3

ผู้ชายประหลาดจากดาวอังคาร


 

2

ผู้ชายประหลาดจากดาวอังคาร

 

การกลับบ้านคือช่วงเวลาที่ชวนลำบากใจที่สุดของอนินทิตา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงดีใจที่ได้พักหลังจากลุยงานหนักมาทั้งวัน แต่พอคิดว่ามีใครบางคนอยู่ที่บ้าน ก็ทำเอาเธออยากแล่นกลับไปทำงาน ไปกินไปนอนที่สถาบันให้รู้แล้วรู้รอด

            ถึงจะไม่อยากเผชิญหน้ากับเขา แต่ก็ปล่อยให้เขายึดบ้านเธอไม่ได้ สุดท้ายอนินทิตาก็ลงจากรถ น่าแปลกที่บ้านยังเงียบเชียบ ไม่มีไฟสักดวงเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเพราะรามไม่อยู่หรือเพราะเขากำลังทำอะไรแผลงๆ อยู่กันแน่ แค่คิดไปถึงใบหน้าเข้ม ดวงตาหวานคมเป็นประกายฉายแววเจ้าเล่ห์ตลอดเวลาเธอก็อยากหันหลังกลับไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่เข้าบ้านแล้วเธอจะไปอยู่ไหนเล่า

            สาวคนเก่งถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน แล้วจึงตัดสินใจลองผลักประตูเบาๆ ว่าล็อกหรือไม่ ถ้าเขาอยู่ก็ไม่ควรล็อกไม่ใช่หรือ แต่ปรากฏว่าประตูล็อกไว้

            หรือจะไม่อยู่จริงๆ...

            อนินทิตาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอไขกุญแจและเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าในบ้านเงียบงันราวกับไม่มีคนอยู่ แต่พอจะเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟเท่านั้น ก็มีมือหนากร้านของใครบางคนตะปบไว้อย่างแรง เธอเผลอกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่น แต่พอได้กลิ่นกายคุ้นเคยหลังจากอยู่ร่วมบ้านกันมาหลายวันก็ร้องลั่นด้วยความโมโห

            “ราม!”

            “ผมเอง” เขาบอกสั้นๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขัน

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวขำไม่ออก เธอตบสวิตช์ไฟแรงๆ จนสว่างไปทั้งห้อง แล้วหันไปมองตัวต้นเหตุด้วยสายตาเอาเรื่อง “ถ้าฉันหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไง”

            “ผมก็อยู่บ้านคุณต่อไง” รามหัวเราะเบาๆ เดินกลับไปนั่งที่เดย์เบดแล้วถามว่า “มีอะไรกินไหม”

            “คุณไม่ได้ออกไปไหนเลยหรือ”

            “ผมจะออกไปไหนได้ล่ะ เดี๋ยวก็มีคนเห็นพอดีว่ามีผู้ชายเข้าออกบ้านคุณ”

            “แล้วไม่หิวหรือ”

            “ถ้ากินประตูบ้านคุณแล้วอิ่มผมก็กินไปแล้วละ” หนุ่มมาดเข้มประชด ทั้งยังชักสีหน้ากวนๆ ใส่ จนคนมองนึกอยากตีหัวเขาให้สลบนัก คนอะไรกวนประสาทจนเธอแทบบ้าอยู่แล้ว

            สาวเจ้าของบ้านถอดเสื้อโคตรวางพาดเดย์เบดแล้วเดินเลี่ยงไปโทร. สั่งอาหารจากร้านประจำที่อยู่ไม่ไกลและมีบริการส่งให้ถึงที่ จากนั้นจึงเดินกลับมาหาเขา

            “ฉันสั่งอาหารมาแล้ว”

            “ดี” รามตอบสั้นๆ แล้วนั่งอ่านหนังสือที่หยิบมาจากตู้หนังสือของเธออย่างถือวิสาสะ

            “อะไรนะ!” เธอถามอย่างเหลือเชื่อ จนป่านนี้เธอยังไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ขอบคุณ’ ออกมาจากปากเขาเลย ทั้งที่เธอช่วยเขา ทำแผลให้เขา ให้เขาอยู่ในบ้าน และล่าสุด...เพิ่งสั่งอาหารให้เขาด้วย

            “ผมบอกว่าดีไงล่ะ”

            “คุณพูดคำว่าขอบคุณไม่เป็นหรือ”

            “ผมเป็นคนไม่ค่อยพูดนะ” รามยิ้มมุมปาก ยิ่งส่งผลให้ใบหน้าคมเข้มดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าคบเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว “ผมชอบให้ ‘อย่างอื่น’ พูดมากกว่า”

            อนินทิตาปรายตามองอาวุธปืนที่ยังวางบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้ารามแล้วก็ชะงัก นึกกลัวใจรามจะเล่นอะไรแผลงๆ อย่างวันแรกที่เจอกัน จึงเดินหนีไปทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ

            “แล้วนั่นจะไปไหน” หนุ่มมาดเข้มถามกลั้วหัวเราะอย่างขันท่าทางหวาดๆ ของสาวคนเก่งที่เมื่อครู่ยังจะหาเรื่องเขาอยู่แท้ๆ แต่อยู่ๆ ก็เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

            “เปลี่ยนเสื้อผ้า” เธอตอบเสียงดังแล้วปิดประตูโครม ยุติสงครามประสาทระหว่างเขากับเธอแต่เพียงเท่านี้

            รามหัวเราะลงคอแล้วเก็บเครื่องติดตามขนาดจิ๋วใส่ในกระเป๋ากางเกงยีนพลางนึกถึงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนตอนที่เขาจู่โจมเธอ จุดประสงค์หลักแค่เพื่อแอบเอาเครื่องติดตามออกมา และสองก็เพื่อแกล้งเธอเล่นสนุกๆ เท่านั้น

            ไม่อยากเชื่อว่าอนินทิตาจะทำงานให้องค์กรใหญ่ระดับนี้ เธอเป็นนักจิตวิทยา รู้จักใช้คำพูดหลบเลี่ยงสถานการณ์อันตรายระหว่างเขากับเธอก็จริง แต่เรื่องการควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางสายตา ไม่ว่าจะโกรธ เกลียด ไม่ชอบใจ หรือแม้กระทั่งความหวั่นไหวนั้นยังไม่แนบเนียนเท่าไร

            เขารู้...ว่าเธอกำลังหวั่นไหวแน่ๆ

            ไม่ว่าจะเป็นตอนที่จู่โจมเธอเมื่อครู่ จูบเมื่อเช้า หรือกระทั่งครั้งแรกที่เจอกันและทุกครั้งที่อยู่ตามลำพังกับเขา แม้เธอจะไม่พูดหรือพยายามปกปิดอย่างไร แต่อนินทิตาไม่ได้แกร่งจริงอย่างที่พยายามแสดงออกมา และที่สำคัญเขามองออกว่าเธอก็มีปีศาจในใจเช่นกัน...และตอนนี้เขาก็อยากรู้เต็มแก่ว่าผู้หญิงอย่างอนินทิตามีอะไรซุกซ่อนอยู่กันแน่

            เสียงคนเดินลงมาจากชั้นสองทำให้รามต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้น แล้วหลับตากลบเกลื่อนพิรุธของตัวเอง ทั้งที่อยากรู้เต็มแก่ว่าอนินทิตาจะทำอย่างไรกับเขาต่อ

            “วันนี้คุณไม่ได้ออกจากบ้านเลยใช่ไหม” เสียงเธอถามอยู่ใกล้ๆ จนเขาต้องลืมตาขึ้น

            “ไม่นี่” รามตีหน้าซื่อ “ก็บอกแล้วว่าไม่อยากให้ใครเห็นว่ามีคนเข้าออกบ้านคุณ”

            “แล้วคุณเปลี่ยนเสื้อผ้ายังไง ไหนว่าเอาซักทุกวัน” สาวเจ้าของบ้านเท้าเอวมองเขาด้วยสายตากังขา

            “ก็ซักไปตามปกติ ระหว่างรอก็แก้ผ้าไปสิ ไหนๆ ก็ไม่มีใครอยู่นี่”

            เจอคำตอบไม่ทุกข์ร้อนของรามแล้ว อนินทิตาก็ได้แต่ถอนใจแล้วส่ายหน้าปลงๆ เธอจะด่าเขาต่อแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงสัญญาณที่ประตูเสียก่อน

            “หลบไปเลย อาหารมาส่งแล้ว” พอได้ทีเธอก็ดุเขาอีกครั้ง ซึ่งรามจะยอมทำตามง่ายๆ หรือก็ไม่ แล้วทุกอย่างก็ลงเอยอีหรอบเดิม คือเถียงกันอยู่หลายยก และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเธอเอง

 

            หลังจากสงครามก่อนมื้ออาหารจบลง ก็มีอาฟเตอร์ช็อกตอนทำแผลให้เขาตามมาอีกระลอก

            “ฝากซื้อของหน่อยสิ” เสียงเข้มดังขึ้นเหนือศีรษะ ส่งผลให้หญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ

            “ไหนเงิน” คิ้วเข้มสวยเหนือดวงตากลมโตเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ท่าทางเขาไม่มีอะไรเลย หวังว่าจะไม่ให้เธอออกเงินให้หรอกนะ เพราะแค่ให้อยู่ในบ้านก็มากพอแล้ว

            อนินทิตายิ้มเยาะเย้ยแล้วก้มลงเช็ดแผลให้เขาต่อ ก็พบว่าแผลติดกันดีแล้ว ความจริงเขาออกจากบ้านเธอไปวันนี้เลยก็ได้ แต่ไม่ยอมไปเสียที ทำอะไรก็ไม่ได้ เถียงก็ไม่ชนะ ดังนั้นขอชนะด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ แทนแล้วกัน

            รามรอให้เธอทำแผลให้เขาจนเสร็จแล้วจึงลุกขึ้น แล้วหยิบเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนตัวเก่าสีซีด แล้วกองลงตรงหน้าอนินทิตานับพันดอลลาร์

            “เชิญชอปปิงตามสบายเลยครับคุณผู้หญิง” หนุ่มมาดเข้มยิ้มอย่างผู้ชนะ

            สาวเจ้าของบ้านหุบยิ้มทันควัน มองเงินที่กองตรงหน้าสลับกับผู้ชายมาดเซอร์ไว้หนวดเครารุงรัง ไหนจะแผลในคืนวันปีใหม่ เขามีเงินสดติดตัวเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร

            หรือว่า...

            ทั้งการมีเงินสดติดตัวจำนวนมาก ไหนจะการไล่ล่าในคืนแรกที่เจอกัน ไม่มีคนดีที่ไหนถูกไล่ยิงในวันปีใหม่ที่ควรเป็นวันฉลองของครอบครัว ยกเว้นแต่พวกอาชญากรเท่านั้นละ อนินทิตาลุกขึ้นแล้วถอยหลังกรูด มองเงินกองนั้นแล้วเงยหน้ามองผู้ชายจอมกวนตรงหน้า ก็พบว่าเขากำลังยิ้มเหี้ยม แล้วมองเธอด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ

            เอาอีกแล้ว...ทำตัวสองขั้วใส่เธออีกแล้ว

            “หรือจะให้จ่ายเป็นอย่างอื่น” ยิ่งเห็นความหวาดระแวงในดวงตาของสาวตรงหน้า รามก็ยิ่งนึกสนุก รุกคืบไปทีละนิดๆ ไล่ต้อนสาวคนเก่งไปจนมุมตู้หนังสือด้านหลัง

            “มะ...ไม่ต้อง ฉันไม่อยากได้” อนินทิตาตอบเสียงสั่นแล้วเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง แต่รามจับตัวไว้ได้ทัน

            “แต่ผมอยากให้นะ” รามยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วก้มไปหาสาวตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนปลายจมูกเฉียดแก้มสาวเจ้าเล็กน้อย

            อนินทิตาตัวแข็งทื่อ หันกลับมามองรามด้วยสายตาเอาเรื่อง สองมือพยายามผลักเขาออก แต่รามรู้ทัน เขารวบข้อมือเล็กไว้ พอเธอจะเตะตัดขา เขาก็ถือโอกาสแทรกตัวเข้าไปแทน

            “อนิน...” รามกระซิบชิดใบหน้าหวานซึ้ง ยิ่งเห็นสายตาของสาวคนเก่งไหวระริกมากเท่าไร ยิ่งทำให้เขาอยากแกล้งมากขึ้นเท่านั้น

            ใบหน้าคมคายก้มลงมาในระยะอันตราย ลมหายใจอุ่นๆ ของเขายิ่งทำให้หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ อนินทิตาช้อนตาขึ้น ประกายบางอย่างในดวงตาของเขาดึงให้สติเธอกลับคืนในที่สุด

            “นี่!” เธอผลักเขาเต็มแรง แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับผลักกำแพง เขาไม่ถอยไปเลยสักนิด ทั้งยังก้าวเข้ามาจนสองร่างแนบชิดกันทั้งตัว

            “ผมจ่ายด้วยอย่างอื่นได้นะ” เขาบอกด้วยเสียงแหบพร่าพร้อมกับยิ้มมุมปาก หลอกล่อเธอด้วยเสน่ห์ลึกลับ อันตราย แต่ก็น่าค้นหาไปพร้อมกัน

            อนินทิตาหลับตาหวังจะตั้งสติเสียใหม่ เพราะยิ่งมองตาเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกล่อลวงให้ตกลงในวังวนความมืดที่เธอไม่รู้จุดจบ และไม่...เธอไม่หลงกลเขาง่ายๆ หรอก

            ผู้ชายอย่างรามน่ะหรือ...

            สาวคนเก่งลืมตาขึ้นพร้อมๆ กับที่สองมือวางทาบลงบนแผ่นอกกว้าง ตั้งใจจะผลักเขาอีกครั้ง แต่เธอช้ากว่ารามแค่เสี้ยววินาทีเดียว ยังไม่ทันที่จะได้ออกแรงเลยแม้แต่น้อย รามก็ประกบริมฝีปากลงมาเสียก่อน

            ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกในวันส่งท้ายปีใหม่จนถึงตอนนี้ อนินทิตาถูกรามจูบนับครั้งไม่ถ้วน แม้จะไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่ปากแตะกัน แต่กับเธอ...นี่มันเกินไป เธอรับไม่ไหวแล้ว จึงจิ้มแผลที่สีข้างเขาเต็มแรง

            “โอ๊ย!” รามร้องลั่น ยอมปล่อยเธอ

            อนินทิตาผลักหนุ่มร่างสูงแล้วเดินหนีไปทันที ทั้งยังเก็บเงินของเขาไว้กับตัวเองทั้งหมด

            “เดี๋ยว” เขาจะคว้าตัวเธอไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้อนินทิตาตั้งสติได้แล้ว จึงเบี่ยงหลบมือหนากร้านนั้นได้อย่างฉิวเฉียด

            “อะไร”

            “เอาเงินไปหมดจริงๆ หรือ”

            “ใช่”

            “ไม่สนใจค่าตอบแทนอย่างอื่นจริงๆ หรือ” หนุ่มมาดเข้มยิ้มเชิญชวนแบบที่เรียกได้เต็มปากว่าเขาพยายาม ‘อ่อย’ เธอเต็มที่ แต่ไม่รู้ทำไมอนินทิตากลับรู้สึกว่านี่คือกับดักของปีศาจซาตานเสียละมากกว่า

            “ไม่” เธอตอบเสียงดังฟังชัด มิไยที่รามจะก้าวเข้ามาหา แต่เธอก็ถอยหลังไปทันที

            “นิดนึงน่า” เขายังตามตอแยไม่เลิก ทั้งยังหัวเราะชอบใจ แต่สายตาแพรวพราวของเขานั้นบอกได้เลยว่ารามกำลังสนุกมากที่ได้แกล้งเธอ

            อนินทิตาสะบัดหน้าหนี แต่รามก็ตามมารั้งแขนไว้อีก จนเธอทนไม่ไหว โพล่งถามเสียงดุ “อะไรอีก”

            “คุณทำแผลผมปรินะ ไม่คิดจะรับผิดชอบหน่อยหรือ”

            “คุณหาเรื่องก่อน”

            “จะไม่รับผิดชอบจริงหรือ” เขายังมองด้วยสายตาบ่งบอกถึงความเสียดาย

อนินทิตารู้สึกว่าสองแก้มร้อนวาบ เธอผลักเขาแล้วเดินหนีขึ้นห้องชั้นบนไปทันทีโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าเขาจะทำแผลอย่างไร ปล่อยไปตามยถากรรมให้สมกับที่เขากวนประสาทเธอก็แล้วกัน

            ...

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวกลับขึ้นมาบนห้องนอนแล้วเปิดแลปทอป พยายามหาข้อมูลของ ราม รามิเรซ แต่ก็ไม่พบเช่นเดิม นอกจากประวัติทำฟันและประวัติตกงาน เขาก็เหมือนคนทั่วไป ไม่เคยแม้แต่ได้รับใบสั่งด้วยซ้ำ แต่ทำไมหน้าตาท่าทางน่าสงสัย ไหนจะพกเงินสดติดตัวทีละเยอะๆ แบบนี้อีก

            พอนึกถึงเงินของเขา อนินทิตาก็หยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงทันที แล้วเริ่มสังเกตหมายเลขธนบัตรว่าเรียงกันหรือไม่ ของจริงหรือของปลอม แต่ก็พบว่ามันปกติมาก ธนบัตรแต่ละฉบับเก่าใหม่ไม่เท่ากัน ตัวเลขไม่เรียงกัน เป็นของจริงทั้งหมด ไม่ปลอมแปลงมาเลยสักฉบับ

            แล้วเขาเป็นใครกันแน่...

            ฐานข้อมูลธรรมดาคงเข้าไม่ถึงแน่ ใช้งานเจฟฟ์ไว้ก็ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ในเมื่อเธอจะรับผิดชอบเองทุกอย่างแท้ๆ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอพักเรื่องของรามไว้ก่อน ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปคาดคั้นจากเจฟฟ์แล้วกัน

            เมื่อปัดเรื่องผู้ชายหน้าด้านท่าทางประหลาดเหมือนมาจากดาวอังคารออกไปแล้ว เธอก็เริ่มเขียนแผนงานที่จะต้องส่งให้มาเรียในเช้าวันพรุ่งนี้ และเข้านอนโดยไม่สนใจความเป็นอยู่ของรามเลยแม้แต่น้อย

 

เช้าวันทำงานที่ต่างคนต่างต้องใช้ชีวิตอย่างรีบเร่ง อนินทิตาตื่นแต่เช้าและเดินตามกลิ่นอาหารลงมาชั้นล่างก็พบว่า ‘คนร่วมบ้าน’ เตรียมอาหารเช้าแบบง่ายๆ เท่าที่มีวัตถุดิบในครัวไว้ ออมเล็ตฝีมือเขารสชาติไม่แย่ แต่เธอไม่ค่อยกินมื้อเช้าอยู่แล้ว เลยรีบกิน และอีกอย่าง...เพราะเธอทนดวงตาเป็นประกายพราวระยับที่จ้องเหมือนจะกินเธอเข้าไปไม่ไหวแล้ว

            “ต้องจูบลาอีกไหม” คนกวนประสาทยิ้มเจ้าเล่ห์

            คำถามของเขาทำเอาอนินทิตาปรี๊ดแตก เธอสะบัดหน้าหนี แต่ก่อนออกไปยังมิวายยกนิ้วกลางใส่เขาอย่างหยาบคาย ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ดี แต่ทำอย่างไรได้...เธอทนไม่ไหวแล้ว

            รามหัวเราะลงคอ นับวันอนินทิตายิ่งเผยนิสัยที่แท้จริงออกมาเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดี เขาจะได้เข้าใกล้งานของเขาได้มากขึ้น

            หลังจากสาวเจ้าของบ้านออกไปแล้ว รามก็เดินออกจากครัวตรงไปที่หน้าต่างบ้าน มองจนแน่ใจว่าไม่มีใครสังเกตแล้ว จึงออกจากบ้านของอนินทิตาอย่างเงียบเชียบ หลบเลี่ยงตำแหน่งของกล้องวงจรปิดทุกตัวจากทุกมุมถนน จนกระทั่งมาถึงร้านเจนเซนที่เป็น ‘แหล่ง’ ของเขา

            “ร้านเปิดเที่ยงตรง” คุณนายเจนเซนบอกเสียงเหนื่อยหน่ายเหมือนอย่างทุกครั้งที่รามเข้ามา

            “ก็บอกว่าจะมาเตรียมของไง” หนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-อินเดียหัวเราะหึๆ เขาไม่เดินเข้าไปในครัว แต่หันกลับไปพลิกป้าย ‘ปิด’ ที่หน้าร้านแทน

            “คุณไม่ต้องเฝ้าก็ได้ เจนเซน”

            “ก็ดี คนแก่อย่างฉันจะได้ไปนอน” คุณนายเจนเซนว่า เบื่อกับการเป็นเจ้าหน้าที่รับหน้าถามหารหัสทุกคนที่เกี่ยวข้องเช่นกัน

            รามกำลังคิดหาวิธีติดตามตัวอนินทิตา ทว่าเสียงสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือที่ดัดแปลงตัวเครื่องไว้จนใช้งานสะดวกไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งดังขึ้น ส่งผลให้หนุ่มมาดเข้มร่างสูงโปร่งต้องรีบผละออกจากหน้าร้านเจนเซนกลับเข้าไปในครัว แล้วเปิดดูโปรแกรมที่สัญญาณเตือนไว้ ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรเลย แต่เป็นเพื่อนสนิทของเขา อัลเบอร์โตกับเชส สองพี่น้องอะลอนโซ และ วูล์ฟ ยัง นั่นเองที่พร้อมใจกันติดต่อมาหา...ดูแล้วไม่น่าใช่เรื่องดีเท่าไร

            “ไงเพื่อน” คนกะล่อนยังฉีกยิ้มหวานสู้นัยน์ตาวาววับของเพื่อนๆ ทั้งสาม ที่ปกติแล้วต่างคนต่างอยู่กันคนละที่ แต่นี่มารวมตัวกันที่เพนต์เฮาส์ของเชสก์ในแมนฮัตตัน นั่นหมายถึงต้องมีเรื่องใหญ่แน่นอน!

            “นายอยู่ส่วนไหนของโลกกันแน่ราม” อัลเบอร์โตถามเสียงขรึม

            “ก็...”

            “อย่าคิดโกหกเชียว” วูล์ฟดักคอ เพราะแค่มองตาก็รู้ทันแล้วว่ารามเตรียมจะโกหกอีกแน่นอน

            “และอย่าคิดว่าฉันจะหาไม่ได้ว่านายอยู่ที่ไหน” เชสก์ขู่สำทับ

            รามมองเพื่อนแต่ละคนแล้วก็ชักสีหน้าหงุดหงิด “จะขู่ทำไมนักหนาวะ ถ้ามีวิธีหาว่าฉันอยู่ที่ไหน ทำไมไม่หาเลยล่ะ จะถามทำไม”

            “ฉันอยากรู้ว่านายกำลังทำอะไร” อัลเบอร์โตถาม เพราะเป็นคนเดียวที่หยุดความกวนประสาทของรามได้

            คนถูกถามยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง “ฉันก็แค่จะเก็บกวาดเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ แต่ครั้งนี้ต้องเก็บทุกอย่าง ปิดฉากแค่นี้ มันต้องใช้เวลาหน่อย”

            “แล้วทำไมมีอะไรไม่บอก” วูล์ฟถามพลางมองเพื่อนด้วยตาคมกริบราวกับจะมองไปถึงก้นบึ้งในจิตใจ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนรามจะบอกแผนเสมอ เป็นเสมือนอีกามหาภัยของเพื่อนๆ ที่มาทีไรไม่เคยมีข่าวดีเลยสักครั้ง มีแต่เรื่องมาให้ตลอด แต่คราวนี้กลับอุบเงียบ อยู่ที่ไหน ทำอะไร ไม่เคยบอกสักอย่าง

            คนถูกถามไม่ตอบในทันที แต่กลับนั่งนิ่ง ดวงตาคู่คมหวานไล่มองเพื่อนๆ แต่ละคนที่มารวมตัวกัน รามมองเห็นความห่วงใยในสายตาของแต่ละคน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงบอกและพร้อมจะหาเรื่องไปให้แบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนี้คงไม่ได้

            นี่ไม่ใช่เมื่อสักยี่สิบปีก่อนที่เวกัส ตอนที่แต่ละคนยังเป็นวัยรุ่นใจร้อน กล้าที่จะทำอะไรเสี่ยงๆ เพราะไม่มีใครรออยู่ข้างหลัง

            “ฉันแค่จะเก็บกวาดน่า ไม่มีอะไรเสียหน่อย พวกนายทำตัวเฉยๆ ไว้เหอะ อย่าเพิ่งติดต่อฉันมาก” ไหนๆ ก็เปิดตัวทั้งสามในที่สว่าง ไม่มีเงาของเดอะดาร์กแฟนทอมติดตัวอีกแล้ว ดังนั้นไม่ควรเข้ามาใกล้เขาให้เป็นเรื่องอีก

            “นายแปลกไปนะราม” เชสก์ตั้งข้อสังเกต เพราะที่อยู่ด้วยกันล่าสุด รามกวนประสาทจะตายไป ทำอะไรแต่ละอย่างเคยสนที่ไหนว่าจะทำให้ใครเดือดร้อนบ้าง

            ‘อีกามหาภัย’ ยักไหล่ไม่แยแส แล้วตอบสั้นๆ “เอาน่า ไว้ใจฉันเถอะ”

            “ไอ้ร้านขายตุ๊กตาคิตตี้ที่นายให้มาเนี่ย ฉันลองให้นิมาโทร. ไปแล้ว ไม่เห็นมีคนเลย”

            “ไว้เก็บกวาดเรียบร้อยเมื่อไหร่ไปเปิดแน่ๆ พวกนายมาซื้อคิตตี้ด้วย”

            “ฉันมีลูกชาย” เชสก์ออกตัวทันที อเล็กซานโดรเป็นเด็กผู้ชายที่ชอบเล่นไดโนเสาร์มากกว่าเฮลโล คิตตี้

            “แน่ใจเร้อ” รามทำหน้ากวนประสาท “แต่งหญิงที่หาดไวกิกิก็หน้าหวานอยู่นะ ตอนนั้นฉันแทบจะแสดงความยินดีด้วยที่นายได้ลูกสาว”

            “กวนตีน” เจ้าพ่อด้านไอทีด่าออกมาจนได้ ถ้าเป็นเรื่องลูกชายสุดที่รักที่พลัดพรากมานานและเพิ่งได้เจอกันแล้วละก็...นิดหน่อยก็ห้ามแตะ

            คนกะล่อนหัวเราะหึๆ แล้วตัดบท “ฉันจะออกไปข้างนอกละ”

            “นายไม่ให้ฉันช่วยจริงๆ หรือ” วูล์ฟถามย้ำ เพราะในบรรดาสี่คน เขารู้จักรามเป็นคนแรก และคิดว่ารู้จักรามดีที่สุด แม้ว่าความจริงแล้ว...ต่างก็ไม่มีใครรู้จักรามไปมากกว่าที่รามต้องการให้รู้เลยก็ตาม

            “ไม่” รามตอบด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด เรื่องแค่นี้เขาจัดการเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาเดือดร้อนอีกแล้ว

            สามหนุ่มมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายอมรับและเคารพการตัดสินใจของราม แต่ก่อนตัดการติดต่อ มิวายที่อัลเบอร์โตจะย้ำอีกครั้ง

            “แต่ถ้านายมีอะไรให้ช่วย นายต้องบอกพวกฉันทันที”

            “รู้แล้วน่ะ” รามทำเสียงรำคาญ แล้วเป็นฝ่ายตัดการติดต่อเสียเอง

            ถึงแม้จะไม่ใช่คนดีนัก แต่เรื่องของเชสก์ทำให้รามคิดได้ ถ้าคนที่เดือดร้อนคือเชสก์คนเดียวเขาคงไม่สำนึกเท่าไร แต่นี่มีภรรยาของเชสก์ ไหนจะอเล็กซานโดร เด็กชายตัวน้อยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกคนที่เกือบตายหรือเกือบตกไปอยู่ในมืออาชญากร นั่นทำให้เขาตัดสินใจได้ในที่สุด

            ถ้าใครสักคนจะจบเรื่องนี้...ทางที่ดีควรเป็นเขาเสียเอง

            สาบานได้เลยว่าคนอย่าง ราม รามิเรซ ไม่ใช่คนดี แต่เขาก็ไม่เลวขนาดจะไม่สนใจว่าเคยทำให้เด็กตาดำๆ เดือดร้อน คิดได้อย่างนี้แล้วก็สบายใจขึ้นอีกเท่าตัว

            รามไม่ได้อยากเป็นคนดีเท่าไร เพราะคนดีมักตายเร็ว

            คนอย่างเขา...จุดมุ่งหมายในชีวิตไม่มีอะไรมากไปกว่ามีที่ซุกหัวนอนดี...และหรูหรา ต้องมีของกินอร่อย...ระดับห้าดาวเท่านั้น มีเงินในบัญชีไม่ขาดสาย...ด้วยวิธีแฮ็กบัญชีชาวบ้าน มีผู้หญิงไม่ขาด...แต่ไม่เน้นความผูกพันทางใจ ไม่ต้องทำงานงกๆ แค่นั่งหายใจทิ้งไปวันๆ และรักษาชีวิตไว้ให้ได้นานที่สุดก็พอ

            รามส่ายหน้าเล็กน้อย ลืมเรื่องปณิธานที่จะขอเป็นคนเลวแต่อายุยืนไปก่อน ยังมีภารกิจสองขั้วรออยู่ข้างหน้า แม้จะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำจะถูกต้องและสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็ ‘พร้อม’ แล้ว

 

อนินทิตาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเหมือนเคย เธอแวะไปที่แผนกคอมพิวเตอร์ มองหาหนุ่มเนิร์ดที่ชื่อเจฟฟ์เป็นอย่างแรก

            “นั่นอนิน” น้ำเสียงตระหนกของหนุ่มรุ่นน้องไม่อาจเล็ดลอดโสตประสาทของอนินทิตาไปได้

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวหันขวับ ทันเห็นร่างผอมสูงของหนุ่มรุ่นน้องที่รีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับเจอปีศาจก็ไม่ปาน ทำเอาสาวคนเก่งเริ่มหัวเสีย

            “เจฟฟ์!”

            ดีเหลือเกินที่เธอเลิกสวมรองเท้าส้นสูงนานแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไล่ตามเจฟฟ์ไม่ทันแน่ อนินทิตาคว้าคอเสื้อหนุ่มรุ่นน้องได้อย่างรวดเร็ว จนเจฟฟ์หน้าเสีย

            “หวัดดีอนิน”

            “ไหนงานที่ขอร้องให้หาให้น่ะ” เธอเท้าเอว สีหน้าแววตาเอาเรื่องจนเจฟฟ์ลอบกลืนน้ำลาย

            “นั่นเรียกขอร้องหรือ”

            “ฉันขู่กรรโชกให้นายทำงานให้หรือไง” แค่ถลึงตาใส่เอง...น่ากลัวตรงไหน

            “แต่ที่คุณให้ทำมันผิด” หนุ่มแว่นหนาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หวังจะให้อนินทิตาปล่อยเขาไปเสียที แต่ก็ไม่เป็นผล

            “ฉันรับผิดชอบเอง”

            “ไม่เอา” เจฟฟ์ส่ายหน้าทันที

            “งั้นไปดื่มกาแฟกัน”

            “ไม่ไป!” หนุ่มรุ่นน้องเผลอขึ้นเสียง แล้วก็ทำหน้าแหยเมื่อเห็นสายตาปานแม่มดของอนินทิตา จึงรีบยกแก้วกาแฟของตัวเองให้ดู “ผมมีแล้ว ไม่ไปหรอก เตรียมทำงานดีกว่า”

            “แต่ฉันยังไม่ได้กาแฟเลย” พูดพลางลากคอเจฟฟ์ไปด้วย แต่ชายหนุ่มขืนตัวไว้สุดแรง

            “เอาที่แผนกผมก็ได้นะอนิน”

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวไม่ตอบด้วยคำพูด แค่ขึงตาดุๆ ใส่เท่านั้น เจฟฟ์ก็น้ำตาปริ่ม แล้วยอมเดินตามอนินทิตาไปยังคาเฟ่เล็กๆ หน้าสถาบันจิตวิทยาแต่โดยดี

            ...

            หนุ่มสาวเลือกที่นั่งในมุมสุดในร้านที่รอดพ้นจากสายตาผู้คน อนินทิตานั่งเปิดแฟ้มประเมินสุขภาพจิตของสตีเวนและลูกๆ ส่วนเจฟฟ์ก็นั่งหน้าเครียด มองสาวตรงหน้าด้วยสายตาหวาดๆ

            “ไหนล่ะที่ฉันสั่ง”

            “ก็...” ลอบใช้อุปกรณ์ในสำนักงานเจาะเข้าระบบฐานข้อมูลประชากรว่าผิดกฎหมายแล้ว แต่ใช้แฮกไอดีเจ้าหน้าที่ระดับสูง เจาะระบบฐานข้อมูลอาชญากรนี่ผิดกว่า ถูกจับได้ขึ้นมามีหวังถูกฝังกลบแน่ๆ

            “จะอ้ำอึ้งทำไม พูดต่อสิ”

            “คุณเซ็นสัญญามาก่อนว่าจะรับผิดชอบเอง” พูดพลางหยิบสัญญาออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้สาวตรงหน้า

            อนินทิตาอ่านข้อความสั้นๆ แค่สองสามประโยคที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ อ่านยากของเจฟฟ์แล้วก็หัวเราะเสียงดัง เธอส่ายหน้าเบาๆ แต่ก็จดปลายปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงไปแต่โดยดี แล้วส่งให้หนุ่มรุ่นน้อง

            “ค่อยยังชั่ว” เจฟฟ์ถอนหายใจโล่งอก สีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันที

            “ต้องขนาดนี้เลยเรอะ”

            “ผมไม่อยากตายนี่”

            “แค่หาข้อมูลน่า ไม่ถึงตายหรอก”

            “แล้วทำไมไม่ทำเองล่ะ”

            “ถ้าฉันทำได้ ฉันจะให้นายช่วยเรอะ” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวย้อนถาม เธอน่ะใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สายลับต่างๆ นานาได้แค่เบื้องต้น พอมาเจอตออย่างรามเข้าไปก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

            “ก็ได้ๆ ว่าแต่เขาเป็นใคร” พนักงานไอทีหนุ่มถามทั้งที่ไม่มองหน้า เพราะกำลังก้มหน้าก้มตาคีย์ข้อมูลเบื้องต้นของ ราม รามิเรซ เข้าไปในระบบฐานข้อมูล

            “รู้แล้วห้ามพูดต่อ นี่ลับมาก” สาวคนเก่งทำสุ้มเสียงชวนระทึกแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ หนุ่มรุ่นน้องที่ขยับมาฟังด้วยสีหน้าจืดเจื่อน

            “โอเค...ผมจะไม่พูด”

            “ฉันก็ไม่รู้” เธอตอบกวนๆ

            “อ้าว” เจฟฟ์อ้าปากค้าง มองอนินทิตาด้วยสายตาประหลาด

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวหัวเราะลั่นแล้วตบบ่าชายหนุ่มเบาๆ “เอาน่าเจฟฟ์ นายไม่ต้องรู้หรอก ถ้าจะให้พูดเท่ๆ แบบในหนังก็ประมาณว่า...รู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี”

            “ขนาดนั้นเลยเหรอ”

            “อือ”

            “โอเค ผมจะไม่ถามอีก” เจฟฟ์เย็นสันหลังวาบ สั่นไปทั้งตัวทีเดียว

            “เด็กดี” อนินทิตายิ้มหวานปานนางฟ้า แต่ในความคิดคนมองแล้ว...ดูอย่างไรก็เหมือนแม่มดละมากกว่า

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวไม่สนใจสีหน้าหวาดๆ ของหนุ่มรุ่นน้อง เธอนั่งเปิดแฟ้มรายงานที่จะต้องส่งให้มาเรีย ทว่าอยู่ๆ ก็กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญตรงเข้ามาหา รองเท้าบูตทหารขนาดใหญ่และกางเกงแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากแม็กซ์

            “อรุณสวัสดิ์แม็กซ์ มาทำธุระที่สถาบันหรือ” เธอถามทั้งที่ยังไม่มองหน้า

            เจฟฟ์ละสายตาจากงานแล้วมองผู้มาใหม่ พอเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนกลางรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ท่าทางดุๆ ของเขาทำเอาหนุ่มแว่นสะดุ้ง

            “ผมไปก่อนดีกว่า แล้วจะส่งงานทางเมลนะ” เจ้าหน้าที่ไอทีกระซิบกับสาวรุ่นพี่

            “ไม่ต้อง ก่อนกลับฉันจะแวะไปเอาที่แผนกนายละกัน”

            “ก็ได้ๆ” เจฟฟ์รีบเก็บของแล้วเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

            อนินทิตามองตามหนุ่มรุ่นน้องไปแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ แล้วจึงหันกลับมาหาแม็กซ์ที่ถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามโดยที่เธอยังไม่ได้เชิญเลย

            “มีอะไรหรือเปล่า” ถามพลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ “ยังไม่ถึงเวลางานเลยนี่”

            “ผมตั้งใจมาหาคุณก่อนเวลางาน”

            “มีเรื่องอะไรหรือ” สาวคนเก่งเลิกคิ้ว

            “ผมไปคิดๆ ดูเรื่องที่คุณพูดกับผม” แม็กซ์เล่าถึงตลอดเวลาหลายเดือนที่พยายามสอบสวนสตีเวนและพรรคพวก ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ทั้งอ่อนข้อและรุนแรง แต่ก็เหมือนเดิม พวกเขาไม่เคยได้รับคำตอบไปมากกว่าการปฏิเสธ สตีเวนยังยืนกรานว่าสร้างโพรเจกต์เดอะดาร์กแฟนทอมขึ้นมาจริง แต่พวกเขาไม่ใช่พวกที่ค้าอาวุธกับผู้ก่อการร้ายเมื่อห้าปีก่อน และยันยันว่าแฟนทอมตัวจริงอยู่ข้างนอกต่างหาก

            “ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะเชื่อเขาตั้งแต่เดือนแรกที่จับเขาได้” เจ้าของเสียงหวานพูดขึ้นทันทีที่เขาพูดจบ

            “ก็...คุณต้องเข้าใจนะอนิน” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย “ผมเรียกคุณว่าอนินเหมือนคนอื่นๆ ได้ไหม คุณโรซาเลส”

            “ก็เรียกมาเสียขนาดนี้แล้ว...เชิญเถอะค่ะ” สาวคนเก่งทำหน้าเหม็นเบื่อ แต่แม็กซ์กลับหัวเราะได้

            “คุณต้องเข้าใจนะว่าประเด็นเดอะดาร์กแฟนทอมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันเกี่ยวพันกับทั้งประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สหประชาชาติไม่ชอบเท่าไหร่ หลายประเทศโจมตีว่าเราใช้โพรเจกต์นี้สอดแนมและส่งสายลับเข้าไปด้วยซ้ำ ไหนจะประเด็นเรื่องสงคราม ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น เราจำต้องเร่งปิดคดีให้เร็วที่สุด ทุกคนรอการประหารกันทั้งนั้น”

            “ฉันรู้” พอถึงเรื่องงาน อนินทิตาก็จริงจังขึ้นมาราวกับคนละคน เธอจ้องมองเขาด้วยตาคมกริบ แล้วกล่าวสืบไป “เวลาฉันดูแถลงการณ์จากทำเนียบหรือว่าโฆษกทำเนียบออกมาก็เถอะ นักข่าวรุมทึ้งประเด็นนี้อย่างกับอะไรดี แต่ละคนมีแหล่งข่าวที่เหมือนจะรู้ความลับมากกว่าเราเสียอีก”

            “ใช่ ผมเลยอยากปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด”

            “ทางเดียวคือให้สตีเวนสารภาพหรือคะ” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวถาม เธอไม่ถนัดเรื่องการสอบสวนของเจ้าหน้าที่พวกนี้เลยสักนิดเดียว

            “ใช่ ก่อนที่จะสายไปกว่านี้” แม็กซ์บอกเสียงเครียด สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความกังวลจนสาวคนฟังสังเกตได้

            “มีอะไรหรือเปล่า”

            “มีคนพยายามฆ่าสตีเวน แต่เราช่วยไว้ได้ทัน”

            “ว่าไงนะ!” อนินทิตาขมวดคิ้ว เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อสตีเวนอยู่ในเรือนจำที่คุ้มกันแน่นหนาที่สุดและปลอดภัยที่สุดของซีไอเอ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนลักลอบเข้ามาได้ นอกเสียจากว่า...

            เจ้าหน้าที่สอบสวนหนุ่มและนักจิตวิทยาอาชญากรสาวสบตาอย่างรู้กัน งานนี้ต้องมีมากกว่าที่เห็นแน่นอน

            “คุณอยากให้ฉันช่วยใช่ไหม” เธอรู้ดีว่าผู้ชายอีโก้สูงยิ่งกว่า เบิร์จ ดูไบ อย่างแม็กซ์ไม่มีทางออกปากก่อนแน่ ถึงได้พาอ้อมโลกมาเสียขนาดนี้

            “ก็ใช่”

            “อยากให้ฉันทำอะไรล่ะ”

            “อย่างที่คุณอยากทำเลยอนิน ต่อไปนี้คุณอยู่ในทีมผมอย่างเป็นทางการแล้ว”

            “เดี๋ยว!” อนินทิตาขมวดคิ้ว นี่เขาบอกหัวหน้าเธอแล้วหรือ

            “ผมแจ้งไปที่แผนกคุณแล้ว ตั้งแต่วันนี้และ...” แม็กซ์ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอนินทิตา “ตอนนี้...ได้เวลาทำงานกันแล้ว!”

 

การทำงานกับมนุษย์เครื่องจักรอีโก้สูงลิบลิ่วอย่างแม็กซ์คือนรกที่แท้จริงสำหรับอนินทิตา เขาบอกว่ายอมทำตามแผนที่เธอเสนอก็จริง แต่แน่นอนว่าเธอต้องนำเสนอแผนการนั้นกับหัวหน้าของเขาด้วย แม็กซ์เป็นพวกหลงตัวเองอย่างไร หัวหน้าของเขาก็ไม่ต่างกัน แถมมากกว่าราวๆ สิบเท่าเห็นจะได้

            กว่าอนินทิตาจะกลับมาถึงสถาบันจิตวิทยาก็ดึกแล้ว เธอตรงไปที่รถทันทีเพราะคิดว่าเจฟฟ์คงกลับไปแล้ว ถ้าอยู่รอเธอก็บ้าเต็มที่ แต่ผิดคาด เพราะแค่มาถึงรถ เธอก็เห็นกระดาษโน้ตที่เจฟฟ์ทิ้งไว้ให้ ซึ่งเป็นข้อความนัดหมายที่ร้านอาหารเม็กซิกันร้านหนึ่งไม่ไกลจากบ้านเธอเท่าไร เธอจึงต่อสายหาหนุ่มรุ่นน้องทันที

            “ไงเจฟฟ์ นายยังอยู่ที่ร้านเจนเซนหรือเปล่า”

            “อยู่ครับ กำลังรอคุณอยู่เลยอนิน”

            “งั้นก็อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน” อนินทิตาวางสายและก้าวขึ้นรถ ทว่าเมื่อกำลังจะออกรถเท่านั้น เธอกลับรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองตลอดเวลา

            สาวคนเก่งหันขวับ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เหมือนอย่างทุกวัน ทั้งหมดเป็นเพราะเธอระแวงไปเองหรือเพราะมี ‘ใครบางคน’ กำลังตามเธออยู่กันแน่

            หรือจะเพราะมาทำคดีของสตีเวนจริงๆ...

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวขมวดคิ้วครุ่นคิด เธอมองผ่านกระจกมองหลังอีกครั้งแต่ก็ไม่เห็นใคร จึงตัดใจออกรถตรงไปยังร้านเจนเซน และตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะลองคุยเรื่องนี้กับแม็กซ์อีกที

 

นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ร้านเจนเซนกำลังจะปิดในไม่ช้า ทั้งร้านไม่เหลือใครเลย นอกจากหนุ่มน้อยท่าทางเนิร์ดๆ ที่นั่งมองซ้ายมองขวา ท่าทางหวาดระแวงจนอนินทิตานึกขำ

            “นายมีพิรุธนะเจฟฟ์”

            “คุณมาได้สักที” หนุ่มแว่นทำหน้าโล่งอก “เอาไป ไปเปิดดูที่ห้องนะ ผู้ชายที่คุณให้หาน่ะไม่มีข้อมูลยืนยันชัดๆ เลยว่าทำงานอะไรกันแน่ แต่เดินทางบ่อยมาก น่าสงสัยมากจริงๆ”

            “ขอบใจเจฟฟ์ ฉันจะลองดู” เธอรับแฟลชไดรฟ์มาเก็บไว้ “นายเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูตื่นๆ แบบนี้ล่ะ”

            “ผม...ไม่รู้สิอนิน เหมือนมีใครตามผม”

            “ว่าไงนะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “มีคนตามนายหรือ แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดไปเอง”

            “ไม่ๆ” คราวนี้เจฟฟ์ปากสั่น ใกล้จะร้องไห้เต็มแก่

            “โอเคๆ นี่งานสุดท้ายแล้ว ฉันจะไม่รบกวนนายแล้ว ขอบใจมากนะเจฟฟ์”

            “บายอนิน” เจฟฟ์เก็บของแล้วรีบเผ่นหนีไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย

            เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว อนินทิตาจึงเก็บของออกจากร้านเจนเซนกลับมาขึ้นรถ ทว่าคราวนี้รถเธอสตาร์ตไม่ติด ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ตาม

            “อย่ามาตายตอนนี้นะแบรดเพื่อนรัก” ‘แบรด’ คือชื่อรถยนต์ที่ตั้งชื่อตามพระเอกหนังคนโปรดตลอดกาลของเธอ

            อนินทิตาพยายามอยู่นาน แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงถอดใจ เธอติดต่อร้านซ่อมร้านไหนก็ปิดทำการหมดแล้ว จึงตัดสินใจโทร. หาตัวแทนประกันแทน และได้คำตอบว่าให้ทิ้งรถไว้ก่อน พรุ่งนี้ถึงจะมาดูให้ เธอจึงได้แต่วางสายและถอนหายใจ จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในร้านเจนเซน บอกเจ้าของร้านเรื่องฝากรถไว้ก่อน

 

แม้จะดึกมากแล้ว แต่เพราะเป็นบริเวณย่านพักอาศัยในเมืองใหญ่ ผู้คนจึงยังพลุกพล่าน ไม่มีอะไรผิดปกติ และอีกอย่างก็เพราะเธออยู่ที่นี่มานานแล้ว จากร้านเจนเซนไปยังบ้านของเธอก็ไม่ไกลเลย อนินทิตาจึงเลือกใช้วิธีเดินกลับไปพร้อมกับกระเป๋าเอกสารหอบใหญ่

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านคู่รักหนุ่มสาวที่ยังจูบร่ำลากันที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง เธอส่ายหน้าน้อยๆ นึกอยากบอกเหลือเกินว่ารักกันต่อไปให้ดีเชียว ชีวิตวัยเด็กน่ะหอมหวาน โตมาอย่างเธอสิแล้วจะรู้ว่าอะไรสำคัญกว่าความรัก

            เงินไงล่ะ!

            มีคำกล่าวที่ว่าเงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ ก็จริง...เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ถ้าไม่มากพอ!

            หญิงสาวหัวเราะกับตัวเองเพราะผ่านเหตุการณ์พวกนี้มาหมดแล้ว ความรักในวัยเด็กคือเรื่องตลก การใช้ชีวิตตอนนี้ให้รอดต่างหากของจริง

            เวลาผ่านไปอากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ อนินทิตากระชับเสื้อโคตอีกนิด ยังคงเหลียวมองไปรอบตัว ต่อให้ยังมีคนพลุกพล่านก็เถอะ แต่เธอก็ไม่ประมาท โดยเฉพาะตรงมุมถนนที่ไม่มีเสาไฟก่อนถึงย่านที่พักของเธอแค่หนึ่งบล็อก ที่ตรงนั้นค่อนข้างลับตาคนและเคยได้ยินข่าวมิจฉาชีพบางครั้ง

            อนินทิตากำลังจะข้ามถนน แต่อยู่ๆ ก็มีรถยนต์ขับมาด้วยความเร็วสูงจนเหมือนจะเบรกไม่ทัน

            “กรี๊ด!” เธอตกใจจนยืนขาตาย และคงจะโดนชนไปแล้วถ้าไม่มีมือของใครบางคนกระชากเธอหลบไปทางด้านหลัง

            โครม!

            โชคไม่ดีเลยที่ด้านหลังก็มีรถตามมาเช่นกัน แม้จะชะลอความเร็วจนแทบหยุดลงแล้ว แต่แรงปะทะก็มากพอจนทำให้ทั้งคู่ล้มลง

            “โอ๊ย!” เจ้าของเสียงหวานร้องลั่นเพราะถูกชนจนล้มลง เจ็บที่ขาราวกับร้าวไปถึงกระดูก

            “อนิน”

            “เจ็บ” สาวคนเก่งน้ำตาตกแล้วเงยหน้ามองคนที่ช่วยเธอ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครเลย รามนั่นเอง

            เจ้าของรถคันหลังลงมาหาพร้อมกับเรียกรถโรงพยาบาลและแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ ส่วนคันแรกขับหนีไปแล้ว อนินทิตาพยายามลุกขึ้น แต่รามห้ามไว้เสียก่อน

            “อย่าเพิ่งขยับ”

            คนเจ็บเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนที่ประคองกอดเธอไว้ ดวงตาคมหวานของเขาอ่อนลง ไม่รู้ทำไมอนินทิตารู้สึกว่าไม่เจ็บเหมือนครั้งแรก เธอพยักหน้า แล้วเอนตัวลงพิงอกเขาแต่โดยดี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น