1

1

1

 

          เสียงคืบคลานอันน่าสยดสยองนั้นดังเป็นจังหวะ ใกล้เข้ามาทุกที กระทั่งผีร่างแหลกเละนั้นคืบคลานลากเอาซากของตนกลับมาอยู่ตรงหน้าต้องรักอีกครั้ง ร่างหญิงสาวที่คว่ำอยู่บนพื้นก็บิดคอกลับมาร้อยแปดสิบองศา ตาสีแดงลุกโพลงเดือดดาลถลึงใส่สาวน้อยที่ยังยืนคอยอย่างอดทน แม้จะยังสะอื้นน้อยๆ แต่ดูมีความเยือกเย็นขึ้นอย่างประหลาด

ต้องรักใช้หลังมือปาดน้ำตา สูดจมูกแดงก่ำทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งทั้งรอยน้ำตาจากความสะเทือนขวัญ

“คะ...คุณพลัมถามวะ...ว่า...ฮึก...อารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยังคะ”

เจอคำถามนั้นเข้าไป...ต่อให้เป็นวิญญาณร้ายก็ถึงกับเงิบไปเหมือนกันแหละ

ดวงตาแดงก่ำเบิกโพลงขึ้นสองเท่า ก่อนกะพริบปริบๆ ปริบๆ

ท้ายที่สุด...ผีก็เริ่มได้สติ เพราะไม่ว่าหลอกอย่างไร ยายผู้หญิงตรงหน้าซึ่งทำท่ากลัวเสียเหลือเกินก็ไม่ยอมทำอะไรมากไปกว่าร้องไห้ฮือๆ ราววิญญาณอาลัยที่สิงอยู่ตามสถานที่รกร้าง และไม่อาจไปผุดไปเกิด

มัน...ผีนิรายาตัดสินใจได้แล้วว่าคงไม่อาจสร้างความหลอนมากไปกว่านี้ ร่างหงิกงอที่อยู่บนพื้นจึงค่อยๆ ยันตัวขึ้นท่ามกลางกระดูกแหลกๆ ที่ลั่นกรอบแกรบทุกการทรงตัวอย่างยากลำบาก ใช้เวลาชั่วพักหนึ่งกว่าที่ผีหญิงสาวจะจัดระเบียบกระดูกในร่างได้ แล้วตบๆ เศษเนื้อแหลกเละให้ค่อยดูเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมาหน่อย ก่อนตวัดตาแดงก่ำค้อนใส่ต้องรักที่พยักหน้าให้ด้วยสีหน้าเอาใจช่วยพร้อมกับเม้มปากแน่น ไม่แน่ใจว่ากำลังกลั้นสะอื้น หรือกลั้นอาการขย้อนจากการเห็นภาพสยดสยองไม่น่าดู 

หลังจากสูดลมหายใจเรียกพลังสองสามเฮือก ต้องรักก็เอ่ยกับผีนิรายาอีกครั้ง

“คุณพลัมมีอะไรจะบอกคุณค่ะ”

ต้องรักกดรีโมตคอนโทรลอันเล็กในมือ เครื่องฉายภาพก็สาดแสงไปที่จอซึ่งไม่รู้ว่าติดตั้งไว้ตั้งแต่เมื่อไร มันทำให้พื้นที่ตรงหน้ากลายเป็นห้องฉายภาพกึ่งวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ย่อมๆ ห้องหนึ่งขึ้นมา

บนจอคือคลิปวิดีโอหนึ่ง เป็นภาพวัดไทยพุทธที่มีซุ้มประตูโบสถ์วิหารเหมือนวัดไทยทั่วไป แต่ดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับวิญญาณนิรายา เพราะผีสาวเหมือนจะนิ่งขึงไป จ้องนิ่งไปยังจอภาพราวกับถูกมนตร์สะกด

“เจ็ดปีหลังจากที่เธอตัดสินใจกระโดดลงไปและเฝ้าอยู่ที่นี่ เป็นยังไงบ้างล่ะ มันทำให้เธอหายโกรธไอ้ผู้ชายสารเลวนั่นขึ้นบ้างไหม” เสียงของพรำพรรษดังออกมาจากเครื่องขยายเสียงซึ่งถูกติดตั้งไว้ที่ไหนสักแห่ง แต่ก่อนที่วิญญาณสั่นเทานั้นจะเริ่มคลุ้มคลั่งรอบใหม่ พรำพรรษก็พูดแทรกขึ้น

“ฉันไม่สนว่าเธอหรือผู้ชายคนนั้นจะเป็นยังไงหรอกนะ แต่นี่คือสิ่งที่ฉันให้คนไปตามหามา มีคนสองคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการที่เธอประชดผู้ชายที่หมดรักเธอไปแล้ว...”

กล้องหันเข้าไปในวัดที่มีผู้คนประปราย ทว่าที่เด่นชัดคือชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง น่าจะอายุราวสี่สิบปลายๆ ถึงห้าสิบปีเศษ และเห็นได้ชัดถึงความชราเกินอายุจากความทุกข์ที่กัดกร่อน ฝ่ายหญิงมีกรอบรูปอยู่ในอ้อมแขน ภายในกรอบนั้นเป็นรูปภาพของหญิงสาวคนหนึ่ง ดูลักษณะแล้วนั่นคือการที่ญาติกำลังนำรูปผู้วายชนม์ไปทำพิธีสงฆ์แบบพุทธเนื่องในโอกาสครบรอบวันตายของคนในภาพ

ชายหญิงคู่นั้นเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่คนในรูปกลับเป็นหญิงสาวสวยสะพรั่ง มันคือภาพที่ถ่ายไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่ของร่างหมอกควันที่สั่นไหวราวกำลังสะอื้นไห้

“พ่อกับแม่ของเธอยังอยู่ และทรมานจากการสูญเสียเธอไป พวกเขาไปทำบุญให้เธอทุกปี”

“พ่อ...แม่...ฮืออ...”

ร่างวิญญาณนั้นปรวนแปรราวกับเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในห้วงเวลาปัจจุบัน รูปลักษณ์ผีผันเปลี่ยนดั่งกำลังสะท้อนภาพของตัวเองในห้วงเวลาของอดีต วิญญาณแค้นของหญิงสาวที่ทีแรกอยู่ในสภาพผีร้ายแหลกเละค่อยๆ กลายร่างเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง...กลับคืนมาเป็นคนเดียวกันกับคนในรูปที่พ่อกับแม่มาทำบุญให้ ทั้งชุดและทรงผมของเธอแปรเปลี่ยนไปมา มีทั้งชุดอยู่บ้านเบาสบาย ชุดเดรสสวยสำหรับออกงาน ชุดครุยรับปริญญา และบางวูบร่างนั้นก็แปรไปเป็นเด็กหญิงที่ยืนร้องไห้ ดุจภาพวิดีโอนั้นทำให้เจ้าตัวระลึกถึงความทรงจำในช่วงมีชีวิต และย้อนคืนสู่เวลาที่ความทรงจำนั้นๆ เกิดขึ้น

“สังเกตเห็นอะไรไหม พวกเขาแก่ลง ดูทุกข์ทรมาน และต้องอยู่ต่อไปโดยไม่มีใครคอยดูแลพวกเขา” พรำพรรษพูดต่ออย่างไร้เมตตาขณะวิญญาณสะท้านเฮือกสะอื้นฮักแข่งกับต้องรักที่สะเทือนใจจนร้องไห้นำไปนานแล้ว

“พ่อจ๋า...แม่จ๋า...นิราขอโทษ ฮือ...ฮึก...นิราผิดไปแล้ว” ผีนิรายาครวญสะอื้น ความรู้สึกผิดไหลบ่าออกมาจนน้ำตารินไหลไม่หยุด

“แล้วไง เธอก็ตายไปแล้ว เธอเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่เธอไม่มีคนดูแล ส่วนไอ้ผู้ชายคนนั้นมันก็ไปเสวยสุขอยู่กับผู้หญิงอื่นแล้วไงต่อ” พรำพรรษกระหน่ำคำถามอย่างไร้ปรานี

“คะ...คุณพลัม...พะ...พอก่อนเถอะค่ะ...” ต้องรักกระซิบเสียงสั่นสะอื้น ขณะมองดูวิญญาณที่โดนเจ้านายเธอเชือดเฉือนจนแทบทรุดลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว 

แต่พรำพรรษไม่สนใจ หญิงสาวเข้าประเด็นที่ต้องการโดยไม่ยอมเสียเวลาไปสงสารวิญญาณที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั่น

“ฉันมีข้อเสนอให้เธอ เธอจะลองรับฟังดูไหม ฉันจะช่วยดูแลพ่อกับแม่ของเธอให้เอง ฉันจะให้เงินเกษียณสำหรับใช้จ่ายกับพวกเขาก้อนหนึ่ง กับบ้านหนึ่งหลัง และสัญญาว่าจะส่งคนไปคอยดูแลเป็นระยะ ไม่ให้พวกเขาต้องพบกับความลำบากไปจนชั่วชีวิต”

ผีชะงักอาการสะอื้น เบิกตากว้าง มองตาค้างไปยังจอภาพซึ่งค้างรูปพ่อกับแม่ผู้แก่ชราของเธอไว้ ริ้วรอยเหี่ยวย่นของบุพการีราวกับแทรกรอยแตกร้าวลึกเข้าไปในใจ จนบีบหัวใจอดีตบุตรสาวผู้คิดสั้นเพียงชั่ววูบ แต่ความเสียใจนั้นราวจะดำรงอยู่ไปชั่วกาล

“แน่นอนว่ามันต้องมีของแลกเปลี่ยน ฉันไม่เคยให้อะไรใครฟรีๆ หรอกนะ” พรำพรรษตัดอารมณ์ในฉับพลัน

“กะ...แก...แกต้องการอะไร!” วิญญาณอาฆาตแทบจะกรีดร้องตะโกนถาม ความบีบคั้นในวันนี้นั้นมันมากเกินกว่าความรู้สึกทั้งมวลที่เธอได้รับในห้วงเวลาหลังความตายไปมากล้น

“ฉันต้องการใช้ตึกหลังนี้ ถ้าเธอยังโดดบันจีจัมป์อยู่ที่นั่น ก็ไม่มีช่างคนไหนกล้าเข้ามาทำ ดังนั้นแลกกับการย้ายออก ฉันจะดูแลพ่อแม่เธอให้เอง” พรำพรรษยื่นข้อเสนอที่ทำเอาผีสาวอ้าปากค้าง ตาค้าง

“เธอก็เสียใจไม่ใช่หรือไง ระหว่างความเสียใจที่ไม่ได้ดูแลพ่อกับแม่กับความอาลัยอาวรณ์ไอ้ผู้ชายสารเลวคนนั้นอย่างไหนมันมีมากกว่ากันล่ะ”

มันเป็นข้อเสนอที่...ทำเอาวิญญาณที่ยึดติดกับจิตสุดท้ายถึงกับกุมขมับ แทบทึ้งเส้นผมตัวเองออกมา

“ตะ...แต่ฉันก็ยัง...” ผีนิรายาพยายามเถียงเสียงสั่นๆ

“เธอยังแค้นมันอยู่ ฉันเข้าใจและไม่ได้ห้ามเธอแค้นเสียหน่อย แต่...แค้นแล้วได้อะไร การสิงสู่อยู่ที่ตึกร้างมันช่วยแก้แค้นให้เธอได้ไหม” พรำพรรษเอ่ยเสียงเรียบ แต่ทำเอาผีเบิกตากว้าง ร่างสั่นเทา

“ฉันไม่ได้ไล่ให้เธอไปที่ไหนก็ได้ให้พ้นๆ นะ ฉันมีความรับผิดชอบ ฉันเสนอเธออีกอย่าง เธอรู้ไหมว่า...ไอ้หมอนั่นมันกำลังมีความสุขอยู่กับผู้หญิงคนอื่น...หยุดนะ! ห้ามกรีดร้อง! ห้ามร้องไห้! ห้ามโดดลงไปอีก!” พรำพรรษสั่งเสียงแข็งใส่ผีที่ทำท่าทางเหมือนอารมณ์คลุ้มคลั่งจะกลับมาใหม่ ร่างหมอกควันนั้นชะงักการอาละวาด หยุดฟังเมื่อพรำพรรษเอ่ยเสียงเฉียบขาด

“เธอจะปล่อยให้มันมีความสุขกับผู้หญิงคนใหม่รึไง ในเมื่อเธอต้องทนทรมานขนาดนี้!”

“ไม่!” ผีกรีดเสียงเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงก่ำ

“ดี! แต่ฉันไม่อยากให้เธอแค่ไปรังควานมัน เธอยังตัดใจจากมันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ฉันรู้ ไม่งั้นเธอคงเกิดใหม่ไปแล้ว และผู้หญิงคนนั้นที่แย่งชิงของของเธอไปก็ควรได้รับบทเรียนถูกมั้ย” 

ท้ายประโยคนั้น...ต้องรักแทบจินตนาการได้ถึงรอยยิ้มร้ายๆ ของเจ้านายสาวยามวางแผนการสุดร้ายกาจดักใครสักคนให้ตกหลุม เลขาฯ สาวน้อยกลืนก้อนสะอื้นที่ตีรื้นขึ้นมาจุกอก น้ำตาคลอหน่วยคราวนี้ไม่ใช่จากความกลัว ความสะเทือนใจ หรือเห็นอกเห็นใจผีสาวอีกต่อไป แต่มาจากความสงสารตัวเองมากกว่ายามย้อนรำลึกถึงสิ่งที่ตัวเองเผชิญมาตลอดเวลาที่ทำงานอยู่กับพรำพรรษ

“ทำไมเธอถึงไม่ไปเกิดเป็นลูกของพวกเขาล่ะ” พรำพรรษเสนอแนะด้วยน้ำเสียงราวกับไลฟ์โคชผู้ปลุกพลังความคิดให้คนฟังในคลาส

“ทำแบบนั้นดนัยก็ไม่มีทางปฏิเสธเธอได้อีก ถ้าเกิดเป็นลูกเขา ยังไงเขาต้องรักเธออย่างไม่มีเงื่อนไข และ...ถ้าเธอยังจดจำความแค้นนี้ไว้ได้ เธอก็แย่งความรักของเขาจากนังผู้หญิงคนนั้นมาเสียสิ แถม...ในฐานะลูก...ฉันคิดเล่นๆ ยังเห็นวิธีการแก้แค้นเป็นสิบยี่สิบอย่างที่จะทำให้มันทั้งคู่ต้องทรมานเหมือนตกนรกน่ะ”

ผี...ยืนนิ่งอึ้งตะลึงงันไป สีหน้าหลากใจถึงขีดสุดกับคำแนะนำนั้น

“เกิดเป็นลูกเขาสองคนแล้วแก้แค้นซะ” พรำพรรษสำทับพร้อมกันเน้นย้ำความอาฆาตให้วิญญาณร้ายอีกต่างหาก “ทำให้พวกมันรู้ว่าตลอดเวลาที่ถูกมันหลอกลวงจนต้องตายโดยที่พวกมันไม่เห็นค่านี้...เธอต้องทนทรมานแค่ไหน”

ตลอดเวลาที่ผ่านมามีคนพยายามขับไล่เธอด้วยสารพัดวิธี สารพัดศาสนา สารพัดคนทรงคนเห็นผีที่เห็นจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง พวกนั้นเข้ามาและถูกเธอตะเพิดไล่ไปไม่รู้กี่หน

การทำบุญให้สารพัดวิธีการก็ไม่อาจสั่นคลอนจิตสำนึกสุดท้ายแห่งความเกลียดชังของเธอได้ แม้แต่บุญอันบริสุทธิ์ที่พ่อกับแม่ของเธอทำให้ก็ยังไม่อาจคลายปมแห่งความทุกข์นั้นได้

แต่...ที่นิรายาต้องยอมรับคือ... ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมอบข้อเสนอและชี้หนทาง...ไม่ใช่หนทางสว่าง แต่เป็นหนทางแก้แค้นสุดสะใจชนิดที่ผีร้ายยังต้องยอมพยักหน้ารับแบบนี้มาก่อน

“ว่าไง ฉันไม่มีเวลาว่างมารอคิดอยู่ทั้งคืนหรอกนะ จะเอาก็พยักหน้า ไม่เอาก็ติดอยู่ตรงนั้นต่อไป ฉันจะได้ไปทำอย่างอื่น” พรำพรรษเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงแบบไม่ยอมให้บอกผ่าน จนผีที่กัดริมฝีปากตัวเองใช้ความคิดอยู่นั้นต้องถามออกมา

“แกเป็นใครกันแน่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น