4

บอดีการ์ดส่วนตัว


บอดีการ์ดส่วนตัว

 

กว่าที่รามจะพาอนินทิตากลับจากโรงพยาบาลมาถึงบ้านก็เกือบตีสามเข้าไปแล้ว โชคดีที่กระดูกไม่หัก แต่มีรอยฟกช้ำและมีแผลที่เท้า ผลจากทั้งงานหนักและอุบัติเหตุทำให้อนินทิตาหลับตั้งแต่ยังไม่ถึงบ้าน เขาจึงอุ้มเธอลงจากแท็กซี่และพาขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสอง เธอร้องว่าเจ็บ นิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาแต่อย่างใด รามจึงนำกระเป๋าสะพายของเธอมาวางไว้ที่ปลายเตียง แล้วหันกลับมานั่งมองคนที่นอนหลับด้วยสายตาครุ่นคิด

            เหตุการณ์เมื่อครู่...เหมือนไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ

            ดึกแล้ว แม้จะยังมีรถราอยู่มาก แต่เป็นเขตเมืองที่จำกัดความเร็ว ต่อให้เป็นพวกกลับจากเที่ยวเมาแล้วขับหรืออย่างไรก็เถอะ แต่ดูอย่างไรก็น่าสงสัยอยู่ดี

            รามเฝ้ามองอนินทิตาและผู้ชายท่าทางเนิร์ดๆ ตั้งแต่อยู่ในร้านเจนเซน ทั้งคู่ดูมีลับลมคมใน ไหนจะท่าทางหวาดๆ ของผู้ชายคนนั้นอีก พอออกมารถของอนินทิตาก็เสีย มีคนตามเธอ มันเพราะอะไรกันแน่ เพราะงานที่เธอทำ หรือเพราะเรื่องที่เธอคุยกับผู้ชายสวมแว่นท่าทางขี้กลัวคนนั้น

            เท่าที่เห็น...ผู้ชายคนนั้นส่งแฟลชไดรฟ์ให้เธอด้วยไม่ใช่หรือ

            รามไม่ใช่คนมีมารยาท ไม่ใช่คนดีมีคุณธรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในวัยเด็กเขาทำมาแล้วทุกอย่าง แค่ ‘ขโมย’ แฟลชไดรฟ์แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก และไม่ทำให้เขารู้สึกผิดเลยในขณะลงมือ

 

เช้าวันถัดมาเสียงโทรศัพท์ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ส่งผลให้อนินทิตาลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า แผลที่ขายังเจ็บจนชา แม้จะยังงงๆ ที่ตื่นมาบนห้องนอนชั้นสองได้อย่างไร แต่เธอก็ปัดความสงสัยนั้นไปก่อนแล้วเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียง

            “สวัสดีค่ะ”

            “คุณลืมเรื่องรายงานหัวหน้าผมหรือเปล่าอนิน”

น้ำเสียงห้วนกระชากจากปลายสายทำเอาเธอขมวดคิ้วเล็กน้อย อุบัติเหตุเมื่อวานทำให้สมองมึนชาไปชั่วขณะ อนินทิตาต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าจะจำได้ว่าเขาคือแม็กซ์ เจ้าหน้าที่สอบสวนกลางที่ทำงานกับเธอนี่เอง

            “ฉันไม่ลืม แต่เมื่อคืนถูกรถชน คงไปช้าหน่อยนะ”

            “ว่าไงนะ!” เจ้าหน้าที่หนุ่มตวาดเสียงดัง

            อนินทิตาเอาโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน ยอมรับเลยว่าเสียงของเขาดึงสติเธอกลับคืนมาจนครบถ้วน แล้วก็อดสงสัยว่าพวกเจ้าหน้าที่สืบสวนพวกนี้พูดอะไรเบาๆ ไม่เป็นหรือไง แหกปากตะโกนเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ไปได้

            “ฉันถูกรถชน แต่ไม่เป็นไร มีแผลที่ขานิดหน่อย อีกสองชั่วโมงไปรอรับฉันที่สถาบันด้วย”

            “ผมไปรับที่บ้านได้นะ”

            “ไม่เอา” เธอไม่อยากสนิทกับเขาไปมากกว่าเรื่องงาน เพราะถ้ามีเพื่อนชอบพูดจากระโชกเสียงดังตลอดเวลา เธอคงแก้วหูแตกสักวัน

            “แล้วคุณจะมายังไง”

            “ฉันหาทางไปได้ละกัน แค่นี้แหละ” เธอกดตัดสาย ไม่รอให้เขาตอบรับหรือปฏิเสธ

            อนินทิตาพยายามลุกขึ้น แต่แผลที่ขาก็ทำเอาลำบากไม่น้อยจนเธอทนไม่ไหว สูดปากด้วยความเจ็บระบม แต่ก็รวบรวมกำลังลุกขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับที่ประตูห้องนอนถูกเปิดผลัวะเข้ามา

            “ว้าย!” คนเจ็บตกใจจนแทบกลิ้งตกเตียง ในขณะที่หนุ่มมาดเข้มได้แต่ยืนมองเธอนิ่งๆ ด้วยสายตาอ่านยาก

            “ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์”

            “คุณหูไวเกินไปแล้วนะ” สาวเจ้าของบ้านขมวดคิ้ว “แล้วยังไม่ไปไหนอีกหรือ”

            “คุณทำแผลผมปริ จำได้ไหม”

            “แล้วเมื่อคืนคุณไปช่วยฉันได้ยังไง ไหนว่าไม่ออกจากบ้าน”

            “ผมอยู่ที่ร้านเจนเซนไง ผมก็หิวเป็นนะ” รามตอบเสียงเรียบ ก้าวเข้ามาในห้อง และตรงไปยังเตียงของอนินทิตาด้วยท่าทีคุกคาม

            “เดี๋ยว!” สาวเจ้าร้องลั่นและกระถดตัวหนีทันที แต่ก็ทำได้ไม่ถนัดนักเพราะยังเจ็บขา เธอเงยหน้าขึ้นมองตาวาววับของเขา ทำเอาหวนคิดไปถึงเมื่อวันก่อนที่เขาจะจูบเธอทั้งยังไล่ต้อนเสียจนเธอจนมุม

            “ผมแค่จะช่วย” เจ้าของเสียงเข้มดุ เขาช้อนสาวร่างผอมบางไว้ในอ้อมแขนโดยไม่สนใจท่าทางตื่นๆ ของเธออีกแล้ว

            “จะพาฉันไปไหน”

            “เปลี่ยนเสื้อผ้า”

            “ฉันทำเองได้!” อนินทิตาหน้าแดงจัด อยากจะทุบเขาก็ไม่กล้า กลัวเขาจะปล่อยเธอทิ้งลงพื้นแล้วจะเจ็บหนักกว่าเดิม คนอย่างรามเอาแน่เอานอนได้ที่ไหน

            “แล้วใครบอกว่าจะทำให้” คนเจ้าเล่ห์ถามกวนๆ แล้ววางเธอลงริมอ่างอาบน้ำด้วยกิริยาไม่ทะนุถนอมนัก

            “ก็...”

            “หรือว่าแอบหวังไว้” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาทำเอาอนินทิตาหน้าแดงจัด

เธอหยิบขวดบาธเจลแล้วเงื้อมือจะขว้างเขา แต่รามดักคอเสียก่อน

            “ถ้าทำร้ายร่างกายผมตอนนี้...ผมเอาคืนนะ” รามบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป

            คำขู่ทีเล่นทีจริงนั้นส่งผลกับอนินทิตาเข้าอย่างจัง เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นแบบนี้ตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไรที่เริ่มคุ้นชินกับการมีรามอยู่ในบ้าน ทำไมเธอไม่เด็ดขาดกับเขาเสียที เพราะคำขู่ของเขา เพราะอาวุธที่เขาใช้ขู่ หรือเพราะเธอกำลังสงสัยเขา อนินทิตาไม่รู้เลย เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมปล่อยให้เขาลอยหน้าลอยตากวนประสาทเธออยู่ได้ ทั้งที่ปกติแล้วเธอยอมคนที่ไหนกัน

            หญิงสาวสะบัดหน้าแรงๆ ไล่ความรู้สึกนี้ออกไป เธอตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะต้องไล่เขาออกไปจากบ้านเธอให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม รามต้องไม่อยู่ที่นี่ ชีวิตเธอจะได้สงบสุขเสียที

 

ความตั้งใจของอนินทิตาไม่เป็นผล เพราะทันทีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ รามก็มารอในห้องอยู่แล้ว เขาบอกว่าย้อนกลับไปที่ร้านเจนเซนตั้งแต่เช้าและซ่อมรถให้เธอเรียบร้อย ให้เธอโทร. ยกเลิกบริษัทประกันไปเสีย เขาดึงดันจะอุ้มเธอลงจากบ้านและไปส่งเธอที่ทำงานอีกด้วย แรกทีเดียวอนินทิตาไม่ยอม แต่เพราะไม่มีทางเลือก จึงต้องยอมให้เขาขับรถไปส่งถึงที่สถาบัน

            อนินทิตามีสีหน้ากระอักกระอ่วนมาตลอดทางที่นั่งรถด้วยกันและเอาแต่เงียบ ยิ่งเธอเงียบ รามก็ยิ่งมองเธอบ่อยขึ้น พอเขามองเธอบ่อยขึ้น เธอก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูก ทั้งที่อากาศเย็นแท้ๆ แต่กลับรู้สึกหน้าร้อนวาบทุกครั้งที่สบตาคมหวานของราม

            “ผมจะมารับตอนเลิกงาน” เขาบอกเสียงเรียบ

            สายตาล้ำลึกอ่านยากของชายตรงหน้าทำเอาอนินทิตาประหม่าและเริ่มทำตัวไม่ถูก จากที่จะออกปากไล่ ก็กลายเป็นพยักหน้าตกลงเสียอย่างนั้น

            “แล้วคุณมีเงินติดตัวไหม” นอกจากไม่ไล่แล้ว เธอกลับถามเขาด้วยความเป็นห่วงอีกต่างหาก เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยึดเงินเขาไว้หมด

            “คุณคิดว่าผมจนขนาดนั้นหรือ”

            ได้ยินคำตอบยียวนเข้าไป เธอก็นึกอยากตีหัวเขาแรงๆ สักที แต่พอเจอสายตาของเขาทีไรก็ใจฝ่ออีกจนได้ สุดท้ายก็ได้แต่คืนเงินเขาไปจำนวนหนึ่ง

            “นั่นใคร” รามพยักพเยิดไปทางด้านหน้าสถาบัน ตรงที่มีผู้ชายตัวสูงใหญ่ท่าทางขึงขังยืนรออยู่แล้ว

            “เพื่อนร่วมงานน่ะ”

            “อ้อ” เขาทำเสียงรับรู้แล้วถามต่อ “ต้องจูบลาเหมือนเมื่อวานไหม”

            “ไม่ต้อง!” เธอตอบเสียงดังฟังชัดแล้วก้าวลงรถไปทันที

            รามหัวเราะชอบใจที่ทำให้สาวคนเก่งหน้าแดงอีกจนได้ เขารอจนอนินทิตาลงไปแล้วจึงใช้จังหวะนั้นแอบถ่ายรูปเพื่อนร่วมงานของเธอไว้อย่างรวดเร็วและแนบเนียนเสียจนไม่มีใครทันสังเกต

            ...

            “นั่นใคร” แม็กซ์ถามทันทีที่อนินทิตาลงจากรถแล้วเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาหา

            “เพื่อน”

            “คุณคบเพื่อนผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่”

            “แล้วคุณมาสนใจเรื่องของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวทำหน้าไม่พอใจ เธอทำงานกับแม็กซ์มาสองสามครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเธอเลย นึกอย่างไรคราวนี้มาทำบึ้งตึงใส่เหมือนไม่พอใจอย่างไรอย่างนั้น

            อย่าบอกนะว่า...

            “ผมเห็นหน้าตาเขาไม่น่าไว้ใจ” แม็กซ์ยักไหล่ ทำตัวแข็งอย่างมีมาด ถ้าเป็นสาวอื่นคงจะหลงเคลิบเคลิ้มไปแล้ว แต่ไม่ใช่อนินทิตา

            “คุณก็ไม่ต่างกับเขาหรอก”

            “มันไม่เหมือนกัน”

            “ฉันเดตกับเขา จบไหม!”

            “นี่เลือกแล้วหรือ”

            “แน่สิ...ฉันชอบของแปลก” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวหัวเราะเสียงดัง นึกอยากให้รามได้ยิน อยากเห็นว่าถ้าเธอบอกว่าเขาเป็นของแปลก ทำลายอัตตาของเขาเสียขนาดนี้แล้วยังจะทำหว่านเสน่ห์ต่อไหม หรือว่าจะเสียศูนย์ไปเลย

            แต่ทำไมหัวใจเธอมันคันยิบๆ แบบนั้นเล่า...

            อนินทิตาส่ายหน้า อาจเพราะอยู่คนเดียวมานานเกินไป แม้ว่าพี่สาวจะพยายามแนะนำเพื่อนของพี่เขย หรือแม้แต่แอบเอาไอดีเธอไปสมัครบริษัทหาคู่ บังคับให้เธอไปดูตัวอย่างไรก็เถอะ ส่วนมากก็มักเจอผู้ชายอีโก้สูง ไอคิวสูง แต่ไร้ซึ่งอีคิวและความเป็นสุภาพบุรุษ ส่วนเพื่อนพี่เขยก็มีแต่พวกทำงานอันตรายเกี่ยวข้องกับอาชญากรทั้งนั้น ซึ่งเธอไม่ชอบ ถ้าจะมีแฟนกับเขาสักคนก็ขอคนปกติๆ จะดีกว่า

            “ไปเถอะ คุณต้องเริ่มรายงานแผนงานให้หัวหน้าผมฟัง”

เสียงของแม็กซ์ทำให้หญิงสาวได้สติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินตามไปขึ้นรถแต่โดยดี

 

ทีมของแม็กซ์มาถึงสถานพยาบาลในที่คุมขังสตีเวนและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องกับเดอะดาร์กแฟนทอม และอยู่ที่นั่นทั้งวันโดยไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลย หลังจากถูกลอบปองร้ายเกือบตาย ทำให้เวรยามคุ้มกันแน่นหนากว่าเดิม และนั่นก็ทำให้สตีเวนมีอาการหวาดระแวงมากขึ้น จากที่เคยไว้ใจอนินทิตาก็เปลี่ยนไป เขาไม่พูด ไม่คุย ไม่...แม้แต่จะสบตากับเธอ

            “ฉันว่าเราพอแค่นี้เถอะ” อนินทิตาบอกกับแม็กซ์ทันทีที่เดินออกมาจากห้องสอบสวนอย่างยากลำบาก แล้วก็อดปรายตามองค้อนเจ้าหน้าที่หนุ่มไม่ได้ เธอดูแทบจะพิการอยู่แล้ว จะมีแก่ใจมาประคองเธอสักนิดหรือก็ไม่ ปล่อยให้เธอเดินกะเผลกมาจนถึงเก้าอี้หน้าห้องสอบสวน

            “ทำไม”

            “ก่อนที่เขาจะรู้สึกกดดันและหวาดกลัวไปมากกว่านี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไหร่ก็พับโครงการที่จะทำให้เขาไว้ใจเราได้เลย”

            “ก็ได้” แม็กซ์พยักหน้า “ผมไปส่งที่บ้านไหม”

            “ไม่ต้องหรอก ไปแค่ที่สถาบันก็พอ”

            “แฟนมารับละสิ”

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวขมวดคิ้ว เกือบหลุดปากถามไปแล้วว่าแฟนที่ว่านี่ใคร แต่ก็คิดได้ว่าโกหกเรื่องรามไว้ จึงได้แต่พยักหน้าเบาๆ

            “เดี๋ยวนะ” เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋าสะพายส่งผลให้อนินทิตาชะงัก หยุดเดินแล้วกดรับสาย “สวัสดีค่ะ”

            “ผมเอง”

            อนินทิตาขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่า ‘ผมเอง’ นี่ใคร...

            “ราม”

            “อ้อ” เธอพยักหน้ารับรู้ มิน่าเล่าเสียงคุ้นๆ “มีอะไร”

            “ผมมารอที่หน้าสถาบันจิตวิทยาของคุณแล้ว”

            “โอเค ฉันกำลังกลับ รออีกสัก...ครึ่งชั่วโมงแล้วกัน”

            “รับทราบ” เขารับปากแล้วตัดสายไป

            อนินทิตาอ้าปากค้าง เธอกำลังจะถามว่าเขารู้เบอร์โทร. เธอได้อย่างไร แต่เขาก็ตัดการติดต่อไปเสียก่อน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่น่าแปลกใจที่เขาหาทางติดต่อเธอได้ ในเมื่อเขาเคยปลดล็อกสมาร์ตโฟนที่ตั้งค่าสแกนลายนิ้วมือเธอด้วยเวลาแค่เสี้ยววินาที ทั้งยังรู้รหัสผ่านไปเล่นเกมในเครื่องเธอหน้าตาเฉย

            เขาน่าสงสัยจริงๆ ...

            “ไปเถอะ ฮ. พร้อมแล้ว” แม็กซ์กระตุ้น เดินนำอนินทิตาออกจากห้องสอบสวนขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดที่เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ แล้วเดินทางกลับสถาบันจิตวิทยา

 

ทันทีที่ออกจากอาคารสถาบันจิตวิทยา อนินทิตาก็เห็นรามยืนกอดอกพิงรถยนต์รออยู่แล้ว บุคลิกแปลกไปของเขาทำให้เธอต้องหยุดเดินแล้วเพิ่งมองด้วยความสงสัย รามไม่ได้แต่งตัวซอมซ่อเหมือนเมื่อเช้า แต่กลับปรับลุคด้วยการเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนขึ้นถึงข้อศอก สวมกางเกงยีนสีเข้ม ผมที่ปล่อยรุงรังไม่เป็นระเบียบก็กลับมัดรวบไว้ เผยให้เห็นใบหน้าคมคายแบบหนุ่มลูกครึ่ง เรียกได้ว่าทำเอาสาวๆ ในสถาบันเหลียวมองด้วยความสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร และทำไมเอารถของอนินทิตามาใช้

ตลอดอายุการทำงานของอนินทิตา เธอได้รับการจับตามองว่าเป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง ใช้ชีวิตตามลำพัง ทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องง้อผู้ชาย เธอมักจะขับรถมาถึงที่ทำงานก่อนเวลา ไม่เคยเข้างานสาย ไม่เคยลา ไม่เคยเจ็บ ไม่เคยป่วย ทำงานเหมือนคนไม่มีวันหยุดพัก แต่อยู่ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุล้มเจ็บจนขับรถเองไม่ได้ ต้องมีคนตามรับตามส่ง และคนที่ว่านั้นก็ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรัก ไม่ใช่คนรู้จักถึงขั้นสนิทสนม แต่กลับรู้ทันตัวตนของเธอทุกอย่าง และใช้เวลาอยู่รวมบ้านกันนานนับสัปดาห์

            อย่าว่าแต่ผู้หญิงคนอื่นจะมองเหลียวหลังเลย เพราะแม้แต่เธอเองก็ใจแกว่งไปเหมือนกัน แต่ก็โทษความเคยชินที่อยู่คนเดียวมานาน พอมีใครเข้ามาเธอก็เลยหวั่นไหวไปหน่อย

            แต่น่าแปลก ตอนออกไปกับสเปนเซอร์ เพื่อนคนแรกที่เก็บมาจากข้างทางและจับพลัดจับผลูมาช่วยงานเธอ เธอยังไม่เคยเป็นแบบนี้เลย...ถ้าอย่างนั้นก็ต้องโทษที่รามคือตัวหายนะของเธอก็แล้วกัน

            “จะมองอีกนานไหม” รามถามเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นนักจิตวิทยาอาชญากรสาวเอาแต่จ้องมองเขาด้วยสายตาสับสน เดี๋ยวเพ่งมอง เดี๋ยวเหม่อลอยสลับกันอยู่นานสองนาน

            อนินทิตาได้สติ ตาเป็นประกายแพรวพราวของเขาทำเอาหญิงสาวหน้าร้อนวาบ แต่จะให้ยอมรับว่าแอบมองเขาน่ะหรือ...ไม่มีทาง!

            “ใครมองคุณ” สาวคนเก่งกอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย จนไม่ทันระวังว่ารามกำลังก้าวเข้ามาหาแล้วอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว

            “ว้าย!” สาวเจ้าร้องเสียงหลง จ้องมองใบหน้าคมคายด้วยสายตาตื่นตระหนก ไม่คิดว่าอยู่ๆ เขาจะอุ้มเธอต่อหน้าคนมากมายที่กำลังเดินออกจากสถาบัน แต่ที่มากกว่าความตกใจคือความอายสายตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมานี่ละ

            “นี่!” เธอดุเขาทันทีที่ตั้งสติได้ แต่รามก็ไม่สะทกสะท้านสักนิด ทั้งยังหัวเราะอีกด้วย

            “เดินไม่ไหวไม่ใช่หรือ”

            “ฉันเดินเองมาทั้งวันแล้ว”

            “นั่นแสดงว่าคนที่ทำงานคุณแล้งน้ำใจ” เขาสรุปแล้วยิ้มเล็กน้อย “ส่วนผม...เป็นคนดีที่มีน้ำใจ”

            “ฉันไม่รู้สึกเลยสักนิด” เธอเผลอย่นจมูกใส่เขาด้วยความหมั่นไส้ คนดีมีน้ำใจหรือ แล้วใครกันที่เอาปืนจ่อบังคับให้เธอทำแผลให้ ข่มขู่สารพัด ทั้งยังยึดห้องเพลย์รูมชั้นล่างของเธอเป็นที่ส่วนตัวของเขาอีกต่างหาก

            รามหัวเราะหึๆ เขาไม่ตอบ แต่อุ้มเธอกลับมาที่รถ แล้วพยักพเยิดให้เธอช่วยเปิดประตูให้เพราะมือเขาไม่ว่างเสียแล้ว

            “นี่...คนมองหมดแล้ว”

            “แปลกใจอะไร”

            “ฉันไม่เคยมีผู้ชายมารับมาส่งที่ทำงานนี่ยะ” ตอบพลางขึงตาใส่เขา แน่สิ...เธอไม่ได้หน้าด้านอย่างเขานี่ที่จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

            “ผมไม่แปลกใจหรอก” รามตอบกวนๆ วางเธอลงบนที่นั่งข้างคนขับ ปิดประตูให้แล้วเดินอ้อมกลับมานั่งประจำที่

            “เมื่อกี้หมายความว่ายังไง”

            “อะไร” หนุ่มมาดเข้มทำหน้าซื่อ

            “ที่บอกว่าไม่แปลกใจว่าฉันไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนมาส่งน่ะสิ” เธอมองเขาด้วยสายตาคาดคั้นเอาคำตอบ

            รามหัวเราะเล็กน้อยแล้วหันกลับมาสบตาเธอตรงๆ “เดาไม่ยากหรอก ดูอย่างตอนนี้สิ แก้มคุณแดงมากเลยนะอนิน ถ้าไม่บอกผมคงคิดว่าคุณเป็นไข้”

            “ฉันโกรธต่างหาก!”

            “เหรอ” คนกะล่อนลากเสียงกวนประสาท “จะพยายามเชื่อแล้วกัน”

            “ออกรถสิ จะไม่กลับหรือบ้านน่ะ” พอเถียงไม่ชนะ เธอเปลี่ยนประเด็นทันที

            อนินทิตาเสมองไปนอกรถตลอดเวลาที่รามขับรถออกจากสถาบัน มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย แต่กลับไม่มีอะไรดึงดูดสายตาเธอได้อย่างจริงจัง เพราะรู้สึกได้ว่าเขากำลังจ้องมองเธอเป็นระยะๆ

            “อยากได้อะไรก่อนเข้าบ้านไหม” เจ้าของเสียงเข้มถามก่อนถึงวอลมาร์ตในอีกหนึ่งไฟแดง

            “คุณซื้ออะไรมาบ้างล่ะ”

            “พวกของสดกับของแห้งไว้ทำอาหาร”

            อนินทิตาตวัดสายตามองเขาด้วยท่าทางกวนๆ “คุณทำอาหารเก่งกว่าฉันที่เป็นผู้หญิงอีกนะ”

            “อย่าได้มองผมด้วยสายตาอย่างนั้นเชียว อนินทิตา” รามเตือนด้วยน้ำเสียงอันตราย “ผมทำอาหารเก่งกว่าคุณ นั่นหมายความว่าคุณเป็นผู้หญิงไม่เอาไหน”

            “ปากร้าย”

            “ขอบคุณที่ชม” เขารับคำหน้าตาเฉยแล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ “สรุปว่าจะเอาอะไรไหม”

            “ไม่ละ”

            “งั้นกลับบ้านเราเลยนะ”

            “อือ” อนินทิตารับปากด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็กลับสะดุ้ง เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ บ้าน ‘เรา’ อย่างนั้นหรือ

            หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง นอกจากบุกรุกบ้านเธอแล้ว ยังโมเมหาว่าบ้านเธอเป็นบ้านตัวเองด้วยอย่างนั้นหรือ...มันจะเกินไปแล้ว

            “มีอะไรหรือเปล่า”

            ยังจะมีหน้ามาถามอีก...สาวคนเก่งตอบในใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ นั่งนิ่งทั้งที่ในใจว้าวุ่นไปตลอดทางจนถึงที่หมาย

            ...

            เมื่อมาถึงบ้าน อนินทิตาก็เอ่ยปากถามทันที “คุณซื้ออะไรมาบ้าง ให้ฉันช่วยถือไหม”

            “ไม่หรอก” เขาส่ายหน้าเหมือนไม่ทันคิด แต่แล้วก็กลับขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตาเฮลโล คิตตี้ตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถ “ถือน้องคิตตี้ไปละกัน”

            “ฮะ!” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวถึงกับผงะ ทำไมเธอไม่เห็นว่าน้องคิตตี้ของเขานั่งในรถเธอตั้งแต่เมื่อไร เขาไปเอามันมาจากไหน สภาพก็ไม่ใหม่เลยสักนิด

            “ตัวโปรดผมเลยนะ ไม่มีแล้วนอนไม่หลับ” เขาตอบหน้าตาย ช่วยประคองเธอลงจากรถ ปล่อยให้เธออุ้มตุ๊กตาคิตตี้แล้วมองหน้าเขาด้วยสีหน้างงๆ

            “แล้วที่ผ่านมาหลับได้ไง”

            “ผมเจ็บอยู่นะคุณ ร่างกายต้องซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ก็ต้องพักผ่อนสิ”

            “ไหนว่าหายแล้วจะออกจากบ้านฉันไง”

            “ผมไปแล้วใครจะดูแลคุณล่ะ”

            “ฉันไม่...” คนเจ็บอ้าปากจะเถียง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่เถียงจะดีกว่า ในเมื่อไม่เคยชนะเขาเลย ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน จึงได้แต่เดินอุ้มน้องคิตตี้เดินตามเขาราวกับเธอเป็นผู้อาศัย ทั้งที่ความจริงแล้วเธอต่างหากที่เป็นเจ้าของบ้าน

            “วางบนเดย์เบดก็ได้”

            เจ้าของบ้านสาวเตรียมจะบ่น แต่เขาก็ชิงถามตัดหน้าเสียก่อน

            “อยากกินอะไร”

            หลังจากเหนื่อยกับงานและอารมณ์เสียมา พอเจอคำถามแบบนี้เข้าไปเธอก็ลืมความโกรธไปได้ทันที อนินทิตาทำหน้าครุ่นคิด เธออยากกินอาหารไทยใจจะขาด ปกติถ้าไปหาเมลิสสาหรือเวลาที่เมลิสสามาหาเธอก็จะได้กินตลอด แต่พอไม่ได้เจอกันนานๆ ก็ทำให้อดคิดถึงไม่ได้ โดยเฉพาะรสชาติจัดจ้านถึงใจของต้มยำกุ้ง!

            “จะกินอะไรก็พูดสิ ไม่ต้องจินตนาการถึงจนน้ำลายหยดขนาดนี้หรอก”

            อนินทิตารีบยกมือเช็ดมุมปากทันทีที่เขาพูดจบ และพบว่า...ไม่มี!

            นี่เขาแกล้งเธอหรือ...

            รามหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจดวงตากลมโตเจือความกรุ่นโกรธราวกับจะฆ่าเขาด้วยสายตา แล้วถามว่า “ยังไง สรุปจะกินอะไร”

            “คุณทำอาหารไทยเป็นไหม”

            “สบาย” เคยไปประจบแม่ของอัลเบอร์โตและเชสก์ สองพี่น้องอะลอนโซที่มีแม่เป็นคนไทยอยู่นาน ทำไม่เป็นให้รู้ไป ในเมื่อคุณนายอะลอนโซชอบทำอาหารถึงเพียงนั้น

            “งั้นทำ”

            “คุณทายาเองได้ใช่ไหม” รามถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ฟังคล้ายว่าเขาก็ห่วงใยใส่ใจดี แต่ดวงตาคมเข้มล้ำลึกจนอ่านยากนี่สิที่ทำเอาอนินทิตาใจหวิวอีกแล้ว

            “ดะ...ได้สิ” เธอตอบตะกุกตะกัก ไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลยยามถูกจ้องเอาๆ อย่างนี้

            “จะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไหม ผมจะอุ้มขึ้นไปส่ง”

            “ไม่ต้อง เดินเองได้”

            “ขึ้นบันไดเนี่ยนะ...ผมพาไปดีกว่า แล้วเก็บของลงมาอยู่ชั้นล่างไปจนกว่าจะหายแล้วกัน”

            “แต่...”

            “คุณคงไม่อยากให้ผมบังคับหรอกใช่ไหม” รามถามเสียงเข้ม

            “ก็ได้ๆ” แค่ใกล้ชิดกันนิดๆ หน่อยๆ ดีกว่าให้เขายกปืนขู่เธอเหมือนวันแรกก็แล้วกัน อนินทิตาบอกตัวเองอย่างนั้น ปลอบใจตัวเองที่กำลังวูบไหวเพราะเขา เธอยอมให้รามพาขึ้นไปเก็บของชั้นบนแล้วลงมาใช้ชีวิตอยู่ชั้นล่างด้วยกัน โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลัง ‘ตกหลุมพราง’ เข้าแล้ว

 

การมีผู้ชายไปรับไปส่งถึงที่ทำงานว่าเป็นเรื่องแปลกใจสำหรับเธอแล้ว แต่การมีผู้ชายร่วมบ้านและเข้าครัวได้อย่างคล่องแคล่วนี่สิน่าแปลกใจกว่า ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่รามทำอาหารให้กินก็เถอะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเต็มใจให้เขาอยู่ร่วมบ้าน ไม่ใช่เพราะถูกเขาเอาปืนขู่เหมือนแต่ก่อน

            “ใครสอนคุณทำอาหาร” เธอถามไปอย่างที่นึกสงสัยมานานแล้ว รามเป็นคนแปลกประหลาดมาก เขามีบุคลิกที่ขัดแย้งกันหลายอย่างจนไม่น่าเชื่อว่าจะรวมอยู่ในตัวคนคนเดียวได้

            “เยอะ” เขาตอบสั้นๆ สองมือหยิบจับอุปกรณ์ทำครัวได้อย่างคล่องแคล่วจนไม่น่าเชื่อว่ามือนั่นเคยจับปืนมาก่อน

            “ตอบยาวๆ กว่านี้หน่อยสิ”

            “ร้านอาหารที่เคยทำงานพิเศษสมัยเด็กน่ะ” เขาหันมาตอบหลังจากยกหม้อต้มยำกุ้งลงจากเตา

            “ร้านอาหารไทยเหรอ”

            “ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น เม็กซิกัน อิตาลี สเปน ทำมาหมดแหละ”

            “คุณชอบทำอาหารหรือ” อนินทิตาถาม เธอนั่งเท้าคางสบตาคมหวานคู่นั้นได้เพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องเสมองไปทางอื่นเพราะสู้สายตาเขาไม่ไหว

            “ไม่ชอบหรอก แต่ความจนบีบบังคับน่ะ”

            “เกี่ยวกับแผลที่หลังคุณหรือเปล่า” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวตรงเข้าเรื่องทันทีที่สบโอกาส นึกไปถึงวันที่เห็นแผลเป็นเต็มหลังเขา เธอก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะอย่างนี้หรือเปล่าเขาถึงดูเป็นคนขวางโลกเสียขนาดนี้

            รามนิ่งขึงไปทันที ดวงตาที่เคยพราวระยับหม่นแสงลงเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่นักจิตวิทยาอาชญากรสาวยังมองไม่ทัน

            “บอกว่าอย่าได้พยายามจะรักษาผมเชียว ผมไม่เป็นไร” เขาบอกปัด แล้วหันไปดูหม้อข้าวว่าข้าวสวยสุกพร้อมหรือยัง

            “แต่...” เธอกำลังจะเถียง แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน จึงรีบกดรับเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์พี่สาว “ไงเม”

            “เซอร์ไพรส์!” ปลายสายร้องเสียงร่าเริงเกินเหตุ จนอนินทิตาขมวดคิ้ว เมลิสสาทำเสียงดังเสียจนแม้แต่รามยังได้ยิน

            “อะไรของเธอน่ะเม สามีทิ้งหรือไงถึงได้เพี้ยนขนาดนี้”

            “ฉันไม่ได้เพี้ยนเลยน้องรัก ฉันแค่จะเซอร์ไพรส์เธอ”

            “เซอร์ไพรส์อะไรของเธอ” คนเป็นน้องได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอสบตากับรามที่ยักไหล่ไม่สนใจแล้วหันไปเตรียมอาหารต่อ

            “ออกมาเปิดประตูบ้านสิจ๊ะ”

            “อะไรนะ!” อนินทิตาลุกพรวด ให้ออกไปเปิดประตูบ้าน อย่าบอกนะว่า...

            เสียงสัญญาณที่หน้าประตูดังถี่ๆ แบบที่คนปกติไม่มีวันทำกันแน่นอน เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีแล้วว่าพี่สาวเธอบุกมาถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

            อนินทิตากลืนน้ำลายฝืดคอ เธอหันไปมองราม และมองเห็นหายนะรำไรเสียแล้ว!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น