6

เขาเป็นใครกันแน่


 

“คุณไม่ชอบแมวหรือ...” เสียงเข้มดังขึ้นจากทางด้านหลัง เคล้าด้วยเสียงแมวสี่ตัวที่เมลิสสาเอามาฝากไว้แล้วก็หายตัวไปเข้าวันที่สามแล้ว แต่กลับโทร. มาเลื่อนว่างานยังติดพัน ขอฝากแมวต่ออีกสามวันแล้วจะกลับมารับไป

            อนินทิตาละสายตาจากหน้าจอแลปทอปแล้วหันไปหาคนถาม และก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้เมื่อเห็นว่ารามกำลังถูกแมวสี่ตัวของเมลิสสารุมราวกับเป็นเพื่อนเล่น

            “ก็...ไม่เชิงไม่ชอบ แค่ฝังใจนิดหน่อย” ตอบแล้วหันกลับมาบันทึกแบบประเมินสุขภาพจิตของผู้ต้องหารายอื่นๆ ในคดีเดอะดาร์กแฟนทอม วันนี้เป็นวันหยุดก็จริง แต่เธอต้องส่งรายงานให้มาเรียผู้เป็นหัวหน้าและจิตแพทย์ ที่กำลังจะเข้าไปคุยกับสตีเวนและพรรคพวก

            “ยังไง” รามถามต่อ

            อนินทิตาบันทึกงาน ปิดแลปทอป แล้วหันไปหาเขาพลางลุกขึ้นนั่ง “ก็...ตอนเด็กๆ แม่ชอบเลี้ยงแมว เมก็ชอบแมว แต่ฉันเคยโดนมันข่วนเลือดไหลเลย ก็เลยไม่ชอบน่ะ”

            “ตอนนั้นคุณอายุเท่าไหร่ล่ะ”

            “สามขวบเอง...จำไม่ได้หรอกนะ แต่เมบอก แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนแมวเป็นปีศาจเลยนะ ตัวดำๆ มันๆ ตาสีเหลืองโปน แล้วก็แยกเขี้ยวขู่ฉัน” พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย ถึงตอนนี้เธอจะอยู่ร่วมบ้านกับแมวได้ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่เข้าใกล้เด็ดขาด

            “แบบนี้ถือว่าเป็น PTSD หรือเปล่า” เขาถามยิ้มๆ แต่สาวเจ้าปรายตาค้อนขวับ

            “ลามปามแล้วไง” นักจิตวิทยาสาวดุไม่จริงจังนัก แล้วลุกเก็บแลปทอปไว้บนชั้นหนังสือ ให้สูงพอที่จะพ้นมือแมว

            “วันหยุดยังต้องทำงานอีกหรือ”

            “คุณก็เห็นว่างานฉันเยอะแค่ไหน” อยู่ร่วมบ้านกันมาสิบวัน รามกลายเป็นพ่อบ้านของเธอไปแล้วเพราะต้องทำทุกอย่าง ส่วนเธอเอาแต่ทำงานอย่างเดียว แค่นี้ยังจะส่งไม่ทัน

            “อาการหนักมากหรือ” รามยังถามน้ำเสียงเรียบเรื่อย เขาเอาแต่เล่นกับแมว ใช้ลูกบอลสีชมพูหลอกล่อแพนดอร่า แล้วกลับเอาไปซ่อนไว้ด้านหลังจนแพนดอร่าโถมตัวใส่แล้วกระโดดไปอยู่บนหัวชายหนุ่ม

            “ก็ไม่เชิง” เธอตอบอย่างระมัดระวัง แม้ว่าช่วงหลังรามจะทำตัวดีเหมือนผู้ชายปกติทั่วไป ไม่มีคนร้ายตามมาดักตีหัวที่หน้าบ้านทำให้ใจเธอเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ บ้างเวลาอยู่ใกล้กัน แต่อนินทิตาก็เตือนตัวเองเสมอว่าไม่ควรไว้ใจราม

            “ก็เห็นช่วงหลังคุณดูเครียดๆ”

            “เขาเกือบถูกฆ่าน่ะ เลยเข้าถึงยากนิดหน่อย”

            “น่าสงสารนะ” ชายหนุ่มพูดเบาๆ สีหน้าแสดงถึงความห่วงใย ซึ่งอนินทิตาเกือบจะเชื่อแล้ว ถ้าไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์ และสายตาเป็นประกายวับวาวของเขา

            “ยิ้มอะไร” ดวงตากลมโตหรี่แคบลงมองเขาด้วยสายตาจับผิด

            “คุณนั่นแหละ หน้านิ่วเชียว เครียดมากทำไมไม่ออกไปเดินเล่นล่ะ”

            “สภาพนี้เนี่ยนะ” ถึงจะเริ่มเดินได้คล่องกว่าวันแรกๆ แล้วก็เถอะ แต่รอยฟกช้ำยังเป็นสีม่วงอยู่เลย แผลก็ยังไม่หายดี จะให้เที่ยวออกไปเดินท่อมๆ ข้างนอกได้อย่างไร มีหวังได้ถูกรถชนซ้ำอีก อนาคตได้พิการจริงๆ ก็คราวนี้นี่เอง

            สีหน้าบูดๆ ของเธอทำเอาชายหนุ่มหัวเราะ รามสกัดแมวทั้งสี่ออกอย่างง่ายดาย แล้วเดินมาหาสาวเจ้าของบ้าน “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราจะออกไปเดินเล่นกัน”

            “เราหรือ” อนินทิตาขมวดคิ้ว

            “ใช่ เราสองคนกับแมวสี่ตัว”

            “ไม่มีทาง” เมื่อวานถูกปิกัสโซ่ตะกุยขาตรงที่มีรอยช้ำจนเลือดซิบ ไม่เตะติดฝาก็บุญของมันแล้ว เธอไม่ขอญาติดีกับหลานคนละเผ่าพันธุ์ภายในวันสองวันนี้แน่

            “เถอะน่า”

            “ไม่!”

            “งั้นผมเปลี่ยนให้” ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มก้มลงทำท่าจะช้อนร่างบอบบางขึ้นอุ้มจริงๆ จนอนินทิตาสะดุ้งโหยง แต่เพราะขาข้างหนึ่งเจ็บ สุดท้ายก็ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า

            นักจิตวิทยาสาวสวยคนเก่งถึงกับสิ้นท่า สภาพของเธอทำเอารามหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ แล้วก้าวไปช่วยประคองเธอให้ลุกยืนอย่างเก้ๆ กังๆ

            “ตลกมากใช่ไหม” อนินทิตาถามเสียงฉิวแล้วผลักอกชายหนุ่มเต็มแรง ลืมว่านี่มันเป็นวิธีแบบเด็กๆ แต่ทำอย่างไรได้ ก็เขาแกล้งเธอก่อน

            จากที่ตั้งใจเล่นงานเขาเต็มที่จึงโถมตัวลงไปสุดแรง แต่กลับไม่ได้ผลอย่างที่คิด เพราะนอกจากรามจะไม่ขยับแล้ว เธอกลับเซไปชนเขาเสียอย่างนั้น เธอคงจะล้มลงไปอีกรอบ ถ้ารามไม่คว้าเอวเธอไว้เสียก่อน

            “เพิ่งเห็นคุณทำตัวเป็นเด็กๆ ก็วันนี้เอง”

เสียงเข้มดังเหนือศีรษะ ความใกล้ชิดแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาอนินทิตาทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว จากที่ตั้งใจเล่นงานเขาแท้ๆ แต่กลับเป็นเธอที่ไปไม่เป็นเสียเอง

            กลิ่นกายคุ้นเคยทำเอาสาวคนเก่งยืนทื่อเป็นหุ่น ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง หัวใจยังไม่กลับมาเป็นจังหวะปกติเสียที จนเธอกลัวเขาจะรู้ว่าเธอกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งหมดนี่...โทษฟีโรโมนแบบผู้ชายของเขาได้ไหม ทำไมมันฟุ้งอย่างนี้ เข้าใกล้กันทีไรเหมือนมีแรงดึงดูดจนเธอหน้ามืดตาลายจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง

            “อนิน...”

            เสียงเรียกของเขาดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ฟังเหมือนมาจากที่ไกลๆ มากกว่า ทว่าเธอยังเบลอๆ ยังไม่รู้ตัว จนกระทั่งสัมผัสจากมือหนากร้านค่อยๆ ลูบไล้แผ่นหลังเล็กบอบบางเบาๆ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าชอร์ต

            “แม่เจ้า!” เธอเผลออุทานอย่างลืมตัว แล้วได้สติในที่สุด

            “เป็นอะไรไหม”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์และดวงตาแพรวพราวของเขาทำเอาสติที่หลุดลอยไปกลับคืนมาในที่สุด อนินทิตาหน้าร้อนวาบ...เขาทำเหมือนรู้ทันเธออีกแล้ว!

            “เปล่าๆ ไม่เป็นไร” ใบหน้าสวยหวานจืดเจื่อนลงเรื่อยๆ แล้วโกหกหน้าตาย “แค่ตกใจคิดว่าจะล้มอีก”

            “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป เราจะออกไปข้างนอกกัน”

            “แมวอีกสี่ตัวเนี่ยนะ มันจะเยอะไปไหม”

            “พวกมันน่ารักออก คุณอย่าอคติเลยน่าอนิน เปิดใจหน่อย ไม่แน่คุณอาจจะหายกลัวแล้วก็ชอบมันก็ได้นะ”

            “คุณก็ทำเหมือนเป็นพ่อพวกมันขึ้นทุกวัน” เธอแสร้งทำบ่นไปเรื่อย แล้วหันหลังจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่เขาบอก

            “นั่นสิ ไหนๆ ผมก็เป็นพ่อมันแล้ว ก็เปลี่ยนจากน้าอนินมาเป็นแม่อนินดีกว่า เรา...มาเล่นพ่อแม่ลูกกันไหม”

            สองเท้าที่กำลังก้าวออกไปชะงัก หัวใจที่เพิ่งกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติวูบไหวอีกจนได้ เธอรู้สึกว่าสองแก้มร้อนวาบ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนอย่างรามจะมีอิทธิพลกับหัวใจอันแสนเฉื่อยชาของเธอได้ภายในเวลาแค่สิบวัน

            มันบ้ามาก...

            อนินทิตาไม่รู้ว่าควรโทษอะไรดี ระหว่างความใกล้ชิดเกินพอดีนี้ หรือโทษความเหงาที่อยู่คนเดียวมานาน ทำตัวเป็นผู้วินิจฉัยคนอื่นมานาน พอเจอคนแปลกๆ ที่รู้ทันเธอทุกอย่างถึงได้ไปไม่เป็น และสุดท้ายก็อ่อนไหวเสียยิ่งกว่ากิ่งไผ่ลู่ลม ทั้งที่รู้ดีว่าคนอย่างรามน่ากลัวเกินไป แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้

            เธอใช้ความเงียบเป็นคำตอบ ไม่ยอมหันไปมองเขา แล้วรีบตรงไปยังห้องน้ำชั้นล่างและเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่สนใจตาคมกล้าที่จ้องมองเธอตลอดเวลา

 

            แผนที่ตั้งใจพาลูกๆ ทั้งสี่ออกไปเดินเล่นพังไม่เป็นท่า เหตุเพราะปกติแล้วเมลิสสาเลี้ยงแมวไว้แต่ในบ้านตลอด พาไปไหนมาไหนด้วยก็จริง แต่ใช่ว่าแมวหยิ่งสุดติสท์ทั้งสี่ตัวจะยอมให้จูงอย่างว่าง่ายเสียที่ไหน มันไม่ยอมเดินด้วยซ้ำ ใจคอจะให้อุ้มตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน จากที่จะเดินเล่นก็กลายเป็นปล่อยเล่นที่สนามหญ้าเล็กๆ หน้าทาวน์เฮาส์แทน

            “ฉันบอกแล้วว่าแมวเมน่ะแมวประหลาด” อนินทิตานั่งเท้าคางอยู่ตรงบันไดหน้าหน้าทาวน์เฮาส์ มองรามที่อุทิศตัวเป็นพ่อที่ดี ปล่อยให้พวกมันรุมตามสบายเหมือนตอนอยู่ในบ้าน จนตอนนี้เธอก็ยังมองไม่ออกว่าพามาข้างนอกต่างจากอยู่ข้างในตรงไหน

            “ธรรมชาติของมันมากกว่า”

            “ทำไมคุณชอบแมวขนาดนี้เนี่ย” ไม่ใช่แค่แมวตัวเป็นๆ จิกข่วนได้ แต่รวมถึงตุ๊กตาน้องเฮลโลคิตตี้ที่เขารักหนารักหนานั่นก็แมวไม่ใช่หรือ

            “ที่ถามนี่พยายามจะรักษาผมอีกหรือเปล่า” รามหันมายิ้มมุมปาก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังมีเจ้าแพนดอร่าอยู่บนหัวเหมือนเดิม ท่าทางมันคงจะชอบหัวรังนกของรามพอสมควร ถึงได้เอาแต่ปีนขึ้นไปอยู่บนนั้น ดีที่มันยังเป็นแมวเด็กและตัวเล็กมาก ถ้าอ้วนๆ อย่างปิกัสโซ่ ป่านนี้รามคงคอหักไปแล้ว

            “ใช่เสียที่ไหนเล่า” นักจิตวิทยาสาวทำเสียงเนือยๆ คล้ายไม่ใส่ใจ แต่ก็ไม่ยอมสบตาเขา

            “แล้วถามทำไม”

            “แค่สงสัย...ในฐานะเพื่อน”

            “ไม่ยักรู้ว่าคุณนับผมเป็นเพื่อนแล้ว” หนุ่มมาดเข้มยังตอบยียวนแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

            “โอ๊ย!” อนินทิตาโวยอย่างหมดความอดทน นี่ถ้าเขาแกล้งให้เธออารมณ์เสียแล้วละก็ เธออยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าไม่ต้องพยายามหรอก มันสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่มานอนเป็นผักอยู่หน้าบ้านเธอแล้ว!

            “โอเคๆ ผมเชื่อ” เขาหัวเราะที่ทำให้เธออารมณ์เสียได้ แล้วกางแขนรอรับเจ้าแพนดอร่าที่กลิ้งตกลงมา ทั้งยังจิกผมเขามาอีกด้วย ทำเอาผมที่มัดไว้เรียบร้อยกระเซิงไม่เป็นทรง ใบหน้าคมคายเหยเกเล็กน้อยเมื่อถูกข่วนจริงๆ จังๆ

            อนินทิตาหัวเราะลั่น ถ้าไม่ติดว่านั่งบนบันได เธอจะลงไปกลิ้งตัวให้สะใจไปเลย

            “สนุกขนาดนั้น?” รามถามประชด

            “มาก” เธอตอบกวนโทสะไม่แพ้กัน รอจนรามแยกเจ้าแพนดอร่าที่ลงมาตีกับโซเครติสแล้วจึงถามย้ำ “ว่าไง ยังไม่ตอบเลยว่าทำไมชอบแมว”

            “ผมจำเป็นต้องตอบเหรอ”

            “โอ๊ย!” เธอโวยรอบสอง ให้ตายเถอะ...ทำไมเขาเป็นคนแบบนี้!

            “ก็ได้ๆ” หนุ่มมาดเข้มยกมือยอมแพ้ “ไม่เชิงว่าชอบนักหนาหรอก แต่เพราะเวลาที่ไม่มีอะไร...ผมมีพวกมันเป็นเพื่อน” เขาตอบก็จริง ทว่าดวงตาคมหวานกลับมองเหม่อออกไป สีหน้าของรามเคร่งขรึม เปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว

            อนินทิตาเฝ้าสังเกตหนุ่มมาดเข้มตรงหน้าตลอดเวลา แววตาหม่นหมองยามคิดถึงอดีตของเขาทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่ารามผ่านอะไรมากันแน่ ถึงได้มีนิสัยสุดขั้วเช่นนี้

            “คุณ...”

            “ไม่ใช่แค่แมวหรอกที่ผมเคยอยู่ด้วย กับหมาก็เคยอยู่ ผมชอบทั้งแมวทั้งหมานั่นแหละ ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เหมือนมนุษย์อย่างเราๆ”

            “ราม” นักจิตวิทยาสาวเรียกชื่อหนุ่มตรงหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขาเหม่อลอย แม้น้ำเสียงจะเจือความเย้ยหยัน แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้นต่างหากที่ทำให้เธอทนอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เธอลุกขึ้นเดินไปหาหวังจะให้กำลังใจ

            ทว่าเพียงแค่แตะลงบนบ่ากว้างเท่านั้น รามก็คว้ามือเธอหมับแล้วบีบแรงๆ ดวงตารวดร้าวเมื่อครู่กลับแข็งกร้าววาววับน่ากลัว

            “ราม!”

            “ขอโทษที” เขาปล่อยมือเธออย่างรวดเร็วราวกับต้องของร้อน “ผมไม่ชอบให้ใครแตะตัว ทีหลังอย่าเข้ามาข้างหลังผม”

            ถ้าเป็นเวลาอื่นเธอคงจะย้อนไปแล้วว่าเขาเองก็ชอบจู่โจมคนอื่นจากทางด้านหลัง แต่พอเจออารมณ์หม่นของเขาก็อดห่วงไม่ได้ นึกอยากถามว่าเพราะอะไร เกี่ยวกับแผลบนหลังของเขาหรือเปล่า แต่ก็ตัดใจ เพราะรู้ดีว่าต่อให้ถามอย่างไรรามก็คงไม่ยอมบอก

            หนุ่มสาวต่างก็นั่งจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง จนกระทั่งเจ้าเหมียวสี่ตัวตีกันเองนั่นละถึงได้สติ

            “เราเข้าบ้านกันไหม” เจ้าของเสียงหวานลองเสี่ยงถามเขาเบาๆ ท่าทางเหมือนคนมีปมของเขาทำให้เธอตัดใจไล่เขาไปไม่ลง อย่างน้อยก็ผัดไปสักชั่วระยะหนึ่งแล้วกัน

            “ไม่มีคนถามผมแบบนี้มานานแล้ว”

            “แล้วจะเข้าไหมล่ะ” เธอถามกวนๆ ไม่ชินกับโหมดชีวิตเศร้าของเขาเสียเลย รามตัวจริงเสียงจริงต้องทำให้เธอประสาทเสียวันละสามเวลาหลังอาหารไม่ใช่หรือ

            ได้ผล...พอเธอกวนประสาทเขาเข้าหน่อย รามก็ทำตาวาววับ แล้วโยนปิกัสโซ่ใส่หญิงสาวอย่างแม่นยำ

            “กรี๊ด!” คนไม่ชอบแมวร้องลั่น แต่ก็รับเจ้าตัวอ้วนไว้ในอ้อมแขนก่อนที่มันจะตกพื้น แล้วเงยหน้าขึ้นขึงตาใส่ราม “อีตาบ้า!”

            “ถือว่าหายกัน รู้ไหม...ไม่เคยมีใครได้รู้ความลับของผมฟรีๆ หรอก” รามยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาหวานคมทอประกายแพรวพราวแบบที่ทำเอาคนถูกมองขนลุกทันที

            “แหม...ฉันก็ไม่อยากรู้เท่าไหร่หรอก คุณมาบอกฉันเองนะ” คนปากแข็งลอยหน้าลอยตาตอบ แล้วยื่นปิกัสโซ่คืนให้ รอให้รามพาแมวเข้าบ้านแล้วมาช่วยประคองเธอลุกขึ้น ทั้งที่ความจริงก็ไม่เจ็บเท่าไรและใกล้จะหายดีแล้ว แต่แค่อยากหางานให้เขาก็เท่านั้น

            “คุณนี่ปากแข็ง”

            “เปล่านะ”

            “ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะ แต่รู้อะไรไหม ทุกอย่างมีราคาของมัน...อนินทิตา”

            น้ำเสียงลึกลับของเขาส่งผลให้อนินทิตาเงยหน้าขึ้น ตาคมเข้มล้ำลึกอ่านยากของเขาทำเอาสาวคนเก่งถึงกับชะงัก “หมายความว่ายังไง”

            “ไม่มีอะไรหรอกน่า” รามหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วพาเธอเข้าไปในบ้าน

 

            แม้จะเป็นวันหยุด แต่กิจวัตรของหนุ่มสาวก็ยังเหมือนเดิม พอพักผ่อนจนพอแล้วอนินทิตาก็กลับมานั่งทำงาน ส่วนรามก็รับหน้าที่ทำอาหารและดูแลบรรดาลูกๆ ของเมลิสสาต่อ

            “วันนี้อยากกินอะไร” เสียงเขาดังมาจากในครัว

            อนินทิตาละสายตาจากแลปทอปแล้วหันไปทางห้องครัว เห็นรามในชุดผ้ากันเปื้อนกำลังยืนเท้าสะเอวรอคำตอบ ทำเอาหญิงสาวหัวเราะพรืด

            “ในครัวยังเหลือวัตถุดิบอะไรให้ทำบ้างล่ะ”

            “ก็ไม่มีเลยน่ะสิ เราคงต้องออกไปข้างนอก”

            “แล้วลูกๆ เมนี่ล่ะ” เธอเองก็อยากไปเหมือนกัน เพราะขนมของเธอก็หมดแล้ว แต่ติดที่บรรดาแมวของเมลิสสา ถ้าทิ้งไว้ในบ้านตามลำพัง...ก็พังพินาศไปทั้งหลังแน่

            “เมให้รถเข็นแมวมาด้วยไม่ใช่หรือ”

            “นั่นสิ” อนินทิตาเพิ่งนึกได้ เมลิสสาเอาแมวมาฝากหลายครั้งแล้ว มีรถเข็นแมวไว้ให้สองคันเผื่อว่าเธอจะพาแมวออกไปไหน แต่ก็ไม่เคยพาออกไปสักที จนลืมไปเสียสนิท

            หนุ่มสาวช่วยกันเอารถเข็นแมวออกมาจากห้องเก็บของ ทำความสะอาดจนเรียบร้อย แล้วจึงเอาแมวทั้งสี่ขึ้นรถพาไปยังซูเปอร์มาร์เกตที่ใกล้ที่สุด

            ...

            “อ่า...เขาไม่ให้เอาสัตว์เข้าไปด้วย” อนินทิตาทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นป้ายหน้าซูเปอร์มาร์เกต เธอเองก็ลืมเสียสนิท ห่วงแค่ว่าไม่อยากทิ้งเจ้าสี่ตัวนี้ไว้ที่บ้าน จนลืมไปว่าเขาก็ไม่ให้เอาเข้าร้านเหมือนกัน

            “ถ้าอย่างนั้นคุณรออยู่นี่ ผมจะเข้าไปซื้อของ”

            “ก็ได้ แต่อย่านานนะ” บอกพลางหันไปมองแมวสี่ตัวในตะกร้าแมวที่ตอนหลังของรถด้วยสายตาหวาดๆ นึกไปถึงตอนที่พวกมันรุมรามแล้วก็สยอง ถ้าหากเธอโดนรุม โดนปีนขึ้นมาอยู่บนหัวแบบรามเล่า...

            หนุ่มมาดเข้มหัวเราะเบาๆ แต่ก็พยักหน้าตกลง “ผมจะรีบมา...ว่าแต่คุณอยากกินอะไร”

            “อะไรก็ได้”

            “ลองอาหารอินเดียไหม”

            “ทำเป็นด้วยหรือ” อนินทิตาทำหน้าเหลือเชื่อ เธอจำไม่ได้หรอกว่าเขาบอกว่าทำอาหารชาติไหนได้บ้าง ก็รู้ว่าเขาทำอาหารเก่ง แต่มันจะเกินหน้าเกินตาเธอไปแล้ว

            “ดูหน้าผมด้วย” รามทำหน้านิ่ว แทนที่จะตอบดีๆ ก็กลับโยกโย้ตอบไม่ตรงคำถาม

            “จ้า พ่อคนเก่ง” สาวสวยย่นจมูกใส่ “รีบไปรีบมาสิคุณ อย่าทิ้งฉันไว้กับแมวนานๆ”

            “ห้านาทีกลับมาแน่นอน...รับรอง”

            “นี่ซื้อของหรือวิ่งราว” เจ้าของเสียงหวานตะโกนไล่หลัง มองคนประหลาดที่เดินเข้าซูเปอร์มาร์เกตไปอย่างรวดเร็ว

            อนินทิตาชะโงกมองลูกๆ ทั้งสี่ของเมลิสสาที่ยังเอาแต่นอนอยู่ในตะกร้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ดีแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องวุ่นวายเพราะพวกมัน

            “อนิน!” กำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกจากทางด้านหลัง ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งแล้วหันขวับ

            “เจฟฟ์” ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อย ไม่คิดว่าหนุ่มรุ่นน้องจะกล้าทักเธอก่อน ในเมื่อตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายเจฟฟ์พยายามหนีเธอยิ่งกว่าหนีตาย และหลังจากนั้นเธอก็งานยุ่งเสียจนแทบไม่ได้อยู่ประจำที่สถาบันจิตวิทยา

            “ผมได้ข่าวว่าคุณโดนรถชนหรือ” หนุ่มแว่นเดินเข้ามาหา ในมือเต็มไปด้วยผลไม้และนมสดที่เพิ่งซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เกต

            “อือ...ข้ามถนนไม่ทันดูน่ะ”

            “แล้วมากับใคร”

            “เพื่อนไง” จนถึงตอนนี้ต่อให้ไม่อยากยอมรับก็คงต้องยอมรับแล้วว่ารามเป็นเพื่อนของเธอ แม้จะเป็นเพื่อนแบบที่ไม่อยากได้สักนิด แต่...มันก็เป็นไปแล้ว

            “คุณเห็นข้อมูลที่ผมให้ไปหรือยัง”

            “ตายจริง” คำถามนั้นทำให้อนินทิตาเพิ่งคิดได้ว่าตั้งแต่รับแฟลชไดรฟ์มาจากเจฟฟ์ เธอยังไม่ได้เปิดดูเลย และที่สำคัญ...เธอไม่รู้ว่ามันหายไปไหน

            “ทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะ”

            “ฉันหาไม่เจอ ไม่รู้ว่ามันตกจากกระเป๋าสะพายตอนโดนรถชนหรือเปล่า”

            “โธ่เอ๊ย คิดว่าดูแล้วเสียอีก”

ท่าทางจริงจังจนถึงขั้นหัวเสียของหนุ่มรุ่นน้องทำเอาอนินทิตาอดสงสัยไม่ได้ ในเมื่อปกติแล้วเจฟฟ์เป็นคนขี้ตื่น ขี้กลัว กลัวไปหมดทุกอย่างแม้กระทั่งงานที่ตัวเองทำ

            “มีอะไรหรือ”

            “ประวัติผู้ชายชื่อรามไง ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรืออนินว่ามันแปลกมากที่เราหาประวัติผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยทั้งที่เจาะเข้าฐานข้อมูลระดับสูง ไม่ระบุว่าเขาทำงานอะไร แต่พอแฮ็กเข้าระบบของหน่วยงานอื่นๆ ผมกลับเจอบันทึกว่าเขาเคยเดินทางออกนอกประเทศบ่อยมาก ระยะเวลาและประเทศที่ไปก็ตรงกับพวกคณะทูตตลอด...น่าคิด”

            “หือ...ว่าไงนะ!” เธอไม่แน่ใจว่าฟังถูกหรือไม่ หรือว่าสมองเบลอจนหูเพี้ยนตามไปด้วย รามนี่น่ะหรือเดินทางไปต่างประเทศพร้อมคณะทูต

            “ได้ยินไม่ผิดหรอก ผมกำลังหาข้อมูลมายืนยัน พวกภาพถ่ายอะไรพวกนี้”

            “ไหนว่าทีแรกไม่อยากทำ” นักจิตวิทยาสาวตั้งคำถาม ตอนที่เธอขอให้ช่วยครั้งแรก เจฟฟ์เอาแต่อิดออด เจอเธอแต่ละครั้งนี่วิ่งหนีราวกับหนีผีก็ไม่ปาน แต่นี่ไม่ได้ขอก็กลับทำให้เสียอย่างนั้น

            “เขาน่าสงสัยไง ลึกลับแบบนี้ผมชอบ”

            “ดูไม่ออกเลยนะว่าชอบงานตื่นเต้นด้วย” เธอหัวเราะพร้อมกับโคลงศีรษะเบาๆ

            “ก็เพิ่งมารู้ว่าชอบตอนคุณใช้ผมนี่แหละ ไว้ได้ข้อมูลเพิ่มแล้วจะส่งมาให้ทางอีเมลนะ”

            “ไม่ได้”

            “ทำไมล่ะ”

            “ฉันไม่แน่ใจว่าปลอดภัยไหม ก็รู้อยู่ว่าที่ทำงานพวกเราน่ะสอดแนมเก่งอย่างกับอะไร”

            เจฟฟ์หน้าซีดลงทันที แล้วถามอย่างร้อนรน “หมายความว่าไง เราถูกสอดแนมหรือ แล้วถ้าที่ทำงานรู้ว่าผมโหลดหนังโป๊...”

            “ใจเย็นเจฟฟ์” อนินทิตาหัวเราะพรืด ไม่คิดว่าท่าทางแก่เรียนจะสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย

            หนุ่มแว่นทำหน้าเจื่อน เพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดเกินไปแล้ว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “งั้นผมเอามาให้ที่บ้าน”

            “อย่าใส่ไฟล์อะไรมานะ พรินต์ออกมาให้เลย”

            “โอเค” หนุ่มรุ่นน้องโบกมือแล้วเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดห่างออกไปสองบล็อก

            พอเจฟฟ์เดินออกไปแล้ว อนินทิตาก็ได้แต่เม้มปากครุ่นคิด ถ้าเป็นจริงอย่างที่เจฟฟ์พูด ก็เท่ากับว่าเธอดูคนผิดมาตลอด เธอไม่เคยรู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของ ราม รามิเรซ เป็นใครกันแน่

 

            เหตุการณ์ที่หน้าซูเปอร์มาร์เกตอยู่ในสายตาของรามตลอดเวลา เขาซื้อของเสร็จได้ราวสองนาทีแล้ว แต่เพราะเห็นมีคนมาคุยกับอนินทิตา ซึ่งมองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่าเป็นหนุ่มแว่นท่าทางขี้ตื่นที่นัดอนินทิตาไปร้านเจนเซนก่อนเกิดเรื่องพอดี ทั้งยังเป็นคนค้นข้อมูลของเขาได้เสียด้วย

            แบบนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้...

            รามหยิบโทรศัพท์กดโทร. หา ‘ใครบางคน’ ทันที รอไม่ถึงสองวินาทีเท่านั้นก็มีคนรับสาย

            “ผมอยากให้ลบประวัติทุกอย่างของผม” หนุ่มมาดเข้มพูดกับปลายสาย ทว่าดวงตาวาววับอ่านยากกลับกำลังจับจ้องทุกอิริยาบถของอนินทิตา

            “คุณยังทำงานให้ผมไม่เสร็จด้วยซ้ำ” ผู้ชายจากปลายสายตอบเสียงห้วน

            “มีคนค้นข้อมูลผม”

            “ทำไม่สำเร็จหรอก”

            “เขารู้ว่าผมเคยไปเจนีวาพร้อมคณะทูต นี่ถือว่าไม่สำเร็จใช่ไหม” รามถามเยาะๆ แต่ทำให้ ‘คนปลายสาย’ เครียดได้ทันที

            “คุณทำยังไงให้พวกนั้นสงสัย”

            “ผมทำตามปกตินี่แหละ แต่พวกนี้ก็มีสมองนี่...สรุปจะลบหรือไม่ลบ” พอเห็นว่าคนปลายสายมีอาการลังเล รามก็เพิ่มแรงกดดันต่อทันที “ผมไม่สนหรอกนะว่าพวกนี้จะรู้ประวัติผมหรือไม่ เพราะยังไงผมก็พร้อมหายตัวไปจากที่นี่อยู่แล้ว แต่งานของคุณล่ะ”

            “ผมจะออกหมายจับคุณทันที”

            “คิดว่าจะจับผมได้หรือ” อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มยิ้มชั่วร้าย ยังจ้องมองอนินทิตาไม่วางตา

            คนปลายสายเงียบไปทันที จริงอย่างที่รามพูด ลงถ้าคนอย่าง ราม รามิเรซ คิดจะหนีจริงๆ แล้วละก็...ใครก็จับไว้ไม่ได้

            “รีบจัดการก่อนเป้าหมายของผมจะระแคะระคาย”

            “งานไปถึงไหนแล้ว”

            “ไม่เกินสัปดาห์หน้าผมจะเอาข้อมูลไปให้ทั้งหมด” พูดจบรามก็ตัดสายทันที เขาไม่รอฟังคำตอบจากคนปลายสายเพราะมั่นใจว่าทางนั้นต้องรีบจัดการให้แน่ หนุ่มแว่นนั่นจะไม่มีวันหาตัวตนของเขาเจอ และอนินทิตาจะไว้ใจเขาจนได้เข้าใกล้สิ่งที่ต้องการแน่นอน

            รามยิ้มชั่วร้าย ดวงตาคมเข้มล้ำลึกอ่านยาก แต่พออนินทิตาหันมาเขาก็ปรับให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไปหาเธอ

            “รอนานไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ทำราวกับไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ และไม่สังเกตสายตาระแวดระวังของหญิงสาว

            คนถูกถามไม่ตอบ เธอมองเขาด้วยสายค้นคว้าราวกับจะให้ทะลุไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ แต่เธอไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด ทั้งที่ดวงตาของเขาก็เป็นประกายแพรวพราว ทว่ากลับไม่ให้ความรู้สึกใด นอกจากความกะล่อนเจ้าเล่ห์ที่เธอตามไม่ทัน

            “อนิน เป็นอะไรหรือเปล่า”

            “ไม่มีๆ”

            “ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านกัน” รามขยิบตา เอาของไปเก็บที่ท้ายรถ แวะทักทายเจ้าเหมียวทั้งสี่ตัวที่ร้องหาเขาอย่างพร้อมเพรียง แล้วจึงมาเปิดประตูรถให้อนินทิตา

            “ซื้อของครบแล้วหรือ” เธอถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่รามสังเกตเห็นความผิดปกติได้ ปกติแล้วอนินทิตาเป็นผู้หญิงออกจะล้นๆ แต่คราวนี้กลับขาดความกระตือรือร้นเหมือนเคย

            เมื่อครู่...ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว

            “ใช่” รามพยักหน้าแล้วออกรถ

            บรรยากาศในรถตอนที่กลับมาจากซูเปอร์มาร์เกตแตกต่างจากขาไปอย่างเห็นได้ชัด อนินทิตาไม่พูด ไม่คุยเหมือนเคย เธอเอาแต่นั่งหน้าเครียด ดวงตากลมโตมองเหม่อไปด้านหน้ารถ บางครั้งก็หันกลับมามองชายหนุ่มข้างตัวด้วยความสงสัย แต่เขาก็เอาแต่นิ่งแล้วขับรถไปเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงบ้าน

            รามจอดรถแล้วจึงเดินมาเปิดประตูให้ “คุณไปรอในบ้านเถอะ ผมขนของลงรถเอง”

            “ฉันเอาแพนดอร่าไปก็แล้วกัน” อนินทิตาบอกเสียงร่าเริงเกินเหตุ แล้วถือตะกร้าแพนดอร่าลงมาจากรถ ตรงเข้าบ้านทันทีโดยไม่สบตาราม

            นักจิตวิทยาสาวเดินมาหยิบกระเป๋าสะพายใบเก่งที่ใช้ประจำและเป็นใบเดียวกับวันที่ถูกรถชน แล้วลองค้นหาแฟลชไดรฟ์ที่เจฟฟ์ให้มา แต่ไม่เจอ เธอจำไม่ได้ว่าตอนที่รถชน กระเป๋าเธอกระเด็นไปทางไหนบ้าง ของก็อันนิดเดียว อาจจะตกท่อหรือโดนรถทับแตกไปแล้วก็ได้ และหลังจากนั้นก็ยุ่งเรื่องงานกับแม็กซ์จนไม่ได้เข้าไปที่สถาบัน พอไม่เจอเจฟฟ์ ประกอบกับเริ่มชินที่รามอยู่ด้วย ไหนจะท่าทางขวางโลกของเขาก็อีก ทำเอาเธอลืมไปสนิทว่าเคยใช้งานอะไรเจฟฟ์ไว้บ้าง

            แต่...เคยเดินทางไปกับทูตเลยหรือ

            อนินทิตาหันไปมองคนที่กำลังขนของเข้ามาในบ้าน ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนท่าทางอย่างรามนี่น่ะหรือ...ไปในฐานะอะไร แล้ว...เขาเป็นใครล่ะ

            เธอคิดไม่ตก เปิดแลปทอปคีย์ชื่อเพื่อหาข้อมูลของเขาเป็นรอบที่ร้อยแล้ว แต่ไม่เจออะไรสักอย่าง นอกจากชื่อ ราม รามิเรซ ข้อมูลพื้นฐานเล็กๆ น้อยๆ เช่นเรียนจบจากที่ไหน แต่สถานะก็ระบุว่าตกงานมาตั้งแต่เรียนจบมาจนถึงตอนนี้

            “คุณดูเครียดๆ นะ”

เสียงเข้มดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำเอาคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์สะดุ้ง พอหันไปเห็นว่าเป็นใครก็รีบพับจอแลปทอปลงทันที แล้วหันกลับไปหาเขา

            “ทำไมมาเงียบๆ”

            “ผมอุ้มโซเครติสมาด้วย มันร้องดังจะตาย คุณนั่นแหละที่ไม่ได้ยิน” รามตอบเสียงเรียบ ดวงตานิ่งสนิท เหมือนน้ำนิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

            “มีงานด่วนเข้ามาน่ะ”

            “ผู้ชายคนนั้นหรือ”

            อนินทิตาขมวดคิ้ว สงสัยว่าเขาหมายถึงใคร และไปเห็นอะไรเข้า

            “ผู้ชายที่มาหาคุณที่หน้าซูเปอร์มาร์เกตไง”

            “คุณเห็นด้วยหรือ”

            รามพยักหน้า วางโซเครติสลง ปล่อยให้มันวิ่งไปเล่นกับปิกัสโซ่และนอสตราดามุสแล้วพูดต่อ “เห็นคุณคุยกันเครียดๆ เดาว่าเรื่องงานเลยไม่เข้าไปหา ไม่อยากขัดจังหวะ”

            “คุณเดาเก่งจริงนะ” เสียงหวานติดจะประชดประชันเล็กน้อย จนแม้แต่คนฟังยังรู้สึกได้

            “ไม่เอาน่าอนิน แค่นี้เอง ใครจะเดาไม่ได้ ก็ในเมื่อคุณรีบกลับมานั่งหน้าเครียดหน้าจอคอมพ์ทันทีแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานแล้วจะเรื่องอะไร”

            อนินทิตานิ่งไปทันที จริงอย่างที่เขาพูดทุกอย่าง และอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธออาจจะระแวงเกินไป ในเมื่อเขาก็ยังทำตัวเป็นปกติ นอกจากนิสัยประหลาดๆ เกินคนของเขาแล้ว รามก็ไม่มีพิรุธอย่างอื่น ไม่พยายามก้าวก่ายหน้าที่การงานของเธอ ไม่มีใครตามมาปล้นบ้าน ไม่มีคนร้ายตามมาเล่นงานอย่างที่กลัว

            “สงสัยอะไรก็ถามมาเถอะ ผมไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดแบบนี้เลย” หนุ่มมาดเข้มถอนหายใจแล้วก้าวเข้ามาหา วางมือบนไหล่เล็กบอบบางทั้งสองข้าง บังคับให้เธอเงยหน้าสบตาเขาตรงๆ

            “ฉันไม่ไว้ใจคุณ”

            “ทั้งที่เราอยู่ร่วมบ้านกันมาจนป่านนี้น่ะหรือ” รามขมวดคิ้ว สายตาฉายแววไม่พอใจ

            คนถูกถามช้อนตามองท่าทีคุกคามของเขาแล้วก็ถอนหายใจ “คุณไม่บอกอะไรฉันเลย จำได้ไหมว่าคุณหนีตายมานอนอยู่หน้าบ้านฉัน เอาปืนขู่ฉัน แล้วก็มาอยู่ในบ้านฉันแบบหน้าด้านๆ ทั้งที่เราเป็นแค่คนรู้จักชื่อกันอย่างเดียวเท่านั้น ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณสักอย่าง แล้วจะให้ฉันสนิทใจกับคุณได้หรือ”

            “ผมหนีพวกอันธพาลมาเพราะผมล้ำเส้นเข้ามาในถิ่นมัน” รามบอกเสียงเข้ม แววตามั่นคง ไม่ส่อเค้าพิรุธเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นคนฟังก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี

            “ถึงกับต้องฆ่ากันเลยหรือ แล้วทำไมมันไม่ตามมาอีก”

            “คงเพราะมันคิดว่าผมออกไปจากที่นี่แล้วละมั้ง”

            “แล้วทำไมคุณยังไม่ไปไหน” ...บังเอิญไปไหมที่เขามาบ้านเธอ ทำไมต้องเป็นเธอด้วย

            “คุณไม่รู้จริงๆ หรือ” ถามไม่ตอบ ทั้งยังย้อนถามเสียเอง ร่างสูงก้าวเข้ามาประชิด สองมือที่เคยกุมไหล่ไว้ก็เลื่อนมาจับต้นแขนเล็กไว้แน่น แล้วออกแรงดึงหญิงสาวให้ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับเขา

            ใบหน้าคมคายก้มลงมาใกล้เสียจนอนินทิตามองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาคู่คมหวานของเขา ความใกล้ชิด กลิ่นกายที่คุ้นเคยมาหลายวัน สัมผัสจากมือหนากร้าน ทุกอย่างล้วนมีผลทำให้เธอใจสั่นจนไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป

            “ฉะ...ฉันไม่รู้” หญิงสาวหลุบตาลง ไม่กล้าสบตาคมกล้าคู่นั้นต่อ เธอยกสองมือขึ้นผลักแผงอกกว้างแรงๆ แล้วเดินหนี แต่กลับถูกชายหนุ่มตามมากระชากเข้าหาแล้วแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอย่างรวดเร็ว

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น