2

ผู้ชายจากข้างทาง


 

1

ผู้ชายจากข้างทาง

 

ความคิดที่ว่าในช่วงวันหยุดจะใช้เวลานอนเต็มที่ต้องพังทลายลง อนินทิตารู้สึกเมื่อยขบไปทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งที่เตียงเธอก็ใช้เตียงนอนเพื่อสุขภาพอย่างดีไม่ใช่หรือ หญิงสาวลืมตาขึ้นมาช้าๆ น่าแปลกที่เธอไม่ได้อยู่ในห้องนอนรกๆ ของเธออย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับมานอนบนพื้นพรมภายในห้องเพลย์รูมเสียอย่างนั้น

            อนินทิตาหรี่ตาลง นึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้เธอมาอยู่ตรงนี้แล้วก็ดีดตัวลุกขึ้นทันทีราวกับติดสปริง ก้มลงมองข้อมือที่เคยถูกพันธนาการ แต่ตอนนี้ไม่มีกุญแจมืออยู่แล้ว จึงโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่งว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยเธอก็จะป้องกันตัวได้ จากนั้นมองซ้ายมองขวาพยายามหาตัวต้นเรื่องว่าเขายังอยู่ที่นี่หรือไม่ แต่ก็ไม่พบใคร ในห้องเพลย์รูมมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น

            ไปแล้วใช่ไหม...

            สาวเจ้าของบ้านก้มลงสำรวจตัวเองว่ามีอะไรบุบสลายหรือไม่ เสื้อผ้า กางเกง และชั้นใน ทุกอย่างยังอยู่ครบ อย่างน้อยก็รอดจากการถูกข่มขืนไปแล้ว มีแค่รอยเลือดจากเมื่อคืนเท่านั้น แต่ซักก็น่าจะออก

            เจอเรื่องหนักๆ มาทั้งวันทั้งคืนก็ทำเอาล้าไปทั้งตัวเช่นกัน อนินทิตาลุกขึ้นเดินไปเปิดม่านที่หน้าต่างรอบๆ ทาวน์เฮาส์ บ้านข้างๆ พาลูกออกมาปั่นจักรยานยามเช้า บ้านถัดไปพาหมาออกมาเดินเล่น ส่วนอีกหลังก็พาคุณยายออกมาเดินออกกำลังกายเช่นกัน ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

            หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกที่อย่างน้อยเธอก็ยังไม่ตาย จากนั้นจึงปิดล็อกทั้งประตูและหน้าต่างให้แน่นหนา แล้วเดินโผเผไปเข้าห้องน้ำ ผ่านมาทั้งคืนเธอก็อยากล้างคราบเลือดออกไปใจจะขาด ทว่าภาพที่สะท้อนผ่านกระจกเงาทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง แล้วได้แต่ถามตัวเองว่าเมื่อคืนไปกินเลือดใครมา ถึงได้เลอะไปทั้งปากทั้งหน้าขนาดนี้ แต่พอคิดได้ว่าเพราะใครและเพราะอะไร ใบหน้าสวยหวานก็แดงจัด ซึ่งไม่ใช่เพราะความสะท้านอาย แต่เป็นเพราะโทสะต่างหาก

            ยิ่งคิดไปถึงผู้ชายมาดเข้มท่าทางกวนประสาทคนนั้นก็ยิ่งโมโห อนินทิตาล้างหน้าล้างตาเอาคราบเลือดออกให้หมด จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าออก ตั้งใจจะเข้าไปแช่น้ำอุ่นให้สบายตัวเสียหน่อย ทว่าเมื่อเดินไปเปิดม่านพลาสติกที่กั้นระหว่างอ่างอาบน้ำ หายนะก็บังเกิด เพราะอ่างอาบน้ำถูกยึดครองโดยคนที่เธอคิดว่าไปแล้ว และที่สำคัญ...เธอไม่สวมอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

            “เฮ้ย!”

            “กรี๊ด!”

            สาวเจ้าของบ้านร้องลั่น สองมือยกขึ้นปิดบังร่างกายแล้วรีบวิ่งหนีไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ตาคมที่มองมาทำเอาอนินทิตาตัวสั่น นึกอยากจะมุดดินหนีไปเหลือเกิน ไม่คิดว่าเขาจะยังอยู่ในเมื่อทั้งบ้านก็ไม่หลงเหลือร่องรอยของเขาแล้ว ทั้งยังอยู่ในบ้านเธอได้เงียบเชียบเหลือเชื่อ ทำเหมือนเป็นแค่เงาที่ไม่มีตัวตน แต่นึกอยากโผล่ตรงไหนก็โผล่ขึ้นมาอย่างนั้นละ

            เขาก็ช่างกระไรเลย เธอล้างหน้าอยู่ข้างนอกทั้งยังบ่นเสียงดังขนาดนั้น เขาก็น่าจะได้ยินหรือส่งเสียงบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เธอเดินแก้ผ้าเข้าไปหา แล้วนี่จะมองหน้ากันอย่างไร

            อนินทิตาสวมเสื้อคลุมเรียบร้อย เมื่อความอับอายแปรเปลี่ยนเป็นโทสะ เธอจึงเดินออกไปหยิบไม้เบสบอลแล้วเดินกลับเข้ามาหารามด้วยท่าทางเอาเรื่อง

            “ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว...” คนตั้งใจมาหาเรื่องชะงักทันทีเมื่อเห็นว่าเป้าหมายกำลังจะลุกขึ้นจากอ่าง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง อ้าปากค้าง เช่นเดียวกับไม้เบสบอลที่หลุดจากมือตกพื้นเสียงดัง

            รามไม่มีท่าทีตกใจ สายตาตกตะลึงของเธอไม่มีผลกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขากำลังจะลุกขึ้น แต่อนินทิตาห้ามไว้เสียก่อน

            “อย่าเพิ่ง!”

            “อะไร” หนุ่มหน้าเข้มทำเสียงรำคาญ “ก็ไหนว่าจะให้ผมออกไปไง”

            “ไหนเสื้อผ้าคุณ”

            “เอาไปซัก อยู่ในเครื่องซักผ้าคุณน่ะ”

            “อะไรนะ” เจ้าของบ้านทำหน้าเหลือเชื่อ นี่เขาเพ่นพ่านไปทั่วบ้านเธอเลยอย่างนั้นหรือ

            “ต้องให้พูดซ้ำไหม”

            “ไม่ใช่ฉันไม่ได้ยิน ฉันแค่สงสัยว่าคุณรู้จักคำว่ากาลเทศะบ้างไหม”

            “คืออะไรหรือ” รามตีหน้าซื่อ “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย มันสะกดยังไงล่ะ”

            เจอคำตอบแบบนี้เข้าไปอนินทิตาก็แทบล้มทั้งยืน ถ้าตอนนี้ใครสักคนสมควรบำบัดจิต คนคนนั้นคงจะเป็นเธอแล้วละ อย่างรามนี่จิตแข็งเกินเยียวยาแล้ว ถ้าเขาไม่ปกติจริง ต่อให้หมอไหนก็เอาไม่อยู่หรอก

            “แล้วนั่นจะไปไหน” เจ้าของเสียงเข้มถามเมื่อเห็นคนตั้งใจจะมาหาเรื่องเดินคอตกกลับไปอย่างท้อแท้

            “ไปหาเสื้อผ้ามาให้ไง”

            “คุณมีเสื้อผ้าผู้ชายด้วยหรือ”

            คนถูกถามไม่ยอมตอบ จริงๆ แล้วเธอมีเสื้อผ้าผู้ชายติดบ้านอยู่บ้าง เพราะทั้งพี่สาวและพี่เขยก็เคยมาค้างที่นี่บ่อยๆ เวลามีงาน จึงมีเสื้อผ้าของสองคนนี้ติดบ้านไว้เสมอ แต่สีหน้ากระอักกระอ่วนของเขาทำให้เธอนึกอยากเอาคืนบ้าง

            อนินทิตายิ้มเจ้าเล่ห์ ไหนๆ ก็หน้าเข้มมาดโจรทั้งยังไว้ผมยาวประบ่าอย่างนี้ลองแต่งหญิงสักหน่อยไหม...ราม รามิเรซ

 

ในทุกๆ สงครามย่อมต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ

            อนินทิตาเดินฮัมเพลงกลับเข้ามาในห้องน้ำแล้วส่งผ้าเช็ดตัวให้เขา บอกว่าเตรียมชุดวางบนเดย์เบดไว้ให้แล้ว รอจนรามออกไปแล้วเธอจึงเข้าไปล้างห้องน้ำยกใหญ่ ทั้งที่ปกติแล้วจะจ้างบริษัททำความสะอาดตลอด แต่เธอจะทำใจใช้ห้องน้ำต่อจากรามได้อย่างไร ต่อให้เป็นผู้หญิงสกปรกซกมกเพียงไร แต่เรื่องสุขอนามัยนั้นต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ เธอทำความสะอาดจนมั่นใจว่าสะอาดเอี่ยมไร้คราบไคลของรามแล้ว จึงอาบน้ำช้าๆ ไม่รีบร้อน เพราะมั่นใจว่าเธอชนะสงครามนี้แน่

            หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เจ้าของบ้านคนสวยก็เดินผิวปากออกจากห้องน้ำด้วยความสดชื่น ความรู้สึกแบบผู้ชนะกำลังเบ่งบาน นึกอยากเห็นสภาพรามสวมเสื้อผ้าของเธอเต็มแก่ ดูสิว่าเขาจะทำหน้าอย่างไร เก่งนักใช่ไหม เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร

            อนินทิตาเดินมาถึงห้องนั่งเล่น แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าชุดกระโปรงตัวโคร่งที่เก็บไว้ตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นตัวอวบยังอยู่ที่เดิม รามไม่ได้เอาไปสวม แล้ว...เขาหายไปไหน

            กลิ่นหอมที่ลอยมาเตะจมูกยิ่งส่งผลให้สาวเจ้าของบ้านชะงัก แล้วเดินตามเข้าไปในครัวทันที เตรียมใจเห็นภาพอุจาดตา แต่ก็ไม่ แรกทีเดียวเธอกลัวใจรามจะทำแผลงด้วยการแก้ผ้าประชดไปเลย คนหน้าหนาอย่างเขาทำได้ไม่อายใครอยู่แล้ว แต่ดีที่เขายังสวมกางเกงตัวเดิม ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่า ผ้าพันแผลยังอยู่ครบเพราะเมื่อครู่ที่เขาใช้อ่างอาบน้ำ เขาแค่นั่งเอาขาแช่น้ำเท่านั้น ไม่ทำให้แผลโดนน้ำแต่อย่างใด

            “ท่าทางผิดหวังน่าดูนะ” เจ้าของเสียงเข้มเปรย เขาไม่หันกลับมาก็จริง แต่คนฟังจับความเย้ยหยันในน้ำเสียงนั้นได้

            อนินทิตาขึงตาใส่แผ่นหลังเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามและบาดแผลต่างๆ นานาของชายหนุ่ม เมื่อตัดอคติที่มีต่อเขาออกไป ก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ทำไมถึงมีแต่รอยแผลเต็มหลังขนาดนี้ และที่สำคัญ...เขาเป็นใครกันแน่

            “คุณอาบน้ำนานมากจนผมซักอบกางเกงได้”

            “ก็...เมื่อคืนไม่ได้อาบนี่”

            “ผมทำอาหารเผื่อ” รามหันกลับมาในที่สุด

            ดวงตากลมโตหรี่แคบลงด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าด้านหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจางๆ ไม่แพ้กัน

            “คุณจ้องผมนานไปแล้วนะอนิน”

            “ไปโดนอะไรมา”

            “อย่าได้คิดจะรักษาผมเชียว” หนุ่มหน้าเข้มหัวเราะหึๆ เขาเดินนำไก่อบและซีซาร์สลัดฝีมือตัวเองมาเสิร์ฟให้อนินทิตาถึงโต๊ะอาหาร

            “ฉันไม่คิดจะรักษา แค่สงสัย”

            “ผมไม่เป็นไร” รามตัดบทแล้วนั่งลงตรงข้ามหญิงสาว

            รอยยิ้มกวนๆ บนใบหน้าคมคายทำให้อนินทิตาเริ่มสนใจ จากประสบการณ์กับคนไข้ที่เป็นอาชญากรที่ผ่านๆ มา พวกที่มีรอยแผลเต็มตัวแบบนี้มักเกิดจากการถูกทำร้ายร่างกาย ถูกคุกคามทางเพศ ถูกกักขังหรือทรมาน จนมีอาการ PTSD หรืออาการผิดปกติทางจิตใจ หวาดกลัว หวาดระแวงวิตกจริต บางคนถึงขั้นซึมเศร้าและนำไปสู่การฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

            แต่กับรามต่างไป เขาดูปกติมาก ทั้งยังพูดไปยิ้มไปราวกับว่าบาดแผลนั้นแค่ส่งผลกับร่างกาย แต่ไม่เคยมีผลกับจิตใจของเขาเลย

            “กินสิ” เจ้าของเสียงเข้มกระตุ้นแล้วดันจานไก่อบมาตรงหน้า

            อนินทิตาสะดุ้งเล็กน้อย เธอมองใบหน้าคมคายของรามอย่างสนใจ ทั้งที่ถามถึงบาดแผลเต็มตัวขนาดนี้ เขายังยิ้มได้ ดวงตาคมหวานยังเป็นประกายแพรวพราว ไม่ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดจากอดีตให้เห็นเลย ซึ่งถ้าไม่จิตแข็งจริงๆ ก็คงบ้าขั้นสุดชนิดว่าอะไรก็หยุดไม่อยู่ไปแล้ว

            “คุณจะบอกฉันได้หรือยังว่าคุณหนีใครมา” ถึงซีซาร์สลัดฝีมือเขาจะรสชาติดีก็เถอะ แต่เธอจะไม่ให้มันมาเบี่ยงความสนใจของเธอแน่

            คนถูกถามไม่ตอบในทันที เขาเคี้ยวไก่อบคำใหญ่แล้วค่อยตอบ “อย่ารู้เลย”

            เจ้าของบ้านถึงกับขมวดคิ้ว...นี่มันคำตอบประเภทไหน

            “ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี”

            “ขอโทษเถอะค่ะ นี่ไม่ใช่ในหนังแอกชัน” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยประชด ดวงตากลมโตจ้องมองเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นไปไม่ได้เลยที่คนไม่รู้จักกันจะตามล่ากันเอาถึงตาย...นอกเสียจากว่าขัดผลประโยชน์

            “กินก่อนได้ไหมแล้วจะเล่าให้ฟัง”

            “ก็ได้” เธอรับคำอย่างว่าง่าย จะว่าไปแล้วก็หิวมาตั้งแต่เมื่อคืน และถ้าจะซักไซ้กันจริงๆ ก็คงจะยาวแน่นอน

 

มื้อเที่ยงจบลงอย่างรวดเร็ว หนึ่งคือเพราะทั้งคู่ต่างก็หิวมาก และสอง...ถึงเวลาต้องคุยกันเสียทีแล้ว

            หนุ่มสาวนั่งจ้องกันที่โต๊ะอาหาร รามยังนั่งสบายๆ ทำตัวราวกับเป็นเจ้าของบ้าน ในขณะที่เจ้าของบ้านตัวจริงกลับเอาแต่นั่งเล็งมีดทำครัวที่อยู่ด้านหลังของราม ถ้าเกิดว่าเขาตุกติกแล้วละก็...เธอจะพุ่งตัวไปหยิบมันมาเล่นงานเขา

            “เคยมีคนบอกคุณไหมว่าถ้าคิดจะทำหรือวางแผนอะไร...ไม่ควรทุ่มเทสายตาไปที่มัน”

            “อะไรของคุณ” อนินทิตาแสร้งทำซื่อกลบเกลื่อน

            “ไม่ยอมรับเสียด้วย” หนุ่มมาดเข้มหัวเราะหึๆ “คุณเล่นจ้องมันไม่กะพริบตาแบบนี้ ผมก็รู้สิว่าคุณคิดจะทำอะไร”

            “ก็คุณทำตัวน่าสงสัย” เธอบอกไปตามตรง “ผู้ชายที่ตามคุณมาสองคนนั้นก็น่าสงสัย เขาตามคุณทำไม ต้องการอะไรจากคุณกันแน่ แล้วคุณมาบ้านฉันทำไม”

            “ใจเย็นอนินทิตา” รามยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นสัญญาณบอกให้เธอหยุดก่อนที่เขาจะตอบไม่ครบทุกคำถาม

            “ตอบ!”

            “อย่างแรก...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าสองคนนั้นเป็นใคร”

            “แล้ว...”

            “เดี๋ยวสิ” เขาดุเสียงเข้ม “บอกว่าไม่รู้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อสันนิษฐานเสียหน่อย”

            “ไหน...ว่ามา” สาวเจ้าของบ้านยกมือขึ้นเท้าคางมองเขาตาใส รอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

            “ทำไมคุณถึงออกจากอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์”

            “ฉันถามคุณก่อนนะ ไม่ใช่ให้คุณมาย้อนถามฉัน” คนถูกถามทำหน้านิ่ง ทั้งที่ในใจเริ่มคิดไปต่างๆ นานาว่าเขาไปรู้อะไรมากันแน่

            “ที่ต้องถามเพราะมันจะเกี่ยวโยงกันต่างหาก”

            อนินทิตามองเขาอย่างไม่ไว้ใจ รามถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยก็จริง ทว่าดวงตาคมกริบยามที่จ้องมองมานั่นต่างหากที่ทำเอาเธอเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าจะตอบอย่างไรดี แน่นอนว่าเธอตอบตามความจริงไม่ได้ แต่ถ้าโกหก...รามอาจจะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ได้

            “ว่าไง”

            “แม่ฉันเสียไง” ความจริงแม่เธอเสียนานแล้ว แต่เธอก็เลือกตอบตามที่ให้เหตุผลแก่คนส่วนใหญ่ในที่ทำงาน ระดับอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ใช่ว่าจะรับคนเข้าทำงานง่ายๆ ที่นั่นเป็นออฟฟิศในฝันของคนรักไอที เทคโนโลยีและสารสนเทศ แต่เธอกลับลาออกในเวลาแค่หนึ่งเดือนก็จะดูน่าสงสัยเกินไป จึงต้องหาเหตุใหญ่ๆ ไว้ก่อน

            “อย่างนั้นหรือ” คนฟังเลิกคิ้วขึ้นข้างเดียวพร้อมกับยิ้มนิดๆ ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ

            “ใช่”

            “คุณได้เอาอะไรออกมาหรือเปล่า”

            “นี่” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวกอดอกฉับ สีหน้าไม่พอใจ “ฉันไม่ได้เอาอะไรออกมาทั้งนั้น แค่ลาออก”

            ทุกครั้งที่คุยกับรามก็ไม่ต่างกับการส่องกระจก ที่ไม่ว่าเธอจะพยายามปั้นหน้าปรุงแต่งอารมณ์ตัวเองอย่างไร แต่ความจริงก็ยังสะท้อนออกมาอยู่ดีว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับที่ไม่ว่าจะโกหกเขาสักกี่ครั้ง รามก็มีท่าทีราวกับรู้ทันเธอเสมอมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน

            “ได้งานใหม่ไวขนาดนั้นเชียว” รามหัวเราะหึๆ สายตาที่มองมาอ่อนลงเล็กน้อย คล้ายกำลังหลอกล่อเด็กทำผิดให้ยอมบอกความจริงออกมา

            “พี่สาวหาให้น่ะ”

            “อ้อ” เขาพยักหน้ารับรู้ แต่กลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ทำเอาอนินทิตาหน้าร้อนวาบ แต่ยังฝืนทำไม่รู้ไม่ชี้

            “หัวเราะอะไรของคุณ”

            “ไม่ๆ ผมแค่นึกถึงนิทานเด็กเลี้ยงแกะน่ะ”

            “ไม่ได้หมายถึงฉันใช่ไหม” เธอถามเสียงหวาน ทว่ารอยยิ้มอำมหิต

            “เปล่าเลย”

            “ฉันตอบไปแล้ว ไหนล่ะ...ฉันออกจากอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์แล้วเกี่ยวอะไรกับที่คุณมาอยู่ที่นี่”

            รอยยิ้มเยาะเย้ยหายไปจากใบหน้าคมเข้มทันที รามกระแอมเบาๆ นั่งยืดตัวตรง แล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาคมกริบ “คุณรู้เรื่องที่ เชสก์ อะลอนโซ ถูก สตีเวน เรแกน อดีตนักการเมืองเล่นงาน เพราะต้องการไฟล์งานเป็นเครื่องมือเข้าถึงเครือข่ายโซเชียลของพลเมืองเพื่อโพรเจกต์เดอะดาร์กแฟนทอมใช่ไหม”

            “ก็เคยได้ยินมาบ้าง” ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่เธอนี่ละที่รับเคสนี้ด้วยตัวเอง!

            “ในข่าวบอกว่า...”

            “ในข่าวหรือ” อนินทิตาถามยิ้มๆ พอใจที่อย่างน้อยเธอก็ ‘ดักทาง’ เขาได้เช่นกัน

            “ใช่” หนุ่มมาดเซอร์พยักหน้า สีหน้าแววตายังมั่นคง ไม่แสดงพิรุธเลยแม้แต่น้อย

            อนินทิตาเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว ที่คิดว่าตัวเองก็รู้ทันเขา...ยังจะมั่นใจได้อยู่หรือไม่ แต่ก็ยังตีเนียนถามต่อ “แล้ว...”

            “ผมบอกรายละเอียดมากไม่ได้” รามมองซ้ายมองขวาแล้วจึงยื่นหน้าไปใกล้ๆ อนินทิตาที่โน้มตัวลงมาหาเขาราวกับถูกสะกด

            “พูดมาสักทีเถอะ”

            “เรื่องของเชสก์มันมีอะไรมากกว่านั้น ผมบอกได้แค่นี้แหละ”

            “เล่นงานเชสก์แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ” ดวงตากลมโตไล่มองผู้ชายตรงหน้าอย่างพิจารณา แล้วถอนหายใจ…ดูท่าเขาจะพล่ามแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ ไร้ซึ่งสาระใดๆ เสียแล้ว

            “ตรงๆ เลยแล้วกันนะ”

            “ผมเป็นผู้ช่วยพิเศษของเชสก์” เขาบอกน้ำเสียงโอ่ๆ ยิ่งทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือมากกว่าเดิมเสียอีก

            อนินทิตาส่ายหน้าทันที เธอไม่เชื่อที่เขาพูดเลยสักนิด

            “จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ” ‘คนประหลาด’ ถามเมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของสาวเจ้าของบ้าน

            “ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”

            “ผมไม่ไป” รามตอบหน้าด้านๆ “ผมจะไม่ไปไหนจนกว่าแผลผมจะหาย”

            “ไม่เป็นสัปดาห์เลยหรือ!” เรื่องอะไรเธอจะต้องทนให้เขามานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านของเธอ...ไม่มีทาง

            “ผมจะอยู่” หนุ่มมาดเซอร์ยิ้มมุมปาก แล้วหยิบปืนที่เหน็บไว้ด้านหลังมาวางต่อหน้าอนินทิตา

            เจออย่างนี้เข้าไปเธอจะทำอย่างไรได้ หญิงสาวได้แต่กลืนน้ำลายหวาดๆ สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาอาศัยอยู่ในบ้าน ทั้งที่ใจจริงอยากไล่เขาออกไปใจจะขาด

 

ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่าง (ไม่) เป็นปกติ...

            มันจะปกติไปได้อย่างไรในเมื่อมีผู้ชายอย่างรามอยู่ในบ้าน เธอพยายามทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนแล้ว แต่รามก็ถนัดเรื่องกวนประสาทเธอเหลือเกิน ทางเดียวที่เลี่ยงได้คือขังตัวเองอยู่ในห้องนอนชั้นบน ทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลามื้อเย็นจึงเดินลงมา

            “ผมหิว สั่งอะไรมากินสิ” คนที่นอนเหยียดตัวเสียเต็มเดย์เบดออกคำสั่งอีกแล้ว

            สาวเจ้าของบ้านขมวดคิ้ว เขาหิวแล้วไง เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย

            “อนิน...”  

            อนินทิตากลอกตา เหนื่อยหน่ายกับน้ำเสียงข่มขู่ของเขาเสียเหลือเกิน เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงโทร. ไปสั่งอาหารร้านที่ใกล้ที่สุดมา น่าเสียดายที่ร้านคงไม่ยอมหากเธอขอให้ใส่ยาพิษลงมาด้วย รามจะได้ไปๆ ให้พ้นหน้าเธอเสียที

            “คุณเข้าไปทำอะไรในห้องตั้งนาน”

            “ทำงาน” เธอตอบ ไม่ยอมมองหน้าเขา แต่มองไปรอบๆ แทน

            “งานอะไร ให้ผมช่วยไหม”

            “ถ้าอยากช่วยก็ไม่ยากหรอก แค่...”

            “อย่าให้ผมช่วยออกจากบ้านเชียว ผมไม่ไปหรอก” รามตัดบทแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะ “เสร็จแล้วทำแผลให้ด้วยสิ”

            “ไม่ทำ!” เธอตอบกลับทันที

            สาวเจ้าของบ้านมองหนุ่มแปลกหน้าด้วยสายตาอาฆาต นึกอยากจะบีบคอเขาแรงๆ จะได้เลิกกวนประสาทเธอสักที แต่พอเห็นอาวุธที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดทีไรก็ใจฝ่อ สุดท้ายแล้วก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เขาทุกครั้งไป

             

ปกติแล้วอนินทิตาเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่รักวันหยุดมากกว่าสิ่งใด การนอนพักผ่อนอยู่บ้านคือปรารถนาสูงสุดในชีวิตการทำงาน แต่เมื่อไม่ได้อยู่ตามลำพังแล้ว บ้านไม่ใช่บ้านอีกต่อไป เธอก็ได้แต่ภาวนาขอให้ถึงวันทำงานไวๆ เธอจะได้ออกจากบ้าน

            และในที่สุดวันทำงานแรกของปีก็มาถึง อนินทิตาแต่งกายด้วยชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงคล่องตัวเดินออกมาจากห้องนอน ก็เห็นว่ารามยังเหยียดตัวสบายอยู่บนเดย์เบดของเธอ

            “คุณจะยังอยู่ที่นี่หรือ” เจ้าของบ้านถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงเริ่มรู้สึกเกรงใจบ้างแล้ว แต่พอเป็นราม คำตอบที่ได้คือ...

            “ใช่”

            “โอเค ฉันจะไปทำงาน” อนินทิตาตั้งใจแล้วว่าจะแวะแจ้งความให้ตำรวจมาลากคอเขาเข้าคุกเสียให้เข็ด

            “แล้วเจอกันตอนเย็น หวังว่าจะไม่แจ้งตำรวจแล้วกัน เพราะถ้าผมหนีรอดและกลับมาได้เมื่อไหร่...” เสียงเข้มทอดจังหวะลงเล็กน้อย รามยิ้ม แต่ดวงตาไม่ยิ้มยามกล่าวสำทับ “คุณแย่แน่”

            คนถูกขู่เชื่อว่าเขาทำได้จริงแน่นอน แล้วเธอจะทำอย่างไรได้ นอกจากเออออตามเขาไปก่อน และอีกอย่างตอนนี้เธอก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเขามาอยู่กับเธอทำไม และต้องการอะไรกันแน่ มันต้องมีเบื้องลึกมากกว่าแค่เพราะถูกทำร้ายและมานอนกองที่หน้าบ้านของเธอ...เรื่องบังเอิญมีจริงที่ไหนกัน

            “ก็ได้”

            อนินทิตาเดินไปหาเขาแล้วแบมือทวงโทรศัพท์คืน แต่รามกลับเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วลุกขึ้น เธอคงเชื่อไปแล้วว่าเขาไม่เข้าใจจริงๆ ถ้าไม่เห็นดวงตาทอประกายความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างเห็นได้ชัดของเขา

            สาวเจ้าของบ้านก้าวถอยหลังไปทันที แต่กว่าจะรู้ตัวก็ช้าไปเสียแล้ว รามยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก้าวเข้ามาประชิด สองมือหนากร้านคว้าต้นคอหญิงสาวไว้แล้วดึงเธอเข้ามาจูบอย่างรวดเร็ว

            “อื๊อ!” อนินทิตาร้องลั่นแล้วผลักอกกว้างเต็มแรง

            “ทำบ้าอะไรของคุณ!” เธอมองเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง

            “จูบลาไง” คนหน้าด้านยิ้มไม่ทุกข์ร้อน แล้วถอยกลับไปนอนที่เดิม

            “คุณ!” อนินทิตาหมดคำพูดใดๆ จะด่าเขาแล้ว จึงได้แต่กระฟัดกระเฟียดออกไป นาทีนี้ขอตั้งสติดีๆ แล้วค่อยหาทางไล่เขาออกจากบ้านไปให้เร็วที่สุด

           

            หลังจากเจ้าของบ้านคนสวยออกไปแล้ว รามก็ยังนอนอยู่ที่เดิมพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงตอนที่จูบกัน หนึ่งคือเพราะหมั่นไส้ท่าทางหยิ่งยโสของเธอ และสอง...เพื่อเบี่ยงความสนใจจนเขาแอบหย่อนเครื่องติดตามขนาดจิ๋วไว้ในกระเป๋าเสื้อโคตของเธอได้สำเร็จ

            รามรอจนแน่ใจว่าเจ้าของบ้านจะไม่ย้อนกลับมาแล้ว เขาจึงเดินทางออกจากบ้านอนินทิตามาที่ร้านเจนเซน ร้านอาหารเม็กซิกันที่อยู่ห่างจากบ้านพักของเธอราวๆ สามบล็อก

            “อรุณสวัสดิ์” หนุ่มลูกครึ่งฉีกยิ้มให้เจนเซน หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงบาร์

            “ร้านเปิดเที่ยงตรง” เจนเซนตอบอย่างไม่แยแส ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ด้วยซ้ำ

            “ผมมา ‘เตรียมงาน’ นี่ไง” รามขยิบตาแล้วเดินผ่านเข้าไปในร้านหน้าตาเฉย

            เจนเซนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปที่หน้าร้าน มองซ้ายมองขวาเล็กน้อยแล้วแขวนป้าย ‘ปิด’ เป็นอันเสร็จงานของเธอ

           

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินผิวปากเข้ามาในห้องครัวที่แม้จะมีเสียงเอะอะของพ่อครัวที่กำลังเตรียมอาหาร กลิ่นเนื้อ และเครื่องเทศมากมายที่รบกวน ‘การทำงาน’ ของเขา แต่ช่างสิ เขาสนที่ไหน

            รามนั่งลงบนเก้าอี้สตูลตรงบาร์ที่อยู่มุมสุดในครัว มีแลปทอปและโทรศัพท์อย่างละหนึ่งเครื่องวางไว้รอท่าอยู่แล้ว จากนั้นจึงหยิบซิมการ์ดโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ต่อเข้าไปในเครื่อง แล้วติดต่อหาใครบางคนทันที มือก็เปิดเครื่องแล้วหาตำแหน่งของอนินทิตา ก็พบว่าเธอกำลังขับรถเข้าไปในสถาบันจิตวิทยา หลังจากนั้นอีกไม่นานก็เดินทางไปยังตำแหน่งที่ระบุในแผนที่ว่าเป็นที่รกร้าง แต่รามรู้ดีว่าที่นั่นคืออะไร

            เรือนจำที่มีระบบความปลอดภัยสูงสุดอย่างไรล่ะ...

            มันต้องอย่างนี้สิ!

            หนุ่มลูกครึ่งยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อพบว่าตัวเองเข้าใกล้ ‘เป้าหมาย’ เข้าไปอีกก้าวแล้ว

            แม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าเธอกำลังทำงานเคสไหน เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาต้องการหรือไม่ แต่อีกไม่นานรามจะได้รู้ และภารกิจที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้น!

 

เช้าวันแรกของการทำงาน สิ่งแรกที่อนินทิตาต้องทำคือหาประวัติทั้งหมดของผู้ชายท่าทางประหลาด พฤติกรรมน่าสงสัยที่เข้าถึงตัวเธอได้ราวกับเรื่องบังเอิญ หญิงสาวตรงไปยังโต๊ะทำงานของเธอแล้วเปิดคอมพิวเตอร์และฐานข้อมูล แล้วเซิร์ชชื่อ ราม รามิเรซ

            จริงอยู่ว่าเธอเคยลองหาประวัติของเขาจากฐานข้อมูลอาชญากรรมทั้งในและนอกประเทศ แต่ก็ไม่พบ รามไม่มีประวัติอาชญากรรมใดๆ สถานภาพระบุว่า ‘ตกงาน’ แต่เธอไม่เชื่อ ไม่มีประวัติเคยทำผิดใดๆ แต่ก็ไม่แน่...เขาอาจจะมีประวัติทางจิตก็ได้ ในเมื่อเหมือนคนบ้าเสียขนาดนั้น

            หลังจากคีย์ข้อมูลของรามลงไปแล้ว อนินทิตาก็หันไปสนใจกาแฟที่แวะซื้อมาก่อนเข้าสำนักงาน เพื่อนร่วมงานบางส่วนเริ่มทยอยเข้ามาแล้ว และเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเริ่มงาน มาเรีย หัวหน้าของเธอก็เดินเข้ามาอย่างตรงเวลาเสมอ

            “บ่ายนี้ออกไปข้างนอกกับฉัน”

            อนินทิตาพยักหน้า คงไม่แคล้วคดีของเดอะดาร์กแฟนทอมที่เหมือนว่าตอนนี้ตัวละครต่างๆ ให้การไม่ตรงกันเลย บ้างสารภาพ บ้างเริ่มมีอาการวิตกจริต บ้างก็ยังยืนกรานว่ามีแฟนทอมอีกคนอยู่ข้างนอก แต่ตัวละครบางตัวไม่ให้ความร่วมมือเลย นั่นก็คือมิโรสลาฟและ เวส สไนเดอร์ หนึ่งคือหัวหน้าเดอะชาโดว์ องค์กรนักฆ่ารับจ้างที่ตามหาตัวมานาน อีกหนึ่งคืออดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจสากลที่เคยฆ่าผู้ต้องหาและอยู่ในหมายจับ สองคนนี้ไม่พูดสักคำ นอกจากบอกว่าแค่รับงานตามที่ สตีเวน เรแกน สั่งเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น พวกเขาบอกว่าไม่รู้...แต่เธอไม่เชื่อ ดูจากตาวาววับและรอยยิ้มเหี้ยมของเวสแล้ว เธอเชื่อว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวค้นแฟ้มข้อมูลทั้งหมดของคดีเดอะดาร์กแฟนทอมขึ้นมาเตรียมตัว แล้วจึงหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังรันโปรแกรมตรวจสอบประวัติทางจิตเวชในฐานข้อมูลทั้งหมด แต่ก็ยังไม่มีชื่อของรามปรากฏ ไม่มีทั้งประวัติการรักษาใดๆ มีแค่ประวัติทำฟันเมื่อตอนอายุสิบสอง แล้วก็ไม่มีอะไรอีก

            บ้าจริง!

            สาวร่างเล็กลุกขึ้นแล้วตรงไปยังแผนกคอมพิวเตอร์ มองซ้ายมองขวาหาชายหนุ่มร่างสูง สวมแว่นสายตาหนาเตอะที่คุ้นตา แล้วตรงเข้าไปหาทันที

            “เจฟฟ์ ช่วยอะไรหน่อยสิ” น้อยคนนักที่อนินทิตาจะจำชื่อได้ แต่ยกเว้นหนุ่มน้อยที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยเดียวกับเธอทั้งที่เพิ่งอายุยี่สิบเท่านั้น

            เจฟฟ์สะดุ้ง หันมามองสาวสวยแต่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเธอประหลาดสุดๆ แล้วก็ยิ้มเจื่อน “มีอะไรหรือครับ”

            “หาประวัติคนให้หน่อย”

            “คุณก็ทำได้ไม่ใช่หรืออนิน”

            “ทำแล้ว แต่หาไม่เจอ”

            “ถ้าคุณยังหาไม่เจอ ผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอก” หนุ่มเนิร์ดส่ายหน้าทันที

            อนินทิตายังไม่ยอมแพ้ เธอมองไปรอบตัว ไม่เห็นว่ามีใครสนใจทั้งเขาและเธอก็จริง แต่ก็อยู่ในวิถีกล้องวงจรปิด จึงขยับเข้าไปใกล้ๆ เจฟฟ์ เบี่ยงตัวเล็กน้อยให้บังกล้องพอดี

            “นายก็ใช้วิธีนอกกฎหมายสิเจฟฟ์” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวกระซิบด้วยน้ำเสียงเข้มงวด บ่งบอกว่านี่คือ ‘คำสั่ง’ ไม่ใช่ ‘ขอร้อง’

            “แต่...”

            “ขอไวที่สุดด้วยนะ” เธอตัดบทแล้วเดินหนี แต่ก่อนออกไปสาวสวยก็ยังมิวายฉีกยิ้มหวานและโบกมือให้อีกด้วย

 

            อนินทิตาตามมาเรียไปยังสถานที่คุมขัง สตีเวน เรแกน อดีตนักการเมืองขวาจัดที่เคยรุ่งเรืองในอดีต และเป็นหัวหน้า ‘ภาคี’ ที่หลักฐานทุกอย่างมัดตัวแน่นหนาว่าคือเดอะดาร์กแฟนทอม ส่วนมาเรียแยกไปดูมิโรสลาฟและ เวส สไนเดอร์ ที่ถูกแยกขังไว้

            วันนี้อนินทิตาไม่ได้คุยกับสตีเวนโดยตรง แต่เฝ้ามองการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเธอไม่เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรงพวกนี้เลยสักนิด ความหวาดกลัว จนตรอกอาจทำให้คนยอมคายความลับทั้งหมดออกมาก็จริง แต่จะไม่มีวันได้รับความไว้วางใจจากคนพวกนี้เลยสักนิด แล้วถ้ามีอะไรอยู่เบื้องหลังอาชญากรหน้ากากดำพวกนี้เล่า...

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวนั่งจิบอเมริกาโนพร้อมกับเฝ้ามองการสอบสวนผ่านกระจกวันเวย์ในห้องสอบสวนทั้งวันโดยไม่ได้ความคืบหน้าเลย สตีเวนสารภาพว่าเป็นคนก่อตั้งเดอะดาร์กแฟนทอมขึ้นมาก็จริง แต่พวกเขาไม่ใช่อาชญากรหน้ากากดำที่เจรจาซื้อขายอาวุธสงครามกับผู้ก่อการร้ายแต่อย่างใด จนสุดท้ายพวกเจ้าหน้าที่ก็ต้องยุติการสอบสวนของวันนี้ลงแต่เพียงเท่านั้น

            “ได้อะไรบ้างไหม” แม็กซ์ถาม เขาคือเจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อล่ำคนที่สอบสวนสตีเวน เดินออกมาจากห้องแล้วถามเธอเป็นคำแรก แม้จะทำงานด้วยกันมาหลายคดี แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะสนิทสนมด้วย สาเหตุเพราะเธอไม่ชอบพวกทำงานอันตราย กลัวจะเป็นม่ายสามีตายก่อนวัยอันควร

            “คุณสอบสวนเขาเองไม่ใช่หรือ มาถามฉันทำไม”

            “ก็...เผื่อว่าคุณจะมองเขาออก”

            “คุณเชื่อเขาไหม” เธอเป็นฝ่ายถามกลับ โยนแก้วกาแฟลงถังขยะแล้วเดินตีคู่กับเขาออกมาจากห้องสอบสวน

            “ไม่”

            “แต่ฉันเชื่อ” เธอสวนกลับทันควัน

            “ที่ว่ามีแฟนทอมอีกคนอยู่ข้างนอกนั่นน่ะหรือ” ชายหนุ่มชะงัก เขาเท้าสะเอวแล้วหัวเราะเบาๆ “มันแค่อยากเอาตัวรอด”

            “ถ้าคุณเชื่ออย่างนั้นแล้วจะถามฉันทำไม” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวย้อนถาม ทำงานมาหลายเคสก็จริง แต่กับพวกเจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อฝีมือดีมักมีความมั่นใจในตัวเองแบบผิดๆ และไม่ค่อยยอมรับฝีมือผู้หญิงเท่าไร ซึ่งและเธอก็ไม่ชอบหน้าเขาด้วย

            “คุณเชื่อเขาหรือ”

            “ฉันก็ไม่รู้ การจะได้ความจริงคือทำให้เขาไว้ใจเราให้ได้ ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบทั้งหมดหรอกน่าแม็กซ์ คุณจะไม่ได้อะไรเลย สิ่งที่คุณทำอาจทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวและจนตรอกจนอาจยอมคายความลับบอกคุณก็จริง แต่คุณจะเชื่อได้ยังไงว่าสิ่งที่เขาบอกมามันคือความจริง”

            “มองเข้าไปในตาเขาสิ” เจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อล่ำกล้ามโตตอบ

อนินทิตาส่ายหน้าทันที “คุณทำได้ดีกว่านั้น”

            “คุณมีวิธีหรือ”

            “ไม่” เธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่สอบสวนอย่างพวกเขาเสียหน่อย

            “แล้วคุณจะพูดทำไม”

            “ฉันแค่อยากแนะนำ ความหวาดกลัวถึงขีดสุดไม่ได้ทำให้คนไว้ใจได้มากกว่าความเข้าใจ คุณเข้าใจที่ฉันพูดไหม”

            แม็กซ์ส่ายหน้า “ไม่เลยสักอย่าง”

            ตาทึ่มเอ๊ย!

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวส่ายหน้าจนใจ เดินหนีไปทันที แต่ถูกเขารั้งไว้เสียก่อน

            “อะไร” อนินทิตาย้อนถาม

            “คุณยังไม่ตอบผมเลยนะอนิน” แม็กซ์พูดเสียงเรียบ ยอมปล่อยมือจากเธอแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงยีนด้วยท่าทางที่คิดว่า ‘เท่’ ที่สุดแล้ว “แล้วผมควรจะเชื่อคุณอย่างนั้นหรือ”

            “แล้วถ้าฉันหาได้ว่าแฟนทอมตัวจริงยังอยู่ข้างนอกอย่างที่เขาบอกจริงๆ ล่ะ” อนินทิตายิ้มมุมปาก ส่งสายตาท้าทาย เพราะมั่นใจว่าพวกเจ้าหน้าที่อีโก้สูงเสียจนถ้ากระโดดลงมาสู่ความจริงก็คอหักตายได้เลยแบบแม็กซ์คนนี้...ทนถูกผู้หญิงท้าไม่ได้แน่

            แล้วก็จริงดังคาด แค่ถูกผู้หญิงอย่างเธอ ‘ท้าทาย’ เข้าหน่อย...เจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อฝีมือฉกาจก็หน้าตึงขึ้นมาทันที แล้วพยักหน้าแบบไม่ต้องคิด “ก็ได้ ผมจะรายงานเลยว่าทั้งหมดฝีมือคุณ”

            “ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว” สาวคนเก่งหัวเราะเบาๆ แล้วเดินนำเขาออกไป

            “คุณโรซาเลส” เจ้าของเสียงเข้มรั้งไว้

            “อะไร” เธอยอมหันกลับมาในที่สุด

            “ได้เวลาเลิกงานแล้ว” แม็กซ์เคาะไปบนนาฬิกาข้อมือสองสามครั้ง แล้วยิ้มบาดใจอย่างที่สาวไหนเห็นก็ต้องใจอ่อนกันบ้าง

            “ไม่ละ” อนินทิตาปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน เธอก็ไม่ชอบผู้ชายอย่างแม็กซ์อยู่ดี

            “ทำไมล่ะ”

            “ฉันมีนัดแล้ว...”...กับซีรีส์ที่บ้าน

            “คุณยังไม่เดตกับใครไม่ใช่หรือ”

            “ใช่ ฉันยังไม่เดตกับใครก็จริง แต่ฉันไม่ค่อยอยากเดตกับคนที่สุ่มเสี่ยงจะเป็นเอ็นพีดี น่ะ ว่างๆ ไปทำแบบทดสอบที่สถาบันฉันได้นะ...แล้วเจอกันแม็กซ์” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวยิ้มหวานทั้งที่เพิ่งปล่อยคำพูดเชือดเฉือน เธอโบกมือให้เขาเล็กน้อย แล้วเดินไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่รออยู่ตรงลานจอดบนอาคารพร้อมกับมาเรีย โดยไม่หันกลับมามองเลยสักนิดว่าแม็กซ์ตะลึงจนตาค้างไปแล้ว

           

“พรุ่งนี้ขอรายการแบบประเมินด้วยนะ” มาเรีย บิชอป สั่งทันทีที่มาถึงสถาบันจิตวิทยา

            “ค่ะ”

            เธอกลับเข้าไปเก็บของและเดินไปที่แผนกคอมพิวเตอร์ แต่ไม่เจอเจฟฟ์ เพื่อนร่วมงานบอกว่าเขาเผ่นแน่บออกไปทันทีที่ถึงเวลาเลิกงาน ทำเหมือนหนีผีก็ไม่ปาน

            อนินทิตาอยากสวนกลับไปเหลือเกินว่าเจฟฟ์ไม่ได้หนีผีที่ไหนหรอก...แต่หนีเธอนี่ละ

            สาวคนเก่งถอนหายใจเล็กน้อย แล้วเดินกลับไปยังโรงจอดรถแต่โดยดี ดึกมากแล้ว เธอควรกลับบ้านพัก เคลียร์รายงานแบบประเมินสุขภาพจิตของ สตีเวน เรแกน แล้วนำมาส่งมาเรียให้ตรงตามกำหนด

            แต่แค่มาถึงรถเท่านั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครเฝ้ามองจากทางด้านหลัง...

            อนินทิตาหันขวับ กวาดตามองไปทั่วบริเวณอาคารจอดรถ แต่ไม่มีใครเลย นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอยู่ในนี้ทั้งนั้น

            ‘สงสัยจะระแวงไปเอง’ นักจิตวิทยาอาชญากรสาวส่ายหน้าเบาๆ แล้วออกรถไปโดยที่สายตาก็ยังมองกระจกหลังตลอดเวลา แต่ไม่พบอะไร

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น