8

ภารกิจซ่อนเร้น


 

เมื่อข้อสันนิษฐานเบื้องต้นตรงกับข้อมูลจากเจฟฟ์และการยืนยันจากราม...การอยู่ร่วมบ้านกันก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

            อนินทิตาพยายามจะไปส่งรามที่ร้านเจนเซนก่อนไปทำงาน แต่เขายืนยันว่าไม่ต้องการ เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่บ้านของเธอ และไม่ต้องการให้ใครสังเกต หลังจากอนินทิตาออกไปแล้ว รามจะหาจังหวะออกไปเองโดยไม่ให้ใครทันสังเกต ซึ่งเขาก็ทำได้ดีตลอดมา จนป่านนี้แม้แต่ข้างบ้านยังคิดว่าเธออยู่บ้านตามลำพังกับแมวสี่ตัวเท่านั้น

            แมว...ที่เมลิสสาเหมือนจงใจทิ้งไว้ให้เธออย่างไรอย่างนั้น!

            จากที่บอกว่าจะฝากสามวัน แต่ผ่านมาสี่วันแล้วก็ยังไม่กลับมารับพวกมันไปเสียที คอยดูนะ เธอจะคิดเงินค่าเลี้ยงดูเสียให้เข็ด!

            อนินทิตาคิดอย่างแค้นๆ ขณะขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของสถาบันจิตวิทยา ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงระแวงว่ามีใครตามเธอหรือไม่ แต่น่าแปลก...เธอไม่รู้สึกอย่างนั้นมานานนับเดือนแล้ว จะว่าไปก็นับตั้งแต่ที่รามมาอยู่ในบ้าน เป็นเวลาเดียวกับที่เธอทำงานกับแม็กซ์ เพราะพวกภาคีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเดอะดาร์กแฟนทอมเกือบถูกลอบฆ่าทั้งที่อยู่ในคุกพอดี

            เช้านี้อนินทิตาจึงเข้ามาที่สถาบันเพื่อมาพบจิตแพทย์ฝีมือดีคนหนึ่งที่จะเข้าไปยังคุกลับดังกล่าว เพราะทั้งสตีเวนและคนอื่นๆ ก็ยังมีสภาพจิตใจย่ำแย่ไม่ต่างจากวันแรกที่ถูกลอบฆ่า

            “ตรงเวลามากอนิน” หมอฮาเปอร์ จิตแพทย์หนุ่มใหญ่เอ่ยทัก เขามาถึงทีหลังเธอแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น

            อนินทิตาหันไปหาจิตแพทย์หนุ่มใหญ่ ผู้อำนวยการสถาบันจิตวิทยาที่มักมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิตย์ ยิ่งเมื่อรวมกับรูปร่างท้วม ตัวใหญ่แบบชายอเมริกันทั่วไป ทำให้เธอนึกถึงผู้พันเจ้าของไก่ทอดเคนทักกีขึ้นมาติดหมัด

            “เห็นแม็กซ์มารอที่ลานเฮลิคอปเตอร์แล้ว เรารีบไปกันดีกว่าค่ะ”

            “ผมอ่านรายงานกับแบบประเมินที่คุณส่งมาแล้ว” คุณหมอท่าทางใจดีชวนคุยระหว่างเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์จากดาดฟ้าสถาบันจิตวิทยาไปยังสถานที่คุมขังสตีเวนและพรรคพวก

            “หนักกว่าที่คิดไหมคะ”

            “ผมจะรอคุยกับคนไข้ก่อนแล้วกัน” สีหน้าของจิตแพทย์หนุ่มใหญ่เต็มไปด้วยความกังวล และไม่พูดอะไรอีกเลยจนกระทั่งถึงที่หมาย

 

            หลังการจงใจลอบสังหาร แผนการที่จะทำให้ สตีเวน เรแกน และพรรคพวกไว้ใจจนยอมเปิดเผยความลับออกมาพังครืนไม่เป็นท่า อนินทิตาและแม็กซ์ยืนอยู่หน้าห้องสอบสวน มองจิตแพทย์หนุ่มใหญ่ที่กำลังพูดคุยกับสตีเวนผ่านกระจกวันเวย์ ซึ่งดูจากท่าทางแล้ว...ไม่คืบหน้าเหมือนเดิม

            “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” อนินทิตากอดอกถาม

            “เหมือนกัน”

            “เวสกับมิโรสลาฟน่ะหรือ” บอกตามตรงเธอนึกภาพสองคนนั้นกลายเป็นคนหวาดระแวงแบบสตีเวนไม่ออกเลย ในเมื่อท่าทางจิตแข็งออกปานนั้น ไม่น่าถูกเรื่องแค่นี้รบกวนได้ ถ้าเทียบกับสิ่งที่หัวหน้านักฆ่าเงา อดีตหน่วยรบพิเศษที่พบกับการฝึกมาหลากหลายรูปแบบ กับอดีตตำรวจสากลที่เคยฆ่าผู้ต้องหาตัวเอง แค่การลอบฆ่านี้เป็นแค่ ‘สิ่งเร้า’ ที่เล็กน้อยเกินไป ทำอะไรสองคนนั้นไม่ได้แน่ๆ

            “หัวหน้ามีแผนย้ายผู้ต้องหาคดีแฟนทอมออกจากที่นี่”

            “ไปไหน” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวขมวดคิ้ว

            “การถูกลอบฆ่าในเรือนจำที่มีความปลอดภัยสูงสุดแบบนี้ทำให้สตีเวนและคนอื่นฝังใจ หัวหน้าเลยอยากให้ย้ายไปที่อื่น แต่ยังถูกเก็บเป็นความลับอยู่”

            “ไม่ยักรู้ว่าคุณใช้จิตวิทยาเป็นกับเขาเหมือนกัน” อนินทิตาหัวเราะหึๆ

            “คุณหมอของคุณก็บอกแบบนั้น ผมเลยไปเสนอหัวหน้า...มันก็น่าจะเป็นเรื่องดีนะ”

            “หวังว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นแล้วกัน”

            “หมายความว่ายังไง” แม็กซ์ขมวดคิ้ว สีหน้าเจ้าหน้าที่หนุ่มเคร่งเครียดขึ้นอีกเท่าตัว

            “ไม่รู้สิ” สาวคนเก่งยักไหล่ “อยู่ๆ ก็ถูกลอบฆ่าจนเกิดอาการหวาดระแวงไปหมด จนต้องย้ายที่คุมขัง บอกตรงๆ ฉันไม่แน่ใจเลยว่าจะไม่มีอะไรรออยู่ข้างนอกจริงๆ”

            “แต่ถ้าตายในนี้จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากทันที” แม็กซ์พูดตามจริง ทุกวันนี้เวลาทำเนียบออกแถลงการณ์ฉบับใดๆ มักถูกนักข่าวรุมทึ้งเรื่องคดีเดอะดาร์กแฟนทอมทุกครั้งไป แรงกดดันที่มาจากทุกสารทิศทำให้ยิ่งต้องปิดข่าวนี้ แต่ก็นั่นละ...ปิดให้ดีอย่างไรก็สู้ ‘แหล่งข่าว’ ของนักข่าวพวกนั้นไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าไปหามาจากไหน เพราะมันตรงกับความจริงทุกครั้ง

            “แต่ฉันว่าย้ายออกก็ดีนะ”

            “ไหนทีแรกไม่เห็นด้วย” แม็กซ์มองสาวตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบ

            “ฉันว่าเรื่องนี้มีคนในรู้เห็น คุณน่าจะใช้โอกาสนี้หาตัวมันไปด้วยเลย บอกว่าจะพาไปที่หนึ่ง แต่ความจริงพาไปอีกที่หนึ่ง ฉันว่า...”

            “แล้วถ้ามันดักฆ่ากลางทางล่ะ”

            “ไม่หรอก” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวส่ายหน้ายิ้มๆ “ถ้าตายกลางทางจะเป็นข่าวทันที ฉันเชื่อว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ยอมให้ถูกสาวมาถึงตัวแน่ คนคนนั้นน่าจะอยากโยนความผิดพลาดนี้ให้หน่วยงานของคุณมากกว่า”

            “ขอบใจมากอนิน” เขาดึงเธอเข้าไปกอดแรงๆ แล้วบ่นอย่างเสียดาย “คุณไม่น่ารีบเดตกับคนอื่นเลย ไม่อย่างนั้นผมจีบคุณจริงๆ”

            “ก็บอกแล้วว่าฉันไม่สนใจคนที่มีแนวโน้มจะเป็นเอ็นเอสดีหรอก” อนินทิตาประชดเข้าให้ แค่หลงตัวเองแบบแม็กซ์น่ะน้อยไป ต้องบ้าๆ จนจับจุดไม่ได้อย่างรามต่างหากที่ทำให้เธอใจเต้นแรงได้

 

กว่านักจิตวิทยาสาวคนเก่งจะเลิกงานกลับมาถึงบ้านก็ค่ำแล้ว แต่เพราะวันนี้เดินทางทั้งวันระหว่างสถานที่คุมขังสตีเวนและพรรคพวกกับสถาบันจิตวิทยา และยังต้องตามแม็กซ์ไปสำนักงานใหญ่ในแลงลีย์ ทำเอาเธอเพลียจนแทบลืมตาไม่ขึ้น พอมาถึงบ้านไม่เจอราม ก็นอนที่เดย์เบดกลางบ้านแบบไม่สนใจแมวทั้งสี่แล้วว่ามันจะรุมทึ้งเธอหรือไม่ ช่างมัน อยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าขัดการนอนของเธอก็พอ

            อนินทิตาหลับลึกเสียจนไม่ได้ยินเสียงรามเปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มมองสาวร่างเล็กบอบบางในชุดสูทกระโปรงคล่องตัวแต่นอนไม่ระวังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาปิดประตูแล้วเดินไปจัดท่านอนของเธอให้สบายขึ้นอีกนิด แล้วหันไปดุแมวทั้งสี่ที่ส่งเสียงร้องและตามมาพันขาทันทีที่เขามาถึง

            “ทำตัวดีๆ หน่อย คืนนี้แม่ที่แท้จริงของพวกแกจะมารับกลับแล้ว” รามบ่นขณะนำอาหารเม็ดถุงสุดท้ายตามที่เมลิสสาคำนวณไว้แจกจ่ายแมวทั้งสี่ ทั้งที่มีชามของใครของมันแท้ๆ แต่สุดท้ายมันก็แย่งกันไปเล่นกันไปเหมือนเดิม

            หนุ่มมาดเข้มมองแมวสี่ตัวด้วยสายตาเรียบเฉย ดวงตาคู่คมเข้มล้ำลึกอ่านยาก ในสายตาของอนินทิตาและเมลิสสา เขาคือผู้ชายรักสัตว์ ทำอาหารได้ และนั่นอาจจะเป็นอย่างเดียวที่ทำให้เมลิสสาวางใจให้รามเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งสี่รวมทั้งดูแลน้องสาวของเธอด้วย

            ซึ่งเมลิสสาคิดผิด...

            เขาไม่ใช่ผู้ชายรักสัตว์อย่างที่แสดงออกมา เขาแค่เคยใช้ชีวิตข้างถนนที่มีทั้งหมาและแมวจรมากมาย และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับพวกมันได้ เข้าใจจิตวิทยาของพวกมันก็แค่นั้นเอง แต่ก็ดีแล้วที่เธอเข้าใจอย่างนั้น เพราะอย่างน้อย...มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปได้

            รามผละจากลูกๆ หน้าขนของเมลิสสาแล้วเดินกลับมายืนหน้าเดย์เบดที่อนินทิตายังคงหลับสนิท ท่าทางเธอเพลียมาก แต่ก็เข้าใจได้เพราะเขา ‘รู้’ ทุกความเคลื่อนไหว ทุกการเดินทางของเธอมาตลอดนับตั้งแต่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน และรู้ว่าวันนี้เธอเข้าไปในสำนักงานใหญ่มาด้วย เห็นได้ชัดว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘เป้าหมาย’ ของเขามากทีเดียว

            เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้รามชะงักไปเล็กน้อย เขามองอนินทิตาแวบหนึ่งแล้วเดินเลี่ยงเข้าไปในครัว จากนั้นจึงกดรับสาย

            “วันนี้มีข่าวใหญ่นี่” ‘ใครคนนั้น’ ถามขึ้นทันทีโดยไม่รอให้รามกล่าวทักทายอย่างที่แล้วมา ทั้งยังมีน้ำเสียงร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

            “ครับ” รามตอบตามข่าวที่ได้รู้จากการ ‘สอดแนม’ อนินทิตาเช่นกัน

            “ใกล้ถึงเวลาแล้วใช่ไหม”

            “ครับ” ตอบพลางลอบมองไปทางประตูตลอดเวลาว่าอนินทิตาจะตื่นและเดินเข้ามาหรือไม่

            “จัดการให้เรียบร้อย”

            “ครับ” รามรับคำสั้นๆ แล้วกดวางสาย

            อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มใช้พีดีเออีกเครื่องส่งข้อความรายงานความคืบหน้ากับ ‘อีกคน’ แล้วจึงเดินออกไปด้านนอก และก็พบว่าอนินทิตายังนอนหลับเหมือนเดิม เขามองเธออยู่นานจนกระทั่งเธอเริ่มขยับและลืมตาอย่างช้าๆ สายตางุนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นโล่งใจของเธอทำให้รามตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

            ใกล้ถึงเวลาเต็มที...

            ทั้งที่อนินทิตาอยู่ในแผนของเขาตั้งแต่แรก แต่สายตาที่อ่อนลงเรื่อยๆ ของเธอก็เหมือนหนามแหลมทิ่มแทงจิตสำนึกอันน้อยนิดที่มี รามทั้งสมใจและยอกแสยงในคราวเดียวกัน และแผนอาจไม่สำเร็จเลยถ้าเขายัง ‘ใจอ่อน’ อยู่อย่างนี้

            “คุณมายืนจ้องฉันทำไม มีอะไรหรือเปล่า”

            หนุ่มมาดเข้มขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อเห็นว่าเธอลุกขึ้นแล้วมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย ต่อให้จะพยายามปกปิดอย่างไรก็เถอะ แต่เขารู้...รู้มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่อยู่ด้วยกัน

            “ผมจะมาเรียกให้คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”

            “มื้อค่ำล่ะ”

            “ผมเอามาจากร้านเจนเซนด้วย เมบอกว่าจะมารับแมวคุณตอนสี่ทุ่ม” บอกพลางก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือ “ก็อีกแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง”

            “โอเคๆ ฉันจะรีบ”

            “ไม่ต้องรีบก็ได้ คุณควรนอนแช่น้ำอุ่นสบายๆ ผมจัดการอาหารเย็นเอง”

            อนินทิตาหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าตกลงแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนทันที

 

หญิงสาวแช่น้ำอุ่นอยู่นานจนรู้สึกสบายตัวขึ้น กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เกือบชั่วโมงทั้งที่ปกติแล้วเธอเป็นคนทำอะไรเร็วมาก จากนั้นจึงเดินออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่น่าแปลก ชุดชั้นในตัวโปรดที่ชอบสวมทุกครั้งเวลานอน...มันหายไปไหน

            อนินทิตาเดินหาจนทั่วห้องน้ำชั้นบนและในห้องนอนของเธอเอง แต่ก็ไม่เจอ จึงตัดสินใจสวมชุดนอนเนื้อหนาเดินลงไปชั้นล่าง แล้วดูในเครื่องซักผ้าแทน

            “หาอะไร” รามถาม มองเธอสวมชุดนอนสีน้ำเงินเข้มด้วยความสงสัย อยู่ด้วยกันมาก็นาน ปกติแล้วอนินทิตามักสวมชุดนอนสีอ่อน หรือไม่ก็เสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวตลอด

            “ก็...” คนถูกถามทำหน้าปั้นยาก จะให้บอกว่าทำชุดชั้นในหายหรือ...คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร

            “โนบราด้วยหรือ”

คำถามทื่อๆ ของเขาทำเอาอนินทิตาสะดุ้ง สองมือยกขึ้นกอดอกอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปทำตาดุใส่ราม แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ทั้งยังยิ้มตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก

“ปกติคุณสวมบรานอนตลอดนี่”

            “นี่จะช่างสังเกตเกินไปแล้วนะ” อนินทิตาทั้งโกรธทั้งอาย เธอจะสวมหรือไม่สวมแล้วอย่างไร มันใช่เรื่องที่เขาจะมาถามต่อหน้าอย่างนี้เสียที่ไหน

            “ผมว่าจะถามหลายครั้งแล้วว่าไม่อึดอัดหรือ”

            “ฉัน...”

            รามปรายตามองหน้าอกสาวตรงหน้าด้วยสายตาชั่วร้าย “ลืมไปว่าคงไม่อึดอัดหรอก”

            ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นทันที...นี่เขาหมายความว่ายังไง หาว่าของเธอ ‘เล็ก’ หรือ!

            “อีตาบ้า!” อนินทิตาโวยลั่นแล้วก้าวเข้าไปตีเขาอย่างหมดความอดทน ถ้าเขาจะเอาดีด้านการยั่วยุอารมณ์ (โทสะ) คนแล้วละก็...รับรองรุ่งแน่นอน

            รามหัวเราะลั่นราวกับว่าโทสะของเธอเป็นเรื่องบันเทิงสำหรับเขา ทำเอานักจิตวิทยาสาวแทบสติแตก เธอก้าวเข้าไปหาเขาด้วยท่าทางเอาเรื่อง ลืมความอายไปเสียสนิท

            “คุณเอาไปใช่ไหม!”

            “ถามบ้าอะไรอย่างนั้นเล่า ใครจะเอาไป” ตอบแล้วก็แอบมองหน้าอก (เล็กๆ) ของสาวตรงหน้าอีกครั้ง แล้วแสร้งชักสีหน้าสลด “ตอนผมเห็นคุณครั้งแรก ผมตะลึงเลยนะอนิน ผู้หญิงอะไรสวยหุ่นดีชะมัด ที่ไหนได้ พอลงจากรองเท้าส้นสูงก็ไม่เท่าไหร่ แถมพอถอดฟองน้ำออกก็ไม่เหลืออะไรให้ดูแล้ว...นี่มีกางเกงเสริมก้นด้วยหรือเปล่า”

            “ว่าไงนะ!” คนถูกปรามาสถึงกับปรี๊ดแตก รู้สึกราวกับศีรษะลั่นกระหึ่ม นึกอยากเอาแปรงขัดปากเขาเหลือเกิน คนอะไรปากเสียกับผู้หญิงได้ขนาดนี้ นอกจากกวนประสาท เจ้าเล่ห์ บ้ากาม จิตอ่อนๆ แล้วยังปากไม่ดีอีก นี่เขาเหลือความดีอะไรบ้าง และที่สำคัญ...เธอหวั่นไหวกับคนแบบนี้เข้าไปได้ยังไง

            “ก็ถามตามที่เห็น”

            “ไม่มี” เธอตอบเสียงห้วน

            “ไม่เชื่อ” รามสวมกลับทันควัน วงแขนกว้างตวัดรอบเอวเล็ก ดึงสาวเจ้ามาแนบชิด แล้วพิสูจน์ด้วย ‘มือ’ ของตัวเอง

            “ไม่มีจริงๆ ด้วย อย่างน้อยก้นนี่ก็ของแท้” รามกระซิบชิดใบหู ลมหายใจของเขายิ่งทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก    อนินทิตาตกใจจนตัวแข็งทื่อ รู้สึกราวกับเลือดในกายเย็นเฉียบ แต่สัมผัสร้อนรุ่มจากมือหนากร้านที่วนเวียนตรงบั้นท้ายทำเอาเธอสะบัดร้อนสะบัดหนาวไปทั้งร่าง

            “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!” เจ้าของเสียงหวานแว้ดใส่ทันทีที่ได้สติ เธอผลักเขาแรงๆ แล้วเดินหนี

            “แล้วนั่นจะไปไหน”

            “ก็หาชุดชั้นในน่ะสิ”

            “ไม่ต้องสวมก็ได้ ใครเขาสวมชุดชั้นในนอนกัน”

            “ฉันนี่แหละ!” เธอบอกเสียงฉิวแล้วก็เดินหาไปทั่วบ้าน แต่ไม่เจอ

            “มากินก่อนเถอะอนิน ไว้ถ้าผมเจอผมจะเก็บไว้ให้แล้วกัน” เสียงรามดังมาจากทางด้านหลัง

            อนินทิตาหันไปก็เห็นเขายืนกอดอกพิงกรอบประตูห้องครัว แต่ยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมพอเห็นดวงตาคมหวานเป็นประกายเจ้าเล่ห์แบบนี้ทีไร เธอหายใจไม่ทั่วท้องทุกที

            “ก็ได้” อย่างไรวันนี้ก็คงหาไม่เจอแล้ว และอีกอย่างเธอเหนื่อยใจจนหมดแรงจะทะเลาะกับเขาแล้ว

 

            เมลิสสาส่งข้อความมาบอกว่ากำลังเดินทางกลับ แต่เพราะเที่ยวบินดีเลย์จึงเปลี่ยนใจมารับลูกๆ ทั้งสี่ในวันรุ่งขึ้นแทน วันนี้อนินทิตาจึงตัดสินใจนอนชั้นล่างเหมือนอย่างเคย เผื่อว่าเมลิสสามาถึงดึกหรือเช้ามืด อย่างน้อยเธอก็จะได้อยู่รับ ไม่ใช่ให้รามรับหน้าไปคนเดียว

            “ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว” เธอเกริ่นทันทีที่รามดับไฟ ทั้งคู่อยู่ในความมืด และตอนนี้เธอนอนไม่หลับ

            “พรุ่งนี้เถอะ คืนนี้ผมจะนอน”

            “อย่าเพิ่งนอนสิ” อนินทิตาพลิกตัวกลับมาแล้วเอื้อมมือลงไปเขย่าตัวคนที่นอนบนพื้นทันที

            “ถ้าผมไม่หลับ คุณต้องรับผิดชอบ”

            “แค่คำถามเดียว” พอเห็นว่าเขาไม่ว่าอะไร เธอจึงถามต่อ “ทำไมต้องคิตตี้”

            “เคยบอกไปแล้วนี่”

            “แต่คุณโตแล้วนะ” ผู้ชายตัวใหญ่ อายุปูนนี้เข้าไปแล้วยังนอนกอดตุ๊กตา...ตลก!

            “แล้วมีใครห้ามไหมว่าผู้ใหญ่นอนกอดตุ๊กตาไม่ได้”

            “แต่มันไม่เข้ากับคุณเลยนะราม” อนินทิตานอนเท้าแขนพลางก้มลงมองเขาในความมืด แสงไฟที่ส่งลอดหน้าต่างเข้ามาพอให้เห็นชายหนุ่มนอนเป็นเงาตะคุ่มอยู่ข้างเดย์เบด

            หนุ่มมาดเข้มลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจเสียงดัง บ่งบอกถึงความรำคาญถึงขีดสุด แล้วย้อนด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “เลิกกอดคิตตี้ก็ได้ แต่ให้กอดคุณแทนไหม”

            “ไม่!” เธอฉวยตุ๊กตาเฮลโลคิตตี้ของเขามากอดไว้เสียเอง แต่พอจดปลายจมูดลงบนหัวน้องคิตตี้เท่านั้นละ กลิ่นของมันทำเอาเธอขว้างทิ้งแทบไม่ทัน

            “นี่คุณซักมันบ้างไหมเนี่ย!”

            “หอมกลิ่นของผมละสิ” รามหัวเราะลั่น แต่พอจะรับตุ๊กตาน้องคิตตี้คืนกลับมา อนินทิตาก็เอาหลบไปเสียอย่างนั้น

            “แต่กลิ่นเหมือนคุณจริงๆ”

            “หอมหรือ”

            “ท่าทางฉันเหมือนหอมมันนักเรอะ ไม่วิ่งไปอ้วกก็ดีแล้วนะ” ว่าแล้วก็เอาตุ๊กตาตีหัวเขาเต็มแรง แล้วลุกไปเปิดไฟ เพราะอย่างไรเสียก็นอนไม่หลับเสียแล้ว

            “คุณนอนไม่หลับคนเดียว แต่ทำไมผมต้องเดือดร้อนด้วยล่ะ” รามทำหน้ายุ่ง เอาผ้าห่มคลุมหัวแล้วนอน แต่ถูกสาวเจ้ากระชากออกอย่างแรง

            “เฮ้! ไม่ต้องร้อนแรงขนาดนี้ก็ได้อนิน”

            “บ้า” สาวคนเก่งทำเสียงฉิว

            รามหัวเราะชอบใจ มองสาวสวยที่มักแต่งตัวเนี้ยบทุกครั้งที่ออกไปทำงาน แต่ตอนนี้กลับสวมชุดนอนตัวโคร่ง ทั้งยังปล่อยผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เธอก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์แล้วต่อสายหาพี่สาว แต่พอไม่มีใครรับสาย เธอก็หงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ จนชายหนุ่มทนไม่ไหว เอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์จากมือสาวเจ้าแล้วเอามาเก็บไว้เสียเอง

            “ราม!”

            “นอนได้แล้ว” เขาตัดบทเสียงเข้ม ลุกไปปิดไฟเสียเอง แล้วเดินกลับมานอนที่เดิม

            แต่เหมือนว่าเสียงคุยกันของหนุ่มสาวจะดังเกินไป เพราะเจ้าอ้วนปิกัสโซ่ร้องเสียงดังจนรามต้องเปิดไฟแล้วเข้าไปดู และพบบางสิ่งที่ข้างเบาะของปิกัสโซ่

            “นี่ของคุณใช่ไหม” ถามพลางชู ‘เจ้านั่น’ ขึ้นแล้วยื่นใส่หน้าอนินทิตา

            ชุดชั้นในของเธอ ที่แท้ก็แมวเจ้าปัญหาพวกนี้เองที่เอาไปซ่อน...นี่มันโจรชุดชั้นในชัดๆ!

            อนินทิตาหน้าร้อนวาบ สองแก้มแดงก่ำ รีบวิ่งไปหวังจะคว้ามันมาจากมือของรามทันที แต่เขาก็เอาไปหลบไว้ข้างหลัง

            “นี่มันบราเด็กน้อยหรือเปล่า” รามยังแกล้งไม่เลิก ทั้งยังพลิกบราสีหวานลายการ์ตูนของอนินทิตาไปมาอย่างพิจารณา “พระเจ้า...ดันทรงหนาพอกับส้นรองเท้าคุณเลย”

            เขาพูดหน้าตาเฉย แต่คนฟังหน้าร้อนจนแทบจะระเบิดไปแล้ว!

            อนินทิตาก้าวพรวดเข้าไปหา พยายามแย่งชั้นในตัวโปรดคืน ท่าทางโกรธระคนเขินอายของสาวเจ้าทำให้รามได้ใจ ยิ่งเอาซ่อนไว้ข้างหลังทั้งยังเบี่ยงตัวไปมาให้อนินทิตาไล่ตาม

            “เอาคืนมา!”

            “แกะซิลิโคนออกมาหนุนได้เลยมั้งเนี่ย หนาขนาดนี้” หนุ่มมาดเข้มแกล้งว่าพลางปั้นหน้าครุ่นคิด

            “อี๊!” อนินทิตาทำเสียงยี้แล้วพยายามไล่ตาม แต่ไม่เคยทัน

            รามหัวเราะแล้วเดินหนีไปอีกทาง ไม่ยอมให้เธอจับเขาง่ายๆ ทำไปทำมาก็กลายเป็นวิ่งไล่กันไปทั่วห้อง จากที่ลุกขึ้นมาดูแมวที่ตื่นแค่ตัวเดียว ตอนนี้มันตื่นครบทุกตัว ทั้งยังมองด้วยความสนใจ ยกเว้นแต่แพนดอร่าที่ติดรามมากถึงขั้นวิ่งตามมาพันขา ทั้งสองจึงยอมหยุด โดยเฉพาะรามที่ต้องรีบอุ้มแพนดอร่ากลับไปนอนที่เดิม

            “อีตาลามก” เจ้าของเสียงหวานบ่น รีบวิ่งเอาชั้นในเจ้าปัญหาไปเก็บไว้ในห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วเดินกลับมาพร้อมทั้งปรายตามองค้อนคนขี้แกล้ง

            ‘คนลามก’ หัวเราะร่า ยิ่งแกล้งให้เธอโมโหจนเสียการควบคุมตัวได้ เขาก็ยิ่งสะใจ และตอกย้ำด้วยการปิดไฟห้องอย่างรวดเร็ว จนอนินทิตาเดินสะดุดกองผ้าห่มล้มหน้าคะมำลงบนเบาะที่รามใช้ต่างที่นอน

            “ราม!” คนถูกแกล้งแหวเสียงฉิว หัวเสียระดับสิบ นึกอยากลุกขึ้นตะกายหน้าเขานัก แต่ก็ช้ากว่าชายหนุ่มที่กลับมานอนบนเบาะเดียวกันแล้วตวัดวงแขนรอบเอวเล็กก่อนจะดึงเธอเข้าหาตัว

            ทั้งที่ตั้งใจจะจัดการเขาแท้ๆ แต่พออยู่ๆ ถูกดึงเข้าไปประชิดร่างสูง ใกล้ชิดกันเสียจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่าย อนินทิตาก็ถึงกับไปไม่เป็น เธอตกใจจนตัวแข็งทื่อ แต่สองแก้มร้อนวาบ

            “นอนด้วยกันข้างล่างนี่ดีกว่า” คนเจ้าเล่ห์กระซิบชิดใบหูเล็กของสาวในอ้อมกอด แม้จะอยู่ในความมืด มีเพียงแสงไฟที่ส่องลอดหน้าต่าง แต่เพราะความที่ใกล้กันขนาดนี้ เธอจึงสังเกตถึงดวงตาเป็นประกายแพรวพราวของเขา

            “ทำไมฉันต้องลงมานอนหลังแข็งตรงนี้ด้วยล่ะ” สาวคนเก่งเชิดหน้า ส่งผลให้ปลายจมูกแตะกันอย่างไม่ทันตั้งตัว

            อนินทิตาชะงัก แต่พอตั้งสติได้ก็รีบดันอกกว้างออกอย่างแรง เพราะกลัวเขาจะรู้ว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นแรงจนแทบหายใจไม่ทัน

            “ก็เผื่อว่า...ผมจะไม่อยู่”

            “คุณจะไปแล้วหรือ” คนฟังใจกระตุก ทั้งที่รู้ว่าคนที่มาที่ไปลึกลับอย่างเขาคงไม่อยู่เป็นที่นานๆ และเธอเองก็ไม่ตั้งใจต้อนรับเขามาตั้งแต่ต้น แต่ก็อยู่ด้วยกันมานานจนอดใจหายไม่ได้

            “คิดว่างั้นนะ” รามขยับตัวให้นอนสบายขึ้น แล้วจับให้อนินทิตานอนหนุนแขนเขา แรกทีเดียวเธอขืนตัวไว้ แต่ก็โอนอ่อนลง

            “ไม่มีใครตามคุณแล้วใช่ไหม”

            “ใช่”

            “ก็ไปสิ” เธอตอบไม่แยแส ทำสุ้มเสียงให้เหมือนรำคาญเขาเสียเต็มประดา ทั้งที่ใจกระตุก แต่ก็บอกตัวเองว่าแค่แรกๆ เท่านั้นละ อีกสักพักเธอก็จะชินกับการอยู่คนเดียวเหมือนเดิม

            “คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าคุณจะว่าไง”

            “จะให้ว่ายังไงล่ะ” เจ้าของเสียงหวานย้อนถามกวน แต่ก้มหน้าซ่อนแววตาสั่นไหวไม่ให้เขาเห็น

            “คิดว่าคุณอยากให้ผมอยู่ต่อ”

            “จะให้ขอร้องให้คุณอยู่หรือ”

            “ลองดูสิ” รามตอบขันๆ แล้วลูบเรือนผมยุ่งๆ ของเธออย่างถือวิสาสะ

            “ไม่ละ” อนินทิตาตอบแบบไม่ต้องคิด แม้จะรู้สึกแปลบๆ ในใจ แต่ถ้าใช้สมองคิดตามเหตุผลดีๆ ก็ดีแล้วที่เขาไป อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องระแวงสงสัยในตัวเขาอีก ต่างคนต่างไปสักทีก็ดีเหมือนกัน

            “ไม่ห่วงแมวหลานๆ ของคุณหรือ”

            “เดี๋ยวเมก็มาเอา” ตอบพลางเบี่ยงศีรษะหนีมือหนากร้านที่ยังลูบผมเธอเบาๆ ทั้งยังเอานิ้วพันผมเธอเล่นอีกต่างหาก

            นี่มันใกล้ชิดเกินไปไหม...ทั้งที่ตัวเองก็ไว้ผมยาวประบ่า สั้นกว่าของเธอเล็กน้อยเท่านั้น อยากเล่นทำไมไม่เล่นผมตัวเอง มาเล่นของเธอทำไม อนินทิตาคิดอย่างสับสนว่าควรจะโต้กลับเขาอย่างไรดี แต่อยู่ๆ เขาก็ยื่นมือมาจับปลายคางเธอให้หันไปสบตากับเขา

            “ผมยังไม่ไปวันนี้พรุ่งนี้เสียหน่อย ไม่ต้องร้องไห้นะ” เขาบอกยิ้มๆ สุ้มเสียงปลอบประโลมเหมือนผู้ใหญ่ใจดี ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาบ้ามาก

            “ฉันไม่ได้ร้อง!” เธอแหวใส่ กำลังจะดีอยู่แล้วเชียว แต่แล้วเขาก็กลับกวนประสาทเธออีก

            “ผมล้อเล่น”

            “ปล่อย” สาวร่างเล็กดิ้นขลุกขลัก พยายามแกะมือเขาออกจากเอว แต่รามไม่ยอมปล่อย ทั้งยังดึงเธอเข้ามาแนบชิด กระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นกว่าเดิมเสียอีก

            “อย่าดิ้นน่า”

            “ก็จะกอดไว้ทำไมเล่า ฉันจะกลับไปนอนข้างบนแล้ว” พอกันที ถ้ายังขืนอยู่ตรงนี้เธอคงเป็นบ้าเพราะการกระทำไม่คิดของเขาแน่ๆ

            “คุณเอาน้องคิตตี้ตีอัดใส่หัวผมจนกระเด็นไปมุมห้องโน่นแล้ว ก็ต้องเสียสละตัวเองมาให้ผมกอดเสียดีๆ”

            อนินทิตาถึงกับอึ้ง...นี่ข้ออ้างปัญญาอ่อนอะไรของเขา

            “จำได้ไหม...ผมเคยบอกว่าถ้าผมไม่นอนกอดคิตตี้ คุณก็ต้องมาให้ผมกอดแทน ไม่อย่างนั้นนอนไม่หลับ”

            “ก็ลุกไปเอามาสิ” เธอสั่งฉุนๆ สองมือดันอกคนหน้าด้านให้ปล่อยเธอเสียที แต่ก็ไม่เป็นผล

            “ไม่เอา ขี้เกียจลุก ผมง่วงแล้ว”

            “แต่...”

            “นอนเถอะอนิน พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานไม่ใช่หรือ” รามตัดบทแล้วจับศีรษะเธอให้ซุกอก ทั้งยังกอดก่ายเธอไว้แน่นทั้งแขนทั้งขา ทำเอาอนินทิตาขยับไม่ได้ จะออกเสียงท้วงเขาก็ไม่ได้

            แค่คืนเดียว...คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

            สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะเธอเองก็สับสนเกินกว่าจะคิดอะไรออกเช่นกัน

 

อนินทิตาตื่นมาด้วยอาการเมื่อยขบไปทั้งตัว เหตุเพราะกว่าจะหลับก็ดึกมากแล้ว ทั้งยังถูกรามนอนกอดเหมือนเป็นตุ๊กตาตัวโปรด มีอย่างที่ไหนพาดขามาบนตัวเธอตลอดเวลา แล้วตัวเขาเบาเสียเมื่อไร แม้ภายนอกจะดูผอมแห้งก็เถอะ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นผู้ชายที่มีกล้ามเนื้อพอตัว แล้วเธอจะสู้แรงไหวได้อย่างไร

            “คนบ้าเอ๊ย” เธอลุกขึ้นนั่งอย่างหัวเสียแล้วกวาดตามองไปรอบห้องเพลย์รูม แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของราม ทั้งที่ที่นอนข้างตัวก็ยังอุ่นๆ บ่งบอกว่าเขาคงลุกก่อนเธอไม่นาน

            “ไปไหนของเขา” อนินทิตาบ่นกระปอดกระแปด ลุกขึ้นเขี่ยหมอน ที่นอน ผ้าห่มไปให้พ้นทางแล้วเดินเข้าห้องน้ำ แต่ก็ไม่เห็นราม

            การอยู่ร่วมบ้านกันมานับเดือนทำให้อนินทิตาจำกิจวัตรประจำวันของรามได้แล้ว เขาเป็นคนตื่นเช้ามากและออกไปนอกบ้านทันที เธอคิดว่าเขาน่าจะออกไปวิ่งออกกำลังกาย และกลับเข้ามาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เธอก่อนเธอออกไปทำงานเสมอ แต่วันนี้กลับตื่นมาไม่เจอราม ไม่ว่าจะห้องน้ำหรือห้องครัวก็ไม่มีแม้เงา

            ชักแปลกๆ เสียแล้ว...

            อนินทิตานิ่วหน้า พยายามบอกตัวเองว่าเมื่อคืนเขาก็เพิ่งบอกว่าเขาอาจจะออกไปจากบ้านเธอเร็วๆ นี้ เธอก็ควรจะดีใจไม่ใช่หรือ แต่ทำไมพอตื่นมาไม่เจอเขาจริงๆ หัวใจของเธอถึงได้วูบไหวและอ้างว้างเช่นนี้

            บ้าจริง!

            สาวคนเก่งสะบัดหน้าแรงๆ บอกตัวเองว่าไม่ต้องสนใจ แค่คนที่อยากมาก็มา อยากไปไหนก็ไป ไม่มีความสำคัญพอให้เธอต้องคิดถึงเสียหน่อย จากนั้นจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเอกสารไปทำงาน ทว่าเมื่อลงมาชั้นล่างแล้วกลับได้กลิ่นกาแฟลอยมาจากในครัว จึงพรวดพราดเข้าไปก็พบร่างสูงโปร่งคุ้นตากำลังยืนหันหลังให้ พลันหัวใจที่ห่อเหี่ยวเมื่อครู่ก็ค่อยๆ กลับมาพองโตเช่นเดิม

            “คุณลงมาช้าไปสิบนาทีนะ เมเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง” รามบอกพร้อมกับหันมายิ้มให้ ในมือมีจานใส่ขนมปังที่เพิ่งปิ้งเสร็จกับไข่คน แฮม และไข่ดาว ก่อนเดินมาวางที่โต๊ะตรงหน้าอนินทิตา

            “เมมาหรือ”

            “ใช่น่ะสิ ไม่สังเกตหรือว่าหลานๆ คุณน่ะไปหมดแล้ว”

            “อ้าว” อนินทิตาทำหน้าเหลอแล้วหันออกไปนอกครัว จริงอย่างที่รามบอก แมวๆ ทั้งสี่ไม่อยู่แล้ว ข้าวของใดๆ ก็ขนออกไปหมดแล้วด้วย

            “เมรู้ว่าคุณต้องรีบออกไปทำงานเลยไม่อยู่รอ แต่สุดสัปดาห์นี้ชวนไปเวอร์จิเนียบีช”

            “ถามจริง”

            “จริง” รามตอบยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกายแพรวพราวเสียจนหญิงสาวร้อนๆ หนาวๆ

            สายตารู้ทันของเขาทำเอาอนินทิตาหน้าร้อนวาบ ประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก กลัวเหลือเกินว่าเขาจะจับความหวั่นไหวของเธอได้ จึงแสร้งทำเป็นมองมื้อเช้าแล้วทำตื่นเต้นเกินเหตุ

            “ของฉันใช่ไหม”

            “ที่จริงก็ของผม แต่...คุณกินได้เลยอนิน คุณควรกินมื้อเช้าก่อนออกไปทำงาน ไม่ใช่กินแต่กาแฟ”

            “ก็...”

            “ผมทำเผื่อคุณตลอด แต่คุณก็ไม่เคยกิน”

            “ต่อไปนี้ฉันจะกิน” สาวเจ้าของบ้านตอบแข็งขัน เพราะไม่รู้ว่าเขาจะไปเมื่อไร

            “เด็กดี” รามบอกเสียงนุ่มทั้งยังยื่นมือมาลูบศีรษะเธอเบาๆ กิริยาอ่อนโยนเหมือนเมื่อคืนทำเอาหญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้

            ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่วางจานอาหารลงแล้วนั่งตรงข้ามเธอแวบหนึ่ง สบตากันแค่เสี้ยววินาที อนินทิตาก็เริ่มทำอะไรไม่ถูกแล้ว จึงเบี่ยงความสนใจของตัวเองด้วยการถามเรื่องอื่น “เมชวนไปเวอร์จิเนียบีชหรือ”

            “ใช่ แต่ผมยังไม่ตอบแทนคุณหรอกนะ ให้คุณไปคุยกันเอง”

            “ไว้ฉันจะโทร. หาเมแล้วกัน ว่าแต่...คุณจะไปด้วยไหม” ประโยคหลังเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่รามก็ยังได้ยินอยู่ดี

            “ขึ้นกับว่าคุณอยากให้ผมไปไหม”

            “ฉันบอกเมว่าเราเดตกัน ถ้าไม่ไปก็คงแปลกๆ”

            “ก็ไปสิ” รามตอบรับง่ายๆ แล้วก้มหน้ากินต่อ

            “แล้วไหนว่าจะไปแล้วไงล่ะ”

            “ยังหรอก ไว้ก่อนไปจะบอก”

            คนฟังใจชื้นขึ้นมาทันที อนินทิตาพยักหน้าเบาๆ แล้วก้มหน้าซ่อนยิ้ม ทำเป็นว่าเอร็ดอร่อยกับมื้อเช้า แล้วรีบออกไปทำงาน

 

ท่าทางของอนินทิตาไม่อาจเล็ดลอดตาคมกริบไปได้ รามสังเกตเห็นทุกอากัปกิริยาของเธอ ไม่ว่าจะแววตาหวั่นไหว สองแก้มนวลปลั่งที่ขึ้นสีระเรื่อ ไหนจะการที่เธอสบตาเขาแล้วหลบสายตาเขาหลายต่อหลายครั้ง ท่าทางถือดีที่ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนอย่างตอนแรกที่เจอกัน ทำให้เขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้แกร่งอย่างที่เห็นวันแรก ความสวยมาดมั่นและท่าทางหยิ่งๆ นั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่เปลือกห่อหุ้มความเหงาไว้ เมื่อทำลายกำแพงนั้นได้ รามจึงพบเพียงผู้หญิงว้าเหว่และแสนใจอ่อนคนหนึ่งเท่านั้น

            และสายตาของเธอที่มองมาก็ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว...

            อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มสะบัดหน้าไล่ภาพแววตาไหวระริกของอนินทิตาออกไป เขายังมี ‘ภารกิจซ่อนเร้น’ ที่ต้องทำให้เสร็จ และออกไปจากที่นี่ก่อนที่อะไรๆ จะสายไปกว่านี้

            ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้น เก็บจานลงเครื่องล้างจานให้หมด จัดการเก็บกวาดข้าวของเรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากบ้าน ตรงไปยังร้านเจนเซนที่เป็นดังฐานปฏิบัติการลับๆ ของเขา

            ภายนอกร้านเจนเซนคือร้านอาหารเม็กซิกันที่มีอยู่ทั่วไป ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติและเปิดมานานหลายปี แต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครรู้คือที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ร้านอาหาร ในครัวมีห้องอีกห้องที่เป็นดังฐานลับที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีมากมาย ใช้เสียงความวุ่นวายในครัวกลบเสียงเครื่องมือต่างๆ จนไม่มีใครสงสัย รามรู้จักพิกัดร้านนี้จากงาน ‘ภารกิจซ่อนเร้น’ ที่ต้องเร่งมือให้เสร็จภายในอีกไม่กี่วันนี้

            “ร้านเปิดเที่ยงตรง” คุณนายเจนเซนคนเดิมบอกด้วยเสียงเบื่อๆ เหมือนทุกครั้งที่รามเดินเข้ามาในร้าน

            “ก็ผมมาเตรียมตัวไง” หนุ่มเจ้าเล่ห์ตอบกวนๆ แล้วเดินผิวปากเข้าไปในห้องครัว เดินเลยไปยังประตูที่อยู่มุมห้องแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมติดตามหาตัวบุคคลที่เขาใช้ ‘สอดแนม’ อนินทิตา และเฝ้ามองงานของเธอผ่านการแฮ็กเข้าทั้งโทรศัพท์และแมคบุ๊กของเธอมาตั้งแต่แรก!

            เสียงโทรศัพท์สั่นเตือนเป็นจังหวะทำให้รามละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วกดรับสาย “ครับ”

            “คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” ‘ใครบางคน’ จากปลายสายถามเสียงเข้ม

            “ครับ อีกไม่เกินหนึ่งสัปดาห์น่าจะได้ตำแหน่งที่แน่ชัด”

            “ผมจะรอ” ปลายสายบอกสั้นๆ แล้วตัดสายไป

            รามวางโทรศัพท์ลงข้างคอมพิวเตอร์ เมื่ออยู่ตามลำพังเขาก็เคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีวี่แววกะล่อนขี้เล่นอีกต่อไป ใบหน้าคมเข้มเรียบเฉย ดวงตาคู่สีดำล้ำลึกอ่านยากจับจ้องไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดโปรแกรมสอดแนมอนินทิตาไว้ และเฝ้ามองทุกความเคลื่อนไหวของเธอ

 

วันนี้อนินทิตาพร้อมด้วยหมอฮาเปอร์ จิตแพทย์หนุ่มใหญ่ใจดีคนเดิมเข้ามาคุยงานกับแม็กซ์และทีมของเขาเหมือนอย่างทุกวัน เพื่อวางแผนการเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาไปยังแผนกจิตเวช การเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาพ่วงคดีเดอะดาร์กแฟนทอมจะกลายเป็นข่าวใหญ่ และเป็นเป้าโจมตีทั้งจากสื่อและจากมือที่มองไม่เห็นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งทุกอย่างต้องรัดกุมมากที่สุด ทั้งยุทธวิธีและทางด้านจิตวิทยา เพราะการเห็นขบวนคุ้มกันยาวเหยียดอาจทำให้สตีเวนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้ามีอาการแย่ลงได้

            “มันจะเป็นแผนที่ดี” แม็กซ์ให้คำมั่นแก่ลูกทีม และเงยหน้าขึ้นสบตาอนินทิตาและจิตแพทย์หนุ่มใหญ่ที่ร่วมเดินทางพร้อมกับสตีเวนด้วย

            “คุณเคยบอกว่าจะมีแผนหลอก” อนินทิตาถามทันทีที่เลิกประชุม คนอื่นๆ ทยอยออกไปแล้ว เหลือแค่เธอกับแม็กซ์เท่านั้น

            “ใช่ แต่ผมคิดว่าคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น”

            “ฉันจะต้องเขียนรายงานหัวหน้ายังไงล่ะ”

            “ไม่ต้อง” เจ้าหน้าที่หนุ่มส่ายหน้า “ผมจะให้หัวหน้าผมส่งเอกสารลับถึงหัวหน้าคุณเอง”

            “ขอบคุณค่ะ”

            “สุดสัปดาห์นี้คุณว่างไหมอนิน” แม็กซ์ถามด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อย ฟังอย่างไรก็ไม่ใช่เขาเลย

            คำถามของเขาทำให้อนินทิตาชะงักมือที่กำลังเก็บของแล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแม็กซ์กำลังเกาท้ายทอย ท่าทางเก้อๆ เธอส่ายหน้าทันทีแบบไม่ต้องคิดนาน “ฉันนัดกับครอบครัวว่าจะไปเที่ยว”

            “น่าเสียดาย”

            “ไม่คิดว่าคุณจะพักกับเขาได้” เท่าที่รู้มา คนบ้างานอย่างแม็กซ์ต้องทำงานให้เสร็จสิ้นก่อนเสมอ เขาเหมือนเครื่องจักรที่หายใจเข้าออกเป็นคำว่างานไปเสียหมด เป็นมนุษย์ที่สะกดเป็นแค่คำว่าสมบูรณ์แบบเสียจนเธอมองไม่ออกว่า เวลาเขาไปเที่ยวผ่อนคลายแล้วจะเป็นอย่างไร

            “ก็ต้องพักกันบ้างละน่า”

            “เสียใจด้วย ฉันนัดพี่สาวไว้ก่อนแล้ว”

            “แฟนคุณก็ไปใช่ไหม”

            คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย...นั่นสิ ถึงวันนั้นรามจะอยู่หรือจะไปจากบ้าน เธอก็ยังไม่รู้เลย

            “อนิน...”

            น้ำเสียงเจือความห่วงใยของเขาทำเอาสาวคนเก่งสะดุ้ง ก่อนจะยืดตัวขึ้น ปรับสีหน้าหม่นหมองเมื่อครู่ให้กลับมาแช่มชื่นดังเดิม ทั้งยังเชิดหน้าขึ้นแล้วตอบกวนๆ “ก็ใช่น่ะสิ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปนะ”

            “แล้วเจอกัน”

            “อะฮะ” นักจิตวิทยาสาวพยักหน้า แล้วหอบของออกจากห้องประชุมไปสมทบกับจิตแพทย์หนุ่มใหญ่ จากนั้นจึงเดินทางกลับสถาบันจิตวิทยา กว่าจะมาถึงก็ได้เวลาเลิกงานพอดี จึงแวะไปชวนเจฟฟ์ออกมาดื่มกาแฟด้วยกัน สักพักก็แยกย้ายกันกลับ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น