0

บทนำ

บทนำ

 

ใต้ฝ่าเท้าคือความว่างเปล่า 

ต้องรักสะดุ้ง กะพริบตาปริบๆ อย่างงงงันเมื่ออยู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกตัวขึ้นมาพบว่าตรงหน้าตัวเองคือความเวิ้งว้างของวิวมุมสูงจากบนยอดตึก...น่าจะสักยี่สิบชั้น ทำให้แลเห็นโลกเบื้องล่างได้กว้างไกลสุดสายตาจากถนนสุขุมวิทไปถึงไหนต่อไหน

หญิงสาวรับรู้ถึงขาข้างหนึ่งของตนเองที่กำลังยกก้าว...ซึ่งถ้าวางเท้าลงไป...

นั่นคือความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น!

'เกือบไปอีกแล้ว!'

หญิงสาวตัวเล็กร่างผอมบางราวกับสาวน้อยในเดรสวินเทจผ้าลูกไม้สีหวานคิดพลางทอดถอนใจ ขณะก้าวถอยหลังกลับมาสู่ภายในตัวอาคารในจุดที่ปลอดภัยขึ้น

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพบว่าอยู่ในที่แปลกๆ  บางครั้งเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอยู่บนรางรถไฟที่มีรถไฟความเร็วสูงกำลังจะแล่นผ่าน กลางบึงน้ำ หรืออยู่บนที่สูงอันไร้ทางขึ้นลงโดยไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร

...กลางถนนก็ยังเคยเลย!

ดังนั้นคราวนี้หญิงสาวจึงไม่ค่อยตื่นตระหนกเท่าไรนัก

เมื่อเหลียวมองรอบกาย เธอค่อยสังเกตเห็นรอบด้านว่ากำลังอยู่ในอาคารร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จ เป็นโครงสร้างคอนกรีตปูนเปลือยเก่าๆ มีคราบราสกปรกกับเสาแหว่งวิ่นที่มีเหล็กเส้นสนิมเขรอะแทงออกมาในสภาพถูกทิ้งร้างเหมือนช่างยังทำงานไม่เสร็จ แต่รีบร้อนจากไป 

ยังดีพื้นและคานพอจะสมบูรณ์ มันน่าจะแกร่งและหนาพอจะรับน้ำหนักสี่สิบห้ากิโลกรัมของเธอได้ ไม่ถล่มลงไปแน่ๆ นอกเหนือจากนั้นคือความว่างเปล่า ไร้ผนัง ฝ้าเพดาน  ไม่มีแม้แต่ราวระเบียงกั้นขอบเขตตึกด้วยซ้ำไป!

นั่นทำให้หญิงสาวแทบต้องปาดเหงื่อเมื่อได้สำนึกว่าเมื่อครู่เธออยู่ห่างจากความตายเพียงเส้นยาแดงผ่าแปดแค่ไหน

แต่โล่งอกได้ไม่ทันไร เธอก็ต้องสะดุ้งกับเสียงร้องตะโกนเกรี้ยวกราด

‘ทำไมไม่โดดลงไป!’

‘เสียง’ นั้นไม่เหมือนเสียงทั่วไป มันเป็นคล้าย...เอ่อ จะอธิบายอย่างไรดี มันคล้ายเสียงหวีดของลมผสมกับเสียงเสียดหูเหมือนแก้วแตกหรือโลหะคมๆ ถูกบดขยี้ และแทรกเข้ามาในความคิดเธอตรงๆ มากกว่าจะเป็นเสียงที่รับรู้ได้จากประสาทหู

มันเป็นเสียงของ…

ต้องรักหันไปมองทางต้นกำเนิดเสียงนั้น แม้รู้และเดาได้ว่าจะต้องเจอกับอะไร แต่เธอก็ยังน้ำตาร่วงพรู

ที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นคือร่างของหญิงสาวผอมโปร่งในชุดแซกรัดรูป ดวงหน้า...ที่น่าจะเคยสวยบัดนี้บิดเบี้ยวไปแทบไม่เป็นทรงด้วยความขุ่นเคืองใจ แถม...นอกจากความเกรี้ยวกราดที่มีส่วนทำลายความเคยงามนั้นจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว…ดวงหน้าอีกซีกที่แหลกเละยังช่วยเสริมความบิดเบี้ยวของใบหน้า จนเหลือเพียงความน่าสะพรึงของสิ่งไร้ชีวิต ไร้ซึ่งความผิดชอบชั่วดี มีเพียงแรงอาฆาตเท่านั้นที่ยังทำให้ร่างเลือนรางคล้ายหมอกควันสีดำที่วูบไหวกึ่งจริงกึ่งหลอกหลอนดำรง ‘ภาพ’ ของตนเอาไว้ได้

เธอน่าจะเคยเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบกลางๆ สวมชุดรัดรูปทันสมัยที่ครึ่งหนึ่งยับเยิน มีรอยเหมือนถูกบดขยี้ หรือไม่งั้นก็ผ่านการร่วงลงไปจากตึกสักยี่สิบชั้น!!!

ความคิดนั้นทำเอาสาวน้อยหน้าหวานสะดุ้ง ผวาเหลียวมองไปรอบตัวอีกครั้งก่อนรับรู้ได้อย่างเชื่องช้าเหมือนเคยว่าเธอนั้นเผชิญหน้ากับ ‘อะไร’ อยู่

‘ทำไมไม่โดดลงไป!’ น้ำเสียงเกรี้ยวกราดยังกรีดดังอยู่ในสมองเธอ เสียดประสาทจนเผลอยกสองมือขึ้นอุดหู ทั้งๆ ที่รู้ว่าอุดไปก็ไม่อาจปิดกั้น ‘เสียง’ จากความรู้สึกที่ยังตกค้างนั้นได้หรอก… 

แต่การที่หญิงสาวยกมือขึ้นอุดหูทำให้เธอได้ยินอีกเสียงหนึ่ง...หรือที่จริงคือโทรศัพท์มือถือในมือที่ยกขึ้นมาจนใกล้หูนั้นทำให้ได้ยินเสียงริงโทนถี่กระชั้นที่พยายามเรียกเธอ เมื่อกดรับสายก็พบว่าข่มขู่อีกรูปแบบ

“ต้อง! ไอ้ต้อง! แกยังอยู่ไหม รับสายสักทีสิ เร็วๆ ถ้าแกไม่รับนะฉันจะตัดเงินเดือนแกแล้วส่งแกไปเจอผีที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่แกเคยเจอมาเลย” 

เสียงรัวดุเดือดของหญิงสาวคนหนึ่งดังลอดออกมาจากเครื่องมือสื่อสารที่คนขวัญเสียน้ำตาอาบแก้มไม่หยุดกำไว้แน่น หากเพ่งมองไปยังชื่อเจ้าของสายคู่สนทนาผู้ใช้น้ำเสียงแข็งๆ เหี้ยมเกรียม ดุดันพูดสายอยู่จะเห็นว่าสายสนทนานั้นถูกตั้งชื่อไว้ว่า ‘คุณพลัมบอสโหด’

“นะ...นี่มันยังไม่น่ากลัวที่สุดอีกเหรอคะคุณพลัม งือ…” ต้องรักสะอื้นถามกลับไปด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร

“ยัง! ฉันยังมีผีในสต๊อกอีกเยอะ แต่ยังสงสารเลยไม่อยากให้แกต้องไปเจอ” คนพูดใช้น้ำเสียงเหี้ยมเพื่อกลบเสียงถอนหายใจโล่งอกที่อีกฝ่ายตั้งสติขึ้นมาสื่อสารได้เสียที จากที่นิ่งเงียบหายไปไร้การตอบสนองจนคนสั่งให้อีกฝ่ายไปทำงาน...แปลกๆ ชักใจไม่ดี แทบจะออกคำสั่งให้ใช้แผนสองอยู่แล้ว

“เปิดสปีกเกอร์หน่อยซิ ขอฉันคุยด้วยหน่อย” คุณพลัมหรือพรำพรรษ เจ้านายสาวจากอีกปลายสายโทรศัพท์สั่งเสียงแข็งอย่างไร้ปรานี ไม่สนใจเสียงสะอื้นของเลขาฯ สาวที่เหมือนใกล้สติแตกเต็มทนเลยสักนิด

จะไม่ให้สติแตกได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้มีร่างหลอนน่าสะพรึงที่เลือนรางคล้ายหมอกควันวูบไหวไปมาอยู่รอบๆ กายเธอ บางครั้งก็ยื่นเสี้ยวหน้าอัปลักษณ์อันแหลกเละเข้ามาใกล้ แถมยังสั่งให้เธอกระโดดลงไปอยู่ได้!

“ฮือ...ต้อง...ต้องไม่โดดลงไปหรอกค่ะ ตกลงไปสูงขนาดนี้น่าจะเจ็บมากๆ เลยนะคะ แถม...หน้าคงเละอีก ไม่เอาหรอกค่ะ จะตายทั้งทีต้องขอเป็นผีที่สวยๆ สักหน่อยสิคะ” 

ทั้งที่ต้องรักอุตส่าห์ตั้งสติเจรจา พร้อมให้เหตุผลในการปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำสั่งของผีร้ายแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะไปกระตุ้นให้วิญญาณอาฆาตให้ยิ่งกรีดร้องคลุ้มคลั่ง เธอแทบต้องยกมือที่ถือโทรศัพท์ขึ้นอุดหูอีกครั้ง แต่คราวนี้ตั้งสติได้นิดหน่อย แถมยังจำได้แล้วว่าเจ้านายสาวสั่งให้เปิดลำโพงโทรศัพท์ให้อยู่ในโหมดสปีกเกอร์ หญิงสาวรีบกดปุ่มเปิดการสนทนาตามนั้นทันที

“ปะ...เปิดสปีกเกอร์แล้วค่ะคุณพลัม ฮือๆ” ต้องรักรายงานเสียงสั่นสะอื้น หลับตาปี๋ พลางชูโทรศัพท์ในมือขึ้นให้มันกลายเป็นหน้าจอที่เจ้านายใช้สื่อสารกับ...ผี!

“ฮัลโหล ได้ยินฉันไหม ฉันต้องการพูดกับนิรายา เธอรับรู้ถึงฉันได้หรือเปล่าหา” เจ้านายสาวเอ่ยขึ้น

จะเป็นเพราะน้ำเสียงอันดุดันเด็ดขาด หรืออาจเป็นเพราะ ‘ชื่อ’ นั้นที่ทำให้วิญญาณหญิงสาวหน้าเละครึ่งซีก ‘จดจำ’ ได้ ผีร้ายชะงักความเคลื่อนไหวที่พยายามคุกคามต้องรักด้วยร่างเงาคล้ายหมอกควันนั้นลง และลอยวูบมาปรากฏร่างอยู่หน้าโทรศัพท์มือถือที่ต้องรักชูค้างไว้

“เธอคือนิรายา ที่มีชื่อเล่นว่านิราใช่ไหม” พรำพรรษเอ่ยขึ้นช้าๆ เมื่อรับรู้จากเสียงกระซิบของต้องรักว่าผีหันมาให้ความสนใจกับการเรียกหาของเธอแล้ว

“แกเป็นใคร!?” ผีส่งเสียงเกรี้ยวกราดใส่โทรศัพท์

“ฉันจะเป็นใครไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญกว่าคือ...ตอนนี้ดนัยอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ต่างหาก” พรำพรรษตอบ 

“ดนัย...” ทันทีที่พึมพำชื่อนั้นออกมา ร่างบิดเบี้ยวสุดหลอนนั้นก็เปลี่ยนไป ชุดรัดรูปแหลกเละเลือนหายกลายเป็นเดรสสั้นพลิ้วไหว ความสุขเปล่งประกายออกมาจากวิญญาณสยองขวัญที่บัดนี้เหมือนกลับกลายเป็นสาวน้อยแสนหวานในวันเดตแรกไปเสียแล้ว

...คงเป็นความทรงจำของการพบกันครั้งแรกของคนรักแหละที่ทำให้ประกายความสุขโอบล้อมดวงวิญญาณนั้นเอาไว้ แต่ก็ในช่วงสั้นๆ เพราะวินาทีถัดมาเถ้าสีดำก็ฟุ้งออกมาปกคลุมแสงสีขาวนั้นจนราวกับจมลงไปในหมอกควันสยองขวัญ นัยน์ตาเรืองแสงสีแดงวาวทอประกายกระหายเลือดในหมอกที่ราวกับเงาปีศาจนั้น

“ดนัย! ไอ้ผู้ชายสารเลวที่ทิ้งฉันไปมีคนใหม่!” ผีเค้นเสียงออกมาจากเงาดำที่แผ่รังสีชั่วร้ายออกมาเรื่อยๆ พลังกดดันอันรุนแรงนั้นทำต้องรักตัวสั่นแทบยืนไม่อยู่

วิญญาณอาฆาตเป็นผีรูปแบบหนึ่งที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงเสมอ นอกจากความน่ากลัวของมันแล้ว วิญญาณเหล่านี้ยังคล้ายมีความวิปลาส พวกมันยึดติดอยู่กับจิตสุดท้ายจนไม่สนใจสิ่งอื่นใด มักเป็นพวกที่พูดคุยยากและไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร

“ใช่ ดนัย แฟนเธอที่ไปกับผู้หญิงคนอื่นน่ะ” พรำพรรษย้ำยิ่งทำให้ความอาฆาตของเงาปีศาจพลุ่งพล่าน ไม่สนใจเลยสักนิดว่าคนที่ต้องอยู่ตรงนั้นอย่างต้องรักจะสะอื้นแทบขาดใจแค่ไหนกับพลังจิตด้านลบที่แผ่ขยายออกมาไม่หยุด ใบหน้าบิดเบี้ยวสยองขวัญของวิญญาณที่เสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติยิ่งน่าหวาดผวา ราวกับจะส่งความมุ่งร้ายแทรกเข้าไปในทุกพื้นที่ซึ่งจิตพยาบาทของเธอยึดครองไว้

ธรรมดาวิญญาณที่ตายแบบไม่ปกติ หรือยังมีความขุ่นแค้นอาฆาตผูกติดกับผู้คน สถานที่ หรือสิ่งของก็เป็นสิ่งที่ต้องรักหวาดผวาอยู่แล้ว ยิ่งเป็นวิญญาณฆ่าตัวตายและสิงสู่อยู่ที่ใดที่หนึ่งแบบนี้ ยิ่งมีพลังกดดันอันเข้มข้น ฝังอารมณ์ขุ่นแค้นลึกลงไปในทุกตารางนิ้วของสถานที่จนราวกับตึกร้างนี้บีบให้เธอหายใจไม่ออก

“คะ...คุณพลัมอย่าไปยั่วโมโหเขาสิคะ อะ...ฮือออ…” ต้องรักสะอื้นปรามเจ้านาย 

แต่ดูเหมือนพรำพรรษไม่สนใจ หญิงสาวยังคงตอกย้ำหนักขึ้นไปอีก

“ผู้หญิงคนนั้นชื่อพิมพาภรณ์ พวกเขามีบ้านอยู่ด้วยกันมาสามปีแล้ว”

“!!!”

คุณเคยได้ยินเสียงผีกรีดร้องไหม

เสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน...

มันเป็นเสียงเสียดสีบดขยี้ของแรงอารมณ์อันบ้าคลั่ง เสียดแทง กรีดหู บาดเข้าไปในอารมณ์ แทรกเข้าไปในประสาทการรับรู้ในส่วนที่น่าจะยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเคยค้นพบการทำงานของเซลล์นี้ในร่างกายมนุษย์ หรือมันอาจไม่ได้มีอยู่ในร่างกายของคนทั่วไป มันอาจเป็นชิ้นส่วนอวัยวะที่มีอยู่ในเฉพาะคนที่พิเศษมากๆ ก็ได้ 

ต้องรักถอนสะอื้นเมื่อคิดอย่างร้าวรานใจว่าทำไมเธอต้องกลายมาเป็นคนพิเศษคนนั้นด้วย (วะ!?)

หญิงสาวคู้ตัวลงนั่งยองๆ อุดหูไว้ตัวสั่น เธอสะอื้นจนตัวโยน แต่ก็ไม่อาจยับยั้งเสียงกรีดร้องระงมของวิญญาณที่คลุ้มคลั่งได้หรอก

ร่างนั้นแล่นพล่านไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง บางครั้งก็เข้ากระแทกผนังหรือเสาปูน ก่อเกิดคลื่นสั่นสะเทือนที่ตามองไม่เห็น แต่ต้องรักสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนที่รุนแรงนั้นได้เป็นอย่างดี หรือบางทีร่างปีศาจนั้นก็พุ่งทะลุผนังและพื้น เสียงกรีดร้องอย่างเสียสติดังโหยหวนก่อนร่างวิญญาณนั้นจะพุ่งวูบโดดลงไปจากตึก ร่วงลงอย่างไร้การควบคุมราวกับเป็นวัตถุที่มีน้ำหนักชิ้นหนึ่ง

และ...ราวอุปาทาน เหมือนต้องรักจะได้ยินเสียงของทึบๆ หนักๆ หล่นกระแทกพื้น!

เสียงของความสยดสยองยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น

หลายนาทีต่อมา...เสียงแฉะๆ เหมือนของที่มีน้ำหนัก...เป็นชิ้นส่วนปะปนกับของเหลวที่แหลกเละก็ดังขึ้น ราวกับมีบางสิ่งค่อยๆ คืบคลาน...ครูดตัวผ่านขึ้นมาทางบันไดคอนกรีตดิบ เหมือนร่างทุรนทุรายนั้นกำลังปีนป่ายกลับขึ้นมาช้าๆ อย่างทรมาน ไร้การเยียวยารักษา และไร้จุดสิ้นสุด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น