู่เธออีก

            ราม รามิเรซ...เขาเป็นใครกันแน่

            สายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงของสาวตรงหน้ายิ่งทำให้รามโมโห เขาเจ็บจะตาย เลือดไหลจะหมดตัวอยู่แล้ว แต่แม่คุณยังเอาแต่จ้องอยู่ได้

            “ทำแผลให้ผมสิ” หนุ่มมาดเข้มออกคำสั่ง

            “คุณหนีอะไรมากันแน่ราม” เจ้าของบ้านถามเสียงเครียด ดวงตากลมโตหรี่แคบลง มองเขาราวกับจะพิจารณาไปให้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจ

            ชายแปลกหน้ายิ้มเล็กน้อย เขาไม่ตอบ แต่กลับยกปืนขู่เธอเสียอย่างนั้น จนอนินทิตาชะงัก ถ้าเป็นเวลาอื่นเธอคงไม่กลัว แต่นี่ดึกแล้ว ทั้งบ้านเหลือแค่เธอกับเขา ทั้งยังปิดประตูหน้าต่างเสียมิดชิด สู้ไปก็ตายเปล่า จึงจำต้องทำตามที่เขาสั่งแต่โดยดี

            “หันหลังสิ ฉันจะถอดเสื้อให้” หญิงสาวบอกเสียงดุ ถ้าคิดหาทางหนีทีไล่ ก็ต้องกำจัดสายตาที่จ้องมองมานี่เสียก่อน

            “ไม่ละ ผมกลัวถูก ‘แทงข้างหลัง’” เขาบอกยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มกวนประสาทที่ดูแล้วน่าซ้ำมากกว่าน่าให้ความช่วยเหลือเสียเหลือเกินในความคิดของอนินทิตา

            หญิงสาวถอนหายใจ แต่ก็ขยับเข้าไปใกล้คนเจ็บที่ก็ขยับเข้ามาเช่นกัน เธอก้มลงมองเสื้อสีทึมๆ ที่เขาสวมแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาเล็กน้อย จากนั้นจึงถอดเสื้อเขาออกสำรวจบาดแผลที่ต้นแขนของชายหนุ่ม ก็พบว่าแผลมีผิวหน้าเรียบเสมอกันเหมือนรอยบาดจากของมีคม ถ้าไปโรงพยาบาลก็คงต้องเย็บ

            แต่น่าแปลก...ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเสียงปืน แล้วรามก็มานอนเจ็บอยู่หน้าบ้านของเธอ เขาคือผู้ชายคนเดียวกับที่วิ่งตัดหน้ารถเธอไม่ผิดแน่ แต่ถูกยิงไม่ควรมีแผลแบบนี้ไม่ใช่หรือ

            “คุณไปโดนอะไรมา” เธอถามเสียงดุ

            “แล้วคิดว่าอะไรล่ะ” รามยังโยกโย้ ทั้งยังเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับเสียอย่างนั้น

            “ฉันได้ยินเสียงปืน คุณวิ่งตัดหน้ารถฉัน ฉันคิดว่าคุณจะโดนยิงเสียอีก”

            “ก็นี่ไง...ที่โดนยิงน่ะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิด ทั้งที่เพิ่งบอกว่าตัวเองโดนยิงเนี่ยนะ

            อนินทิตากำลังจะอ้าปากเถียง แต่พอเห็นตาวาววับของเขา ไหนจะปืนในมือนั่นอีก เอาเถอะ...โดนยิงก็โดนยิง เธอขี้เกียจเถียงกับคนเพี้ยนๆ อย่างเขาแล้ว

            “แผลลึกคงต้องเย็บ” เธอบอกเสียงหวาน

            “คุณก็ทำสิ”

            “ฉันไม่ใช่หมอ ฉันทำไม่ได้” อนินทิตาบอกปัด ไม่ใช่ว่าเธอทำไม่ได้ แต่เธอจะไว้ใจให้คนที่วิ่งหนีลูกปืนมาอยู่ในบ้านของเธอได้อย่างไร

            “คุณทำได้” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเหมือนจะใจดี แต่กลับจ่อปืนมาทางเธออีกแล้ว

            สาวเจ้าของบ้านถอนหายใจแล้วบอกเสียงเรียบ “ถ้าเจ็บมากๆ อย่าบ่นก็แล้วกัน”

            “ไม่บ่นหรอก”

            คำตอบของเขาทำให้เธอต้องเงยหน้าแล้วเลิกคิ้วมองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความกังขา

            “ยิงทิ้งเลยง่ายกว่า” รามตอบเสียงนุ่มทั้งยังยิ้มหวาน ทว่ายกปืนขึ้นใส่หน้าเธอเสียอย่างนั้น

            รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าคมเข้มชื้นเหงื่อดูแล้วเหมือนคนบ้าโรคจิตที่อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ในชั่วเวลาเสี้ยววินาที และไม่ว่าจะเป็นแค่คำขู่หรือไม่ แต่ลูกปืนตัดสินใจเองไม่ได้ เธอไม่เสี่ยงให้รามคลุ้มคลั่งแล้วพลั้งมือลั่นไก เกิดหนเดียวตายหนเดียว ถ้าจะตายจริงๆ ขอตายแบบสภาพดูดีหน่อย อย่างเช่นการได้สวมชุดของเวอร์ซาเชคอลเล็กชันใหม่ล่าสุดพร้อมนั่งจิบไวน์สวยๆ ก่อนตายดีกว่า

            อนินทิตาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วบอกห้วนๆ “ไม่มียาชาหรอกนะ”

            “ตามสบายเลยครับคุณผู้หญิง” คนเจ็บยังมีอารมณ์กวนประสาททั้งที่กำลังขบฟันกลั้นความเจ็บปวดจากบาดแผล

            สาวเจ้าของบ้านหันไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล เธอสบตาเขาเล็กน้อยเผื่อว่าเขาจะเปลี่ยนใจ แต่รามกลับเบนหน้าไปอีกทางทั้งที่ยังถือปืนจ่อเธอเนี่ยนะ เกิดเขาทนเจ็บไม่ไหวแล้วลั่นไกใส่เธอล่ะ ตายทั้งเลือดเปื้อนเปรอะเสื้อผ้าไปทั่ว...ไม่สวยเลย!

            “วางปืนก่อนได้ไหมคุณ”

            รามลังเลเล็กน้อย แต่ก็ขึ้นเซฟแล้ววางลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า

            “ฉันจะทำแผลแล้วนะ อดทนหน่อยแล้วกัน”

            อนินทิตารอให้คนเจ็บพยักหน้าแล้วจึงเริ่มลงมือ แม้ไม่ใช่หมอหรือพยาบาล แต่เพราะทำงานเกี่ยวกับอาชญากรมาตลอดทำให้เธอพอทำแผลได้ เย็บแผลได้ เธอไม่กลัวเลือด แต่กลัวคนมากกว่า ดูอย่างรามนี่ปะไร อยู่ๆ ก็หนีความตายมานอนแบ็บอยู่หน้าบ้านเธอ แล้วตอนนี้ยังมายกปืนขู่เธออีกด้วย

            “คุณดูชำนาญมากเลยนะ ทำงานอะไรล่ะ” เจ้าของเสียงเข้มถาม

            พยาบาลจำเป็นชะงักมือที่กำลังทำความสะอาดรอบปากแผลแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เธอไม่ตอบ แล้วก้มหน้าลงไปทำแผลต่อ

            “เป็นหมอ หรือพยาบาลล่ะ”

            “นักจิตวิทยา” เธอตอบสั้นๆ

“นักจิตวิทยาหรือ...น่าสน งั้นบอกได้ไหมว่าดูแล้วผมเป็นคนยังไง”

            “นักจิตวิทยาไม่ใช่หมอดู” เธอตัดบท ทั้งที่รู้ดีว่าควรจะคุยเป็นเพื่อนเขา รามกำลังพยายามชวนคุยเบี่ยงเบนความเจ็บ แต่...ก็สมน้ำหน้าแล้วเจ็บต่อไปเถอะ

            อนินทิตาลอบยิ้ม ยิ่งเห็นรามกำลังกัดฟันแน่นแล้วเบนหน้าไปอีกทางเหมือนกำลังกลัวเลือดตัวเองก็ยิ่งสะใจนิดๆ จึงไม่เบามือเลยสักนิด ทำเอาคนเจ็บเกร็งจนสั่นไปทั้งตัว

            “เสร็จแล้ว” พยาบาลจำเป็นบอกหลังจากทำแผลเสร็จเรียบร้อย

            รามถอนหายใจยาว ทิ้งตัวนอนพิงเดย์เบดแล้วหลับตาลง ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-อินเดียซีดขาวบ่งบอกถึงความเหนื่อยอ่อน

            “คุณควรออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว” เจ้าของบ้านออกปากไล่ คนอันตรายอย่างนี้สมควรให้อยู่ที่บ้านเสียที่ไหน

            “คุณใจดำขนาดนั้นเชียว”

            “เราไม่รู้จักกันเสียหน่อย”

            “ก่อนหน้านี้คุณก็เรียกชื่อผมถูกนี่” เขาย้อนทั้งที่ยังนอนหลับตา

            อนินทิตาชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะทันสังเกตที่เธอเรียกชื่อเขา และที่สำคัญเขาก็เรียกชื่อเธอเต็มปากเต็มคำด้วย เธอไม่แปลกใจที่เขารู้จักเธอ ถ้าเคยเจอกันจังๆ แบบนั้นแต่ทำเป็นไม่รู้จัก...แบบนี้สิแปลก

            สาวเจ้าของบ้านมองผู้ชายแปลกประหลาดตรงหน้าอย่างพิจารณา รามนอนนิ่ง แผงอกกว้างกำยำผิดจากที่คิดกำลังสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับว่าเขาหลับไปแล้ว เธอจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วชะโงกหน้าไปมองอย่างระมัดระวัง

            ตั้งแต่วันที่เดินสวนกันที่ลิฟต์บนชั้นผู้บริหารที่อะลอนโซ ทาวเวอร์ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว แต่รามก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ใบหน้าคมเข้มแบบลูกครึ่ง ผมหยักศกยาวที่เคยไว้ยาวอย่างไรก็อย่างนั้น ไหนจะหนวดเครานี่ก็อีก ปกติแล้วอนินทิตาไม่ใช่คนประเภทตัดสินใจที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่กับรามนี่ทำให้เธอหวาดระแวงได้ตลอดเวลาจริงๆ

            “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคุณโรซาเลส”

จู่ๆ คนที่นอนหลับตาก็พูดขึ้น ทำเอาคนที่แอบมองอยู่นานถึงกับสะดุ้ง...เขารู้ได้อย่างไร

            “ฉันแค่...” เจ้าของเสียงหวานอึกอักเล็กน้อย “ฉันแค่จะดูว่าคุณเป็นยังไงบ้าง”

            “ยังไม่ตาย”

            “แต่คุณจะมาตายในบ้านฉันไม่ได้”

            “ผมยังไม่มีแผนจะตายตอนนี้” คนเจ็บตอบกวนๆ และ...นอนต่อ

            เจ้าของบ้านขึงตามองผู้บุกรุกด้วยสายตาเหลือเชื่อ คนอะไรหน้าด้านระดับสิบ รู้จักกันแค่ผิวเผิน แต่มาหนีตายอยู่ในบ้านเธอเนี่ยนะ ใครจะใจเย็นก็ใจเย็นไปเถอะ แต่เธอจะไม่ประมาทแน่

            อนินทิตาเอามือคลำไปยังกระเป๋ากางเกงด้านหลังทันที แต่กลับไม่พบโทรศัพท์มือถือที่เธอเก็บไว้...มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่!

            “หานี่อยู่หรือเปล่า”

            อนินทิตาหันขวับ แล้วก็พบว่าของที่หาอยู่นานบัดนี้อยู่ในมือรามเสียแล้ว...เขาเอาไปตั้งแต่ตอนไหนกัน

            “นี่คุณ” เธอพยายามคว้ามันคืนมา แต่รามเอาหลบไว้ได้อย่างรวดเร็วแล้วยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงยีนของตัวเอง

            “ถ้าอยากได้ก็มาเช็ดตัวเอาคราบเลือดพวกนี้ออกให้หน่อย ผมเหนื่อย อาบน้ำไม่ไหวหรอก”

            “ว่าไงนะ!”

            “จะให้พูดซ้ำไหม” เขาถามทั้งที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น ทำราวกับมองเห็นทั้งที่ก็นอนหลับตาอยู่แท้ๆ

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวหรี่ตามองผู้ชายที่นอนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่ไว้ใจ เธอทำงานมาก็เยอะ เจอคนมาก็มาก แต่ไม่เคยเจอใครประหลาดและรู้ทันเธอเท่ารามมาก่อน

            “คุณไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม ฉันไม่รู้จักคุณไปมากกว่ารู้ว่าคุณชื่อราม เราไม่ใช่คนรู้จักกันด้วยซ้ำ คุณจะมาทำตัวเอาแต่ใจที่บ้านของฉันไม่ได้”

            “ผมชื่อราม”

            “แต่...”

            “นามสกุลผมคือรามิเรซ” เขาตอบกวนๆ และ...นอนต่อ

            ความหน้าด้านระดับสิบเต็มสิบของเขาทำให้อนินทิตาทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังโทรศัพท์บ้านที่อยู่ห่างจากเดย์เบดแค่เอื้อมมือเท่านั้น ทว่า...

            “คิดให้ดีคนสวย” เสียงรามขู่มาอีกแล้ว และไม่ได้มีแค่คำพูดอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเล็งปืนมาที่เธออีกด้วย

            คนที่ห่วงตายศพไม่สวยยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดได้แต่กลืนน้ำลาย ใจหนึ่งนึกอย่างลองกล่อมเขา ลองเล่นเกมจิตวิทยากันสักรอบ แต่หลังจากพูดคุยด้วยกันมาสักระยะ เธอคิดว่าคนอย่างรามรู้ทันเธอแน่นอน ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือทำตามที่เขาบอกไปก่อนแล้วกัน

 

ทั้งที่เป็นวันหยุดสิ้นปี แต่กลับมีงานล้นมือเสียจนไม่ได้หยุดอย่างคนอื่นเขา ต้องขับรถกลับบ้านท่ามกลางการเฉลิมฉลองขึ้นปีใหม่ของผู้คนรอบข้างแค่นี้ก็หนักหนาสาหัสพอแล้วสำหรับอนินทิตา แต่วันนี้ไม่ใช่วันของเธอ เพราะนอกจากจะต้องเผชิญกับงานที่หนักหน่วงมาตลอดทั้งวันแล้ว เธอยังต้องมาเผชิญคนบ้าที่รู้ทันเธอทุกอย่าง ทำเอาเธอแทบประสาทเสียทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงชั่วโมง

            อนินทิตาเป็นผู้หญิงแปลกคนหนึ่ง เธอมักทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง อย่างเช่นเคยเห็นผู้ชายถูกยิงบาดเจ็บจนเกือบตายถูกทิ้งไว้กลางทะเลทรายเนวาดาและช่วยชีวิตมาแล้ว จนตอนหลัง สเปนเซอร์ ไวด์ มาช่วยเธอทำงาน ฝีมือเขาใช้ได้ ท่าทางผ่านงานบอดีการ์ดหรือไม่ก็งานลับมาอย่างโชกโชน เธอเสียดายฝีมือเขา พยายามเสนอให้เขามาทดสอบที่สำนักงานของเธอ แต่เขากลับปฏิเสธแล้วก็หายไปราวกับไม่มีตัวตน

            ดังนั้นตัดเรื่องกลัวคนแปลกหน้าไปได้เลย เธอไม่เคยมีปัญหากับการรับมือคนแปลกหน้า แต่กับรามนั้นต่างไป เขาไม่ได้มีท่าทางลึกลับอันตรายอย่างสเปนเซอร์ แต่กลับกวนโทสะ ยั่วให้หมดความอดทนและเผยตัวตนออกมาทีละนิด ไม่แสดงท่าทีเอาแต่ใจ ไม่ขึงตาวางอำนาจแบบที่พวกผู้ชายทั่วไปชอบทำกัน แต่น้ำเสียงเรียบเรื่อย รอยยิ้มหวานขัดกับดวงตาวาววับคู่นั้นต่างหากที่ทำให้คนถูกมองหายใจไม่ทั่วท้อง ราวกับว่าภายใต้ท่าทางสบายๆ เหมือนสายลมเย็นๆ พัดผ่านนั้นซ่อนอะไรไว้มากมายเสียจนเธอเองยังมองไม่ออก แล้วจะไม่ให้กลัวได้อย่างไร

            สาวเจ้าของบ้านเดินออกมาจากห้องน้ำ ในมือถือภาชนะใส่น้ำอุ่นและผ้าขนหนูสะอาด ทว่าตากลับลอบมองเขาอย่างระแวดระวังตลอดเวลา จนกระทั่งเดินมาใกล้ๆ แต่รามก็ยังไม่ขยับ เขาทำเหมือนหลับจริงๆ แต่กลับทำให้คนมองคิดระแวงไปได้ต่างๆ นานา

            จะมีคนประหลาดสักกี่คนกันที่มีบุคลิกแบบนี้...        

            ขณะค่อยๆ เช็ดตัวให้เขา นักจิตวิทยาอาชญากรสาวก็ลอบสำรวจผู้ชายตรงหน้าด้วยความสนใจ เท่าที่จำได้...ตอนเจอกันครั้งแรก ราม รามิเรซ มีบุคลิกหลุกหลิก ทั้งยังดูผอมเก้งก้าง แต่งกายด้วยเสื้อผ้ามอซอต่างกับ เชสก์ อะลอนโซ ซีอีโอบริษัทข้ามชาติที่หล่อรวย แต่งกายเนี้ยบไปทุกกระเบียด

            สาบานได้เลยว่าเธอไม่มีเจตนา ‘ลวนลาม’ คนเจ็บด้วยสายตาเลยสักนิด แต่การมีผู้ชายมานอนเปลือยอกอยู่ในบ้าน จะไม่ดูก็กระไรอยู่

            ดวงตากลมโตไล่มองตั้งแต่ใบหน้าคมเข้มที่ยังมีรอยเลือดเปื้อนอยู่เล็กน้อย ถือโอกาสมองขนตาดกหนายาวงอนเสียจนผู้หญิงอย่างเธอยังอาย นึกสงสัยว่าแอบติดขนตาปัดมาสคารามาหรือเปล่า จนมีความคิดอยากกระชากขนตาเขาออกแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ แต่คิดไปคิดมา...อย่าดีกว่า เธอยังไม่อยากตายทั้งที่ตัวยังมีกลิ่นคาวเลือดอย่างนี้

            “ราม” เธอลองกระซิบเบาๆ ทดสอบว่าเขาหลับจริงหรือไม่ แต่เขาก็ยังเงียบ ไร้สัญญาณตอบรับใดๆ

            แต่เธอไม่เชื่อ...

            ไม่กี่ชั่วโมงที่เจอกันแต่ถูกเขาดักทางเธอได้ทุกอย่างล้วนเป็นประสบการณ์ไม่ให้เธอเชื่อคนมากเล่ห์ตรงหน้า จึงลองโบกมือตรงหน้าเขา ยิ่งเขาเงียบ เธอก็ยิ่งชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วลองเรียกอีกครั้ง

            “ราม คุณหลับจริงๆ หรือ...ว้าย!” อนินทิตาร้องเสียงหลง ยังถามไม่ทันจบก็ถูกคนมือไวกดท้ายทอยให้ก้มลงไปหาแล้วจูบเธอ ทำเอาหญิงสาวลืมตาโพลง ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้คนบ้าฉวยโอกาสกดจูบลงแนบแน่นยิ่งขึ้น มืออีกข้างของเขาเลื่อนไล้ไปตามสีข้างเบาๆ พอเธอตั้งสติได้ก็ผลักอกเขาเต็มแรงจนพ้นมือเขาได้ในที่สุด

            “ทำบ้าอะไรน่ะ!” เจ้าของบ้านลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วขึงตาใส่คนที่ยังนอนหนุนแขนตัวเองด้วยท่าทางสบายๆ แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

            “ก็คุณแอบมองผมตั้งนาน แถมยื่นหน้ามาใกล้ๆ อีก ก็คิดว่าอยากจูบน่ะสิ”
            “ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณหลับไปแล้วหรือยัง”

            “จะขโมยโทรศัพท์หรือ” คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมดุเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางกวนประสาท

            ตาเป็นประกายแพรวพราวของเขาทำเอาอนินทิตาเย็นสันหลังวาบ เธอไม่ตอบ แต่เดินเลี่ยงออกไปอีกทาง

            “จะไปไหนล่ะ ยังไม่เช็ดตัวให้ผมเลยนะ”

            “ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้” เจ้าของบ้านทำเสียงดุ พอกันที...เธอทนให้เขาอยู่ในบ้านไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

            ทั้งที่ถูกไล่แทบจะทุกห้านาที แต่รามก็ยังคงความหน้าหนาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เขาทำไม่รู้ไม่ชี้ นอนผิวปากสบายๆ แต่กลับเอื้อมมือไปคว้าปืนมาถือไว้เสียอย่างนั้น

            “ขอนอนที่นี่สักคืนแล้วกัน”

            “ฉันจะแจ้งความ”

            “คิดว่าทำได้หรือ”

            สาวเจ้าของบ้านลอบมองอาวุธในมือรามแล้วก็กลืนน้ำลายฝืดคอ

            รามหัวเราะหึๆ ก่อนจะผิวปากเป็นทำนองกวนประสาท และยังคงยึดเดย์เบดภายในห้องนั่งเล่นของเธอเป็นของตัวเอง

            อนินทิตาไม่ทนอีกแล้ว ในเมื่ออยากยึดโทรศัพท์เธอก็ยึดไป แต่กุญแจรถยังอยู่ เธอมองผู้บุกรุกหน้าหนาด้วยสายตาอาฆาต แล้วเดินผ่านหน้าเขาไปหยิบกุญแจรถ น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่ห้ามเธอ ทั้งยังยิ้มให้อีกด้วย

            นี่สรุปใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่

            สาวเจ้าของบ้านตัวจริงคิดอย่างกรุ่นๆ เดินกระแทกเท้าไปที่ประตูแล้วชะงักเล็กน้อย รอฟังว่ารามจะห้ามเธอหรือไม่ แต่เขาก็ยังเงียบ ทั้งๆ ที่ยึดมือถือเธอไป แต่กลับปล่อยเธอเดินออกนอกบ้านเนี่ยนะ ไม่กลัวเธอไปแจ้งความให้ตำรวจลากคอเขาเข้าคุกหรือ   

            อนินทิตาขมวดคิ้ว หันกลับมามองรามก็พบว่าเขาปลดล็อกสมาร์ตโฟนของเธอได้ ทั้งยังนอนเล่นเกมหน้าตาเฉย

            นี่มันจะเกินไปแล้ว!

            หญิงสาวเปิดประตูบ้านแล้วก้าวออกไปด้วยอารมณ์กรุ่นๆ แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นว่าหน้าบ้านยังมีผู้ชายชุดดำท่าทางไม่น่าไว้ใจสองคนเดินป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่างจากบ้านของเธอ และที่สำคัญ...กำลังจะหันมาอีกด้วย

            ไม่ต้องรอให้ใครบอก อนินทิตาก็รีบถอยหลังกลับเข้าบ้าน ปิดประตูอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับมามองคนเจ็บด้วยสายตาคาดคั้น

            “คนพวกนั้นใคร”

            “คนที่มีเรื่องกับผมไง”

            “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ออกไป”

            “ผมเจ็บอยู่” เขาตอบสั้นๆ สายตาจดจ่อกับเกมในโทรศัพท์มือถือของเธอ

            น้ำเสียงสบายๆ ของหนุ่มมาดเข้มยั่วยุให้อนินทิตาหมดความอดทน เธอก้าวพรวดเข้าไปหารามหมายจะเอาโทรศัพท์คืน แต่เขาก็เอาหลบไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังจับมือเธอไว้อีกด้วย

“ผมจะอยู่ที่นี่” ไม่ใช่คำขออนุญาต แต่มันคือคำบอกเล่าด้วยสายตามุ่งมั่น บ่งบอกว่าเขาไม่ไปไหน

            ปกติแล้วอนินทิตาไม่ใช่คนใจร้อน การทำงานกับผู้ป่วยที่เป็นอาชญากรทำให้เธอเป็นคนใจเย็นและมีสติเสมอ แต่รามเป็นคนเดียวที่ทำให้ความอดทนเธอขาดสะบั้นลงทุกครั้งที่คุยกัน

            มือเล็กกำแน่น พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ลงมือกับเขา อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิง ส่วนเขาเป็นผู้ชายตัวสูงที่มีอาวุธในมือ สู้ไปมีแต่แพ้ ดีไม่ดีอาจตายศพไม่สวยอย่างที่กลัวมาตลอด แต่รามกลับไม่ให้ความร่วมมือเลย ยิ่งเธอพยายามข่มใจ เขาก็ยิ่งยิ้มกวนตะกอนอารมณ์ของเธอให้ขุ่นเพิ่มขึ้นจนเธอทนไม่ไหวอีกแล้ว

            อนินทิตาหันไปมองปืนที่เขาวางไว้ข้างตัวแล้วพุ่งตัวไปคว้ามันด้วยความเร็วที่มั่นใจว่ารามขัดขวางเธอไม่ทันแน่ๆ แต่เขาก็ไวเหลือเชื่อ ทั้งที่นอนเจ็บ ทั้งยังเล่นโทรศัพท์อยู่แท้ๆ แต่กลับคว้ามือเธอไว้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังออกแรงบีบเสียจนอนินทิตาร้องเสียงหลง

            “โอ๊ย!” เธอทิ้งปืนในมือทันทีเพราะทนความเจ็บไม่ไหว ผู้ชายบ้าอะไรใจร้ายกับผู้หญิงสวยอย่างเธอได้ลงคอ

            “เจ็บหรือคนดี” หนุ่มมาดเข้มยังฉีกยิ้มกวนประสาท สุ้มเสียงดูใจดีมีเมตตา แต่ดวงตาวาววับเอาเรื่อง “ผู้หญิงไม่ควรแตะอาวุธนะจ๊ะ”

            “ปล่อยฉัน”

            “เราคงคุยกันดีๆ ไม่ได้แล้วละ” รามบอกเสียงเหี้ยม แล้วหยิบกุญแจมือจากกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลังมาคล้องข้อมือของอนินทิตา อีกข้างคล้องมือตัวเองไว้

            “นี่!” หญิงสาวทำตาโต มองกุญแจมือบนข้อมือสลับกับตัวต้นเรื่องแล้วก็อยากจะกรี๊ดใส่หน้าเขาเหลือเกิน “ทำบ้าอะไรของคุณ!”

            “เดี๋ยวคุณลอบทำร้ายตอนผมหลับ”

            “ฉันไม่ได้พูดสักคำว่าจะให้อยู่ คุณต้องออกไปเดี๋ยว...”

            “ก็ผมจะอยู่” รามทำเสียงรำคาญ ขยี้หูตัวเองแรงๆ ปิดโสตประสาทไม่ยอมฟังสิ่งที่เธอพูด

            อนินทิตาเดือดจัด เงื้อมือจะตีผู้ชายบ้าตรงหน้า แต่ก็ทำไม่ได้ ลืมไปเสียสนิทว่ามือเธอก็ถูกพันธนาการไว้กับมือของเขา เท่ากับว่าตอนนี้อย่าว่าแต่จะไล่เขาออกไปเลย เธอเองก็ถูกผูกติดกับเขาเป็นที่เรียบร้อย

            “คุณเป็นบ้าหรือ”

            “ผมไม่ได้บ้า” หลังจากจัดการสาวแสบเรียบร้อย รามก็ทิ้งตัวลงนอนหลับตาสบายใจ และไม่สนใจเธออีก

            สาวเจ้าของบ้านเม้มปากแน่น ดูจากความกวนประสาทของรามแล้ว ใช้ไม้แข็งคงมีแต่แตกหักกันไป สู้ใช้ไม้อ่อนน่าจะดีกว่า

            อนินทิตาหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์ให้เย็นลง แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “กุญแจอยู่ไหน ไหนว่าจะให้ฉันเช็ดตัวให้ไงล่ะ”

            “อยู่ในกางเกง”

            “ข้างไหน ฉันเอาออกให้ จะได้เช็ดตัวให้คุณไง”

            “ในกางเกงใน”

            คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ทำเอาคนฟังสะดุ้ง ดวงตาเบิกกว้าง มองผู้ชายมาดเข้มจอมกวนอย่างเหลือเชื่อ เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นคนประเภทไหนกันแน่ แต่ถ้าเขาเป็นคนชอบเอาชนะแล้วละก็ เธอก็จะบอกเขาไปตามตรงเลยว่าเขาชนะแล้ว เธอยอมแพ้ เจออย่างนี้เข้าไปเธอสู้ไม่ไหวแล้ว

            อนินทิตาทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหน้าเดย์เบดที่รามนอนอยู่แล้วถอนหายใจแรงๆ ในเมื่อไปไหนไม่ได้ก็คงต้องยอมรับสภาพ เพราะกุญแจมือบ้าๆ นี่แท้ๆ ที่ทำให้เธอไม่เหลือทางเลือกใดๆ เลยนอกจากทิ้งตัวลงนอนโดยวางมือไว้บนมือหนากร้านของเขา เธอตั้งใจจะไม่หลับ แต่เพราะความเหนื่อยล้าจากงานหนักมาหลายวันติดต่อกัน กอปรกับทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จากที่ฝืนลืมตาอยู่นานก็ค่อยๆ หรี่ปรือทีละน้อยและหลับลงในที่สุด

 

ท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบที่ปกคลุม คนที่อนินทิตาคิดว่าหลับไปก่อนกลับลืมตาขึ้น

            หนุ่มร่างสูงลุกนั่งแล้วก้มลงมองสาวร่างเล็กที่นอนขดอยู่บนพื้น ท่าทางเธอนอนไม่สบายเพราะกุญแจมือที่ติดอยู่กับเขา ถ้าเป็นผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษก็คงจะแสดงน้ำใจกับสาวสวยด้วยการอุ้มเธอขึ้นมานอนบนเดย์เบด แล้วตัวเองลงไปนอนข้างล่างเสียเอง

            แต่ขอโทษด้วย...เขาไม่ใช่คนดี

            รามยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีน ไม่ใช่กางเกงในอย่างที่บอก ปลดกุญแจมือออกให้ แล้วลุกขึ้นไปมองที่หน้าต่าง มองลอดใต้ผ้าม่านผืนหนา ไม่พบผู้ชายสองคนที่ไล่ตามเขามาแล้ว

            อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหยิบพีดีเอออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนแล้วเข้าโปรแกรมแฮ็กกล้องวงจรปิดในย่านนี้ทั้งหมด ไม่นานก็ได้ภาพมาทั้งหมด ผู้ชายสองคนที่ไล่ตามเขามายังอยู่ไม่ไกลจากย่านที่พักของอนินทิตา

            เมื่อได้คำตอบสิ่งที่สงสัยแล้ว รามก็เก็บพีดีเอไว้ที่เดิมแล้วเดินกลับมาที่เดย์เบด แวบแรกก็นึกอยากลองเป็นสุภาพบุรุษดูบ้าง อยากรู้ว่าถ้าทำตัวหล่อๆ มีน้ำใจงามๆ ต่อเด็ก สตรี และคนชราแล้วจะรู้สึกอย่างไร แต่คิดไปคิดมา...ไม่ดีกว่า เพราะอนินทิตาก็ใช่ธรรมดาที่ไหน ภายใต้ใบหน้าอ่อนหวานที่มีส่วนผสมระหว่างชาติตะวันออกกับตะวันตกอย่างลงตัว และดวงตาคมหวานกลมโตเป็นประกายสุกใสนั้น แท้จริงแล้วเธอร้ายกาจเพียงไร เขาจำได้ไม่ลืมว่าเธอเคยชูนิ้วกลางใส่หน้าเขา แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขามาอยู่ตรงนี้

            รามนอนบนเดย์เบดตัวเดิมแล้วนึกไปถึงเหตุการณ์ที่โฮโนลูลู หลังจากที่เปิดตัวทั้งอัลเบอร์โต วูล์ฟ และเชสก์ออกสู่ที่สว่าง พ้นข้อกล่าวหาการเป็นเดอะดาร์กแฟนทอมไปแล้ว ทั้งยังถือโอกาสโยนทุกอย่างกลับสู่จุดเริ่มต้น ให้ผู้ที่ก่อตั้งตัวจริงรับกรรมในสิ่งที่พวกเขาทำ แรกทีเดียวรามหลบไปกบดานที่อื่นแล้ว ไม่คาดคิดว่ามี ‘ใครบางคน’ ที่รู้ทันเขาทุกอย่าง ทั้งยังรู้จักปีศาจที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของเขาดีกว่าตัวเขาเองเสียอีก

            ‘ใครคนนั้น’ เข้ามาพร้อมยื่นภารกิจบางอย่างแลกกับการปกปิด ‘ตัวตน’ ของรามให้เป็นความลับดังเดิม รามไม่แปลกใจที่ใครคนนั้นรู้ว่าเขาเป็นใครและทำอะไรมาบ้าง แต่ที่แปลกใจคือทำไมเมื่อรู้กลับปล่อยให้เขาลอยนวลมาจนถึงตอนนี้

            และเมื่อรามเริ่มงานจริงๆ จังๆ ก็กลับได้พบคนที่คิดว่าตายจากโลกนี้ไปแล้วเสียอีก และผู้ชายคนนี้ก็รู้จักเขาดีไม่น้อยกว่า ‘ใครคนนั้น’ เลย

            สองงานถูกเสนอมาในลักษณะต่างขั้ว รามได้แต่ครุ่นคิด ต้องมีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเดอะดาร์กแฟนทอมที่พวกเขายังไม่รู้ บางอย่าง...ที่อาจไม่ใช่แค่กลุ่มอาชญากรซื้อขายอาวุธกับผู้ก่อการร้าย หรือแค่สอดแนมพลเมืองอีกต่อไป

            แม้จะเป็นแฮกเกอร์คนหนึ่ง เขาก็ใช่จะสามารถทำทุกอย่าง ภารกิจที่ได้รับยากเกินไปและไม่มีจุดหมายชัดเจน เขาอยู่ที่ทำงานต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน จนกระทั่งนึกถึงสเปนเซอร์ หรือ Mr. S ที่เคยเจาะเข้าถึงระบบความปลอดภัยของอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ได้ สเปนเซอร์ฝีมือไม่ธรรมดา เสียดายที่รักสุคนธวา ภรรยาของเชสก์มากไป พออกหักเข้าหน่อยก็เสียศูนย์ และสูญหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน เห็นได้ชัดว่าความรักคือหายนะ ดีที่ในชีวิตนี้เขายังไม่เคยรักใครและไม่คิดรักใครนอกจากตัวเอง

            รามไม่สนใจสเปนเซอร์ แต่คนที่เคยอยู่กับสเปนเซอร์นี่ต่างหากเล่าที่น่าสนใจ...

            ดวงตาคมหวานเบนมามองสาวที่ยังนอนบนพื้น อนินทิตาผอมลงจากตอนที่เจอกัน ส่งผลให้ดูตัวเล็กบอบบางกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก แต่จากที่ได้สัมผัส เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แต่ฝีมือน้อยที่ไหน ทั้งยังพยายามเล่นเกมจิตวิทยากับเขาหลายครั้ง แต่ถ้าเทียบกันแล้ว...ยังห่างชั้นกับเขาอยู่มาก

            ถ้าจะเริ่มต้นจากใครสักคนที่ให้ความสนใจคดีของเดอะดาร์กแฟนทอม ก็น่าจะเป็นอนินทิตาคนนี้นี่ละ

            หนุ่มเจ้าเล่ห์ยิ้มในความมืด...นี่เพิ่งเริ่มต้น ‘เกม’ ที่แท้จริงเท่านั้น!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น