6

6

6

 

“ทำไมฉันถึงเพิ่งรู้ว่าคุณวินนี่มีสามีจนมีลูกโตขนาดนี้แล้ว” 

พรำพรรษพึมพำ แอบปรายสายตาตั้งคำถามไปทางดนตร์ซึ่งเป็นหนึ่งในคลังข้อมูลประวัติบุคคลสำคัญของเธอ เลขาฯ สาวมีต้นทุนทางพื้นฐานครอบครัวที่ดี อยู่ในวงสังคมระดับบนๆ แถมยังเป็นลูกชายคนเดียวของนายตำรวจใหญ่ระดับ ผบ.ตร. อีกต่างหาก คอนเนกชันจึงกว้างไกล แถมยังรู้เรื่องข่าวสาร ‘วงใน’ ของแท้

แต่คราวนี้เลขาฯ สาวแบสองมือเสมอไหล่ ทำท่าจนใจและไม่รู้จริงๆ 

“อืม...คู่นั้นเขา...กิ๊กกันมาหลายปีแล้วแหละ” น้อยหน่าที่ยังอยู่ใกล้ๆ เล่าด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ลึกเรื่องความรักของคู่รักคู่นั้น

“แล้ว...เจ้าสัวพิรุณ...” พรำพรรษเปรย แต่คู่สนทนาก็ชิงส่ายหน้า ทำให้เธอหยุดคำถามลงด้วยเห็นภาพบางอย่างชัดขึ้นแล้ว

วิญญ์ วิชญ์วาโย เป็นบุตรสาวคนเดียวของเจ้าสัวพิรุณ วิชญ์วาโย นายใหญ่แห่งอาณาจักรวาโยกรุ๊ปกลุ่มทุนของตระกูลใหญ่ที่มีเชื้อสายความเป็นมาและทรัพย์สมบัติพอๆ กับตระกูลอรรคนีย์พิทักษ์

ทายาทหญิงคนเดียวของเจ้าสัวหมื่นล้านดันไปหลงรักและถึงกับมีทายาทกับผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง...ไม่สิ ลูกน้องอัคนีนั้นแต่ละคนธรรมดาที่ไหนกัน อย่างน้อยเขาก็ต้องมีดีอะไรบ้าง เพียงแต่คงไม่ต้องตรงตามสเปกอันสูงส่งที่ท่านเจ้าสัววางเอาไว้แหงๆ

ดังนั้นแม้จะมีลูกด้วยกันแล้ว แต่ชีวิตคู่ของทั้งสองน่าจะไม่ราบรื่นนัก น่าจะเป็นสาเหตุนี้ที่ทำให้ข่าวเรื่องครอบครัวเล็กๆ ของวิญญ์นั้นไม่เผยแพร่สู่สาธารณชน จนพรำพรรษแทบช็อกตายที่อยู่ๆ มีผู้หญิงอุ้มลูกมาตามหาสามีถึงที่บ้านแบบนี้

‘พูดถึงแล้วก็...’ พรำพรรษอดปรายตาขุ่นๆ ไปทางด้านนอกประตูกระจกไม่ได้ จากในห้องโถงสามารถเห็นสวนริมสระน้ำที่เธอให้คนพาพ่อแม่ลูกสามคนนั้นไปหาที่คุยกัน พวกเขานั่งอยู่ตรงชุดเก้าอี้เหล็กดัดที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ในบริเวณเปิดโล่งของสวนริมสระว่ายน้ำที่ไม่มีใครใช้งาน จึงคล้ายเป็นที่ส่วนตัวที่มีบรรยากาศโรแมนติกเหมาะสำหรับเคลียร์ปัญหาหัวใจ 

หญิงสาวหรี่ตามองครอบครัวเล็กๆ นั้นอย่างตริตรอง มีรอยครุ่นคิดอันซับซ้อนอยู่ในสีหน้า

“ช่างยายวินนี่กับลูกน้องอัคเหอะน่า” เสียงของอาคเนย์ดังขึ้นริมหูเธอ พร้อมกับมือใหญ่ที่สอดเข้ามารัดรอบเอวบางของภรรยา ดึงจะให้เธอเดินห่างออกมาจากกลุ่มคน

“ช่างไม่ไหวแล้ว!” พรำพรรษบอกเสียงแข็งขณะขืนตัวออกจากอ้อมแขนสามี หยุดยืนมองเขาด้วยสีหน้าเหวี่ยงจนอาคเนย์ต้องกะพริบตาปริบๆ มองเธออย่างงุนงง แต่ครู่เดียวก็รู้ตัวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น รอยยิ้มพรายจึงเต้นระยิบอยู่ในดวงตายิ้มได้คู่นั้น

“นี่...อย่าบอกนะว่า...พลัมคิดว่า...ยายวินนี่อุ้มลูกมาหาพี่งั้นเหรอ” อาคเนย์ถามกลั้วหัวเราะ เมื่อนึกย้อนไปถึงสายตาพิฆาตที่พรำพรรษตวัดใส่เขาเมื่อครู่ ก็กระจ่างแจ้งถึงความเข้าใจผิดของหญิงสาว

แต่จะว่าเธอหวาดระแวงเกินไปก็ใช่ที่ เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาตลอดเจ็ดปีที่พรำพรรษต้องรับตำแหน่งผู้บริหารพีเคกรุ๊ป ทำงานแทนภาสกรลูกชายเจ้าของบริษัทตัวจริง เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร

ถ้าเป็นแค่คนไม่ได้เรื่องคงไม่ค่อยเท่าไร แต่ภาสกรนั้นเป็นพวกเจ้าชู้ จีบหญิงไปทั่ว มั่วไปเรื่อย และด้วยสถานะที่คลุมเครือชวนให้คนเข้าใจผิดระหว่างภาสกรกับพรำพรรษ ซึ่งในตอนหลังนั้นคุณภัสตราภรณ์ มารดาภาสกรรุกหนักข้อถึงขั้นประกาศงานแต่ง พยายามจะให้พรำพรรษแต่งงานกับภาสกรเสียให้ได้ เพื่อจะได้มีคนทำงานบริหารบริษัทไม่ให้เจ๊งคามือลูกชายเพียงคนเดียว ทำให้มีโจทก์สาวๆ บรรดา ‘เพื่อนคุย’ ของเขาโผล่มาหาเรื่องปวดหัวให้พรำพรรษได้แทบทุกสัปดาห์ บางรายถึงกับมาแสดงตัวเพื่อหาเรื่องหญิงสาวถึงบริษัท และมีอีกไม่น้อยที่นำใบตรวจครรภ์ หรือถึงขั้นอุ้มลูกมาเรียกร้องค่าเลี้ยงดู

การต้องผจญกับเรื่องพวกนี้มานานเจ็ดปีเต็มย่อมเป็นธรรมดาที่จะทำให้พรำพรรษถึงกับหวาดผวา หากเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยกับสามีตัวจริงของตัวเอง

“ไม่ขำนะ” พรำพรรษเอ่ยเสียงเครียดก่อนหันไปกวาดตาระรานมองหาเป้าหมายใหม่ “คุณศศิน! ของที่ฉันขอให้ไปหามาให้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ พอจะเอามาให้ดูตอนนี้ได้ไหมคะ” 

คนที่ถูกเรียกหาคือชายหนุ่มในชุดสูทสีเทา หนึ่งในคนของอาคเนย์ที่สะดุ้งกับสายตาจิกๆ แม้จะได้รับการเรียกหาด้วยความสุภาพ แต่เขาก็ไม่ชินกับสายตาพิฆาตของนายหญิงคนใหม่นี้สักที

ศศิน ทนายหนุ่มประจำตัวของอาคเนย์กระแอมทีหนึ่ง ก่อนชายหนุ่มร่างสูงจะเดินไปเอากระเป๋าเอกสารมาเปิด

“นี่เป็นข้อมูลของบรรดาอาคารที่ยังว่างอยู่ของคุณอาร์คครับ” ศศินพูดพลางหยิบกระดาษหลายแผ่นในนั้นออกวางให้ภรรยาเจ้านาย เขาอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับเอกสารแสดงพิกัดของสถานที่ราวสิบกว่าแห่ง

บัดนี้บนโต๊ะประชุมตัวใหญ่ที่ใช้ไม้หนาๆ แผ่นมหึมาทั้งแผ่นตั้งบนขาเหล็กแบบโมเดิร์นซึ่งพรำพรรษยึดไว้เป็นโต๊ะทำงานส่วนตัวนั้นเรียงรายด้วยเอกสารอสังหาริมทรัพย์ในความครอบครองของอาคเนย์ แต่ยังไม่ได้กลายเป็นโครงการอะไร แทบทุกตึกคือตึกเก่าที่ช้อนซื้อมาและรอการบูรณะ หรือไม่ก็ทุบทิ้ง รอผุดโครงการเมกะโพรเจกต์ที่คุ้มทุนในอนาคต

ในกระดาษเหล่านั้นมีรายละเอียดพื้นที่ใช้สอยและลักษณะอาคารอย่างครบถ้วน ศศินคิดว่าครบถ้วนแล้วนะ แต่ไม่รู้ทำไมพรำพรรษจึงกวาดตาพิจารณาเอกสารเหล่านั้นรอบหนึ่งก่อนทำสีหน้าขัดใจ ตวัดสายตาส่งความไม่ชอบใจใส่เขาจนศศินทำสีหน้าไม่ถูก เดาไม่ออกว่าทำไมถึงยังโดนเหวี่ยงอีก ทั้งที่ทำงานที่ได้รับคำสั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว...อย่างเร็วมากด้วยนะ!

“มีที่ดูง่ายกว่านี้มั้ย” พรำพรรษถามพลางกวาดตาหาเรื่อง ระรานไปทั่วห้องและสะดุดตาเข้ากับบางอย่างจนต้องขมวดคิ้ว 

บัดนี้เต็มผนังตรงมุมห้องฝั่งตรงข้ามที่ทางทีมงานของอัคนียึดไว้เป็นที่ทำงานกลายสภาพคล้ายเป็นงานศิลปะตัดแปะชิ้นมหึมา มีทั้งรูปบุคคล ใบรายงานประวัติ ปฏิทินแผนงาน มีโพสต์-อิตหลากสี กระดาษทั้งใหญ่เล็กแปะเปะปะอยู่ทั่ว แต่ดูอย่างไรก็รกเลอะเทอะ จนน่าเกลียดเกินจะเรียกว่าศิลปะเป็นไม่ได้แม้กระทั่งงานจากฝีมือเด็กๆ หรือศิลปะบริสุทธิ์จากคนไม่ได้เรียนศิลป์อย่างที่มีคนเรียกว่างานแบบนาอีฟด้วยซ้ำ

พรำพรรษมองไปยังแผนที่หลายแผ่นบนผนัง หลังจากเพ่งสายตาวิเคราะห์แป๊บหนึ่งก็แยกมันออกได้ว่า แผนที่แสดงลักษณะภูมิศาสตร์ แผนที่ทางหลวง มีผังเมือง และแผนที่เฉพาะของระบบสาธารณูปโภคอีกหลายอย่างวางเหลื่อมๆ กันอยู่ ทีมงานของอัคนีคงใช้มันในการวางแผนอันซับซ้อนอะไรสักอย่าง แผนอะไรบางอย่างที่ต้องใช้แผนที่...

‘แผนที่!’ 

ดวงตาพรำพรรษเป็นประกายวาบขึ้นเมื่อนึกถึงประโยชน์ใช้สอยนั้นขึ้นมาได้

“ดนตร์ไปขอยืมแผนที่อันนั้นมา” เจ้านายสาวชี้นิ้วสั่ง 

อึดใจต่อมาแผนที่ถูกก็กางบนโต๊ะประชุมตัวใหญ่ที่พรำพรรษใช้เป็นโต๊ะทำงานมาตลอดบ่าย ปักพิกัดตึกทุกหลังไปตามเขตต่างๆ ในแผนที่จนทั่วทั้งเมือง ท่ามกลางความสนใจของน้อยหน่าที่พาลูกน้องสองสามคนเดินตามมาดูวิธีทำงานของพรำพรรษ

พอถูกจับวางลงในแผนที่ ตึกหลายหลังในแผ่นกระดาษที่ศศินนำมาก็เห็นภาพชัดเจนขึ้น และเสริมด้วยการนำโน้ตบุ๊กหลายเครื่องมาเปิดดูแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศจากเว็บเซิร์ชเอนจินยอดนิยมที่มีรายละเอียดเจาะลึกทั้งแผนที่ เส้นทาง และผังเมือง พรำพรรษให้ดนตร์ไปเรียกหาคนชำนาญเส้นทางในกรุงเทพฯ อีกหลายคนมาร่วมพูดคุยถึงเส้นทางต่างๆ ของแต่ละตึกว่ามีจุดเด่นจุดด้อยและข้อจำกัดอย่างไรบ้าง ถนนและซอกซอยที่ใช้ในการเดินทางนั้นสะดวกแค่ไหน สาธารณูปโภคต่างๆ ที่รายล้อมรอบนั้นเพียบพร้อมเพียงใด

“ฉันจะเอาตึกนี้” พรำพรรษประกาศพลางจิ้มนิ้วลงบนแผ่นแผนที่ ชี้ลงไปยังตึกหนึ่งหลังจากเลือกและคัดตึกอื่นๆ ออกจนหมด

“เอ่อ...ตึกนี้...” ศศินอึกอักขึ้นมาเสียเองเมื่อเห็นถึงตึกที่เธอเลือกชัดๆ

“ทำไม” นางมารร้ายตวัดเสียงใส่เมื่อจับได้ถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจนั้น

“เอ่อ...มันมีข้อจำกัด...เล็กๆ อยู่นิดหนึ่งครับ” ศศินบอกเบาๆ น้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ

“ข้อจำกัด?” พรำพรรษทวนคำคล้ายถาม

“คือ...ตึกนี้มียี่สิบสองชั้นครับ อยู่บนถนนสายหลักในทำเลที่ดีเลิศมาก แต่การก่อสร้างของเจ้าของเดิมมาสะดุดลงเมื่อเจ็ดปีก่อน จนตอนนี้เปลี่ยนมือมาเป็นของเราก็จริง แต่ก็ยังไม่มีใครเข้าไปทำอะไรได้ครับ” ศศินรีบพูดเมื่อสบสายตากดดันนั้น ชายหนุ่มตัดสินใจเปิดภาพให้แสดงบนหน้าจอคอมพ์ แล้วหมุนมาให้พรำพรรษเห็นสถานที่จริงเสียเลย มันคือตึกร้างสุดหลอนที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ จากนั้นศศินก็ค้นข้อมูลเพิ่มขึ้นมาอีก เป็นภาพข่าว และสกู๊ปจากรายการโทรทัศน์...รายการประเภทอวดผี หรือพวกย้อนอดีตคดีดังอะไรเทือกนั้น

“ตึกนี้ตอนกำลังก่อสร้างมีคนมากระโดดตึกตาย นับแต่นั้นมาก็มีข่าวลือเรื่องผีดุ ทำให้ไม่มีผู้รับเหมารายไหนยอมเข้าไปทำงานในพื้นที่เลยครับ” ศศินเฉลย ‘ข้อจำกัดเล็กๆ’ ของสถานที่ด้วยสีหน้าพะอืดพะอมเมื่อเดาคำตอบได้ว่าต้องโดนตำหนิแหงๆ ที่เอาตึกใช้ไม่ได้มาให้เลือก

แต่ผิดคาด พรำพรรษเพียงทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น

“มีผีเหรอ ก็ไล่มันไปสิ” เจ้านายสาวเอ่ยเสียงเรียบง่ายราวกับกำลังพูดถึงสัตว์รบกวนประเภทงู หนูตะกวด หรือตะขาบอะไรพวกนั้น ไม่ใช่วิญญาณร้ายที่ไม่มีใครต่อกรได้

“ไล่! ยังไงครับ” ศศินร้องออกมาอย่างตระหนก

ตึกนี้นับเป็นปัญหาปวดหัวของพวกเขามานานมากแล้ว เมื่อเจ้าของเดิมไม่สามารถเข้าไปดำเนินการก่อสร้างต่อได้ ก็มีแต่ต้องขายต่อออกไปถูกๆ เพื่อไปหักกลบลบหนี้กับดอกเบี้ยธนาคารที่วิ่งเอาๆ ไม่ให้เข้าเนื้อเจ็บตัวมากเกินไปนัก

กลุ่มอัคคีกรุ๊ปไปช้อนซื้อมาได้ราคาถูกก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่อาจเข้าไปจัดการมันได้เช่นกัน ผู้รับเหมาตั้งไม่รู้กี่เจ้าทิ้งงานหนีกันหมด เป็นปัญหาที่มีเงินโปรยลงไปเท่าไรก็แก้ไขไม่ได้ จนจำต้องปล่อยไว้ให้เป็นปัญหาคาราคาซังต่อไป

“อ้าว ถ้าไม่ไล่มันไปแล้วเข้าไปทำ เมื่อไหร่มันจะต่อเติมเสร็จ ให้ทีมคุณน้อยหน่าย้ายไปใช้พื้นที่ที่นั่นทำงานได้ล่ะ” พรำพรรษระบุเจตนารมณ์อันแน่วแน่

“หา!” คราวนี้น้อยหน่าเป็นฝ่ายร้องลั่นบ้างเมื่อรู้ว่าจะถูกไล่ที่ออกจากตึกนี้ให้ไปอยู่ตึกผีสิง 

“จะ...จะให้ฉันย้ายไปทำงานที่...ที่ตึกที่มีผีสิงเนี่ยนะคะ” พี่สะใภ้ของพรำพรรษตะโกนถามตาเหลือก หน้าสวยเผือดซีดสีลง บ่งบอกให้รู้ว่า...มีความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง

“คุณน้อยหน่า...กลัวผีเหรอคะ” พรำพรรษหันมาเห็นความผิดปกติของพี่สะใภ้จนต้องถามออกมาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่ใช่กลัวธรรมดา...โคตรกลัวเลยค่ะ” น้อยหน่ารับคำอย่างไม่อาย เรื่องผีเป็นเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอไม่อาจเก็บอาการไว้ได้แม้แต่นิดเดียว แม้แต่ตอนพรำพรรษจะถลึงตาใส่เป็นเชิงตะลึงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ คนอย่างเธอเนี่ยนะ...กลัวผี หญิงสาวก็ยังพยักหน้ายืนยันหงึกๆ 

“แค่บรรดาห้องพักบนชั้นสิบสาม ลักกีนัมเบอร์ที่คุณอัคสะสมไว้ ฉันยังทำใจไปใช้ไม่ไหวเลยคุณ ถ้ายังจะให้ไปอยู่ตึกที่มีผีสิงนี่...” คนพูดทำสีหน้าไม่ยินยอมขนาดหนัก ท่าทางขนพองสยองเกล้าจนกอดตัวเองพลางลูบแขนที่ขนลุกชันไปมาด้วยความหวาดผวายิ่ง

“ไม่เป็นไรหรอก...” พรำพรรษบอกแบบกัดฟันเมื่อแผนที่กำลังจะวางดันพังลงมาไม่เป็นท่าตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม “ผีเผออะไร...มีที่ไหนกัน”

“ตึกนั้นมันมีแหงๆ มีรายการทีวีไปถ่ายตั้งหลายรายการ หมอผีคนทรงตั้งไม่รู้กี่สำนัก แถมยังผู้รับเหมาที่ทิ้งงานอีกตั้งเท่าไหร่ มันจะไม่มีไปได้ยังไง” น้อยหน่าไม่ยอมให้กล่อมง่ายๆ แถมเจ้าตัวยังหูตากว้างไกลในแวดวงพอจะรู้ข่าวพวกนี้มาบ้าง ทำให้ยากจะปิดบังหรือแก้ไขข้อมูลได้

“มันต้องไม่มีแน่ๆ เพราะฉันจะหาคนมาไล่มันให้เอง!” พรำพรรษกัดฟันบอกอย่างบ้าเลือด

‘ผีมันมีที่ไหนกัน...หรือถ้าหากมีจริงละก็...ฉันนี่แหละจะไล่มันออกไป!

‘เหมือนที่กำลังจะไล่พวกเธอออกจากเพนต์เฮาส์สามีฉันอยู่เดี๋ยวนี้ไง’

ตึกผีสิงนี้คือแผนสำรองลำดับที่หนึ่ง ซึ่งพรำพรรษวางแผนไว้ว่าจะใช้เป็นสถานที่เนรเทศทีมของอัคนีและน้อยหน่าให้ไปอยู่ที่นั่น เพื่อจะได้เลิกมารบกวนเธอและอาคเนย์เสียที

“ดนตร์พาต้องรักไปที่ตึกนั้นเดี๋ยวนี้!” เจ้าของเสียงห้วนออกคำสั่งแข็งกร้าว “ถ้าหากว่าที่นั่นมีผีจริง ก็ให้ต้องรักไปบอกให้มันย้ายออกไปที่ที่มันชอบภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่งั้นฉันไม่รับประกันความปลอดภัยว่ามันจะได้ไปผุดไปเกิด!”

นางมารร้ายประกาศกร้าวด้วยดวงตาวาวโรจน์

คือ...มั่นมากแม่!

นี่...นางกำลังจะให้ฝ่ายกฎหมายพาฝ่ายพิธีกรรมไปยื่นโนติซ สั่งให้ผีต้องย้ายออกจากตึกที่สิงสถิตบัดเดี๋ยวนี้ โดยไม่สนใจเลยว่าตอนนี้มันเป็นเวลาดึกดื่นจนหลอนแล้วนะเฮ้ย! 

“ต้องรักไม่อยู่ค่ะ” ดนตร์บอกด้วยน้ำเสียงสะใจเล็กๆ ที่ได้ปฏิเสธเจ้านายจอมเผด็จการ

เลขาฯ สาวสองเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่เต็มผนัง ภายนอกท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เบื้องล่างต่ำลงไปเป็นทิวทัศน์อันระยิบระยับของแสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง ภาพแสงไฟยามราตรีของเมืองหลวงอันสุดลูกหูลูกตานั้นสวยงามเกินพรรณนา จนอดหมั่นไส้เจ้านายสาวไม่ได้ที่มีท็อปวิวของเมืองหลวงเป็นของตัวเอง

“คุณพลัมเพิ่งให้มันพักร้อนไปไง จำไม่ได้หรือคะ ป่านนี้...” คนพูดยกแขน ทำท่ามองนาฬิกาขณะแย้มยิ้มร้ายมุมปาก “เครื่องมันไม่ใช่บินไปถึงน่านฟ้าอินเดียแล้วมั้ง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงถึงอังกฤษแหละ”

“ไว้ค่อยโทร. จิกมันตอนเครื่องลงแล้วละกันเนอะ เพราะตอนเดินทางใครๆ ก็คงตั้งมือถือไว้ที่โหมดเครื่องบิน” เลขาฯ สาวจบคำด้วยรอยยิ้มหวานสนิทจนตาหยีใส่ดวงตาขุ่นขวางของเจ้านายสาวที่จิกรังสีอำมหิตใส่ไม่ยั้ง

พรำพรรษยืนนิ่งสะกดกลั้นอารมณ์ด้วยการนับหนึ่งถึง...สอง!

“เรียกเครื่องบินลำนั้นกลับมา!” คำประกาศิตมาพร้อมการทุบโต๊ะปัง!

คำสั่งนั้นเผด็จการจนดนตร์ถลึงตาใส่

“ใครมันจะทำให้ได้ยะ! ไม่ได้มีหุ้นอยู่สายการบินนะ!” เลขาฯ สาวสองแหวใส่อย่างหมดความอดทน...ถึงมีหุ้นอยู่สายการบินก็เหอะ ใช่ว่าจะทำอะไรอย่างนี้ได้ง่ายๆ

“ต้องรักมันบินกับสายการบินอะไร” พรำพรรษยังจะหาทางต่อไปอีก

บอกแล้วไง...ไม่มีคำว่าทำไม่ได้อยู่ในสารบบของผู้หญิงคนนี้ 

ดนตร์กลอกตามองบนก่อนยอมบอกชื่อสายการบินระหว่างประเทศสายการบินหนึ่งออกไป

“วินด์แอร์ไลน์”

“ใครเป็นเจ้าของ” พรำพรรษยังไม่หยุดยั้งความบ้าคลั่ง

ดนตร์ทำปากขมุบขมิบคล้ายเป็นคำด่าก่อนตอบคำถามเจ้านายด้วยเสียงสะบัด

“ไม่ใช่อรรคนีย์พิทักษ์แหงๆ แหละค่ะคุณ”

ถึงอาคเนย์จะมีเส้นสายพอจะหาตั๋วเครื่องบินให้ได้ในเวลากระชั้นชิด แต่ไม่น่าจะใหญ่พอที่จะยกหูสั่งให้เครื่องบินเปลี่ยนเส้นทางการบินกะทันหัน เพื่อพาผู้โดยสารบินวนกลับมายกลำไหม

“สายการบินวินด์แอร์ไลน์เป็นของตระกูลวิชญ์วาโยครับ” ศศินแทรกเสียงขึ้นมา หวังให้นางมารร้าย...เอ่อ...ภรรยาเจ้านายหยุดคุกคามดนตร์เสียที เขารู้สึกไม่สบายใจเลยที่เห็นเลขาฯ สาวสวยสุดเซ็กซี่โดนเจ้านายเขม่นใส่แบบนี้

“วิชญ์วาโยๆ ฉันรู้จักใครที่นามสกุลนี้ไหมนะ วิชญ์วาโย” พรำพรรษพึมพำพลางเค้นความคิดไปถึงคู่ค้าทางธุรกิจที่เคยติดต่อกันตลอดเวลาที่เธอยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัทพีเคกรุ๊ป การทำงานแทนภาสกรนั้นมีข้อดีอยู่บ้าง ตรงที่ได้เส้นสายและความสัมพันธ์กับลูกค้าระดับผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆ จำนวนมากไว้ในมือ

ทว่า...คิดให้ตายพรำพรรษก็หาความเชื่อมโยงทางธุรกิจของเธอกับคนในตระกูลนั้นไม่ได้เลย ตลอดเจ็ดปีมานี้เธอไม่เคยติดต่อกับกลุ่มวาโยกรุ๊ปมาก่อนเลยจริงๆ 

นิ้วมือเรียวที่เล็บเจียนมนของพรำพรรษเคาะโต๊ะรัวเป็นจังหวะ อันเป็นความหมายว่าเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง

จู่ๆ ความคิดอันเคร่งเครียดและนิ้วมือที่กระดิกรัวอยู่ รวมถึงลมหายใจของผู้บริหารสาวโหดก็มีอันต้องสะดุด เพราะพรำพรรษเริ่ม ‘รู้สึก’ ได้ถึงความร้อนรุ่มแผ่ทะลุเนื้อผ้าตรงช่วงเอวชุดเดรสเนื้อดีที่สวมอยู่ ความร้อนนั้นส่งผ่านมาจากฝ่ามือใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเจ้าของมือพาร่างสูงใหญ่ของตัวเองกลับมายืนอยู่ใกล้ๆ กันตั้งแต่เมื่อไร

สัมผัสนั้นค่อยๆ เคลื่อนไหว ลูบไล้ช้าๆ เคล้าคลึงแผ่วเบาอยู่แถวช่วงเอวและสะโพกของหญิงสาว จนพรำพรรษรู้สึกราวกับกระแสไฟฟ้าแรงสูงทะลุทะลวงผ่านเนื้อผ้ามาลามเลียผิวสาว ชอร์ตเปรี๊ยะเข้าสู่เส้นเลือดที่กำลังสูบฉีดจนความร้อนนั้นให้แล่นลามไปทั้งร่าง

จน...ชักรู้สึกว่า...คิดดี...ไม่ได้เลย...ไม่ใช่สิ!

...ใช้ความคิดดีๆ ไม่ได้เลย...สินะ ฮึ่ม!

หญิงสาวต้องหันไปตะครุบมือนั้นไว้ก่อนเขาจะเลื่อนลงต่ำ ขยำขยี้เนื้อตัวกันเหมือนเคย ใครจะรู้ว่าคนหน้านิ่งๆ มาดคุณชายอย่างอาคเนย์สามารถทำได้ทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องเอาแต่ใจ บีบบังคับให้เธอยอมตามใจเขาในเรื่อง...อื้ม...เอ่อ...นั่นแหละ!

พรำพรรษต้องปั้นหน้าขรึมแทบตายกว่าจะขึงตาดุๆ ใส่ดวงตายิ้มได้ที่ส่งแววยั่วเย้าจากคนที่ยืนอยู่ระยะประชิด

“คุณพี่อาร์คคะ” พรำพรรษลดระดับความแข็งกร้าวลงมา เอ่ยคำเรียกหาสามีด้วยน้ำเสียงหลอกใช้ ซึ่งได้รับรอยยิ้มละไมตอบกลับมา

“ครับ” เสียงรับคำเปี่ยมรอยยิ้มในน้ำเสียงอยู่ชิด...ใกล้...จนได้กลิ่นโคโลญประจำตัวเขาอวลอยู่รอบตัว ช่างสั่นคลอนกันขนาดหนัก ความรู้สึกอุ่นๆ หวานๆ อันชวนลุ่มหลงลิ้มลองนั้นยิ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้หญิงสาวมุ่งมั่นขึ้นไปอีก

เธอจะต้องไล่แขกไม่ได้รับเชิญพวกนี้ไปให้หมดให้ได้!

“คุณ...มีคอนเนกชันกับเจ้าสัวพิรุณมั่งไหม” พรำพรรษถามเป็นการเป็นงาน แต่เข่าชักจะอ่อนแรง จนต้องเกี่ยวขา พิงเขาไว้ “เคยเข้าพบเขาบ้างไหม พอจะยกหูคุยได้บ้างหรือเปล่า”

พรำพรรษฝืนความเขินจนตัวจะแตกตายกับสายตาของสามีจอมวายร้าย โยนงานใส่หน้าเขาเสียเลย อย่าคิดนะว่าใช้สายตาทำให้เธอระทวยย้วยไปหมดแบบนี้แล้วจะรอดพ้นจากการถูกใช้งาน

“ไม่สนิทเลย” อาคเนย์ส่ายหน้า “ถ้าจะให้ถึงขั้นยกหูคุยกันนี่ คุณแม่พี่จะสนิทกับเขามากกว่า น่าจะทำแบบนั้นได้นะ”

พรำพรรษมุมปากกระตุกเมื่อนึกไปถึงบุคคลที่ถูกอ้างถึง ‘คุณแม่สามี’ ภาพสุภาพสตรีวัยกลางคนแจ่มชัดขึ้นมาในความทรงจำ นัยน์ตาร้ายๆ รอยยิ้มเชือดเฉือน และความพยายามในการแสวงหาทุกจุดอ่อนเพื่อมาเล่นงานเธอให้ได้ของคุณอกนิษฐ์ ทำให้ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าหากพรำพรรษไปขอร้องเรื่องอะไร คุณแม่สามีที่รักย่อมต้องทำตรงกันข้ามให้กันแหงๆ

แค่คุณอกนิษฐ์คนเดียวก็เต็มกลืนแล้ว เธอไม่อยากมีโจทก์เป็นเจ้าสัวที่ใหญ่ระดับนั้นเพิ่มมาอีกคนหรอกนะ ซึ่งแน่นอนว่า...คุณอกนิษฐ์ย่อมต้องทำทุกวิถีทางให้เจ้าสัวไม่พอใจเธอแน่ๆ

“แล้ว...นอกจากนี้พี่อาร์ครู้จักใครคนอื่นที่ใหญ่ๆ ในวาโยกรุ๊ปอีกบ้างหรือเปล่าคะ” พรำพรรษถามหาทางเลือกใหม่ 

บอกแล้วไงว่าคำว่าเป็นไปไม่ได้ไม่เคยมีในสารบบของผู้หญิงคนนี้ แผนสอง แผนสาม แผนสี่ต้องมีมาเสมอ

อาคเนย์มองสีหน้าของหญิงสาวที่อยู่ชิดใกล้และเงยหน้าสบตาเขาเพื่ออ้อนวอนขอ...มีเค้าออดอ้อนกันนิดๆ จนคนมองอยู่ต้องเปิดรอยยิ้มเอ็นดู พึงพอใจนักที่ทำให้เธอแสดงความอ่อนหวานให้เขาได้เห็น

เป็นอีกด้านของนางมารร้ายที่มีไว้เฉพาะใช้กับเขา...เพียงคนเดียว

“รู้สิ” อาคเนย์บอกยิ้มๆ จับตารอดูดวงตาที่เป็นประกายราวดาวนับร้อยพริบพราวอยู่ในนั้นยิ่งระยิบระยับด้วยความยินดี

นั่นไง...ยิ่งเวลาที่ยิ้มจนตาหยีด้วยสีหน้าพร้อมจะหลอกใช้ชาวบ้านแบบนี้นะ...

‘เมียใครวะ...น่ารักที่สุด!’

เอ่อ...เดี๋ยว พี่เดี๋ยว...นั่นคือ...น่ารักน่าเอ็นดู (ว์) แล้ว...จริงๆ ใช่ไหม

“งั้น...” พรำพรรษยังไม่ทันได้พูดออกมาเลยว่าขอให้เขาติดต่อให้หน่อยสิ อาคเนย์ก็ชิงรวบคางเธอ หมุนให้หันหน้าไปทางประตูกระจกด้านที่ติดสวนริมสระว่ายน้ำ

ใช้เวลาสองสามวินาทีกว่าที่พรำพรรษจะจำได้ว่าที่สวนนั้นมีแขกไม่ได้รับเชิญครอบครัวหนึ่งนั่งอยู่...และ...

ให้ตายสิ!

เธอลืมไปได้อย่างไรว่า วิญญ์ วิชญ์วาโย ลูกสาวเจ้าสัวพิรุณก็นั่งรอให้ใช้งานอยู่ตรงนั้น!

“รองอันดับสองในวาโยกรุ๊ปพอใช้แทนเจ้าสัวพิรุณได้ไหม” อาคเนย์ถามยิ้มๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น