2

2

2

 

‘ผู้หญิงคนนี้เป็นใครน่ะเหรอ’

ต้องรักสูดจมูกขณะน้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงมาตามพวงแก้มอิ่มให้เธอต้องใช้หลังมือป้าย สีหน้ามีทั้งความหวาดกลัวปะปนความสะเทือนใจยามที่คำถามจากผีสาวทำให้เธอระลึกถึงความทุกข์ทรมานต่างๆ นานาที่ได้รับ ตั้งแต่พรำพรรษเจอตัวเธอและให้ตำแหน่งเลขาฯ ส่วนตัวแก่เธอ

...ตั้งแต่นั้นมา ชีวิตหญิงสาวก็ไม่เคยพบกับคำว่าสงบสุขอีกเลย!

ไหล่บางสะท้านเบาๆ ราวเหน็บหนาว น้ำตาของต้องรักพลันพรั่งพรูลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

“หยุดร้องไห้ได้แล้วย่ะ ไอ้ต้อง!” น้ำเสียงเหี้ยมโหดของผู้ที่เธอกำลังระลึกถึงดังทะลุทะลวงลำโพงโทรศัพท์ออกมา พรำพรรษยังอยู่ในสายและพูดคุยสั่งงานที่ตกค้างต่ออยู่อีกนิดหน่อย สั่งงานเหมือนไม่รู้สึกรู้สาสักนิดว่าได้ส่งลูกน้องสาวที่อายุเพียงเพิ่งเข้าสู่วัยเบญจเพสให้มาอยู่บนตึกร้างที่ผีดุที่สุดในย่าน แถมยังช่วงเวลาโพล้เพล้ชวนหลอน ถึงจะไม่ได้อยู่เพียงลำพังก็เถอะ ยังมีทีมงานอีกหลายชีวิตที่เข้ามาช่วยเหลือดูแลอยู่หรอก แต่...แต่...ฮือ...

“ผีมันไปแล้วยังจะมากลัวอะไรอีก” พรำพรรษตวัดเสียงตอกย้ำ...อย่างเหี้ยมโหด

“ต้องไม่ได้กลัวผีแล้วค่ะ...” ต้องรักสะอื้นฮัก

“งั้นแกกลัวอะไร” พรำพรรษถามกลับมาเสียงเหี้ยมจนคนฟังจำต้องกลืนก้อนสะอื้น พร้อมๆ กับกล้ำกลืนคำตอบที่นึกไว้ลงคอ

‘กลัวคุณพลัม คุณพลัมน่ากลัวกว่าผีอีก’ 

เพราะถ้าเธอเผลอตอบไปดังใจคิดแล้วละก็...ท่าทางเธอจะได้เจอเรื่องที่น่ากลัวกว่าผีนิรายาอย่างแน่นอน

“ตะ...ต้องกลัว...กลัว” คนพูดเหลียวมองรอบกายเพื่อหาเหตุผลดีๆ มาอ้างกับเจ้านายสาวจอมโหด เหตุผลอะไรที่จะไม่ทำให้นางมารร้ายปรี๊ดแตกจนรังแกเธอได้อีก “กลัวถูกทิ้งไว้คนเดียวค่ะ นะ...นี่คนอื่นหายไปไหนกันหมดคะ” 

หญิงสาวเพิ่งรู้สึกตัวว่าทีมงานที่พรำพรรษส่งเข้ามาติดตั้งเครื่องฉายภาพและติดระบบส่งสัญญาณซึ่งอยู่เป็นเพื่อนเธอจนถึงเมื่อครู่หายตัวไปหมดเกลี้ยง ดูเหมือนระหว่างที่เธอเหม่อลอยเฝ้าแต่สงสารตัวเองอยู่นั้น พวกเขาน่าจะพากันเก็บของแล้วเผ่นไปหมดแล้ว

เอาแล้วไง!

ต้องรักเหลียวมองรอบกาย น้ำตารื้นขึ้นมาอีกครา

แม้จะรู้แล้วว่าผีนิรายาได้ถูกพาใส่กล่องพัสดุกล่องหนึ่งซึ่งมีสิ่งของของเธอเป็นที่ยึดเหนี่ยวและกำลังถูกพาไปสู่บ้านของอดีตคนรักที่สร้างครอบครัวอยู่กับผู้หญิงคนใหม่อย่างมีความสุขมาตลอดหลายปีโดยไม่ได้สนใจการตายของนิรายาสักนิด

พวกเขาหารู้ไม่ว่าความสงบสุขของพวกเขาคงมีอันสิ้นสุดลง เมื่อชายในชุดคล้ายพนักงานบริษัทขนส่งไปกดกริ่งที่บ้านและส่งพัสดุลึกลับกล่องหนึ่งให้ ซึ่งพวกเขาก็คงได้แต่เซ็นรับไปโดยไม่รู้เลยว่าได้รับเอาความแค้นของผีอดีตคนรักมาไว้ในครอบครอง

“เขากลับกันหมดแล้วไง แกมัวทำอะไรอยู่ รีบออกมาเร็วๆ เข้า ทีมข้างล่างก็เตรียมจะถอนตัวกันแล้วนะยะ” พรำพรรษเข่นเขี้ยวใส่เลขาฯ สาวที่บ๊องและเป๋อจนโดนรังแกได้ตลอดเวลา

“ทุกคนคะ อย่าทิ้งต้องไว้สิคะ ฮือ...” ต้องรักตะโกนเสียงสั่นก่อนกระโดด ซอยเท้าวิ่งอย่างเสียขวัญไปทางบันได

ถึงตึกจะไม่มีผีแล้ว แต่การไม่มีคนด้วยทำให้เธอยิ่งขวัญกระเจิงเตลิดเปิดเปิงแทบขาขวิดตกบันได...บันไดปูนเปลือยนั้นยังสร้างไม่เสร็จจึงไร้ราวจับ ทั้งยังตะปุ่มตะป่ำ บางส่วนแหว่งวิ่น บางช่วงยังมีแผ่นไม้ของบล็อกสำหรับหล่อปูนคอยขัดขาให้คนลุกลนสะดุดจนเสียหลักแทบถลาล้ม 

หลังจากสะดุดเป็นรอบที่สี่ ต้องรักก็หยุดพักที่ชานบันไดของชั้นที่เท่าไรไม่รู้ หญิงสาวหอบหนัก ขาล้าจนหัวเข่าสั่น รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในหนังสยองขวัญ หรือไม่งั้นก็ในฝันร้ายของมิติพิศวงที่วิ่งลงมาเท่าไรก็ลงมาไม่ถึงชั้นล่างเสียที

ความปวดร้าวของกล้ามเนื้อที่ขาซึ่งตึงจนแทบเป็นตะคริวเป็นประจักษ์พยานได้อย่างดีถึงช่วงเวลาที่สติของเธอหายไป

 

หลังจากถูกพาตัวมายังตึกร้างน่ากลัวที่ครอบคลุมด้วยเงาดำของพลังวิญญาณร้ายอันน่าอึดอัดและสยดสยองนี้ ต้องรักก็ตั้งใจไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่มองสบตากับใคร หรือ ‘อะไร’ อย่างเด็ดขาด 

แต่วินาทีหนึ่งที่เหมือนต้องมนตร์สะกด หญิงสาวรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่เรียกร้องให้ต้องเงยหน้ามอง และก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อสังเกตเห็นว่าบนยอดตึก ที่ชั้นเกือบสูงสุดนั้นมีร่างหนึ่งยืนอยู่ ร่างผอมบางในชุดกระโปรงสั้นบ่งบอกว่าเป็นสตรีนั้นกำลังยืนหมิ่นเหม่อยู่บนขอบตึก โงนเงนราวกับจะยืนไม่อยู่ ผมยาวเผ้ายุ่งเหยิง แม้เธอจะยกสองมือขึ้นปิดหน้า แต่ไหล่ที่สั่นสะท้านก็บ่งบอกว่าคงกำลังร้องไห้อย่างหนัก

ยังไม่ทันที่ต้องรักซึ่งกำลังตกตะลึงจะได้เอ่ยปากทักออกไปถึงความน่ากลัวอันตรายของจุดที่เธอยืนอยู่ ผู้หญิงบนที่สูงซึ่งก้มหน้าเหมือนสะอึกสะอื้นอยู่นั้นก็พลันเงยขวับขึ้นมาและเพ่งสายตาจิกลงมาที่เธอ

วินาทีที่สบสายตาต้องรักรู้สึกราวกับมองผ่านเลนส์ซูมกำลังสูงของกล้องสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ ภาพนั้นหดสั้นเข้ามาราวกับอีกฝ่ายมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ใกล้จนเห็นเงาสะท้อนในลูกตาสีดำของผีที่ขยายใหญ่เกินปกตินั้น เงาสะท้อนของร่างหนึ่งในชุดพลิ้วไหวที่ไม่คุ้นเคยสายตาไหววูบสั่นระริกดึงดูดสติสัมปชัญญะไปให้เพ่งจ้อง ภาพของร่างที่คล้าย...คลับคล้ายจำได้ คลับคล้ายไม่รู้จักนั้น

และแค่เพียงพริบตาร่างบนที่สูงก็ทิ้งตัวลงมาจากยอดตึกยี่สิบกว่าชั้น!

เธอได้ทันกรีดร้องหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะหลังจากนั้นก็เหมือนมันวูบไป…

เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่บนยอดตึกและกำลังจะถูกบังคับให้กระโดดลงไปแล้ว

แต่ก่อนหน้านั้น...

หญิงสาวกัดฟัน กุมหัวเข่าสั่นๆ ของตัวเองไว้ กล้ามเนื้อทุกมัดบนขาทั้งสองข้างตึงเปรี๊ยะจนรับรู้ได้แบบแทบน้ำตาไหลว่ามันถูกใช้งานมาอย่างหนักหน่วงในช่วงที่เธอจอดับไปแหงๆ

ช่วงเวลาที่หายไปของเธอก่อนหน้านี้มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ยายผีบ้านั่นจะบังคับให้เธอเดินขึ้นบันไดตึกยี่สิบชั้นมาสู่จุดสุดท้ายที่เจ้าตัวยืนก่อนจะโดดลงมา

ฮือๆ ยายบ้าเอ๊ย!

ทำไมนะ...ทำไม

ทำไมถึงไม่รู้จักเลือกตึกที่มันสร้างลิฟต์เสร็จแล้วหา!?

หญิงสาวเม้มปาก ด่าทอผีอยู่ในใจอย่างโกรธๆ ขณะนวดหัวเข่าที่ปวดร้าวจนแทบต้องปาดน้ำตา

เมื่อต้องรักเงยหน้าขึ้น หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่อีกฟากของตัวอาคาร ชั้นนี้ต่ำลงมาน่าจะน้อยกว่าชั้นสิบแล้ว ด้วยความที่อยู่ชั้นล่างๆ บางส่วนของอาคารจึงก่ออิฐมวลเบากั้นไว้บ้างแล้ว ทำให้มันเกิดเป็นห้องกลายๆ บดบังสายตาจนเห็นคนที่อยู่อีกฟากไม่ชัดนัก

แต่การได้รู้ว่ามีใครอยู่ด้วยทำให้เธอเริ่มอุ่นใจขึ้นมาละ คงเป็นหนึ่งในทีมงานของพรำพรรษที่ยังมีเมตตาอยู่รอสาวน้อยบอบบางน่าสงสารเช่นเธอ ไม่ให้ต้องผจญกับการเดินลำพังอยู่ในตึกร้างน่ากลัว

ถึงแม้มันจะยังคงมีสภาพตึกร้างน่ากลัวอยู่ แต่เมื่อกวาดตาไปโดยรอบแล้ว สาวผู้มีสัมผัสพิเศษก็พบว่ามันไม่มีอณูของพลังงานร้ายๆ ที่น่ากลัวของผีร้ายนิรายาครอบคลุมอยู่อีกแล้ว กลายเป็นแค่อาคารเก่าโทรมเหมือนสภาพที่มันควรเป็น

เงาตะคุ่มๆ ของคนที่เธอเห็นทำให้หญิงสาวตัดสินใจเดินไปหา เผื่อจะได้เพื่อนคุยระหว่างเดินลงบันไดด้วยไง

นึกดีใจว่าโลกนี้ยังมีคนใจดี รอคอยจะช่วยเหลือเธออยู่จริงๆ

สาวโลกสวยยิ้มกว้างขณะคิดอย่างผ่องใสปนเบลอๆ เผลอๆ และ...เกือบๆ จะไร้สติ

บริเวณที่เธอเดินไปเป็นผนังอิฐมวลเบาที่ก่อทิ้งไว้และสูงประมาณหนึ่งเมตรเศษทำให้มองได้ไม่ชัดนักว่าคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งทำกิจกรรมอะไรอยู่ และเป็นอะไรบางอย่างที่...

หญิงสาวชะงักฝีเท้ากึก เบิกตาค้างอย่างตื่นตะลึงเมื่อเข้าไปใกล้จนเห็นได้ชัดว่าตรงหน้านั้นไม่ได้มีคนอยู่แค่คนเดียว...มีคนสองคน...แถมเงาตะคุ่มในแสงยามโพล้เพล้ซึ่งตะวันลับไป แต่ยังพอมองได้ว่าในแสงหลุบหรู่ทั้งคู่เป็นชายกับหญิงที่แนบชิดกันบนกองลังเก่าๆ กำลังทำกิจกรรม เอ่อ...

แถม...ดูเหมือนผู้หญิงกำลังอยู่ด้านบนเสียด้วย!

เธอกำลังเคลื่อนไหวอย่างเมามัน ขณะผู้ชายคำรามเสียงต่ำ

“ว้าย!” ต้องรักอุทานก่อนยกสองมือขึ้นอุดปาก โมโหตัวเองที่ตกใจจนลืมตัวส่งเสียงร้องออกมาทำให้คนทั้งคู่รู้สึกตัว ชะงักกิจกรรมที่กำลังทำกันอยู่ หันมามองบุคคลที่สามอย่างเธอที่เข้ามาขัดจังหวะ

“อะ...ฮือ...ขอโทษค่ะ ต้อง...ต้องไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลยค่ะ” ต้องรักคลายความตะลึง รีบหมุนตัวกลับ ยกสองมือขึ้นปิดหน้า

“ปะ...ไปแล้วค่ะ ต้องไม่รบกวนแล้วค่ะ ต้องจะไปเดี๋ยวนี้....” ทั้งๆ ที่คิดจะรีบหนีไปจากตรงนั้น แต่ขาเจ้ากรรมดันสั่นจนก้าวไม่ออก หมดแรงจนต้องคู้ตัวลงไปใช้สองมือคลึงหัวเข่าไม่รักดีของตัวเองที่ปวดหนึบและอ่อนแรงจนยกไม่ขึ้นเสียดื้อๆ แถมดันมาเป็นในเวลาที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้

จังหวะที่หญิงสาวก้มตัวลงนั้นพลันมีเสียงลมวืดข้ามหัวไป การก้มตัวของเธอทำให้รอดอย่างหวุดหวิดจากการถูกชนโดยอะไรบางอย่างที่ปลิวข้ามห้องไปกระแทกเสาดังโครม!

ต้องรักสะดุ้งสุดตัว หญิงสาวยืดตัวขึ้นเบิกตากว้างมองตรงไปยังร่างที่กระแทกเข้ากับเสาปูนแรงจนเกิดรอยร้าวและเศษปูนร่วงกราวลงมาตามร่างที่รูดลงไปกองกับพื้น ในความสลัวเห็นได้ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวสยายรุ่ยร่ายระใบหน้า และท่าทางจะเจ็บหนักจนลุกไม่ได้แล้ว

และ...และคนที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเสาและร่างกายของผู้หญิงตรงหน้านั้น...

ต้องรักหันกลับมามองและต้องเบิกตาโตขึ้นเป็นสองเท่า จ้องตาแทบไม่กะพริบไปยังร่างที่กำลังลุกยืนขึ้นมาท่ามกลางกองข้าวของเก่ารกๆ

อาจเป็นด้วยความสูงใหญ่ของเขา…หรือผมสีน้ำตาลอ่อนนั้น…หรืออาจเป็นเสื้อเชิ้ตหลุดลุ่ยที่เผยให้เห็นกล้ามอกแน่นปึ้ก ซิกซ์แพ็กหกลูกเป็นแนวชัดเจนแน่นเซียะชวนตะลึง หรืออาจเป็นดวงตาสีอำพันที่ราวกับเปล่งประกายเรืองแสงสว่างออกมาในความมืดนั้นก็ได้ที่ทำให้หญิงสาวยืนนิ่งมองเขา 

ผู้ชายคนนี้แผ่รังสีอันตรายน่าหวาดหวั่นของผู้ล่าออกมาอย่างชัดเจน

“แกเป็นใคร?” ชายแปลกหน้าถามด้วยสายตาดุดัน...ดวงตาสีอำพันคู่นั้นน่ะทำเอาสาวน้อยใจระทึกสั่นไหวแทบทะลุออกนอกอก

“อะ...เอ่อ...ต้องค่ะ” ต้องรักตะกุกตะกักตอบคำถามคนที่ทำหน้าถมึงทึงเหมือนโกรธกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนงั้นแหละ

และ...แทนที่เขาจะเข้าใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วทำสีหน้าหาเรื่องเพิ่มขึ้นไปอีก

“ฉันชื่อต้องรักค่ะ” หญิงสาวรีบอธิบาย เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าชื่อตัวเองนั้น...อธิบายเข้าใจยากไปนิดหน่อย แต่อีกฝ่ายไม่ได้มีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาสักนิด เขาหรี่ตามองเธอหัวจดเท้าก่อนกระชากเสียงถาม

“มาทำอะไรที่นี่”

“ต้อง...เอ่อ...เจ้านายต้องเป็นเจ้าของตึกนี้ค่ะ” ต้องรักรีบอธิบายตามความเคยชิน “จะ...เจ้านายให้ต้องมาตรวจดูความเรียบร้อยของตึกให้ค่ะ” นั่นคือเหตุผลที่พรำพรรษใช้เวลาพาเธอเข้าไปตามตึกที่ซื้อไว้ เพื่อขับไล่ ‘ปัญหา’ ที่สิงสู่อยู่ในตึกพวกนั้นน่ะ

เจ้านายสาวช่างมีกลวิธีในการพูดไม่ให้คนอื่นแตกตื่นตกใจเสมอ เห็นเอ๋อๆ แบบนี้ แต่ต้องรักก็เรียนรู้วิธีการพูดจาอย่างฉลาดจากหญิงสาวผู้เป็นเจ้านายมาได้หลายคำเหมือนกันนะ

“น่ารำคาญ” ชายแปลกหน้าที่น่าจะเป็นผู้บุกรุกจิปาก ทำสีหน้ารำคาญ เขม้นมองมาด้วยสายตาน่ากลัวขณะเดินเข้ามาใกล้ “อย่ามาเกะกะได้ไหม” 

‘ฮือ...น่ากลัวอะ...’

ต้องรักร้องอยู่ในใจ แต่จนใจที่ขาไม่รักดีเอาแต่สั่นไม่ยอมขยับหนี จนเขาเข้าประชิดตัวและยกมือขึ้นมาอย่างคุกคาม มือใหญ่ตะปบเข้าเต็มหน้าต้องรักพร้อมคำรามเสียงห้าวๆ โหดๆ ออกมาอีกที

“หลบไป!”

มีเสียงกระแทกหนักๆ ดังสนั่น ต้องรักหลับตาปี๋ แต่กลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหรือแหลกเหลว ทั้งๆ ที่คิดว่าตนเองต้องถูกหักคอแหงๆ จากเรี่ยวแรงของผู้ชายที่เหวี่ยงผู้หญิงทั้งตัวข้ามห้องไปได้

เอาจริงๆ เธอรู้สึกเหมือนโดนผลักศีรษะ...อาจจะแรงไปหน่อย แต่ไม่ได้ถึงกับเจ็บจนทิ้งรอยช้ำไว้ เทียบกับตอนที่โดนพรำพรรษแกล้งหยิกเอาเจ็บๆ ยังไม่ได้เลย หญิงสาวรู้สึกมีสายลมวูบผ่าน พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตรงหน้าว่างเปล่าแล้ว

มีเสียงความเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง และพอสาวความรู้สึกช้าหันกลับไปก็พอดีกับได้เห็นชายหนุ่มตัวใหญ่กำลังโดนต่อยเข้าหมัดหนึ่ง เสียงดังสนั่นนั่น...ต้องแรงมากแน่ๆ เพราะทำเอาร่างใหญ่โตนั้นถึงกับปลิวถลามาล้มอยู่แทบเท้าเธอ

‘นะ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นง่ะ!?’

หญิงสาวเบิกตากว้างจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สมองที่ติดจะช้าหน่อยๆ ทำให้ยากจะเข้าใจเหตุการณ์ได้ในทันที

มันก็คล้ายๆ กันกับเวลาที่เธอเจอผีแหละ แม้จะมารู้สึกตัวทีหลังว่าเหตุการณ์มันสุดแสนไม่เมกเซนส์เลยสักนิด แต่ตอนที่อยู่ในเหตุการณ์ เธอก็ไม่เคยฉุกใจคิดได้เลยว่าเผชิญอยู่กับอะไร

เช่นเดียวกันกับตอนนี้ คู่ชายหญิงที่ทีแรกเธอเข้าใจว่าพวกเขากำลังปลีกวิเวกมาแอบทำเรื่องฟีเจอริงกันในตึกร้างห่างไกลผู้คน แล้วเธอดันโผล่มาเจอพวกเขาตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกัน จึงทำให้ฝ่ายชายโมโหจนเหวี่ยงผู้หญิงไปกระแทกเสานั่น...ที่จริงแล้ว...

ผู้หญิงที่โดนเหวี่ยงไปกระแทกเสานั่นไม่มีทีท่าบาดเจ็บสักนิดเดียว แถมยังต่อยผู้ชายจนล้มลงกับพื้นและกระโจนขึ้นมาคร่อมพร้อมกับรัวหมัดต่อยไม่ยั้ง ทั้งแรงและเร็วจนมองไม่ทัน ได้ยินเพียงเสียงผัวะ ผัวะ ผัวะ! ดังรัวไม่ขาด

เอ่อ...อ่า...นี่มัน...มัน...คือ...

ผัวเมียตีกันใช่ไหม!?

“เอ่อ...อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ ต้องผิดเองที่โผล่เข้ามาขัดจังหวะพวกคุณ ต้องขอโทษด้วยค่ะ เลิกตีกันเถอะนะคะ” ต้องรักพยายามประสานรอยร้าวคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าเหยเก สะดุ้งทุกครั้งที่หญิงสาวอัดหมัดหนักๆ ลงบนใบหน้าชายหนุ่ม ดูเหมือนเสียงของเธอจะทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกตัวขึ้นมา เธอหมุนคอกลับมามองด้วยองศาแปลก...แบบไม่น่าจะหันมาได้ แถมยังถลึงจ้องด้วยดวงตาแดงก่ำและแสยะยิ้มใส่อย่างมาดร้ายด้วย...ด้วยปากที่ที่ฉีกลึกแทบถึงหู

นาทีนั้น...เป็นครั้งที่สองของวัน ที่ต้องรักหลุดพ้นความเอ๋อออกมาพบว่าตัวเองกำลังเจออยู่กับ ‘อะไร’ อีกแล้วง่า...แง...

แถม...มันเห็นเธอแล้วด้วยยย!!!

ผีสาวผมสยายยุ่งหมุนตัวมา ทำท่าเหมือนจะกระโจนมาใส่ต้องรักซึ่ง...ขาทั้งแข็งทั้งสั่นจนไม่มีปัญญาจะถอยหนี ตั้งแต่ตอนที่โดนผู้ชายคนนั้นคุกคามแล้วแหละ หญิงสาวจึงทำได้เพียงแต่เบิกตากว้าง จ้องนิ่งไปที่กรงเล็บคมกริบซึ่งกำลังพุ่งเข้าใส่ตัวเองเท่านั้น

‘ฮือ...ตายแหง!’

ต้องรักคิดว่าไม่เคยมีวันไหนที่หัวใจของเธอเต้นโลดด้วยความระทึกได้เท่าวันนี้อีกแล้ว

ก่อนหน้านี้มันสั่นระรัวด้วยความสยองขวัญสั่นประสาทจากผีหวงที่ซึ่งฆ่าตัวตายเฝ้าตึก แถมมันยังโดนเขย่าด้วยการเดินขึ้นลงตึกยี่สิบชั้นจนข้อเข่าแทบรับไม่ไหว และนี่หัวใจยังจะถูกความระทึกของการถูกจู่โจมทำร้ายให้หวาดเสียวอีกระลอก แต่ก่อนที่กรงเล็บคมกริบนั้นจะกรีดลงบนร่างเธอ ผู้คุกคามก็โดนกระชากผมจนหงายออกมาเสียก่อน

ชายหนุ่มดวงตาสีอำพันถลึงตาดุดันให้เหมือนเป็นความหมายว่า อย่ามาเกะกะเขาได้ไหม ก่อนหันไปจิกหัวผีสาวโขกกับพื้นปูนแรงจนคอนกรีตแตกระแหงแทบทะลุเป็นรูตามรูปศีรษะ

นาทีนี้...ต้องรักเพิ่งได้คิดว่า...ไม่มีคนธรรมดาคนไหนที่จะกระแทกหัวคนลงจนพื้นแตกได้ หรือการที่เหวี่ยงผู้หญิงข้ามห้องไปกระแทกเสานั่นก็เหมือนกัน มัน...มัน...

มันไม่ใช่มานู้ดดดด...!!!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น