13

ผู้คุมกับเชลยสาว 1


 

13

ผู้คุมกับเชลยสาว 1

 

วันทั้งวันผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ อนินทิตาเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบแล้วนอนซุกผ้านวมผืนหนาหน้าโทรทัศน์จอใหญ่ในห้องโถงกลางตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว แต่รามยังไม่กลับ ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายในเพนต์เฮาส์ มีบ้างที่พอลเข้ามาส่งอาหารตามที่เธอร้องขอ แต่ก็ไม่อยู่คุมแต่อย่างใด

            เชลยสาวร่ำร่ำอยากจะหนีออกไปใจแทบขาด แต่ยังมีสติมากพอที่จะเตือนตัวเองว่าต่อให้พยายามอย่างไรก็หนีคนเจ้าแผนการอย่างรามไม่พ้นแน่ๆ ดูอย่างตอนที่แอบเปิดคอมพิวเตอร์ของเขานั่นปะไร แค่แตะนิดแตะหน่อยก็แจ้งสัญญาณเตือนไปลั่นบ้าน และอีกอย่าง...ในเมื่อเธอเคยลองแล้ว เขาต้องเพิ่มความเข้มงวดขึ้นอีกเท่าตัวแน่ๆ ดังนั้นต้องตั้งสติ ทำใจให้เย็นเข้าไว้ ให้รามไว้ใจแล้วค่อยหาทางหนีทีไล่ แต่ขออย่างเดียว...อย่าให้เขา ‘รู้ทัน’ เธอไปมากกว่านี้ก็แล้วกัน

            อนินทิตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ มุดลงผ้าห่มแล้วพลิกตัวไปมาจนกระทั่งชนเข้ากับบางอย่างเข้า แต่เธอนอนอยู่บนพื้นพรมโล่งๆ หน้าโทรทัศน์ไม่ใช่หรือ หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแล้วรีบตลบผ้าห่มออกจากศีรษะอย่างรวดเร็ว

            “ราม!” สาวคนเก่งทำตาพอง ไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร คนอะไรจะตีนเบาขนาดนี้!

            “ไงเด็กดี” รามฉีกยิ้มหวาน แต่กลับส่งสายตากวนประสาท แล้วแสร้งทำหน้านิ่วเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของหญิงสาว “ทำไมต้องตกใจแบบนั้นล่ะจ๊ะ”

            “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

            “เมื่อกี้”

            “ทำไมฉันไม่ได้ยินเสียงเลย”

            “ไว้คราวหน้าจะจ้างคณะมังกรแห่มาด้วยละกัน”

            “เอ๊ะ!” เธอมองเขาด้วยสายตาอาฆาต เจอความกวนประสาทติดๆ กันหลายครั้งเข้าไป เธอก็ชักจะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน

            แต่มีหรือที่คนอย่างรามจะสะทกสะท้าน นอกจากแสร้งทำเป็นไม่เห็นโทสะของเธอแล้ว ยังยิ้มจนตาหยี แล้วเดินมานั่งข้างกองผ้าห่มของสาวเจ้า

            “นี่คุณกินอะไรบ้างหรือยัง” คนเพิ่งมาถึงเป็นฝ่ายถาม

            “กินแล้ว เมื่อกลางวันพอลเอาบะหมี่กับเป็ดย่างมาให้”

            “อ้าว...ผมก็เอามาซ้ำน่ะสิ” บอกพลางพยักพเยิดไปยังถุงบะหมี่กับเป็ดย่างเจ้าดังที่สุดในฮ่องกงที่วางไว้บนโต๊ะมุมห้อง

            “ช่วยไม่ได้ อยากทำอะไรไม่ปรึกษาเอง” อนินทิตายักไหล่ ไม่แยแสสักนิด แล้วล้มตัวลงนอนห่มผ้าดูซีรีส์ต่อ

            “ดูเรื่องอะไร”

            “บูเช็คเทียน” อยู่ในฮ่องกงก็มีแต่แผ่นซีรีส์ของจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งนั้น แล้วเธอจะเลือกอะไรได้อีก

            “ไม่เบื่อหรือ หนังผู้หญิงแย่งชิงอำนาจน่ะ” พูดพลางลุกขึ้นเดินไปเปิดกล่องใส่ดีวีดีที่หน้าโทรทัศน์ หยิบเรื่อง Prison break ขึ้นมา แล้วถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “เรื่องนี้ไหม”

            “ตลกตายละ” ไม่บอกก็รู้ว่าเขาประชดเธอ ยุให้เธอหนีแบบตัวเอกในเรื่องที่กำลังวางแผนแหกคุก เพื่อที่จะได้หาเรื่องแกล้งเธอต่อน่ะสิ...อนินทิตาสะบัดหน้าหนีทันที แล้วสนใจซีรีส์ต่อ พยายามไม่หันไปมองผู้ชายบ้าที่กำลังเรียกร้องความสนใจด้วยการคุ้ยกล่องดีวีดีเสียงดัง

            “นี่คุณ ออกไปห่างๆ ได้ไหม คุณบังจอฉัน”

            “ดูการ์ตูนกันไหม” แทนที่จะหลบ รามก็ถามไปอีกเรื่อง แล้วหยิบแผ่นการ์ตูน Frozen ขึ้นมาเปลี่ยนหน้าตาเฉย

            “ราม!” สาวเจ้าแหวใส่อย่างหมดความอดทน หมดกัน อู่เม่ยเหนียงของเธอกำลังสนุก อีตาบ้านี่กล้าดีอย่างไรมาเปิดเจ้าหญิงเอลซ่าตอนนี้!

            “Let it go, let it go. Can’t hold it back anymore” ไม่ใช่แค่เปิดการ์ตูนอย่างเดียวเท่านั้น รามยังแหกปากร้องเพลงเสียงดังลั่นห้อง ถ้าเสียงไพเราะเสียหน่อยเธอจะไม่ว่าเลย นี่อะไร...เหมือนวัวกำลังถูกเชือดก็ไม่ปาน

            อนินทิตาเอาหมอนมาปิดหูก็แล้ว ตลบผ้าห่มมาคลุมโปงก็แล้ว แต่ไม่อาจปิดกั้นเสียงร้องโหยหวนของรามได้เลย เขาจงใจแกล้งเธอชัดๆ

            “ดูไปคนเดียวเลย!” เธอโวยลั่น พยายามจะลุกขึ้น แต่รามโถมตัวมาใส่ ทั้งยังร้องเพลงกรอกหูเธออีก

            นี่คิดจะฆ่าเธอทางอ้อมใช่ไหม...อนินทิตาคิดแล้วตวัดสายตามองเขาอย่างแค้นๆ แต่ก็ผงะเมื่อเห็นว่าเขาอยู่ใกล้เธอมากเสียจนปลายจมูกชนกัน

            “ผมร้องเพลงเพราะใช่ไหมล่ะ”

            “เฮอะ” อนินทิตาแค่นเสียงย่นจมูกแล้วชักสีหน้ารำคาญ ทั้งที่หัวใจกำลังเต้นรัวจนสองแก้มร้อนวาบ...ให้ตาย นี่เธอกำลังหวั่นไหวกับ ‘คนแปลก’ อีกแล้วใช่ไหม

            “ถ้าอย่างนั้นผมร้องต่อนะ” รามทำท่าจะแหกปากร้องเพลงใส่หน้าเธออีก จนหญิงสาวต้องรีบห้าม

            “พอก่อนๆ ฉันหิว ไหนล่ะบะหมี่ของคุณ”

            “เจ้าเล่ห์นัก” คนเพี้ยนยอมลุกขึ้นนั่ง แต่มิวายดึงเธอขึ้นไปด้วย แล้วออกคำสั่ง “เอาไปอุ่นสิ ผมจะรอกิน”

            “เดี๋ยวนะ คุณใช้ฉันหรือ”

            “ตอนผมอยู่บ้านคุณ ผมยังทำให้คุณกินเลยนะอนิน คุณมาอยู่บ้านผม คุณก็ทำให้ผมกินบ้าง คำว่า ‘บุญคุณ’ น่ะรู้จักไหม”

            อนินทิตาถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะเอาคำพูดของเธอกลับมาย้อนเธอได้อย่างหน้าด้านๆ ในเมื่อตอนที่เขาอยู่บ้านเธอน่ะเพราะเธอช่วยชีวิตเขาไว้ต่างหาก

            “ตอนนั้นฉันช่วยคุณ แต่นี่คุณหลอกฉันมา ยังจะมีหน้ามาใช้งานฉันอีกหรือ”

            “ใช่” คนหน้าด้านพยักหน้า ทั้งยังทำตาใสซื่อน่าตบที่สุด

            “ตอนนั้นฉันช่วยชีวิตคุณนะ”

            “ไม่เอาน่าอนิน...” รามทำเสียงรำคาญแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ผมบอกคุณไปแล้วนี่ว่านั่นมันแผนผม” เขายอมรับออกมาหน้าตาเฉย ทั้งยังมองสาวตรงหน้าด้วยสายตาราวกับเธอคือเด็กน้อยผู้ไม่ประสา

            เจออย่างนี้เข้าไปแม้แต่นักจิตวิทยาก็คุมตัวเองไม่อยู่ เธอรู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นมาระดับสิบ จนอยากจะฆ่าเขาให้ตายคามือเลย

            “ตอนนั้นฉันคิดว่าคุณเจ็บเลยช่วยคุณ แล้วคุณล่ะ คุณ...”

            “ผมก็กำลังช่วยชีวิตคุณอยู่นี่ไง”

            “ช่วยอะไร” สาวคนเก่งขมวดคิ้ว ก็เพราะเขาไม่ใช่หรือเรื่องมันจึงมาถึงตรงนี้ได้ รวมทั้งหลอกเธอมาถึงฮ่องกงด้วย

            “ผมกำลังช่วยชีวิตคุณนะ ข้างนอกน่ะมีแต่คนอยากเอาชีวิตคุณ” ไม่มีแววล้อเล่นในดวงตาคมหวานของชายหนุ่มตรงหน้าอีกต่อไป ทำเอาอนินทิตาผงะแล้วถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

            “คุณเอาอะไรมาพูด” ต่อให้เกิดเรื่องกับทีมที่ทำคดีเดอะดาร์กแฟนทอมมากมายก็เถอะ แต่ก็เพราะเขาไม่ใช่หรือ...เพราะเขาเข้าทุกอย่างถึงต้องเป็นแบบนี้ แล้วจะบอกว่าปกป้องเธอได้อย่างไร

            อนินทิตาส่ายหน้า ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อเขาดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เธออยากลับบ้านใจจะขาด แต่กลับไม่ได้ และไม่รู้อะไรสักอย่าง

            ชั่วขณะหนึ่งของความสับสน เหตุการณ์ปล้นรถผู้ต้องหาเดอะดาร์กแฟนทอมก็ผุดขึ้นในความทรงจำ ภาพผู้ชายรูปร่างท่าทางคุ้นตาที่ก้าวเข้ามาในรถเป็นคนสุดท้ายก่อนที่เธอจะหมดสติไป มันคุ้นมาก เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นคือ...เขา!

            บรรยากาศดีๆ เมื่อครู่หายวับไปทันที แม้ว่ารามจะยังทำตัวกวนประสาทอย่างไรก็เถอะ แต่เธอกลับยิ่งรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ ‘ตัวตน’ ที่แท้จริงของเขาเลย จนป่านนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วรามเป็นคนอย่างไรกันแน่ เป็นคนบ้าๆ บอๆ เพี้ยนจนหลุดโลกอย่างที่เห็น หรือเป็นผู้ชายลึกลับที่มาจากข้างทาง หรือว่าเป็นอาชญากรที่ปล้นรถผู้ต้องหากันแน่ อย่างไหนคือความจริง...เธอสับสนไปหมดแล้ว

            “คุณก็อยู่ในวันที่ปล้นขบวนรถผู้ต้องหาใช่ไหม” อนินทิตาถามเสียงสั่น ในใจเจ็บแปลบและหวาดกลัวคำตอบเหลือเกิน

            คนถูกถามเคร่งขรึมไปทันที เขาสบตาเธอแน่วแน่ ตรึงเธอไว้ด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลทองล้ำลึกราวกับจะสะกดจิต แล้วก้าวเข้าไปหาคนที่กำลังถอยหลังหนีไปทีละน้อย ต้อนเธอไปเรื่อยๆ จนจนมุมที่ผนังกระจกวิวอ่าววิกตอเรีย

            “ใช่” หนุ่มมาดเข้มยอมรับ “นั่นผมเอง”

            “คุณ...”

            “ผมจะไม่บอกคุณมากไปกว่านี้ แต่ถ้าคุณอยากมีชีวิตอยู่ คุณก็ต้องอยู่ที่นี่”

            “ฉันไม่เข้าใจ” นักจิตวิทยาสาวส่ายหน้าแรงๆ ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่มีสติพอที่จะคิดอะไรทั้งนั้น

            “ก็ไม่ต้องเข้าใจ แค่อยู่ที่นี่ต่อไปก็พอ” รามยักไหล่ไม่แยแสแล้วเดินหนีไปทันที ทิ้งให้อนินทิตาอยู่ตามลำพังกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ

 

อนินทิตาหายตัวไปและติดต่อไม่ได้สองวันแล้ว แต่ข่าวเพิ่งจะไปถึงแม็กซ์ที่นอนเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล ส่งผลให้เจ้าหน้าที่หนุ่มเครียดจัด เขาอยากออกจากโรงพยาบาลไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่หมอไม่อนุญาต จึงยังต้องนอนแบ็บอยู่บนเตียงทั้งที่ร้อนใจแทบบ้า เขาจึงได้แต่สั่งให้ลูกน้องแกะรอยตามหาตัวนักจิตวิทยาสาวให้เร็วที่สุด

            ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากลูกทีม แม็กซ์ยังนอนอ่านรายงานความคืบหน้าคดีทั้งที่เวลานี้ควรเป็นเวลาพักผ่อนของเขา แต่เขานอนไม่หลับ จะให้หลับได้อย่างไรในเมื่อยังหาร่องรอยของอนินทิตาไม่พบ ไม่รู้ว่าเธอหายไปไหนและเป็นตายร้ายดีอย่างไร

            เสียงประตูเปิดเข้ามาพร้อมกับเสียงฝีเท้าเบากริบชนิดที่ว่าถ้าไม่ผ่านการฝึกและผ่านงานด้านอาชญากรรมมาอย่างโชกโชนคงไม่ทันได้ยิน แต่ไม่ใช่กับแม็กซ์ คนเจ็บหันไปคว้าปืนที่ลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาปลดเซฟและเล็งใส่ผู้บุกรุก พร้อมๆ กับที่กระบอกปืนของ ‘ผู้บุกรุก’ ก็หันมาทางเขาเช่นกัน

            ดวงตาคู่คมกริบหรี่ลงเล็กน้อยมองผู้บุกรุกที่เป็นชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางนิ่งขรึม ใบหน้าล้อมด้วยหนวดเคราทำให้ดูยิ่งคมเข้ม ไหนจะทักษะดีเยี่ยมนี่ก็อีก การที่เขาผ่านบรรดาลูกทีมของแม็กซ์ที่ล้วนถูกฝึกมาอย่างดีเข้ามาได้โดยที่พวกนั้นยังไม่รู้ตัวก็นับว่าไม่ธรรมดาเลย

            “คุณเป็นใคร” แม็กซ์ออกปากถาม

            ผู้บุกรุกไม่ตอบ แต่กลับหยิบเอกสารบางอย่างที่พับไว้อย่างดีออกจากกระเป๋าด้านในเสื้อแจ็กเกต แล้วส่งให้คนเจ็บที่อยู่บนเตียง

            แม้จะยังสงสัย แต่แม็กซ์ก็หยิบเอกสารนั้นมาเปิดดูแล้วกวาดสายตาอ่านข้อความในนั้นอย่างรวดเร็ว มันคือจดหมายแนะนำจากอนินทิตา ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยบอกเขาว่ามีคนช่วยงานคนหนึ่งชื่อ สเปนเซอร์ ไวลด์ ทักษะใช้ได้ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน เขาค่อนข้างเชื่อว่าเอกสารนี้เป็นของจริง เพราะอนินทิตาเคยส่งให้เขาเช่นกัน

            “คุณรู้ไหมว่าอนินอยู่ที่ไหน” แม็กซ์ละสายตาจากเอกสารแล้วเงยหน้าขึ้นพลางพับเอกสารนั้นส่งคืนให้อีกฝ่าย

            “รู้” ผู้บุกรุกตอบ

            “เธอกำลังทำอะไรอยู่”

            “ผมบอกไม่ได้ จนกว่าเธอจะติดต่อมาว่าอยากให้ทำอะไรหรือให้บอกคุณแค่ไหน”

            คำตอบกำกวมของผู้บุกรุกไม่ทำให้แม็กซ์ไว้ใจเพิ่มขึ้นเลยสักนิด แต่กลับยิ่งทำให้ระแวงสงสัยมากขึ้นอีกเท่าตัว แต่เมื่อนึกถึงเอกสารที่ได้รับจึงถามต่อ “ในเอกสารนั่น...คือคุณใช่ไหม”

            ผู้บุกรุกพยักหน้าแทนคำตอบ

            “ผมเชื่อว่าเอกสารจริงแน่ แต่ผมจะไม่ไว้ใจคุณโดยไม่ตรวจสอบประวัติ” พูดพลางส่ายหน้าเล็กน้อย จ้องมองชายตรงหน้าไม่กะพริบตา

            ผู้บุกรุกยังคงยืนนิ่งไร้ปฏิกิริยา เขาเฉยจนคนมองเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

            “คุณเคยทำงานกับเธอมาก่อนหรือ” คนเจ็บเป็นฝ่ายถาม รอจนผู้บุกรุกพยักหน้าตอบแล้วจึงถามต่อไปว่า “คุณเจอเธอที่ไหน”

            “ผมไม่ได้เจอเธอ” เป็นครั้งแรกที่หนุ่มมาดขรึมยอมเปิดปากพูด เสียงทุ้มกังวานแฝงไปด้วยความเหี้ยมเกรียมและเด็ดขาดทำให้แม็กซ์สนใจเล็กน้อย

            “แล้ว...” แม็กซ์เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

            “เธอต่างหากที่เจอผม”

            “ที่ไหนล่ะ”

            “กลางเนวาดา ผมกำลังจะตาย แต่เธอไปเจอผมเลยแบกผมขึ้นหลังแล้วพาไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นผมก็ติดตามเธอตลอด เพิ่งจะแยกกับเธอตอนที่เธอตามสืบเรื่องผู้ต้องสงสัยเดอะดาร์กแฟนทอม แต่ไม่ใช่...และกลับมาทำงานที่นี่นี่แหละ”

            ผู้บุกรุกให้ข้อมูลละเอียดเชิงลึกตรงตามกับที่อนินทิตาเคยบอกทุกอย่าง ทำให้แม็กซ์คลายข้อกังขาลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ประมาทเสียทีเดียว

            “ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง”

            “คิดว่าผมอยากทำงานแบบนี้อีกอย่างนั้นหรือ” ผู้บุกรุกเลิกคิ้ว ใบหน้าคมคายยังฉายแววเบื่อรำคาญ

            เจ้าหน้าที่หนุ่มมองปฏิกิริยาของชายตรงหน้าอย่างพิจารณา ซึ่งก็ตรงอย่างที่อนินทิตาเคยบอกว่า ‘เพื่อนเก่า’ ของอนินทิตาคนนี้ฝีมือดี แต่พอเสร็จงานก็หายตัวไปราวกับไร้ตัวตนเพราะเหนื่อยกับเรื่องแบบนี้เต็มทีแล้ว

            “จะให้ผมเชื่อคุณโดยไม่ตรวจสอบประวัติและทดสอบทักษะกับสมรรถภาพคุณก่อนคงเป็นไปไม่ได้” แม็กซ์ส่ายหน้าจนใจ “และคงให้คุณเข้าถึงข้อมูลระดับสูงไม่ได้”

            “ผมไม่สนใจข้อมูลอะไรนั่นหรอก ผมแค่ติดต่อคุณแทนอนินก็เท่านั้น”

            “เธอกำลังทำอะไรกันแน่”

            “ผมจะไม่บอกนอกเหนือจากที่เธอให้บอก” สเปนเซอร์ยืนกรานหนักแน่น

            เจ้าหน้าที่หนุ่มพยักหน้า แววตากร้าวของสเปนเซอร์ทำให้แม็กซ์พอใจไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ไว้ใจเสียทีเดียว “ก็ดี...ผมจะตรวจสอบประวัติคุณ ระหว่างนี้ก็หวังว่าคุณจะเอาข่าวอนินมาให้ผมอย่างที่พูดแล้วกัน”

            สเปนเซอร์พยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกไปทันที แต่แม็กซ์รั้งไว้เสียก่อน

            “เดี๋ยว”

            หนุ่มมาดขรึมชะงัก แต่ไม่หันกลับไปหา

            “ผมจะจับตาดูคุณ”

            สเปนเซอร์หัวเราะลงคอแล้วยักไหล่เบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่แยแส โดยมีสายตาของแม็กซ์เฝ้ามองจนเขาเดินไปลับสายตา

            เพราะรู้ว่าต้องถูกคนของแม็กซ์จับตามองแน่ๆ สเปนเซอร์จึงยังไม่ติดต่อรามทันที รอจนกระทั่งกลับมายังที่พัก แล้วเปิดคอมพิวเตอร์นั่งเล่นเกมนักฆ่าของรามแทน

            หนุ่มมาดเข้มยิ้มในความมืด พลางคิดในใจว่าต่อให้ใครก็ตามที่กำลังสอดแนมอยู่จะไม่มีวันรู้แน่ว่าเขากำลังทำอะไร ถึงจับตามองเขาจริงก็จะเห็นแค่ว่าเขากำลังเล่นเกมเท่านั้น...ใครจะทันสังเกตว่าเกมออนไลน์นี่ละที่เป็นวิธีการส่งข้อความถึงราม!

 

เสียงเกมออนไลน์แนวต่อสู้กันที่ดังออกมาจากแลปทอปของผู้ชายเพี้ยนเต็มขั้นทำเอาอนินทิตาอยากจะกลั้นใจตายเสียให้ได้ เธอตวัดสายตามองค้อนเขา แต่รามจะสนใจหรือก็ไม่ ดวงตาคู่คมหวานจ้องอยู่แต่ที่หน้าจอ จนเธออยากจะขว้างหมอนที่กำลังกอดใส่หน้าเขาเสียจริง

            หลังจากทะเลาะกันเมื่อวันก่อน อนินทิตาก็ทำตัวเหินห่างจากรามไปทันที แม้จะอยู่ร่วมบ้าน กินข้าวด้วยกันทุกมื้อ แต่ก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก หลังจากจบมื้ออาหารรามก็มักจะหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน ส่วนเธอก็เริ่มร้อนรนเพราะห่วงงาน ห่วงเพื่อน และเริ่มกลัวใจตัวเองเสียแล้วที่ทั้งวันเอาแต่คิดแต่เรื่องของรามจนไม่เป็นอันทำอะไร

            แต่คนอย่างรามนี่น่ะหรือจะยอมให้เธอคลาดสายตาได้นาน พอถึงเช้าวันใหม่เขาก็ลากเธอไปทุกที่ที่เขาไป ทั้งที่ก็อยู่ในบ้านแท้ๆ ดีที่ไม่ลากเธอเข้าห้องน้ำไปด้วย คิดแล้วก็ยิ่งแค้น หญิงสาวตวัดสายตามองค้อน แต่ก็เหมือนเดิม รามเอาแต่เล่นเกม ท่าทางสนใจมากจนเธอเริ่มสงสัยว่านี่เขาอายุเท่าไรกันแน่

            “ฉันหิว” เชลยสาวทำหน้ามุ่ย มองผู้คุมด้วยสายตาอ้อนวอนเล็กน้อย แต่พอรามไม่สน เธอก็ทำตาพอง แล้วร้องออกมาอย่างสุดกลั้น “ฉันจะออกไปข้างนอก!”

            “กล้าออกไปก็ลองดูสิ” น้ำเสียงกวนประสาทเต็มไปด้วยความท้าทาย โดยที่คนพูดยังเอาแต่สนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะร้องออกมาอย่างสะใจเมื่อตีบอสในเกมได้หนึ่งตัว “เยส!”

เสียงร้องของเขาทำเอาอนินทิตาสะดุ้ง “อะไรของคุณ”

            “เข้าถึงหัวหน้าใหญ่ได้คนนึงน่ะสิ เพิ่งเชือดสดไปเมื่อกี้เอง”

            “อีตาบ้า” อนินทิตาปวดหัวจนนึกอยากนอนแล้วหลับยาวไปเลย เอาเธอไปทิ้งทะเลเลยก็ได้ ทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับเขา คนอะไรทำให้เธอทั้งหวั่นไหวและเกลียดได้ในเวลาเดียวกัน

            “มาเล่นด้วยกันไหม”

            “ไม่...” นักจิตวิทยาสาวส่ายหน้า แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าบางทีถ้าเธออยากทำความรู้จัก ‘ตัวตน’ ที่แท้จริงของเขาก็น่าจะเริ่มจากตอนนี้ไม่ใช่หรือ

            “ไม่เล่นหรือ...สนุกนะ” รามตะล่อมเหมือนกำลังกล่อมเด็ก

            “ก็ได้” รับคำพลางเชิดหน้าหยิ่งๆ

            รามละสายตาจากเกมแวบหนึ่ง ตาคมกริบหลังแว่นตากรอบสีชมพูมองสาวแสบแล้วก็ลอบยิ้มสมใจ แต่พอเธอหันมา เขาก็เบนสายตากลับมาที่หน้าแลปทอปได้รวดเร็วและแนบเนียนอย่างที่อนินทิตาจะไม่มีวันสังเกตเห็น

            “คุณเคยเล่นเกมออนไลน์มาก่อนไหม”

            สาวคนเก่งส่ายหน้าทันที เด็กที่วันๆ เอาแต่เรียนจนเรียนจบก่อนเวลาแล้วมาทำงานงกๆ อย่างเธอนี่น่ะหรือจะเคยเล่นเกม ไม่เลย...ถ้ามีเวลาว่างเธอก็มักจะกิน นอน หรือไม่ก็อ่านหนังสือมากกว่า

            “มานั่งตรงนี้สิ” รามบอกพลางกวักมือเรียก

             ประกายเจ้าเล่ห์ในดวงตาคมหวานทำเอาอนินทิตาเริ่มไม่ไว้ใจ แต่ช่างเถอะ ในเมื่ออยากรู้ก็ต้องลองเสี่ยง หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อยแล้วลากเก้าอี้ไปนั่งข้างเขา และมองไปยังหน้าจอที่เป็นภาพทิวทัศน์ในป่าเขียวขจีแต่สวยงามราวกับภาพสวรรค์

            “นั่นอะไร”

            “กำลังจะเข้าด่านเซียน” รามตอบยิ้มๆ สีหน้าภูมิใจมากถึงมากที่สุด

อนินทิตาถึงกับอ้าปากค้าง แค่เริ่มต้นมาเธอก็งงแล้ว ‘ด่านเซียน’ คืออะไร

            “นี่เป็นเกมออนไลน์นักฆ่าย้อนยุคที่มีเวทมนตร์สามารถเข้าสิงอัศวินจากทางยุโรปหรือจอมยุทธ์จากทางตะวันออกคนไหนก็ได้”

            “อะไรนะ!”

            “อย่าเพิ่งขัดสิ” คนสวมบทอาจารย์สอนเล่นเกมนิ่วหน้าทำตาดุใส่ “วิธีเล่นก็ไม่ยาก พอได้ภารกิจมาเราก็เริ่มไปฝึกวิชาก่อน เก็บไอเท็มอาวุธมาให้ได้ แต่ก่อนเก็บไอเท็มดูด้วยนะว่าได้ภารกิจที่ไหน ไม่ใช่ได้ภารกิจเป็นอัศวินเทมปลาร์ แต่ไปเลือกไอเท็มอาวุธเป็นกระบี่นี่ก็ไม่ได้แล้ว”

            “แล้วเก็บยังไง”

            “ก็ต้องต่อสู้”

            “สู้กับอะไรล่ะ” อนินทิตาทำหน้างง มองหน้าจอก็เห็นแค่จอมยุทธ์หนุ่มหล่อหน้าใสในชุดขาว (ซึ่งต่างจากหน้าตาคนเล่นเหลือเกิน) กำลังยืนโง่ๆ อยู่คนเดียวบนยอดไม้ แล้วจะให้สู้กับอะไร แล้วไหนคือไอเท็มอาวุธที่ว่า

            “รอดูสิ” เจ้าพ่อเกมบอกยิ้มๆ พยักพเยิดให้ลูกศิษย์คนสวยขยับเข้าไปใกล้หน้าจออีกนิด จนกระทั่งมังกรตัวใหญ่โผล่ออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า

            “ว้าว” อดีตเด็กคงแก่เรียนถึงกับผงะ ยอมรับเลยว่าเกมนี้ทำกราฟิกออกมาได้ดีมาก ภาพสวยเสียจนเหมือนจริง ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกราวกับหลุดไปอยู่ในโลกสมมุตินั้นก็ไม่ปาน

            รามมองท่าทางสนอกสนใจของสาวตรงหน้าแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทันทีเมื่อคิดเรื่องร้ายๆ บางอย่างได้ เขาตวัดวงแขนโอบรอบเอวบางแล้วดึงสาวเจ้าขึ้นมานั่งซ้อนตักอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกใจของอนินทิตา

            “นี่คุณ!” สาวคนเก่งทำตาโต ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ เขาจะเล่นแบบนี้

            “อยู่เฉยๆ สิ ผู้หญิงอะไรตัวหนักเป็นบ้า ทั้งที่ก็ไม่น่ามีอะไรให้หนักเสียหน่อย” พูดพลางหลุบตามองส่วนที่ควรจะอึ๋มแต่กลับแบนราบเป็นหน้ากระดานของหญิงสาว

            “ลามก” อนินทิตาลุกพรวด แต่รามกอดเอวเล็กไว้บังคับให้นั่งลงตามเดิม

            “น่ามองที่ไหนกัน”

            “แต่...”

            “นั่งอย่างนี้แหละ จะได้สอนง่ายขึ้น”

            “ไม่อยากเล่นแล้ว” ความใกล้ชิดเกินพอดีนี้ทำเอาอนินทิตาสติแตกหนักกว่าเดิม ไหนจะนัยน์ตาทอประกายแพรวพราวของเขาก็อีก รามอาจทำอะไรไปโดยไม่คิด แต่ทุกอย่างส่งผลกับจังหวะการเต้นของหัวใจเธอเต็มๆ

            “นั่งตรงนี้มันสอนง่ายกว่า” พูดพลางจับมือเธอวางบนคีย์บอร์ด ให้ปลายนิ้วเรียวของหญิงสาวแตะลงบนตัวอักษรที่ใช้กำกับทิศทางการเคลื่อนที่และการออกอาวุธในเกม ส่วนอีกมือก็จับให้วางลงบนเมาส์ โดยมีมือหนากร้านของรามกุมมือเธอไว้ทั้งสองมือ

            “จะเดินไปข้างหน้าก็กดตรงนี้” พูดแล้วก็กดปลายนิ้วกำกับ ส่วนอีกมือก็ขยับเมาส์ให้ตัวละครในเกมหันไปยังทิศทางที่ต้องการ

            คนสอนก็ยังคงสอนต่อไปเรื่อยๆ ท่าทางของรามชำนาญมากและใส่ใจกับเกมตรงหน้า ไม่มีวอกแวกเลยสักนิด ผิดกับอนินทิตาที่นั่งตัวสั่น รู้สึกร้อนวาบไปทั้งใบหน้า สองแก้มแดงก่ำ หัวใจเต้นเป็นจังหวะเร็วขึ้นอย่างที่เธอไม่อาจควบคุมได้อีกแล้ว

            “อนิน สนใจหน่อย ไหนว่าอยากเล่นเกม” รามดุเสียงเข้มแล้วปล่อยมือสาวในอ้อมแขน

            เสียงของเขาทำเอาอนินทิตาสะดุ้งเล็กน้อย ประหม่าจนไม่รู้จะมองหน้าเขาอย่างไร จึงได้แต่เชิดหน้าแล้วใช้น้ำเสียงเหวี่ยงวีนเข้าข่ม “ฉันอยากลองเล่นเอง”

            “ก็เล่นไปสิ” รามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีประดักประเดิดของหญิงสาว

            “คุณลุกไปก่อนสิ”

            “ไม่ละ” คนเจ้าเล่ห์ส่ายหน้าแบบไม่ต้องคิด “ผมให้คุณเล่นตัวละครของผมเลยนะ ถ้าไม่คอยคุม ผมก็ตายสิ ขี้เกียจมาเก็บเลเวลใหม่”

            “โอ๊ย!” สาวเจ้าร้องเสียงดังแล้วลุกพรวดขึ้นทันที “ไม่อยากเล่นแล้ว เกมอะไรเล่นก็ยาก”

            “นี่มันพื้นฐานเลยนะ”
            “ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย” เธอมองสองมือของตัวเองแล้วก็ถอนหายใจ

            “ตอนเด็กไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลยละสิ” คนที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนยิ้มขันๆ

            นักจิตวิทยาสาวขมวดคิ้วแล้วจ้องรามเขม็ง ปกติเคยแต่สังเกตคนอื่น พอเป็นฝ่ายถูกสังเกตทั้งยังตรงกับที่เขาพูดทุกอย่างแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เขารู้

            “คุณน่ะ...แค่ต้องทำเรื่องที่สองมือไม่สัมพันธ์กัน ต้องแยกประสาทมือทั้งสองข้างทำในลักษณะตรงข้าม คุณก็งงแล้ว”

            “ก็ฉัน...” อดีตคนคงแก่เรียนเถียงไม่ออก เพราะจริงอย่างที่เขาพูดทุกอย่าง ตอนเด็กๆ เธอเอาแต่เรียน เล่นกีฬาบ้างแต่ก็น้อยมาก เรียกว่าทำทุกอย่างซ้ำๆ กันทุกวัน กระทั่งเรียนจบแล้วทำงานนี่ละ แต่มันก็สายไปแล้ว

            “ไว้คราวหน้าจะสอนอีก”

            “ไม่เอาแล้ว” สาวคนเก่งสะบัดหน้าพรืด ถ้าให้เขาสอนเล่นเกมแบบเมื่อครู่...ไม่เอาดีกว่า เธอจะหาทางอื่นตีสนิทเขาใหม่ละกัน

            “ทำไมถอดใจง่ายจังเลยล่ะ” รามยิ้มเจ้าเล่ห์ ตาคมกริบจ้องเธอราวกับ ‘รู้ทัน’ ก็ไม่ปาน

            คนถูกจับได้ทำหน้าปั้นยาก เธอจะบอกเขาได้อย่างไรล่ะว่าจริงๆ เธอก็ไม่อยากเล่นเกมพวกนี้หรอก แค่อยากสังเกตและตีสนิทเขาก็เท่านั้นเอง

            “หรือว่า...” หนุ่มมาดเข้มลุกขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า ใช้สายตาตรึงเธอไว้แล้วไล่ต้อนร่างเล็กไปเรื่อยๆ “คุณแค่อยากตีสนิทผม”

            สาวคนเก่งถึงกับไปไม่เป็น ทำงานมาก็นาน แต่เธอไม่เคยเพลี่ยงพล้ำเลยสักครั้งจนกระทั่งมาเจอเขา

            รามก้าวรุกคืบมาอย่างช้าๆ ราวกับจะแกล้งให้เธอประสาทเสีย แม้เขาจะไม่มีท่าทีคุกคาม แต่ตาพราวระยับนี่สิที่ทำเอาหัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ และตอนนี้เธอก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย

            “ถ้าอยากรู้จักผมก็บอกมาดีๆ สิ”

            “ทำอย่างกับถามแล้วคุณเคยตอบฉันดีๆ”

            “ผมเคยพูดหยาบคายหรือ”

            “ฉันหมายถึงตอบตรงประเด็น!” เธอดุเสียงฉิวแล้วเงยหน้าขึ้น และรามเองก็ก้มลงมาพอดี ทั้งยังใกล้เสียจนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา

            “ผมจะตอบก็ได้”

            คำพูดของเขาทำเอาอนินทิตาทำตาโต ไม่อยากเชื่อว่าเขานี่หรือจะบอกเธอดีๆ จนกระทั่งได้ยินประโยคถัดมา

            “แต่มันก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนนะ”

            รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนหมาจิ้งจอกของเขาทำเอาอนินทิตานึกขยาดขึ้นมาทันที แม้จะยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เธอก็มั่นใจว่ารู้จักรามในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็เรื่องความกะล่อนเจ้าเล่ห์เอาแต่ได้จนแทบไม่มีความดีหลงเหลืออยู่ในตัวเลยนี่ละ

            “โอเค ฉันไม่อยากถามแล้ว”

            “แน่นะ” รามยังพยายามตะล่อม รอยยิ้มของเขาไม่ต่างจากรอยยิ้มของซาตานที่มาเสนอสิ่งที่เหยื่อต้องการแลกกับการขายวิญญาณให้

            แต่อนินทิตายังไม่คิดขายวิญญาณตัวเองตอนนี้

            สาวคนเก่งฉีกยิ้มหวานตอบ แต่พอรามก้มลงมาใกล้ๆ เธอก็ใช้สองมือผลักใบหน้าคมคายออกไปอย่างแรงจนเขาผงะถอยหลัง ทำลายมนตร์ขลังเมื่อครู่ได้หมดจดไม่มีเหลือ

            “อนิน!”

            “คุณเริ่มก่อนเองนะ” พอตั้งเกมได้ นักจิตวิทยาสาวก็ยิ้มอย่างผู้ชนะ แล้วปรายตามองเขาด้วยสายตาเยาะเย้ย “บังเอิญว่าฉันก็แค่ ‘ทดสอบ’ คุณเล่นๆ เหมือนกัน”

            “โกหกน่า” รามทำเสียงรำคาญ

            อนินทิตาไม่ยอม เป็นความจริงที่เธอโกหก เธอตั้งใจจะตีสนิทเขาจริงๆ และหวั่นไหวจริงๆ แต่แล้วอย่างไร ไม่รับเสียอย่าง และเธอก็มั่นใจว่า ‘แสดง’ ได้ดีในระดับหนึ่ง อาจไม่ดีเท่าเขา แต่ตอนที่เขากำลังโกรธ...อาจทำให้เขามองข้ามไปก็ได้

            หนุ่มสาวยืนจ้องกันอยู่อย่างนั้น และอาจจะตีกันไปแล้วถ้าไม่มีเสียงมาขัดจังหวะเสียก่อน

            “อาหารเย็นพร้อมแล้วครับคุณราม” พอลนั่นเองที่เข้ามาขัดทั้งยังยืนกลั้นยิ้มอยู่ที่มุมห้อง

            อนินทิตาได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมบอดีการ์ดถึงมีท่าทีแบบนี้ ปกติจะมีแต่ขรึมๆ ไม่ใช่หรือ แต่ทั้งพอลและฆวนฟรานกลับไม่ใช่เลย พวกเขาดู ‘ซ่อนเร้น’ อะไรบางอย่างไว้...บางอย่างที่ต้องเกี่ยวกับสถานะที่แท้จริงของรามแน่ๆ เพราะจะว่าไปตั้งแต่มาถึงเพนต์เฮาส์แห่งนี้ ทั้งพอลและฆวนฟรานดูรู้จักทุกซอกทุกมุมของที่นี่ดีกว่ารามเสียอีก ต่อให้คำพูดจะฟังให้เกียรติสมกับที่เป็นเจ้านายลูกน้อง ทว่าน้ำเสียงและการปฏิบัติตัวบางครั้งก็เหมือนว่าเป็น ‘เพื่อน’ กันมากกว่า

            พวกเขาเป็นใครกันแน่...อนินทิตาหันไปมองรามที่พยักหน้าขรึมๆ แล้วออกจากระบบออนไลน์ จากนั้นจึงเดินนำเธอออกไปจากห้อง แต่ตอนที่เดินผ่านพอลนี่สิ ทั้งคู่ส่งสายตาเป็นประกายราวกับว่ามีบางอย่างที่ทั้งสอง ‘รู้กัน’

            งานนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว...

            นักจิตวิทยาสาวลอบยิ้ม ถ้าเข้าทางรามไม่ได้...ก็เข้าทางสองบอดีการ์ดนี่แล้วกัน!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น